ประสบการณ์ในการนั่งสมาธิแบบผิดวิธี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย yiyuanka, 12 ธันวาคม 2011.

  1. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    แบบนี้ น่าจะปกติ นะครับ อาการเริ่มแรกงะ ผมก็ได้ครู จากในเว็บนี้แหละครับ การที่ พูดกลับ น่าจะเกี่ยวกับนอนน้อยครับ ประสาททางความคิดความอ่าน มันจะรวน ครับแต่จริงๆ แล้ว ลองพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ลองมาฝึกสมาธิดู ครับ น่าจะหายนะ
     
  2. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    เมื่อ ก่อนผมก็ดื่ม กาแฟหนัก เหมือน กัน กว่าจะหลับ ก็ 10 โมง ข้ามวัน เพราะต้องทำงาน
     
  3. ฝันนิมิต

    ฝันนิมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +547
    ...[​IMG]

    ."อ่านมาแล้วมองตนเอง
    อนุโมทนาทุกท่าน ได้ประโยชน์ๆคะ "
     
  4. ชินภูธิป

    ชินภูธิป สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    คิดอยู่เสมอว่าทุกคนต้องตาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ภาวนาพุทโธทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอริยบถ ยืน นั่ง เดิน นอน สาธุ
     
  5. ninja45

    ninja45 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    จากที่ได้อ่านเนื้อหา สิ่งที่เจอะเจอทั้งหมด ได้แต่บอกว่า"เสียดาย" ครับ

    ของเดิมมีเยอะมากๆ ..........สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของ "กำลังจิต กำลังสติ" ที่ต้องปฏิบัติถึงขั้นจึงจะสัมผัสได้ ไม่มีในตำรา ค้นหาไม่ได้นอกจากใช้ วิริยะ ทำเอา ....คนที่ทำถึงเท่านั้นจะรู้ว่า "กิริยาจิต" มันเป็นเช่นไร?

    ชาติก่อนคงปฏิบัติมาเยอะแล้ว ..........ชาตินี้ขาดแต่ "ผู้รู้" ....ขาดคนที่ชี้นำที่ถูกต้อง ถูกทาง

    การที่"เคย"เกิดขึ้นกับครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะ"จังหวะ ที่กำลังจิตโพล่ขึ้นมาในขณะหนึ่ง" เป็น"กำลังเก่า" ที่เคยทำมาจากอดีตชาติ เคยบำเพ็ญเพียรภาวนา สะสมบุญบารมีมาถึงระดับที่เรียกว่า "เกือบๆ" เพียงแต่"หมดอายุขัย"เสียก่อน .....แต่พอมาชาตินี้ มีบางอย่างยังบังไว้ ไม่สามารถต่อภพต่อชาติ ต่อของเดิมได้ ...ได้แต่รอเวลา ที่บุญกุศลพร้อมเท่านั้นครับ

    ทำบุญทำทาน รักษาศิล 5 ให้มั่นๆ เข้าไว้ ตั้งใจ มุ่งมั่น ....ใกล้แล้วครับ แล้ววันหนึ่งจะเจอสัตบุรุษผู้ชี้ทางที่ถูกต้องครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  6. mamabunny

    mamabunny สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอshareจากคนที่เคยปฏิบัติผิดๆเช่นกัน

