๓๗เรื่องเล่าหลวงปู่ดู่กับธรรมะลึกซึ้งที่เข้าใจได้ง่ายและนำไปใช้ได้ทันที

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย 789987, 21 พฤษภาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2024
  2. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ไม่ต้องลอง

    ๗. ไ ม่ ต้ อ ง ล อ ง

    บ่อยครั้งที่มีผู้ต้องการปฏิบัติไปกราบนมัสการและแจ้งความประสงค์ขอปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลวงปู่ยินดีมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งมีผู้มาขอปฏิบัติกับท่านโดยพูดว่า "ผมอยากมาลองปฏิบัติดู เขาว่าทำแล้วดี" หลวงปู่ท่านรีบตอบว่า "ไม่ต้องลอง ทำเลย ขืนลองก็ไม่เจอของดีสักที ธรรมะไม่ใช่ของลอง เป็นของให้ทำจึงจะเห็นผล"

    ผู้เขียน "หลวงปู่มีวิธีการหรือหลักการอย่างไรในการเผยแพร่กับหมู่คณะที่มาปฏิบัติ"

    หลวงปู่ "เราไม่ใช่อาจารย์ เราแอบทำเพราะเราไม่สามารถประกาศได้มากกว่านี้ เพียงแต่ข้าตั้งจิตอธิษฐานว่าคนใดก็ตามที่เคยทำบุญร่วมกันมา ขอให้ได้มาพบกันแล้วมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้ชาตินี้ ก็ให้ได้ชาติต่อๆ ไป บางคนเขามาแล้วก็เลยไปยังไม่ทันได้ชิม บางคนชิมแล้วยังไม่ทานก็ไป แสดงว่าเขาไม่ได้ทำบุญร่วมกับเรามาก็แค่นั้น"

    ผู้เขียน "บางครั้งพระที่ดี คนในท้องถิ่นมักจะไม่ได้ของดีอย่างเช่น หลวงปู่ปาน"

    หลวงปู่ "แล้วแต่บุญของเขา อย่างพระของข้า ข้าก็แจกๆ กันไป คนไกลเขาก็ได้กัน คนใกล้ไม่ค่อยได้"

    ผู้เขียน "อย่างนี้เขาเรียกว่า ใกล้เกลือกินด่างใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ "ใกล้เกลือตีนด่าง เพราะมันเหยียบเลย ข้าโดนมาโชกแล้ว แต่ข้าไม่สนใจ ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น เรื่องของบุญใครทำใครได้ ทำให้กันไม่ได้ เหมือนกับใครหิวข้าวก็ต้องกินเอง ใครกินใครอิ่ม บางคนต้องจ้างให้มาวัด แต่ก็มาไม่ถึงวัด เพราะแวะกินเหล้าข้างทาง บางทีให้ปฏิบัติแต่จะหวังรางวัลที่หนึ่ง หรือถูกหวย นั่นเละแล้ว ไม่ได้เรื่องแล้ว"

    หลวงปู่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ใช่ปฏิบัติเพียงหลอกๆ จึงจะเจอของจริงได้ เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นความสำคัญของการปฏิบัติเหมือนกับการกินข้าว เหมือนกับลมหายใจ แสดงว่าเรามีที่พึ่งสำหรับตนเองแน่นอน
     
