เคยได้ยินการปรารถนาพุทธภูมิแบบนี้ไหม

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย กำนันธงชัย, 17 พฤศจิกายน 2011.

  1. กำนันธงชัย

    กำนันธงชัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +75
    เคยได้ยินการปรารถนาพุทธภูมิที่ไม่คุ้นหูในหมู่ผู้ศึกษาสายมโนมยิทธิ คือ

    ปรารถนาวิริยาธิกะพิเศษ
    -อธิษฐานเป็นพระสิกขีทศพล ประมาณว่าบำเพ็ญ 444อสงไขยกัปป์
    -อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าต้นกัปป์
    -อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้ากลางกัปป์
    -อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าปลายกัปป์


    และการอธิฐานพุทธภูมิในหมู่ผู้ที่ศึกษาวิชชาธรรมกาย คือ

    ปรารถนาพระพุทธเจ้าภาคปราบนิพพานกายเนื้อ


    ไม่ทราบว่า ท่านใดมีความรู้บ้างครับ ไม่ได้เจตนาให้เกิดการถกเถียงกัน และไม่สนับสนุนให้มีการถกเถียงกันในข้อมูลน่ะครับ นับถือครูบาอาจารย์ทุกท่าน อยากทราบความหมายของแต่ละแบบครับ
     
  2. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,047
    ไม่เคยได้ยิน แต่ความต้องการของคนมันไม่เคยพอหรอก จะเอา 1 ล้านอสงไขยก็หวังได้ แต่จะเอาอะไรที่พิเศษกว่านั้น ต้องคิดว่าเป็นวิสัยของคนที่มีปัญญาพอจะเป็นบรมครูของ 3 โลกหรือไม่ ต้องหาคำตอบมาตอบก่อนว่า เพื่ออะไร ???
     
  3. ecco1

    ecco1 พุทธัง บังเกิด ธัมมัง บังเกิด สังฆัง บังเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +87
    ไม่มี แล้วก็มี ไม่ได้
    1,พระพุทธสิกขีทศพล มีหลายองค์ก็จริง แต่องค์ต้น คือ พระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ 1 ท่านยังไม่ใช้เวลายาวขนาดนั้น แล้ว ท่านอุบัติแล้ว แล้วใครจะมาเป็นได้อีก
    2,ข้อต่อๆมา ไม่รู้ถ้าใคร จะอธิฐานเจาะจงขนาดนั้นทำไม การอุบัติแห่งพระพุทธองค์แต่ละพระองค์ก็เป็นเหตุยากยิ่ง กัปป์ ที่มีพระพุทธเจ้ามากกว่า 1 พระองค์ ก็ยากยิ่งกว่า แล้วช่วงแห่งสุญญกัปป์อีกมากมาย เหมือนถือไม้ลูกชิ้นที่มีลูกชิ้น อยู่หลายลูก เราไม่สามารถถือไม้ลูกชิ้นอยู่ แล้วดึงเอาลูกชิ้นลูกด้านในออกได้ฉันใด ลำดับการอุบัติของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ก็เหมือนกัน พระโพธิสัตว์ผู้ทำซึ่งพระบารมีเต็มแล้วจะได้รับซึ่งพุทธพยากรณ์ และจะอุบัติมาตามกาลนั้น เรียงลำดับมาเรื่อยๆ ขึ้นอยู่ กับการบำเพ็ญบารมีสิ้นหรือไม่สิ้นเท่านั้น
     
  4. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    เยอะมาก ก็ทุกข์มาก ก็เท่านั้นเอง รับไหวก็รับไป
     
  5. หลานศิษย์

    หลานศิษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +561
    อย่าลืมจุดมุ่งหมายเดิมไปนะครับ

    การบำเพ็ญฯ นั้น ทำเพื่อประโยชน์ของหมู่สัตว์ รื้อถอนสัตว์โลก ด้วยอมตะธรรม
    เนื่องด้วยอมตะธรรมนั้น ไม่สามารถสืบต่อไปได้ต่อเนื่อง เพราะวัฏจักรของหมู่สัตว์
    จึงมีช่วงเว้นธรรมไปเป็นระยะ จะเรียกว่าเป็นสูญกัปป์ ก็ได้

    การบำเพ็ญฯที่ตั้งเป้าหมายตามระยะเวลานี้ ดูเหมือนเป็นการกระทำเพื่อตนเองหรือเปล่า
    เพราะสุดท้ายผลเท่ากัน
    แม้จำนวนสัตว์โลกอาจไม่เท่ากัน

    พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ รื้อถอนสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากวัฏสงสาร
    ไม่ได้ทำเพื่อตนเองแม้แต่น้อย
     
  6. มรรค 8 ประการ

    มรรค 8 ประการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    884
    ค่าพลัง:
    +2,642
    นั้นเป้นการอธิษฐานแบบฝ่ายมหายานหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นแบบฝ่ายเถรวาทไม่มีแบบนี้แน่นอนครับ
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  8. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ในตำราไม่มีหรอกครับท่าน และในความเป็นจริงก็ไม่มีเหมือนกัน
    สมเด็จองค์พระปัจจุบันท่านตรัสกับพระสารีบุตรเถระว่า
    ท่านที่ปรารถนาแบบปัญญาธิกะพุทธภูมิ ใช้เวลาสร้างบารมีหลังจากได้รับพระพุทธพยากรณ์
    ๔ อสงไขย แสนกัปป์
    ท่านที่ปรารถนาแบบสัทธาธิกะพุทธภูมิ ใช้เวลาสร้างบารมีหลังจากได้รับพระพุทธพยากรณ์
    ๘ อสงไขย แสนกัปป์
    ท่านที่ปรารถนาแบบวิริยาธิกะพุทธภูมิ ใช้เวลาสร้างบารมีหลังจากได้รับพระพุทธพยากรณ์
    ๑๖ อสงไขย แสนกัปป์
    สมเด็จพระบรมครูท่านตรัสไว้อย่างนี้ ไอ้ที่เขาปรารถนากันนั่นมันเป็นความอยากอวดดีเฉยๆ มันอยากดีกว่าครูบาอาจารย์สั่งสอน คนที่ปรารถนาแบบนี้เดี๋ยวก็ลาพุทธภูมิไปเอง
    พระโพธิสัตว์จะเก่งไปกว่าครู คือ สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมไปได้อย่างไรครับ
     