    เป็นกำลังใจให้หลุดจากตรงนี้โดยเร็ว. เคยเป็นหนักกว่าคุณyiyuankaอีกแต่ก็รอดตายไม่ฆ่าตัวตายเพราะมีแม่ช่วยดูแลและกัลยาณมิตร หมอก็บอกว่าเป็นไบโพล่าร์ แต่จริงๆไมใช่เลย หมอก็พูดตามตำราและอาการแล้วจ่ายยากล่อมประสาท ไม่ได้ช่วยเยียวยาเรื่องจิตที่มันไปติดล็อค. เป็นอยู่เกือบปีแล้วก็ค่อยๆคลำทางหลุดออกมาได้ แต่ถ้ากับไปแพ่งจัดๆอีกก็เป็นได้อีก สติแตกได้อีกจากการบีบเค้นจิตมากเกินไปไม่พักผ่อน จิตเขาเลยหาทางออกโดยเป็นบ้าสติแตกซะ ให้คุณพยายามคิดถึงตัวเราตอนยังไม่ปฏิบัติธรรมได้ไหม ตอนที่จิตใจเป็นปกติธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่วๆไป ตอนเป็นเด็กมัธยม มหาลัย สนุกสนาน ตอนที่จิตไม่ได้ถูกเพ่งข่มบังคับให้นิ่งแข็ง ซึมทื่อ กลับไปเป็นคนปกติธรรมดาให้ได้ก่อน รักษาชีวิตให้รอด หยุดเรื่องการธรรมสมาธิชั่วคราว หันไปทำกิจกรรมที่ใช้แรงงานให้ร่างกายได้เหงื่อ ทำงานบ้าน ทำครัว อยู่กับสวน และอย่าอยู่คนเดียว ตอนนี้จิตคุณเพ่งอัตโนมัติแล้วถึงไม่ทำสมาธิ จิตมันก็เข้าไปในสมาธิอัตโนมัติตามความเคยชินที่ทำมานาน พักก่อนชั่วคราว กลับมาเป็นคนปกติ ลืมธรรมะและคำว่าสมาธิไปเลยชั่วคราว. คุณตึงเกินเลยเป็นเช่นนี้ค่ะ โชคดีคะ
     
  7. เวชน์

    เวชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +141
    ผมเคยอ่านหนังสือเล่มนึงครับ เกี่ยวกับการฝึกคุมความคิด(ความฝัน)ตอนหลับ
    ประมาณนี้เลย แต่ก็ไม่สำเร็จ ^^
     
  8. Pinbow

    Pinbow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +297
    ถ้าจะหลุดพ้นต้องมีปัญญา และไม่ยึดมั่นถือมั่น การยึดติดว่าความว่างเป็นความสุข นั่นก็คือการยึดมั่นถือมั่น ใช้ปัญญากำหนดให้ทันธรรมชาติ อ๋อ ว่างมันเป็นเช่นนั่นเอง อันนี้อันนั้นมันเป็นเช่นนั้นเอง อันนี้จะเป็นสุขที่แท้จริง

    นั่งสมาธิที่ถูกวิธีบางทีก็จำเป็นต้องไปบวชที่วัดเหมือนกัน ส่วนเราไปบวชเนกขัมมะที่วัดอัมพวันแล้วก็เอากลับมาปฏิบัติต่อ บวกกับอ่านหนังสือเล่มอื่นๆแล้วก็ผสมกันเป็นแบบฉบับของตัวเอง ผลที่ได้จากนั่งสมาธิก็ใจเย็นขึ้น คิดด้วยปัญญามากขึ้น ดีขึ้นหลายอย่างอ่ะ ผลพลอยได้อีกอย่างก็อาจจะเป็นเรื่องการมีอะไรมาเตื่อนล่วงหน้า หรือรู้เหตุการณ์ต่างๆล่วงหน้า แต่ไม่รู้วันเวลาและสถานที่ที่เกิดขึ้น

    สำหรับเรานั่งสมาธิแบบกำหนดพุทโธ และ ยุบหนอ พองหนอ ได้ผลดี แต่การปฏิบัติของเราก็ไม่ได้คืบหน้ามาก อาจเป็นเพราะไม่ยอมนั่งสมาธินานๆ ขอให้จขกท ค้นพบเจริญก้าวหน้าในธรรมโดยเร็ว สาธุ
     
  9. yiyuanka

    yiyuanka Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +34
    ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นและกำลังใจนะคะ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย ใครมีอะไร ก็แชร์กันได้นะคะ
     
  10. ไปไม่ท้อ

    ไปไม่ท้อ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +9
    เป็นกำลังใจให้สู้ต่อครับ

    ผมเห็นด้วยกับคุณ mamabunny เลยครับ เท่าที่อ่านมาผมก็วิเคราะห์ออกมาในแนวนี้

    เหมือนคุณ yiyuanka มีแรงกดดันหรือมีปัญหา ที่ไม่สามารถแก้ได้ จึงหันไปหาสมถะ นั่งสมาธิเพื่อแก้ไข ได้ความสงบขั้นหนึ่ง แต่อยากหนีปัญหาภายนอก หรือติดสุขที่ได้จากความสงบ พอได้ก็เลยเกิดความอยากได้อีก พยายามเพ่งผล เพื่อให้ได้อีก (ในการทำสมาธิ ถ้าใจอยาก มันจะไม่ได้อีก) การพยายามทำโดยร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนตามที่ควรจะเป็น ทำให้มีอาการหลายอย่าง เช่น คิดนู่นคิดนี่ ความคิดเปลี่ยนไปมารวดเร็ว สับสน ยากแก่การควบคุม แต่คุณก็พยายามคุมโดยการเพ่งเข้าไปอีก การเพ่งโดยมีความอยาก ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ทำให้จิตติดอยู่ในอารมณ์นั้น กลับมาสู่ภาวะปกติไม่ได้