  3. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    [​IMG] สาธุ ขอรับ
     
  4. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    พระดีที่น่าเคารพ

    ๘. พ ระ ดี ที่ น่า เ คา ร พ

    ปกติเวลาเราไปไหว้พระสุปฏิปันโนหรือพระที่ทรงคุณธรรม บางครั้งมักจะมีการขอให้ท่านช่วยอธิษฐานจิตวัตถุมงคลที่นำไป ผู้เขียนและคณะบางครั้ง เวลาที่ท่านมีสุขภาพดี อารมณ์แจ่มใส จึงขอให้ท่านทำให้ มีครั้งหนึ่ง ผู้คนไปกันมาก ของที่จะให้ท่านอธิษฐานมีหลายอย่างรวมกันไป เมื่อท่านอธิษฐานเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่พูดขึ้นว่า "เจอดีหลายๆ องค์ พระนะ แต่องค์นี้เป็นพระดีมาก" ท่านชี้ไปที่ล็อกเกตพระสงฆ์องค์หนึ่ง เมื่อผู้เขียนหยิบมาดู จึงกราบเรียนท่านว่า "ก็เป็นล็อกเกตรูปหลวงปู่ไงละครับ ที่ทางวัดเขาทำให้บูชา" หลวงปู่ท่านจึงรีบตอบว่า "เอ้า ข้าไม่รู้ ทำไว้ซะเล็ก เลยมองไม่เห็นว่าเป็นองค์ไหน" มีลูกศิษย์อีกคนจึงถามท่านว่า "ทำไมหลวงปู่จึงรู้ละครับ" ท่านจึงตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่ว่ามีความรู้สึกพิเศษ แกถามอาจารย์เขาดูดีกว่า" หลวงปู่ท่านเลี่ยงมาให้ผู้เขียนตอบแทน แต่ผู้เขียนได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร จนเมื่อลาหลวงปู่กลับจึงตอบให้ฟังว่า "หลวงปู่ท่านคงมีเมตตาที่เห็นพวกเราทุกคนเคารพท่านแล้วไม่สงสัยท่านจึงบอกอย่างนี้ก็ได้ อีกอย่างหนึ่งคงมีแสงสว่างจากพลังจิตใจในคุณพระที่ท่านอธิษฐานไว้ ไปปรากฎที่หลวงปู่ก็ได้ อะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ

    เรื่องของพระดีที่มีคุณธรรมนี้ หลวงปู่ท่านเคยบอกผู้เขียนว่า
    "เวลาที่ไปไหว้พระองค์ไหนก็ตาม ถ้าผู้ที่ทำเห็นแล้วจะรู้ได้ เพราะท่านจะมีที่อยู่ของท่านเฉพาะ ถ้าองค์ไหนเราเห็นท่านอยู่ในที่ของท่านแล้ว องค์นั้นแหละพระดี ข้อสำคัญต้องทำให้เห็น หรือเวลาแกไปเจอภาพพระองค์ไหนก็ตาม เอามือแตะภาพท่านทำใจเฉยๆ ถ้าขึ้น (ปีติ) มาถึงหัวแสดงว่าพระองค์นั้นดี"

    ผู้เขียนเคยนำรูปของสมเด็จพระสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศ ไปให้ท่านอธิษฐานจิต พอหลวงปู่ท่านแตะรูปท่านบอกว่า "องค์นี้เป็นพระดี มีบารมีสูงมาก พอกับหลวงพ่อโต วัดระฆัง จะมากกว่าเสียด้วย ถ้าแกไม่เชื่อลองจับดูก็ได้"

    ผู้เขียนรีบตอบท่านว่าไม่ละครับ เพราะผู้เขียนรู้ตัวเองดีว่า คุณธรรมของเรายังน้อยนิด บารมีของเรายังไม่เท่ากับหนึ่งในล้านส่วนของเศษละอองธุลีพระบาทของพระโสดาบันเลย แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนรู้สึกซาบซึ้งในองค์หลวงปู่มาก ที่ท่านมีเมตตาสั่งสอนเพื่อให้ความรู้และความกระจ่างกับลูกศิษย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2007
  5. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    พระหรือพะ

    ๙. พ ระ ห รื อ พะ

    พระภิกษุที่บวชในพระพุทธศาสนา บางรูปบางองค์มีปฏิปทาดี บางองค์ก็ไม่สนใจในพระธรรมวินัย ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา อันที่จริงศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่ผู้อยู่ในศาสนาเสื่อม พระพุทธเจ้าจึงกำหนดอายุของศาสนา ทรงตรัสว่า