  9. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    เคยทราบมาบ้างทั้งสองแบบครับ กรณีการบำเพ็ญบารมีที่เป็นแบบพิเศษ ก็จะใช้เวลามากกว่าปกติครับ แต่ผมก็จำไม่ได้ว่ากี่อสงไขยกัปป์ ผมเข้าใจว่าเวลา 444 อสงไขยกัปป์ คงไม่ใช่เวลาที่บำเพ็ญปรมัตถบารมีครับ แต่คงรวมเวลาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มปรารถนาในใจ และเริ่มเปล่งวาจาปราถนาเข้าไปด้วยเลยดูว่าเยอะมาก

    การปรารถนาพุทธภูมิตามหลักสูตรปกติก็ใช้เวลาตามที่ทราบๆกันอยู่ เป็นเวลาบำเพ็ญขั้นต่ำ แต่ท่านใดจะปรารถนาบำเพ็ญเพิ่มเติมเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ ก็ต้องใช้ระยะเวลาเพิ่มเติมเข้าไปอีกครับ จะบำเพ็ญมากน้อยเท่าใดก็แล้วแต่ที่ตั้งใจไว้ครับ สิ่งเหล่าท่านที่บำเพ็ญบารมีคงจะทราบเอง

    ส่วนแบบที่สองผมไม่ขออธิบาย เพราะมีผู้อธิบายไว้ละเอียดแล้ว ให้ตามไปอ่่านได้ที่ http://palungjit.org/threads/การสร้างบารมีของ-ภาคปราบและภาคโปรด-แตกต่างกันอย่างไร.296081/

    ความเห็นส่วนตัวของผมเองนั้นอยากเห็นผู้ที่มาช่วยทำหน้าที่แบบนี้กันเยอะๆจะสำเร็จเร็ว สำเร็จช้า จะบำเพ็ญมาก บำเพ็ญน้อย ก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมขอโมทนาบุญในความตั้งใจดีนั้นด้วย ผมเคารพความดีของทุกท่านที่มาช่วยกันทำงานนี้ครับ สรรพสัตว์ที่ยังลำบากมีอีกเยอะมากมายมหาศาล ต้องช่วยใำห้กำลังใจกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2013
  10. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ท่านเอย สมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทรงพระดำรัสตรัสแล้วคำใหนคำนั้น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เป็นพระพุทธประเพณีที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายท่านยอมรับและประพฤติปฏิบัติสืบๆกันมา ท่านจะมาดัดแปลงแต่งเติมพระธรรมคำสั่งสอนของพระประทีปแก้วบรมศาสดา ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย จะมามีพุทธภูมิภาคโปรดภาคปราบหรือพุทธภูมิพิเศษอย่างกะก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารตามสั่งมันไม่ใช่เรื่อง ไร้สาระ พระโลกนาถบรมครูทรงชี้ช่องบอกทางแล้ว ว่าพุทธภูมิปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีเท่านี้อสงไขยแสนกัปป์ ก็ต้องบำเพ็ญเท่านั้น จะหย่อนจะเกินไม่ได้ ท่านจะเชื่อใคร จะเชื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเชื่ออาจารย์ของท่านที่สอนผิดๆถูกๆ ระวังจะเป็นแบบกปิละภิกษุในสมัยองค์พระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด (ตอนนี้กปิละภิกษุ แม่ และน้องสาวอยู่ในอเวจีมหานรกนะครับพี่น้องครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2013
  11. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระคาถาเงินล้านของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ตั้ง นะโม ๓ จบ
    สัมปะจิตฉามิ (คาถาสนองกลับ)
    นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
    วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
    มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา



    (บูชา 3,7,9 จบ ตัวพระคาถาต้องว่าทั้งหมด​

    เรื่องความเป็นพิเศษนั้นในตำราเล่มของผมที่อ่านมาบ้างฟังมาบ้างจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงมันมีนี่นา เอ คนอื่นทำไมอ่านไม่พบกันน๊า เอ มันน่าแปลกใจ

    ความเป็นพิเศษนี่อย่างองค์สมเด็จพระพุทธธีปังกรนี่ท่านมีลาภมากเป็นพิเศษเวลาที่ท่านเสด็จมาหลวงพ่อบอกว่ากระแสลาภท่านแรงมากคล้ายสายน้ำจากรถดับเพลิง

    องค์สมเด็จพุทธกสสปท่านก็ลาภมากเป็นพิเศษกระแสอ่อนๆแต่กลุ่มใหญ่มาก

    องค์สมเด็จพระพุทธเรวัตนี่ท่านหนักไปในทางอภิญญาเพราะในสมัยของพระองค์ท่านคนในสมัยนั้นขอบอภิญญากันมาก

    องค์สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตรท่านก็หนักไปในทางเมตตาปราณีเป็นพิเศษ

    องค์สมเด็จพระมังคละ มีพระรัศมีไปทั่วหมื่นโลกธาตุ พระรัศมีสว่างรุ่งเรืองกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดๆ

    องค์สมเด็จพระปิยทัสสี มีพระรัศมีแผ่ไปโดยรอบไม่มีประมาณ

    องค์สมเด็จพระสุมนะ มีพระสนมนารีแวดล้อมมากเป็นพิเศษคือ สามแสนหกหมื่นพระนาง

    นี่เป็นแบบอย่างที่ผมพบมาแล้วก็ยกมาเป็นข้ออ้างอิงเล็กน้อย


    ในบรรดาหนังสือและคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงจะมีคำว่าเป็นพิเศษอยู่เยอะมาก เวลาที่ท่านเล่าเรื่องของบุคคลตัวอย่างที่มีมาในพระสูตรธรรมบทขุตทกนิกายให้บรรดาลูกหลานของท่านฟัง ก็มักจะมีแต่ยกเอาปูชนียบุคคลตัวอย่างมาเล่า เช่นคนที่มีความร่ำรวยมั่งคั่งเป็นพิเศษอย่างท่าน อนาถบิณฑิกะเศรษฐี ท่านชฎิลเศรษฐี หรือท่านโชติกะเศรษฐี เป็นต้น หรือคนที่มีความสวยสดงดงามเป็นพิเศษอย่างท่านวิสาขา ท่านเขมาเถรีอัครสาวิกาที่เป็นเลิศด้านปัญญาท่านก็มีรูปกายที่สวยสดงดงามเป็นพิเศษ ท่านแม่พระนางเจ้ารูปนันทาพระมเหษีของพระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งท่านทรงเป็นน้องสาวต่างพระมารดาขององค์สมเด็จ พระแม่เจ้านั้นท่านก็มีความสวยสดงดงามเป็นกรณีพิเศษ เดี๋ยวมาต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤษภาคม 2013
  12. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวอยู่แล้วครับ ถ้าจะลองวิเคราะห์ดูง่ายๆก็คือ ทำไมการบำเพ็ญบารมีทั้งสามอย่างจึงใช้เวลาที่แตกต่างกันไป ทั้งๆที่ก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ซึ่งก็คือเหตุผลหนึ่งของความพิเศษของการบำเพ็ญบารมีแต่ละประเภทครับ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพระพุทธเจ้าภาคโปรดจะแบ่งเป็นสามประเภทหลักๆ ครับ แต่ความพิเศษในเรื่องอื่นๆนั้นเป็นความปรารถนาของพระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ในแต่ละประเภท อาจต้องใช้เวลาบำเพ็ญเพิ่มเติมขึ้นมาได้ครับ ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ขนาดในโลกเราการเรียนหนังสือ ยังมีหลายหลักสูตร ใช้เวลาเท่ากันบ้าง ต่างกันบ้าง บางท่านอยากรีบจบแล้วไปทำงานเลยก็หาเลี้ยงชีพได้เหมือนกัน หรือบางท่านอยากเรียนจบปริญญาเอกให้เชี่ยวชาญเป็นอาจารย์พิเศษก็ใช้เวลามากหน่อย

    สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละท่านที่บำเพ็ญบารมีกันต้องเรียนรู้เองเพิ่มเติมครับ แต่โดยหลักการแล้ว ก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ภาคโปรดทั้งสามประเภทก็ใช้เวลาประมาณที่บอกไว้ในตำราครับ
     
  13. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    สำหรับในกรณีของการปรารถนาพุทธภูมิที่บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นผู้นำในต้นยุคแรกของหลังจากกำเนิดเอกภพครั้งใหม่ก็ดี หรือการบำเพ็ญเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าต้นกัปป์ กลางกัปป์ ปลายกัปป์ก็ดี ก็ย่อมมีความพิเศษในบางประการและมีความเป็นไปได้ว่ามีความสำคัญด้วยจึงต้องบำเพ็ญมากขึ้นกว่าการบำเพ็ญบารมีปกติ ตรงนี้เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม จึงจะทราบว่ามีความสำคัญอย่างไรและทำไมจึงต้องใช้เวลามากกว่าปกติ ผมเชื่อว่าทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลที่สามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะท่านที่ปรารถนาเป็นพระพุทธสิกขีลำดับถัดๆไป ท่านต้องทำหน้าที่เป็นหลักสำคัญของยุคนั้นจึงต้องบำเพ็ญบารมีมากหน่อย เพียงแต่รายละเอียดลึกๆผมยังไม่มีโอกาสได้ค้นคว้าศึกษา แต่ท่านที่บำเพ็ญมาทางนี้น่าจะทราบอยู่บ้างครับ

    สำหรับเรื่องพระพุทธเจ้าภาคปราบนั้นก็มีเหตุที่มา ถ้าท่านใดสนใจก็ลองศึกษาดูเอาเถิดจะเป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเองในอนาคตของการบำเพ็ญบารมีแม้ท่านจะบำเพ็ญเป็นภาคโปรดก็ตาม และอย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปว่าไม่มีหรือเป็นไปไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากและเกี่ยวพันกับการสร้า้งบารมีของทุกท่านโดยตรง ความรู้เหล่านี้ไม่ใช่ของหาง่าย รู้ง่าย แต่เป็นความรู้ที่หาได้ยาก รู้ได้ยากอย่างยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2013
  14. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ขอสอบถามคุณ PCO ครับ ว่าที่คุณได้อ่านคำสอนของท่านหลวงปู่พระราชพรหมยานนั้นชื่อหนังสือว่าอะไรหรือครับ ผมจะได้หามาศึกษาและนำมาประพฤติปฏิบัติตามมั่ง อยากให้ลูกหลานบริวารทั้งหลายสบายและเข้าถึงธรรมาภิสมัยได้โดยง่ายครับ.
     
  15. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    คุณPCOครับ อย่าว่ากันเลยนะ ที่ผมศึกษามาทั้งในอนาคตวงศ์ คำสอนหลวงปู่พระราชพรหมยานวัดท่าซุง ประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระพุทธวงศ์ คำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดบ้านตาด และครูบาอาจารย์ของผมที่ท่านเป็นพระพุทธภูมิเหมือนกัน(แต่ตอนนี้ท่านลาพุทธภูมิแล้ว) ยกสมเด็จองค์ปฐมเสียแล้ว ไม่เห็นมีสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดใช้เวลาสร้างบารมีเกิน ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ สักพระองค์เดียว เช่นองค์สมเด็จพระพุทธทีปังกรวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๓๐ ทัศ มานานถึง ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ สมเด็จพระมงคลวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีมานาน ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ เหมือนกัน แต่ในสมัยที่ท่านยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ท่านบวชอยู่ในป่า มียักษ์มาขอลูกท่านไปเป็นอาหาร ท่านก็ยกลูกให้ยักษ์ไปเป็นอาหาร พอยักษ์ได้ลูกท่านแล้ว ก็เดินไปหลังกุฏิก็ก้มลงกัดหัวลูกท่านเลือดไหลย้อยลงมาเต็มปาก ท่านเห็นดังนั้นก็อธิษฐานว่า เวลาที่ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้มีพระพุทธรัศมีแผ่ไปหาที่สุดประมาณมิได้อยู่เป็นนิตย์ เป็นต้น