    มีบางท่านแนะนำอยู่แล้วครับ วิธีแก้ให้กำหนดจิตให้รู้กายใจ ก่อนออกจากสมาธิ
    ผมก็เคยเป็น จากการที่หวังผลที่เคยได้ ทำให้พยายามเพ่งจิต จนจิตติด แต่เป็นคนละอาการกับคุณนะครับ ผมแก้ไขโดย กลับมาให้รู้กาย ก่อนจะออกจากสมาธิ ให้มีสติจับที่ฐานปลายจมูก รับรู้ลมหายใจ จากนั้นให้รับรู้ เสียง หรือ สิ่งต่างๆ ภายนอกร่างกายเรา เมื่อปรับได้สักพัก จึงลืมตาขึ้น

    ทำสมาธิ เมื่อใจรู้สึกสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรอีก สิ่งที่มี ยกมันทิ้งไว้ภายนอกชั่วคราว ประคองให้ใจมันอยู่ในสมาธิให้ได้นาน ไปเรื่อย ค่อยๆขึ้นไปตามเวลาของมันเอง ไม่ต้องเร่ง เมื่อออกจากสมาธิ ความสงบก็จะมีในใจของมันเอง

    เวลาโดดเดี่ยว ผมเพิ่มการทำเมตตา(คิดสงสารผู้อื่น) และกรุณา(ช่วยเหลือผู้อื่น) ผมก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เหงา ครับ

    หวังว่าคงช่วยได้บ้างนะครับ อย่างน้อยก็สักนิดนึง
     
  11. Nampan

    Nampan สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2012
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +4
    อีกเรื่อง ราว ดีๆๆ ครับ ขอบคุณ ทุกๆๆความเห็น ครับ
     
  12. นักรบธรรม

    นักรบธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    969
    ค่าพลัง:
    +1,174
    หลวงปู่ชาบอกว่า สมาถะ วิปัสนา นั้นก็อันเดียวกัน
    เพียงแค่สมถะ ทำเพื่อให้จิตสงบและเพิ่มพลังใจค่อยนำไปคิด(วิปัสสนา)ต่อ
    แต่บางคนเขาฝึกสมถะเก่งแล้วไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา เดิน นอน วิ่ง ยืน นั่งขี้
    ก็ทำวิปัสสนาได้เพราะจิตมีกำลังคิด(คือคิดเรื่องเดียวได้) ไม่วุ่นวายมาก

    และการทำสมาธินั้นทำได้ทุกเมื่อที่ คุณหายใจ เหมือนมีดโต้
    oK ใหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  13. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมาก จะฝึกฝนตนเองจะปฏิบัติจะทำอะไรก็ให้จิตใจมันแจ่มใสเข้าไว้ ให้กายมันกระปรี้กระเปร่าเข้าไว้ก่อน ตัวไหนมันจะทำให้เราหม่นหมอง ตัวไหนมันจะทำให้เราไม่กระปรี้กระเปร่าเราก็ต้องรู้จักสังเกต รู้จักระวังเอา กินอย่างไร นอนอย่างไร ทำงานอย่างไร ถึงจะเหมาะสม อะไรที่มันเริ่มจะหมกมุ่นแล้วเราก็รู้จักถอยออกมาสักก้าวสองก้าว อย่าไปจมแช่กับมันมากไป เพราะถ้าแช่มากมันก็จะไปติด มันก็กลายเป็นพายเรือในอ่าง