    "บุคคลภายนอกศาสนาไม่สามารถทำลายศาสนาตถาคตได้ แต่ผู้ที่ทำลายได้ คือ พุทธบริษัททั้ง ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา"

    เกี่ยวกับเรื่องนี้หลวงปู่เคยกล่าวไว้ว่า

    "พระ คือคนที่บวชแล้วได้ดี ถ้าอีกจำพวกก็คือ พะ บวชเพื่อหากินกับศาสนา เหมือนกับสวะหรืออะไรก็ได้ที่ไปพะกับของสิ่งนั้น แต่ถ้าไปเจออีกพวกคือ แพะ พวกนี้ร้าย จ้องแต่จะชนกับพระ กับฆราวาส นี่แหละคือพระสามประเภท"

    ทั้งนี้ ทำให้ผู้เขียน นึกถึงพระดำรัสของพระพุทธเจ้าที่สอนสิ่งที่ภิกษุหรือสมมติสงฆ์ควรศึกษามี ๓ อย่างคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อจะได้เป็นพระ หรือผู้ประเสริฐเช่นเดียวกับคำพูดของหลวงพ่อ
     
  6. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ตายแล้วไม่เน่า

    ๑๐. ตา ย แ ล้ ว ไ ม่ เ น่า

    ผู้เขียนเคยไปที่วัดป่าเลไลย จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อไปนมัสการศพของหลวงพ่อถิร ปรากฎว่าร่างกายไม่เน่าเปื่อย มีเล็บและเกศางอกออกมา เป็นที่อัศจรรย์ใจและเกิดความสงสัย เมื่อมีโอกาสได้กราบเรียนหลวงปู่ท่านอธิบายว่า

    "ผู้ที่ตายแล้วไม่เน่ามี ๓ ประเภท"
    ๑.ผู้ที่กินว่าน
    ๒.ผู้ที่มีคาถาอาคมเสกข้าวกินประจำ
    ๓.พระอรหันต์อธิษฐานทิ้งร่างไว้ให้คนสักการะกราบไหว้ ตัวอย่างเช่น หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน จังหวัดสุพรรณบุรี

    ผู้เขียนเกิดความไม่แน่ใจ เพราะเราไม่สามารถตัดสินได้ว่าองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่บอกว่า "เราต้องดูปฏิปทาหรือราศี พวกที่กินว่านหรือมีคาถานั้นจะไม่มีราศี ผิวพรรณไม่สดใส" ผู้เขียนจึงได้ปรารภกับหลวงปู่ โดยกล่าวอ้างถึงในสมัยก่อนหลวงปู่มีผิวพรรณที่ค่อนข้างดำ แต่ในปัจจุบันหลวงปู่มีราศีสดใสสวยงาม แม้แต่หลวงปู่บุดดา เมื่อก่อนเขาว่าท่านผิวดำเหมือนกัน หลวงปู่ตอบว่า "ไม่ต้องสงสัย กระดูกท่านยังฟอกเป็นพระธาตุได้ ผิวพรรณทำไมจะฟอกไม่ได้"

    เคยมีผู้มีบุญท่านหนึ่งมากราบนมัสการหลวงปู่ เมื่อท่านผู้นั้นกลับไปแล้ว
    หลวงปู่ได้ถามว่า "แกว่าข้ากับเขาราศีใครดีกว่ากัน"
    ผู้เขียนรีบเรียนว่า "ว่ากันตามตรงหลวงปู่ราศีดีกว่าครับ"
    หลวงปู่ยิ้ม ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า "นั่นคือราศีทางโลก สู้ราศีทางธรรมไม่ได้"
     