    ท่านพระศรีอาริยเมตไตรย รู้ๆกันอยู่ว่าท่านเป็นวิริยาธิกะพุทธภูมิ ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ พระองค์ท่านมีเมตตาเป็นปุเรจาริก ท่านใช้เมตตาบารมีนำหน้าในบารมีให้เต็มในพุทธวิสัย บริษัทบริวารของท่านจึงมีมากมาย ความสุขความสบาย ต้นกัลปพฤกษ์ และการเข้าถึงพระอรหัตตผล สารพัดจึงบังเกิดมีในสมัยที่พระศรีอาริยเมตไตรยตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
    คำว่าพิเศษที่ว่าหรือจะเป็นการทำบารมีข้อใดข้อหนึ่ง เป็นปุเรจาริก คือใช้นำหน้าในการสร้างบารมี ๓๐ ทัศ เช่นสมเด็จพระพุทธทีปังกรวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอาจจะหนักในการให้ทานเป็นพิเศษ เวลาทำบุญกับสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานหรือให้ทานกับใครอะไรก็แล้วแต่ ท่านอาจจะกล่าวอธิษฐานขอให้เป็นผู้มีลาภสักการะมาก เพื่อท่านจะได้สงเคราะห์บริวารลูกหลานท่านได้สะดวกสบาย อะไรประมาณนี้หรือเปล่าครับ
    ท่านลองศึกษาดูดีๆ ท่านหลวงพ่อพระราชพรหมยานของเราท่านก็ปรารถนา๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ หย่อนอยู่ ๗ ชาติก็จะเต็ม ผมว่าระยะเวลาสร้างบารมีไม่เกินไปกว่าที่องค์สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลสมเด็จองค์ปฐมท่านตรัสไว้แน่ แต่ตอนเป็นพระโพธิสัตว์ท่านองค์ใดจะตั้งกำลังใจและปฏิบัติหนักไปในด้านใดนั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ศาสนาของพระปัญญาธิกะพุทธเจ้า ดูในสมัยเป็นตัวอย่าง
    ศาสนาของพระสัทธาธิกะพุทธเจ้า ผู้คนร่ำรวย ร่างกายมีความงดงาม ความเป็นอยู่สะดวกสบาย
    ศาสนาของพระวิริยาธิกะพุทธเจ้า ผู้คนก็มีรูปสวยดั่งเทพบุตรเทพธิดา มีความร่ำรวย มีความสุขสบายทุกอย่าง หาความลำบากแม้หน่อยหนึ่งก็ไม่เจอ มีต้นกัลปพฤกษ์ที่ให้สำเร็จความปรารถนาทุกประการ จิตใจก็มีแต่ความสุข การเข้าถึงธรรมก็ง่ายไม่ต้องลำบาก

    ที่เขียนไม่ใช่โต้เถียง หรือปรามาสแก่พระรัตนตรัยนะครับ ขอให้ถือเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ขอบคุณครับ
     
  16. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ผมค้นเจอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรารถนาพุทธภูมิแบบวิริยาธิกะพิเศษแล้ว ครับลองไปอ่านดูที่นี่ครับ http://palungjit.org/threads/วิริยาธิกะพิเศษ.241546/

    สำหรับคำถามที่ว่าทำไมถึงต้องบำเพ็ญมากมายถึงขนาดนั้น มีเหตุผลประกอบว่าเพื่อให้สามารถช่วยพุทธภูมิทุกชั้นให้เป็นพุทธภูมิได้ให้มั่นคง ช่วยสาวกภูมิทุกชั้นได้ให้มั่นคง
    ผมว่ามีเหตุผลที่รับฟังได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2013
  17. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ส่วนอีกข้อความหนึ่งที่น่าสนใจ ให้ดูคำตอบที่ 20 โดยคุณบารมี10 เขียนไว้ว่า
    - ผมเคยได้อ่านเรื่องของท่านๆหนึ่ง ในเว็บพลังจิตว่าได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าวิริยะธิกะพิเศษต่อหน้าหลวงพ่อวัดท่าซุง (คิดในใจ)

    - หลวงพ่อท่านก็ปรารภว่า "พ่ออนุโมทนาด้วยพ่อไม่ห้าม" (ประมาณนี้นะครับจำได้ลางๆ)

    - แต่ปัจจุบันท่านผู้นั้นได้ลาพุทธภูมิแล้วปรารถนานิพพานชาตินี้แทน

    - ใน หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ ลูกศิษย์คนหนึ่งได้ความรู้จาก พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านตรัสให้ ฟังว่า " ถ้าพระเมตตรัยและพระรามเจ้า ไม่ต้องการสมมุติพิเศษมากเกินไป ก็เป็นพระพุทธเจ้า ก่อนตถาคตไปนานแล้ว เพราะพระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ ท่าน ได้รับคำพยากรณ์มาก่อนตถาคต 12 อสงไขย "

    - นี่กระมังครับที่มาของพุทธภูมิแบบพิเศษ

    - ลูกศิษย์คนนี้ปรารถนาพุทธภูมิใกล้เต็มแล้วครับ จากเนื้อหาที่ท่านคุยกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเล่าอย่างละเอียด

    และในความคิดเห็นที่ 24 คุณบารมี10 กล่าวเพิ่มเติมว่า
    - ไม่ว่าจะเป็นพุทธภูมิแบบปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ หรือวิริยะธิกะถ้าต้องการสมมุติพิเศษก็สามารถทำให้มีขึ้นมาได้เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีมากขึ้นตามไปด้วย

    - อย่างพระไภษัชยคุรุไวฑูรย์ ที่ตั้ง ปณิธานไว้ 12 ข้อ เพื้อไว้ช่วยสัตว์โลก นั่นคือสมมุติ
    พิเศษ ( รายละเอียดมหาปณิธาน 12 ข้อ ก็เปิดดูจากเว็บนะครับ )

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ปราถนาพุทธภูมิ.334543/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2013
  18. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
  19. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เอ ผมยังไม่เคยพูดไว้ตรงใหนเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าผมจะลากยาวเกินกว่าหลักสูตรวิริยาธิกะ16อสงไขยกับเศษอีกแสนกัปป์ ใครอ่านพบช่วยบอกผมทีนะครับ

    มีแต่บอกว่าผมปรารถนาพระโพธิญาณในแบบวิริยาธิกะเติมความเป็นพิเศษเข้าไปก็เพื่อต้องการให้หมู่คณะญาติมิตรบริษัทบริวารที่เขาอุตส่าห์ติดตามผมด้วยความยากลำบาก อย่างยาวนานหนักหนา พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความรักมีความเมตตาปราณีห่วงใยในผมอย่างไรผมก็ต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในพระคุณ ในบุญคุณ ในคุณงามความดีของท่านทั้งหลายและผมเองก็ต้องดูแลเทิดทูนทดแทนคุณ อย่างคนที่มีกตัญญู กตเวทิตา คือต้องรู้คุณ แล้วก็ต้องแทนคุณ สิ่งที่ผมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งคือ

    ต้องการให้คณะของผมทั้งหมดมีรูปกาย ทรวดทรง ผิวพรรณวรรณณะ หน้าตาสวยสดงดงามเป็นเลิศทั้งชายหญิงไม่เว้นแม้สัตว์ทุกชนิดสักตัว หมายความว่าถ้าผมจะมีวัว หรือควายสักตัว ควายของผมมันก็สวยสดงดงาม แข็งแรงบึกบึนทรหดอดทน จริยาดี จิตใจดีสวยงามน่ารักประสาควายของมัน

    ต้องการให้คณะของผมทั้งหมดมีโภคทรัพย์มากมีความมั่งคั่งล้นเปรี่ยมสมบูร์ณบริบูร์ณไปด้วยประการทั้งปวง