    ธรรมชาติของจิตที่มีกิเลสมันก็ชอบหาที่ยึดที่เกาะ ชอบติดอยู่แล้ว เราต้องฝึกให้จิตมันเป็นอิสระเข้าไว้ ดูแลรักษากายวาจาใจให้ดี ว่าแต่ว่า สติต้องแข็งแรง สติต้องว่องไว รู้เท่าทันไว ๆ จะได้บริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใหม่ ๆ สติยังอ่อนมันก็หลุดก็พลาดกันทุกคน แต่ถ้ามีความตั้งใจจริงแล้ว ไม่ย่อท้อ เผลอก็เริ่มใหม่ ๆ ความท้อนั่นแหละคือกิเลสคือมลทินในใจ คือวังวนที่ทำให้เราไม่ไปไหนสักที บางทีมันก็ล้าเพราะเราทำไม่ถูกวิธีเหมือนกัน ต้องหาผู้ชี้แนะนำทางที่ดีช่วยด้วย กัลยาณมิตรนั่นแหละ กว่าจะรู้กว่าจะเข้าใจบางทีก็ล้มแล้วล้มอีก ล้มลุกคลุกคลานอยู่นั่นเอง แต่พลาดมันก็ทำให้ได้ัปัญญานะ เพราะเจ็บจนจำได้ จนเข็ด จนเห็นโทษ เลยไม่ไปทางนั้นอีก

    แต่หลัก ๆ ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เพื่อมาเรียนรู้พวกนี้เอง เพื่อมายกระดับจิตของตนให้พ้นวัฏฏะ พ้นความหมักหมมจมแช่นี่เอง ใครรู้ก่อนก็ไปก่อน เป็นอิสระก่อน ก็เท่านั้นเองครับ
     
  14. totccccc

    totccccc สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +24
    เราต้องฝึกให้จิตมันเป็นอิสระเข้าไว้ นี่ทำยังไงอ่ะครับ
     
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อิสระในที่นี้หมายถึง พยายามอย่าไม่หมกมุ่นมากเกินไป ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น เพราะมันเป็นโทษกับเราได้ทั้งหมด แม้แต่ธรรมติดมากมันยังหลงเลย นับประสาอะไรกับเรื่องโลก ๆ ทั่ว ๆ ไป ด้วยเหตุนี้เอง อิสระในเบื้องต้นคือ พยายามดึงตนให้ออกมาจากความหมกมุ่นทั้งหลายทั้งปวงให้ได้ก่อน อุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการดึงตนออกมาจากพวกนี้คือ กายกับใจของเรานี่เอง
     
  16. totccccc

    totccccc สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +24
    อุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการดึงตนออกมา กายกับใจหรือสติ ครับ (เป็นการแลกเปลี่ยนนะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เออ..จริง กาย ใจ สติ
    ขอบคุณ
     
  18. เด็กใหม่คับ

    เด็กใหม่คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +152
    อยากเล่าว่าเป็นเหมือนกันเลย

    เริ่มจากฝึกสมาธิปกติ พอจิตสงบก็ถอยมาวิปัสสนา พิจารณาร่างกายปกติ
    พอฝึกไปมากๆ จิตก็เบาสบายดีมีความสุขปกติ พอฝึกเรื่อยๆเหมือนจิตจะคล่องพิจาณาอะไรก็ว่องไว รู้สึกเหมือนไอเรื่องที่เคยโกรธ ก็โกรธอะไรน้อยลง ความใคร่ก็น้อยลง รู้สึกเหมือนจิตมีความรู้ สามารถอ่านความคิดคนออก มันเหมือนมีความรู้พิเศษที่เราไม่เคยมี แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
    เรื่องมันมาเกิดที่ว่า เดินจงกลม เดินหนักกว่าเดิม เพ่งจิตแบบสุดๆให้ไม่หลุดเลย ทำได้ประมาณ อาทิตย์ ไอความรู้พิเศษที่เราไม่ได้ใส่ใจอะไรนั่นมันก็มากขึ้น
    ก็ไปหลงว่า เห้ย เรามาถูกทางแล้ว ก็ยิ่งเพ่งเข้าไปๆๆ เหมือน จขกท เลยติดในความรู้สึกแบบนั้น ทำสมาธิมากเกินเหตุ ออกจากสมาธิไม่ได้ จิตที่มันว่องไวมันก็พิจารณามั่วเลย เห็นอะไรก็เป็นเหตุเป็นผล เละเลย จนวิปลาดเข้ารพ
    ตอนอยู่ที่ รพก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก จิตมันมั่วไปหมด ทั้งกลัว แต่งเรื่องขึ้นมาได้เอง วิปสนูกิเลสสุดๆ จนก็พบจิตแพทย์ หมอก็บอกเหมือนกันเลย สารเครมีในสมองมากเกินไป กินยามปรับ พวก แดปพากิ้น ลิเที่ยม เอสพาลิโดน กว่าจะหาย เฮ่อ แต่ตอนนี้ก็ลดๆยาละ
    มานั่งทบทวน คงเป็นเพราะเราทำผิดวิธี ขาดสติ ตอนนี้แบบ แทบไม่เหลือสมาธิเลย อ่านหนังสือไม่กี่บรรทัดก็ฟุ้งซ่านละ เทียบกับตอนก่อนป่วยไม่ได้ มันเหมือนแบบว่า เราเพ่งจนไม่หลุดเลย
     