  7. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    รับให้ถูกต้อง

    ๑๑. รั บ ใ ห้ ถู ก ต้ อ ง

    วัตถุมงคลของหลวงปู่มีให้บูชาที่วัด ผู้เขียนเคยมีคำถามเรื่องนี้กับหลวงปู่ "หลวงปู่ครับ ถ้าสมมุติว่าผมมีพระแพงๆ เช่น พระรอด แล้วผมจะนำไปให้เขาบูชา แต่เงินที่ได้ผมจะนำมาทำบุญจะบาปไหมครับ" หลวงปู่ท่านตอบว่า "ถ้าบาปข้าต้องบาปแน่ เพราะข้าขายพระเต็มศาลา" ผู้เขียนแย้งว่า "แต่หลวงปู่ไม่ได้ใช้เงินเอง" หลวงปู่ท่านจึงสรุปว่า "อย่างไรข้าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ขาย แต่จุดประสงค์ข้าทำเพื่อวัดวา ไม่ใช่ทำเพื่อข้า"

    ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่ที่เจตนา ซึ่งหลวงปู่ท่านเน้นว่า เจตนา คือ ตัวบุญ

    เมื่อก่อนที่หลวงปู่ยังแข็งแรง ผู้ที่บูชาพระแล้วก็มักจะนำมาให้หลวงปู่ประสิทธิ จนกระทั่งเมื่อท่านป่วยไม่ค่อยแข็งแรง ผู้บูชามักเกรงใจ ไม่ให้ท่านเป็นผู้ประสิทธิ แม้กระนั้น หลวงปู่ยังอดไม่ได้ด้วยความเมตตา เพราะท่านบอกว่าเพื่อกำลังใจและความศรัทธา เนื่องจากทุกคนต้องสละทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ท่านประสิทธิให้กับผู้บูชารายหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน เมื่อเสร็จแล้วท่านพูดว่า "แกรับพระยังไม่ถูก" ผู้รับเกิดความสงสัย หลวงปู่ท่านจึงอธิบายต่อ "ทำจิตให้น้อมรับสิ่งที่ดีที่ให้ โดยเรียกพระเข้าตัว เวลาที่รับแกไม่ได้ทำจิตแบบนี้ แกมุ่งจิตออกมาให้ข้า แทนที่จะได้เลยไม่ได้" เคยมีลูกศิษย์หลวงปู่ที่เป็นพระ เมื่อเวลาที่ท่านประสิทธิให้ ต้องการลองกำลังของหลวงปู่ จนหลวงปู่ต้องพูดขึ้นว่า "ลองพอหรือยัง" ลูกศิษย์ผู้นั้นจึงได้คิดว่าหลวงปู่สามารถรู้ได้ บางครั้งเมื่อรับพระแล้วหลวงปู่ท่านจะกล่าวชมสำหรับคนที่รับถูกต้องว่า "เจอดีแล้วทำได้แบบนี้แกขนลุกใช่ไหม" ผู้รับจึงถามว่า "หลวงปู่รู้ได้อย่างไรครับ" หลวงปู่ท่านตอบว่า "แกขนลุก แต่อาการของแกมาเกิดที่ข้า ข้าจึงรู้" สำหรับเรื่องการรู้นี้ หลวงปู่ท่านรู้เป็นเรื่องปกติวิสัย ผู้เขียนเองหรือหลายคนก็เคยประสบกับเรื่องเหล่านี้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น
     
  8. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ไม่เคยโกหกใคร

    ๑๒. ไ ม่ เ ค ย โ ก ห ก ใ ค ร

    หลังจากที่ผู้เขียนสอบสัมภาษณ์ปริญญาโทเรียบร้อยแล้ว ได้กลับมานมัสการหลวงปู่พร้อมกับรายงานผลเนื่องจากก่อนจะไปสอบ ผู้เขียนได้ขอบารมีหลวงปู่ให้ช่วยเหลือ ท่านพยักหน้ารับ ซึ่งในวันนั้นหลวงปู่มีอารมณ์แจ่มใสมาก ท่านพูดว่า "ข้าอธิษฐานบารมีพระ แผ่บุญกุศลไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาของแกนั่นแหละ เอาบุญให้เขา เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา สามคนข้ารู้ชื่อ แต่อีกคนไม่รู้ เลยขอให้สามคนถาม อีกคนคอยนั่งฟัง" ซึ่งก็เป็นจริงดังที่หลวงปู่พูดไว้