    ต้องการให้คณะของผมทั้งหมดมีปฏิภาณปัญญาดีไม่เป็นสองรองใครในทุกที่ทุกสถานที่เขาเหล่านั้นไปเกิด

    ต้องการให้คณะของผมทั้งหมดเป็นคนมีเดชอำนาจมากตามคติของพระพุทธศาสนาคือพุทธบูชามหาเตชะวัณโต คือคณะของผมเมื่อถึงเวลาของเขาก็ไม่มีวันที่หลงลืมตัว หลงลืมพระสัทธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จบรมครูจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ความที่เขาเหล่านั้นมีความเคารพบูชาในพระบรมครู ด้วยอำนาจของพระพุทธานุภาพก็จะเป็นเกราะป้องกัน เป็นตบะเป็นเดชะให้เขาเหล่านั้นมีความปลอดภัย จากบรรดาจอมมารร้ายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเก่งนักเลงโต เป็นมหาโจร หรือมีอำนาจวาสนามาจากใหนเมื่อเข้ามาในเขตแล้วเป็นอันว่าไม่มีใครกล้าเบ่งแสดงอาการยะโสโอหังอีกเลยนับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตลอดการเดินทางที่ยาวนานหนักหนานี้ จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    นี่เป็นความปรารถนาพิเศษย่อๆของผมที่ต้องการในสิ่งที่ดีที่ประเสร็ฐให้กับบรรดา พ่อทั้งหมด แม่ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด ลูกทุกคนทั้งหมด บรรดาเมียทั้งหมด ท่านผู้มีคุณทั้งหมดพร้อมทั้งหมู่คณะญาติมิตรทั้งหมด
    ก็ได้พยายามทั้งทางตรงและทางอ้อมเสาะเแสวงหาสิ่งต่างๆที่ดีที่สุดที่ประเสร็ฐที่สุด ให้เขาเหล่านี้ ถ้าผมไม่มีท่านทั้งหลายเหล่านี้ผมไม่มีวันที่บรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณได้เลย

    ในนิสัยสันดารของผมเอง ณ ขณะนี้ มันก็รัก มันก็ชอบในคน ในวัตถุสิ่งของต่างๆที่มีคุณสมบัติดีเป็นพิเศษ ผมยังมองไม่เห็นสักนิดเลยว่าไอ้การที่คนๆหนึ่งมีความรักชอบในสิ่งที่ดีพิเศษมันแปลกตรงใหน


    พอดีไปค้นพบมา

    pco-
    วันที่สมัคร: Apr 2010
    ข้อความ: 63
    Groans: 2
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 584
    ได้รับอนุโมทนา 644 ครั้ง ใน 63 โพส
    พลังการให้คะแนน: 75
    porrawee คือ ผมอ่านเจอในเว็บคนเมืองบัวน่ะครับ เลยนำมาให้อ่านกันครับ


    การบำเพ็ญบารมีในการเป็นพระพุทธเจ้าพระสิกขีทศพล ประเมินโดยคร่าวๆ ว่า ต้องบำเพ็ญปฐมกัป ๑๔๘ อสงไขย แสนมหากัป กลางกัป ๑๔๘ อสงไขย แสนมหากัป และปรมัตถบารมี ๑๔๘ อสงไขย แสนมหากัป รวมเป็น ๔๔๔ อสงไขย และ ๓ แสนมหากัป จึงจะสามารถช่วยพุทธภูมิทุกชั้นให้เป็นพุทธภูมิได้ให้มั่นคง ช่วยสาวกภูมิทุกชั้นได้ให้มั่นคง และโดยเฉพาะสาวกภูมิของตน จำนวนมหาศาลลลลลลลล จึงรอคิวเป็นพระสิกขีทศพลที่ดาวดึงส์

    ผมเองปรารถนาพระโพธิญาณในแบบวิริยาธิกะและเติมความเป็น
    พิเศษเข้าไปในความเป็นวิริยาธิกะนั้น รวมกันก็เป็นวิริยาธิกะพิเศษ
    เมื่อสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ท่าน
    ยังทรงขันฑ์ห้าอยู่ผมได้มีวาสนาบวชในที่อื่นบวชในนิกายธรรมยุติ
    แต่ก็ได้มาอยู่ใกล้ท่านระยะหนึ่งประมาณสามปีเวลาผมรับคำสอน
    นำไปประพฤติปฏิบัติ หรือเวลาที่ผมมีโอกาสทำบุญถวายทานกับท่าน
    ผมก็ตั้งความปรารถนาว่า ขออานิสงค์ที่ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญมาแล้ว
    นี้จงส่งผลให้ข้าพระพุทธเจ้าจงได้บรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณ
    ในแบบวิริยาธิกะพิเศษในอนาคตกาลโน้นเถิด แม้ว่ามีเหตให้ต้อง
    สึกหาลาเพทออกมาแล้วผมก็จะส่งเงินไปทำบุญกับท่านทางไปรษณีย์
    ธนาณัติเป็นประจำมา ไม่เคยขาดจนแม้ถึงทุกวันนี้เป็นเวลากว่ายี่สิบ
    ปีแล้ว ในใบที่แนบร่วมกับใบธนาณัติจะเขียนบอกว่าทำบุญเรื่องอะไร
    และที่ไม่ขาดคือเขียนคำอธิฐานปราถนาเป็นลายลักณ์อักษรว่า
    ขอกุศลผลบุญที่ข้าพระพุทธิเจ้าได้บำเพ็ญแล้วนี้จงส่งผลให้ข้าพระ
    พุทธเจ้าจงได้บรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณในแบบ
    วิริยาธิกะพิเศษในอนาคตกาลโน้นเถิด ที่เอ่ยอธิฐานและเขียน
    คำอธิฐานต่อองค์พระเดชคุณหลวงพ่อเพราะรู้ว่าองค์ท่านนั้น มี
    สมเด็จองค์ปฐมและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นอีกมากคุมองค์
    ท่านอยู่ฉะนั้นการที่ผมอธิฐานกับองค์ท่านก็เท่ากับอธิฐานต่อพระ
    พักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย

    และในเว็ปนี้ผมเป็นคนแรกที่ประกาศตัวบันทึกไว้เป็นลายลักณ์อักษร
    ปรารถนาพระโพธิญาณในแบบวิริยาธิกะพิเศษ
    ตามที่ผมอ่านข้างบนนี้ผมก็ยังไม่เคยเจอในตำราเล่มใดๆเลยนะครับ