  19. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    เหนด้วยกับความคิดนี้จริงๆเลยครับ จริงๆ แม้เราไม่ได้ทำสมาธิ ทำสมาธิแบบทำงาน ทำไรที่เปนประโยชน์ชีวิตประจำวัน ปลูกผัก รดน้ำ เลี้ยงไก่ ขุดดิน เดินไปบ้านเหนือบ้านใต้ ก้ได้เรียกเปนกิจกรรมที่ให้ชีวิต ไม่หยุดนิ่ง และเมื่อมีสติอย่กับกิจกรรมเหล่านี้ก้เรียกว่าเปนกรรมฐานได้ครับ เพราะทำแล้วเกิดสติประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ จริงๆก้คือสมาธิแบบขณิกะอย่างง่ายๆ ไม่ได้เพ่งบังคับให้จิตแข็งหรือเกร่งหรือทำให้หัวมึนจนเครียด หนักหัว อยากอาเจียน ซึ่งทำชีวิตประจำวันให้ปกติแบบนี้ ได้ประโยชน์ยิ่งกว่าไปรับยาจากจิตแพทย์เสียอีก แต่สำคัญคือเราจะควบคุมตัวเองให้มีสติและปล่อยวางได้นานแค่ไหนต่างหาก การใช้ยาก้ช่วยได้แค่ระยะต้น แต่นานๆเข้าก้จะส่งผลข้างเคียงอย่างที่จขทก.เล่ามา แต่การที่บริหารชีวิตประจำวันให้ปกติ หาไรทำเมื่อว่าง และไม่ปล่อยให้ตัวเองอย่คนเดียวจนซึมเซ้าและว้าเหว่การทำเช่นนี้จะช่วยประคองและรักษาจิตใจไว้ดีมาก ส่วนทำสมาธิให้พักไว้ก่อน ให้ใช้วิธีทำสมาธิโดยมาสวดมนต์แทนบทที่สวดได้ง่าย และไม่ยาวเกินไป พร้อมแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้ตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย การสวดมนต์ก้เปนการฝึกสมถะแบบง่ายที่ได้ผลมากน่ะคับเพราะสวดมนต์เปนยาทา การทำงานในบ้านก้เปนบริหารกายใจและคุยกับคนอื่นและคนในครอบครัว ก้ได้ในเรื่องจิตใจคือจิตวิทยา

    ได้สามได้ คือ
    - บริหาร กายใจ จากการทำงาน ร่างกายได้ใช้พลังงาน สมองได้คิดบ้าง
    (ไม่เซงกาย เซงจิต เพราะเกิดกิจกรรมที่เปนงาน ก้คือกรรมฐานในการทำงาน)

    - ได้ในเรื่องสมาธิแบบสั้น และการปล่อยวาง จากการสวดมนต์บทที่ชอบ
    (ทำให้สารเอนโดรฟินในสมองหลั่งออกมา ทำให้ร้สึกเบาโล่ง)

    - ได้ในจิตวิทยา ถ้าเราร้จักพูดคุยกับคนอื่น เพราะการพูดการเปนแชร์ความคิด
    เมื่อมีไรสบายใจ พูดไปแล้วจะสบาย ถ้าเจอคนที่เข้าใจ เขาจะช่วยตอบให้เราหายสงสัย และทำให้เราไม่ติดคิดแค่คนเดียว และอีกอย่างก้ทำให้เกิดอัธยาศรัยระหว่างคนในบ้านและนอกบ้านด้วย ภาษาธรรมเรียกว่า "ปฏิสันถารคารวะตา"และยังเปนการสื่อสาร 2 ทางอีกด้วยครับ:cool:
     
  20. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    สิ่งที่ต้องมีให้มากเท่าสมาธิ คือ สติ ครับ

    มีสติ มีสมาธิ อยู่กับปัจจุบัน ไม่หลง ไม่ลืม ไม่ฟุ้ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...