    ผู้เขียนได้สนทนากับท่านจนถึงเรื่อง คาถามหาจักรพรรดิ

    ผู้เขียน "หลวงปู่เป็นผู้แต่งคาถาบูชาพระ (คาถามหาจักรพรรดิ) ใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ "สำเภาเขาสร้างพระพุทธรูป อยากได้คาถาบูชาพระก็เลยมานึกเอาเอง มันจะผิดอยู่หน่อยตรงคำบูชาที่มี นะโมพุทธายะ แล้วก็ ยะธาพุทโมนะ หรือแกว่าไง"

    ผู้เขียน "ปกติการตั้งองค์พระ (การอธิษฐานให้เป็นพระ) โบราณเขาใช้กันว่า นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ ดังนั้นการที่หลวงปู่กล่าวเช่นนี้ ต้องการให้บูชาคาถาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่พยักหน้ารับพร้อมทั้งกล่าวว่า
    "คาถาบทนี้เป็นของดี หมั่นท่องไว้ทุกวัน ปกติเขาไม่ให้กันหรอก เพราะเขากลัวลูกศิษย์จะดีกว่าอาจารย์ แต่ข้าไม่เคยกลัวและไม่ปิดบัง ท่องให้ดีนะอีกหน่อยจะรวย เพราะมีการกล่าวถึงพระสีวลี ผู้เลิศทางลาภไว้ด้วย อาบน้ำอาบท่า อาบไปเสกไปก็ได้ กินข้าวก็ได้ ดีทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามาบอกพวกแก ข้าทดลองมาแล้วทั้งนั้น เมื่อดีแล้วจึงมาบอก ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาและการหมั่นฝึกฝนปฏิบัติ คนเราอยู่ดีๆ จะให้รวยได้อย่างไร ต้องปฏิบัติให้ดีเสียก่อน ดูอย่างข้าเมื่อก่อนต้องไปยืมเงินเขามาซื้อธูปเทียนใบชามาเลี้ยงแขก เดี๋ยวนี้ของกินของใช้มีให้เกลื่อนกลาดไป เรามาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น แกว่าจริงไหม ของดีของอร่อยกินก็ไม่ได้ ฟันไม่มี"

    หลวงปู่หัวเราะแล้วเสริมอีกว่า

    "คนเราต้องทำให้ดี เมื่อดีแล้วจึงรวย แล้วจะได้ไม่ซวย พระจะดีต้องหมดอยาก ถ้ายังอยากอยู่ก็ไม่ใช่พระดี"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2007
  9. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ถวายกระทง

    ๑๓. ถ วา ย ก ระ ท ง

    ปกติ คืนวันเพ็ญเดือนสิบสองจะมีการลอยกระทงตามแม่น้ำต่างๆ แต่ในคณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่นั้น จะนำกระทงมาถวายท่าน ซึ่งเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ผู้เขียนและหมู่คณะได้มีโอกาสนำกระทงไปถวายกับท่าน ซึ่งในคณะนี้ส่วนใหญ่เป็นนักปฏิบัติ เคยมีผู้สงสัยกราบเรียนหลวงปู่ว่า
    "เห็นมีผู้นำกระทงมาถวายกับหลวงปู่มากมาย ทำไมหลวงปู่ไม่ลอยในน้ำหรือ"
    หลวงปู่ตอบว่า "ลอยด้วยน้ำจิตน้ำใจของเราไงละ"