    ผิดพลาดประการใดเพราะผมรู้น้อยก็ขออภัยไม่ได้มีเจตนาปรามาส
    ใดๆกับใครเลยครับ

    --------------------------------------------------------------------------------
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย pco- : 31-05-2010 เมื่อ 06:47 PM

    และนี่อีกหนึ่งข้อความที่ยืนยันว่าผมไม่เคยต้องการที่จะลากยาวเกินไปกว่าครูบาอาจารย์


    PCO_
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: May 2010
    ข้อความ: 217
    Groans: 9
    Groaned at 3 Times in 3 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,182
    ได้รับอนุโมทนา 3,334 ครั้ง ใน 195 โพส
    พลังการให้คะแนน: 225

    อ้างอิง
    mrkhajit บำเพ็ญมากกว่า 80 อสงไขย ได้ไหมครับ ผมว่ามันเข้านิพพานเร็วเกินไป ตดยังไม่หายเหม็นเลย หมดเวลาซ่ะแระ อยากทราบครับ

    80 อสงไขยนี่ ตามตำราท่านว่ามันเป็นอย่างน้อย จะเอาอย่างมากนี่ก็อย่างสมเด็จองค์ปฐมบรมครูใหญ่ ส่วนว่ามากเท่าไรนั้นผมเกิดไม่ทัน

    ทีนี้ที่เคยอ่านหนังสือพบที่เห็นว่านานมากก็มีอย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ท่านเล่าไว้ในหนังสือเล่มใหนผมก็จำไม่ได้ว่าท่านเคยเกิดเป็นหัวหน้าคนเป็นนายพรานสมัยสมเด็จองค์ปฐม ก็ขอย่อๆเพียงเท่านี้พอได้ใจความว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง นั้นท่านใช้เวลาท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารยาวนานเพียงใด

    การที่ คุณmrkhajit คิดว่าการเรียนตั้งแต่อนุบาลจนจบขั้นปริญญาเอกคนอื่นเขาเรียนกัน อนุบาล1,2,3, ป1,2,3,4,5,6 ม1,2,3,4,5,6 ป.ตรี1,2,3,4 ป.โท1,2.... ป.เอก1,2.... ประมาณยี่สิบกว่าปีนี่คิดว่าวิชาความรู้มันไม่แน่น มันต้องมากกว่านี้มันถึงจะแน่น มันถึงจะซึมลึก จะเอาเท่าไรนั้นคงไม่มีใครว่า คงมีแต่คนอยากจะดูว่ามันจะจริงแน่นะ เอาจริงแน่นะที่ว่าจะต่อเวลาเรียนออกไปอีกสัก สิบปี ยี่สิบปี หรือเรียนจนหมดอายุขัย ลองเอาอย่างนี้ เอาในปัจจุบันนี่แหละ ลองต่อเวลาเรียนดูนะ กลับไปขอต่อเวลาเรียนบอกว่าแหมวิชาความรู้ที่ครูบาอาจารย์ให้ไปนี่มันยังน้อยไป มันยังเอาไปทำอะไรไม่ได้ขอต่ออีกอย่างน้อยสักยี่สิบ สามสิบปี ผมว่าเอาแค่นี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยมองไปที่หลักสูตรวิริยาธิกะ

    สำหรับผมที่ปรารถนาแบบวิริยาธิกะพิเศษนี่ถ้าจบได้ในวันนี้พรุ่งนี้ได้ผมจะทำเรื่องขอจบในทันที แค่นี้ก็เบื่อหน่ายเอือมระอาในการเกิดเต็มทน แต่เพราะมี อฐิฐานบารมี มีสัจจะบารมี มีวิริยะบารมี มีขันติบารมี ที่เป็นหลักสูตรยังทำไม่เสร็จ จึงต้องไปต่อแบบแบกของหนักเดินทางไกลมากที่อยากจะวางลงเสียทีแค่นี้ก็แทบจะเรียกว่าเกินกำลังที่จะลาก คำว่าเกินกำลังลากนั้น มันเปรียบเสมือนในสมัยก่อนในจังหวัดพิจิตรนีมันเป็นป่าดงซะเป็นส่วนมากถนน หนทาง นี่น้อยมาก จะไปในตัวจังหวัด ตัวอำเภอระยะทางแค่สิบสี่ สิบห้ากิโล มีไปได้ทางรถไฟ กับทางเรือในแม่น้ำน่าน แม่น้ำยม และคลองธรรมชาติต่างๆเท่านั้น ถ้าเป็นฤดูแล้ง น้ำในลำคลองก็ตื้นเขินใช้ในการสัญจรไม่ได้ ก่อนที่จะมียานยนต์แพร่หลาย บรรทุก ลากจูงอย่างในสมัยนี้ สมัยตอนที่ผมเป็นเด็กก็เห็นว่าการขนส่งต่างๆในระยะทางไม่ไกลมาก เขาก็นิยมใช้วัวบ้าง ควายบ้างเทียมเข้ากับเกวียนหรือล้อเลื่อนแบบอื่นๆช่วยในการขนส่ง โดยใช้กำลังของ วัวหรือควายในการลากจูงไป ทีนี้ถ้าใส่ของมากควายมันก็ลากไปได้ไม่ไกล บางทีมันก็ลากไม่ไหว ก็เคยเห็นที่คนที่เป็นเจ้าของควายใช้ไม้เรียวเฆี่ยนตีจนหนังแตกเป็นริ้วรอยเพื่อให้มันลากให้ได้ มันก็ไปได้แค่เต็มกำลังของมัน เกินไปกว่านั้นมันยอมยืนให้ตีจนคนตีเองนั่นแหละยอมแพ้เลิกตีไปเอง ที่นี้มาในสมัยปัจจุบันที่มีเครื่องจักร เครื่องกลพัฒนาขึ้น เข้ามาแทนที่จน วัว ควาย ในจังหวัดพิจิตรนี่ไม่ค่อยมีกลายเป็นของหายาก ถึงแม้รถไฟที่มีหัวจักรลากจูงมีกำลังมาก วัดกันเป็นกำลังม้า ว่าเครื่องจักรมีกำลังเท่ากับม้ากี่ตัว ของไทยที่มีอยู่ตามที่รู้มาคือ 2400 แรงม้า สมัยเด็กเวลาที่ขบวนรถไฟวิ่งผ่านชอบที่จะนับว่ามันลากได้กี่โบกี้ ก็นับได้ว่าถ้าเป็นขบวนขนส่งที่จำได้มาจนทุกวันนี้คือ 44 โบกี้ รถโดยสารสายเหนือมากสุดที่จำได้ก็ 14 โบกี้ตัวที่แท้จริงมันเท่าไรไม่แน่ใจแค่นับเล่นๆในตอนนั้นมันประมาณว่าอย่างนี้ ส่วนสายใต้ในปัจจุบันรถโดยสารประมาณ 16-20 โบกี้ โบกี้ของรถบรรทุก 1โบกี้บรรทุกได้เอาแบบใหญ่สุดประมาณ 4,000กิโลกรัม 4000x44=1,760,000 กิโลกรัมหรือ 1.760ตัน 1-ขบวนรถไฟก็คงจะสามารถฉุดลากได้ประมาณนี้ เกินมากไปกว่านี้คงลากไม่ไหวมันเกินความสามารถเกินกำลัง ผมเองก็ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ใจนั้นอยากจะบรรทุกไปอยากที่จะลากจูงไป เพื่อความผาสุก เพื่อความพ้นทุกข์ แต่อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกินวิสัยก็คงต้องใช้อุเบกขาบารมี มาหักห้ามมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวประคองกำลังใจ บารมีข้อนี้ก็หนักหนาสาหัสมากสำหรับคนที่ปรารถนาพระโพธิญาณ

    --------------------------------------------------------------------------------
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย PCO_ : 11-10-2012 เมื่อ 11:03 AM
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤษภาคม 2013
  20. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ก็พอดีไปพบข้อความเก่าๆที่เคยบันทึกไว้ก็เอามารวมไว้ซะที่นี้เลย
    อ้างอิง
    kengkenny รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ และวิริยะธิกะ เอาอะไรมาวัดเหรอครับ หรือคิดเอาเอง หรือเดาเอาตามตำรา หรือนั่งวิปัสสนึกเอา ช่วยอธิบายด้วย หากอธิบายไม่ได้ก็แปลว่า ไม่ใช่เรื่องควรคิด แต่ถ้าบอกว่าเห็นความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายด้วยปัญญาจึงเพียรหาความหลุดพ้นด้วยปัญญา เช่น เห็นโทษของกามราคะด้วยปัญญาก็ไม่แน่อาจเป็นไปได้ จึงดำริออกจากกามและปราถนาความพ้นทุกข์เพื่อผู้อื่น และหากเห็นสัจธรรมแห่งพระศาสดาเห็นความทุกข์ทั้งหลายของสัตว์เพราะความไม่เชื่อมั่นในคำสอนของพระศาสดาจึงเป็นเหตุให้เกิดทุกโทมนัส จึงดำริออกจากกามและปราถนาความพ้นทุกข์เพื่อผู้อื่น อันนี้เป็นไปได้ไหมครับ และหากพิจารณาเห็นโทษความทุกข์ของหมู่สัตว์เพราะความเกียจคร้านความไม่ใส่ใจในคำสอนพระศาสดา ไม่ปฏิบัติตามธรรมที่พระศาสดาทรงสอนนั้น เรียกขาดความเพียร จึงดำริดำริออกจากกามและปราถนาความพ้นทุกข์เพื่อผู้อื่น อันนี้เป็นไปได้ไหมครับ ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับว่าอะไรเป็นไปแต่ที่แน่ๆ เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นของหมู่สัตว์ทั้งหลายด้วยประการทั้งปวงแน่ๆ จึงพิจารณาปราถนาที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้มีซึ่ง ปัญญาในการจะพิจารณาธรรมอันพระศาสดาเจ้าทั้งหลายกล่าวไว้ดีแล้ว

    ไม่มีใครตอบผมก็เลยตอบซะเองทั้งๆที่ไม่รู้ว่าถามใคร ที่ตอบนี่ก็เผื่อว่าหมู่คณะของผมมาอ่านพบเจอเข้าเขาจะได้เข้าใจ ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ และวิริยะธิกะ เอาอะไรมาวัดเหรอครับ หรือคิดเอาเอง คนอื่นปรารถนาอะไรนี่ผมไม่รู้ แต่สำหรับผมนี่ผมรู้ของผมว่าผมชอบวิริยาธิกะเพราะว่าตรงกับนิสัยผม และมันก็ตรงกับบุพกรรมของผมเพราะกว่าผมจะได้อะไรกับเขาแต่ละอย่างต้องเพียรทำซ้ำซากมันอยู่นั่นแหละมันถึงจะได้มันถึงจะอยู่ตัว

    แต่สิ่งใดที่ได้แล้วผมสังเกตของผมดู เอมันเข้าท่าแฮะมันสวยงาม มันปราณีตวิจิตรบรรจง มันสะอาดหมดจดครบถ้วนกระบวนความสมบูรณ์แบบดูแล้วมันสุขใจมันสะบายตา ผมไม่มีอะไรไปวัดดีกรีของท่านที่ปราถรถนาในแบบอื่น คิดเอาเองถ้ามันเป็นเรื่องของผมก็ใช่ผมคิดเอาของผมเอง ใครจะมาคิดแทนผมได้ล่ะ เดาเอาตามตำราก็ใช่อีกผมชอบอ่านหนังสือชอบศึกษาหาความรู้ที่เป็นประโยชน์เพื่อตัวเองเพื่อญาติมิตรหมู่คณะบริษัทบริวารทั้งหลายที่เขาเชื่อมั่นในผม

    เมื่อศึกษาตำหรับตำรามากก็พอจะมองเห็นตัวเองว่า ตัวเองปรารถนาแบบใหนมันก็รู้เรื่องของตัวเองได้ไม่แปลก มันก็เหมือนเราเป็นนักเรียนเมื่อเรียนหนังสือไปเรื่อยๆมันก็เห็นเองเข้าใจเองว่าเราถนัดอะไร คนถนัดงานช่างมันก็ต้องเรียนช่างกล เรียนวิศวะ คนถนัดงานช่างคงไม่มีใครผ่าดันไปเรียนพาณิชย์ ขนาดลูกสาวผมสองคน คนหนึ่งสอบติดวิทยาศาตร์การแพทย์เขาก็ไม่เอาเขาเลือกไปเรียนวิศวะอุตสาหการตอนนี้เรียนอยู่บางมดปีสาม อีกคนเรียนวิศวะเครื่องจักรกลการเกษตรที่พระจอมเกล้าปราจีนบุรีปีสอง