    หลวงปู่จะให้สมาทานศีลก่อนแล้วถวาย เมื่อกล่าวคำถวายเสร็จแล้ว พวกเราจะประเคนแก่ท่าน หลังจากนั้น ท่านจะให้พวกเราทุกคนภาวนาไตรสรณคมน์สักครู่ แล้วท่านจะนำจิตนำกระทงไปถวายพระพุทธเจ้าที่วิมานแก้ว เมื่อพระพุทธเจ้ารับแล้ว หลวงปู่จึงให้พร ผู้ที่มีจิตใจเป็นทิพย์หลายๆ คนจะสามารถเห็นได้ว่า ได้ไปจริงๆ บุญที่ได้ จึงมีทั้งบุญภายนอกคือ อามิสบูชา และบุญภายในคือ ปฏิบัติบูชา

    ตามประเพณีเดิมของการลอยกระทง มีทั้งคติทางพราหมณ์และพุทธ ทางพราหมณ์ถือว่าเป็นการขอขมาพระแม่คงคา ส่วนทางพุทธมีหลายเจตนาเช่น การบูชาพระจุฬามณี การบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์แสดงไว้แก่พญานาคที่แม่น้ำ ส่วนเค้ามูลดั้งเดิม มีมาจากการที่มานพทั้ง ๕ ซึ่งเกิดจากไข่กา เมื่อรังถูกพายุพัดไข่กระจัดกระจายไป ได้มีการนำไปเลี้ยงโดย ไก่ นาค เต่า วัว และราชสีห์ เมื่อมานพทั้ง ๕ บำเพ็ญเพียรแล้วได้มาพบกันจึงรู้ความจริงว่า แม่ของตนเองซึ่งเสียใจเมื่อมาไม่พบลูกทั้ง ๕ นั้น ขณะนี้ไปอยู่พรหมโลกชื่อว่า พกา มานพทั้ง ๕ จึงคิดเป็นรอยตีนกาเพื่อบูชาท้าวพกาพรหมซึ่งเป็นแม่ และมานพทั้ง ๕ คือ พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ต่อมาคือ นะ โม พุท ธา ยะ นั่นเอง ดังนั้น ท้าวพกาพรหมจึงถือว่าเป็นโยมของพระพุทธเจ้าก็ได้ หลวงปู่จึงสร้างพระปางโปรดท้าวพกาพรหมไว้ให้พวกเราทั้งหลายบูชา หลวงปู่ยังได้บอกอีกว่า

    "พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ขึ้นไปโปรดท้าวพกาพรหมจนละทิฏฐิได้เป็นพระโสดาบัน แต่ขณะนี้เป็นพระอนาคามีแล้ว จะเข้าถึงนิพพานในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2007
  10. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    อย่าท้อถอย

    ๑๔. อ ย่า ท้ อ ถ อ ย

    ญาติโยมผู้หนึ่งเกิดความลังเลสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมที่ควรจะได้ผลมาก เพราะเธอมีความขยันหมั่นเพียร จึงมานมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า

    "หลวงปู่คะ การที่ลูกนั่งไม่ดีนี่แสดงว่าชาติก่อนทำมาไม่ได้ใช่ไหมคะ"

    หลวงปู่ตอบว่า "แกรู้เหรอเรื่องแต่ก่อน ไม่ต้องไปสนใจ เพราะเรารู้ไม่ได้ เอาชาตินี้ให้มันดี ไม่ต้องคิดถึงชาติก่อน อย่าท้อถอย ทำไปเดี๋ยวก็ดีเอง"

    หลวงปู่ตอบตรงตามพุทธพจน์ที่ว่า อย่าสนใจอดีตเพราะเป็นสิ่งที่ล่วงมาแล้ว ให้สนใจในปัจจุบัน

    หลวงปู่แหวนเคยตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
    "อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา เฮาบ่มีอดีต เฮาบ่มีอนาคต เฮามีแต่ปัจจุบันเท่านั้น"

    คำพูดของท่านสมกับเป็นพระอริยสงฆ์ที่เราเคารพกราบไหว้ เพราะเป็นสัจจธรรมที่เป็นความจริงเสมอมา
     