    คนถนัดแบบใหนเขาก็เลือกที่ตัวเองถนัดที่ตัวเองชอบไม่เห็นว่าจะต้องไปนั่งวิปัสสนึกเอาตรงใหนเลย เดินๆนึกเอานี่แหละ ส่วนเรื่องเห็นทุกข์น่ะผมเห็นของผมเป็นประจำตั้งแต่ตื่นลืมตายันหลับตั้งแต่เล็กจำความได้ยันแก่ใกล้จะตายนี่แหละ ทุกข์ทั้งเรื่องของตัวเองที่มันปรารถนาอะไรไม่ค่อยจะสมหวังตลอดเวลาทุกข์ไม่อยากจะจน มันก็จะจนซะอย่าง ไม่อยากจะแก่ ร่างกายมันก็จะแก่ซะอย่างใครจะทำไมมัน ไม่อยากป่วยมันก็จะป่วย อุตส่าห์อ้อนวอนขอร้องมันประคับประคองเอาใจมันทุกอย่าง มันก็ไม่ปราณีเอาซะเลยมันจะป่วยของมันซะอย่าง ใครจะห้ามมันได้ล่ะ ไม่อยากจะตายจากคนอันเป็นที่รักเลยมันเห็นเรายังไม่อยากตายมันก็ยิ่งทำท่าจะตายซะงั้นแหละนี่เห็นง่ายๆทุกข์ของตัวเอง

    ส่วนความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายผมไม่เห็นว่าต้องใช้ปํญญาอะไรเลย ทั้งเห็นเองทั้งฟังพระสัจธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งฟังจากครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอน ชี้ให้เห็นเวรภัยในวัฏสงสารความทุกข์ของผมไม่ต้องตะกายไปหาใกลที่ใหน แต่เล็กจำความได้ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นพ่อแม่ทำงานหนักแต่เช้ามืด แม่ต้องเข้าครัวหุงหาอาหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พ่อก็ต้องเตรียมไปไร่ไปนาตั้งแต่ดวงตะวันยังไม่ขึ้นเหมือนกัน พ่อแม่ผม ผมก็เห็นว่าอยู่ในศีลในธรรมแต่ท่านทั้งสองก็มีความทุกข์กายทุกข์ใจตลอดเวลา จากสาระพัดเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องสาธยายเพราะอยู่บนกองทุกข์กันทุกคน

    ความปรารถนาของผมก็ไม่ได้ต้องใช้ปัญญาพิจาระณาอะไรมากมายเลยแค่เห็นคนใกล้ชิดที่สุดนี่แหละเห็นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ครูบาอาจารย์ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง พรรคพวกหมู่คณะ ตลอดจนสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ต่ำต้อยน้อยกว่าผู้อื่นผมก็ทุกข์ใจอยากให้เขาเหล่านั้น ได้พ้นสภาพที่เป็นอยู่นั้นจากที่มีทุกข์ก็อยากให้มีความสุข จากที่ยากไร้ก็อยากให้มีโภคทรัพย์มาก จากที่รูปร่างหน้าตาผิวพรรณไม่สวยก็อยากให้ทุกคนเป็นคนสวยสดงดงามทรวดทรงดี จากที่ปฏิภาณปัญญาไม่ดี ก็อยากให้มีปฏิภาณปัญญาดี จากที่เป็นคนต่ำต้อยด้อยวาสนา ก็อยากจะให้เขาเหล่านั้นวาสนาดีบ้างมันจะเป็นไรไป อะไรที่เป็นข้อบกพล่องผมก็ปรารถนาให้เขาเหล่านั้นมีความเต็มปรี่ยมสมบูรณ์บริบูรณ์ไปด้วยประการทั้งปวง

    ความหวังของผมไม่หวังในหมู่สัตว์ทั้งหมดเพราะเกินวิสัย ผมหวังแค่หมู่คณะได้พ้นทุกข์ก็ถือว่าดีหนักหนา หมู่คณะอื่นสัตว์อื่นแม้ผมจะปรารถนาดีเพียงใด ถ้าเขาไม่เอาผมไม่ตามผมซะอย่าง ผมจะไปทำอะไรได้ ผมก็ไปตามทางของผมเท่านั้น การที่ผมปรารถนาพระโพธิญาณในแบบวิริยาธิกะ เติมความพิเศษเข้าไปอีก ก็เพื่อจะเป็นขบวนรถไฟหรือเรือข้ามมหาสมุทธ ที่ไม่ใช่แต่เพียงทุกคนนั่งอาศัยไปจนถึงอีกฝั่งเมื่อถึงแล้วถึงจะมีความสุขอย่างเดียว

    ของผม ผมต้องการเมื่อขึ้นขบวนรถก็เหมือน VIP กันเลยเป็นรถเป็นเรือหรือแม้เครื่องบินก็เป็น VIP มีความสุขสะดวกสะบายสมบูรณ์บริบูรณ์ไปด้วยประการทั้งปวงตลอดการเดินทาง จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางพระนิพพานเมืองแก้ว ฉะนั้นในเมื่อเป็นขบวนพิเศษทุกอย่างก็ต้องแพงต้องสมราคา ยานพาหะนะเองต้องประกอบด้วยชิ้นส่วนที่สูงค่าและปราณีตวิจิตรบรรจง นั่นก็หมายความว่าผมจะต้องสั่งสมคุณธรรมความดีบุญญาธิการเตรียมความพร้อมต่างๆทุกรูปแบบทุกๆด้าน ไปวันละเล็กละน้อย อย่างยาวนานให้สมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง เท่าที่หลักสูตรวิริยาธิกะพิเศษจะกำหนด เพื่อเขาเหล่านั้้นได้นั่งได้นอนกันไปอย่างนักเดินทางที่มีความสุข สะดวก สะบาย มีความคล่องตัวสมบูร์ญบริบูร์ณพูลผลไปด้วยประการทั้งปวงที่ยังต้องท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร

    แม้ว่ายังไม่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใดก็ไปกันอย่างมีความสุขตามอัตภาพ ตามวาสนาบารมีของแต่ละคน ที่เลือกที่จะเดินทางแบบ VIP ก็ได้นี่ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ลูก หลาน ญาติมิตรหมู่คณะของผม ผมปรารถนาให้ท่านเหล่านั้นทรงคุณธรรมความดีเป็นสัมมาปฏิบัติ ตามคติของพระพุทธศาสนาตั้งแต่ต้นจนถึงกาลอวสานต์ มันจะเป็นไรไป แล้วใครจะทำไม

    ก็ขอตั้งมโนปนิธานเป็นสัตยาธิฐานไว้ ณ ที่นี้ ข้าพระพุทธเจ้าขออ้างถึงกุศลผลบุญยราศรีทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ และที่จะมีเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปในอนาคตกาลอันอเนกอนันต์นั้นขอจงส่งผลให้ข้าพระพุทธเจ้าจงได้บรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณในแบบวิริยาธิกะพิเศษในอนาคตกาลโน้นเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤษภาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...