  11. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    อยากจะไปนิพพาน

    ๑๕. อ ยา ก จะ ไ ป นิ พ พา น

    ผู้ที่มากราบนมัสการหลวงปู่หลายๆ คน มาถึงก็แจ้งความประสงค์กับหลวงปู่ ปรารถนาไม่เกิด อยากไปนิพพานในชาตินี้ จะได้พ้นทุกข์ บางคนก็ตั้งเจตนาจริง บางคนก็พูดไปอย่างนั้น หลวงปู่เคยให้ข้อคิดสำหรับคนที่ไม่ตั้งใจจริงเหมือนคำพูดที่ปรารถนา ว่า

    "อยากจะไปนิพพาน แต่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ จะไปได้อย่างไร"

    "วันนี้มีผู้หญิงอยู่คนมากราบข้า บอกว่าจะไปนิพพาน ข้าไม่พูดแต่มองดู ปากยังทาแดงแจ๋ เล็บตีนเล็บมือยังแดงแจ๋ หัวตะพานจะไปถึงหรือเปล่า"

    ดังนั้น หลวงปู่จึงสอนพวกเราทั้งหลาย เมื่อตั้งใจสิ่งใดแล้ว ต้องทำหรือปฏิบัติจึงจะสมปรารถนา หลวงปู่ทวดกล่าวว่า "การปฏิบัติจะตัดภพชาติให้สั้นลงทีละครึ่ง เช่น ถ้าเราจะเกิดอีก ๑๐๐ ชาติ ก็เหลือ ๕๐ ถ้าจะเกิด ๒๐ ชาติ ก็เหลือ ๑๐"

    ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน ท่านเคยเปรียบเทียบดังนี้ "ทำทานเหมือนการไปด้วยถ่อ รักษาศีลไปด้วยรถยนต์ ภาวนาก็ขี่เรือบินไป อาจถึงนิพพานได้ในชาตินี้"

    คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า "ใกล้ก็ไม่ใกล้ ไกลก็ไม่ไกล มองเห็นไวไว เป็นทิวลิบลิบ" ซึ่งเทียบได้กับพระนิพพานคือปลายจมูกนี่เอง หลวงปู่กล่าวว่า "จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็ไม่เชิง ผู้ปฏิบัติพึงรู้เองเห็นเอง เพราะเป็นปัจจัตตัง"
     
  12. จิตงาม

    จิตงาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +1,787
    โมทนาสาธุค่ะ

    ธรรมะของหลวงปู่ฟังง่าย เข้าใจง่าย แต่ด้วยกิเลสมนุษย์ ปฏิบัติยากจริง ๆ อ่านแล้วก็คิดถึงหลวงปู่ เหมือนไปนั่งตรงหน้าฟังหลวงปู่พูดเลย

    เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ได้รู้จักหลวงปู่ตั้งแต่ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ เราจะเป็นพวกใกล้เกลือกินด่างหรือไม่ จะหาโอกาสไปกราบท่านซักครั้งได้หรือไม่

    นะโม โพธิสัตโต พรหมมะปัญโญ
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่ด้วยความเคารพ
     
  13. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    สุดยอดครับ มาลงต่อเร็วๆนะค้าบ
     
  14. kim_osk119

    kim_osk119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,598
    รอคุณ leo_tn มาลงต่อครับ

    มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นเลย
     
  15. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ผู้หญิงไปได้หรือไม่

    ๑๖.ผู้ ห ญิ ง ไ ป ไ ด้ ห รื อ ไ ม่

    มีนักปฏิบัติท่านหนึ่งนำข้อข้องใจมากราบเรียนหลวงปู่ดังนี้

    นักปฏิบัติ "ลูกปฏิบัติไปถึงวิมานแก้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ชาตินี้ลูกไปนิพพานได้ไหมเจ้าคะ"

    หลวงปู่ยิ้ม "หลับตาไปได้ แล้วลืมตาไปได้หรือเปล่า"

    นักปฏิบัติ "ยังเจ้าค่ะ"

    หลวงปู่ "ต้องทำให้ได้ทั้งหลับตาและลืมตา หลับก็เห็นพระ ลืมก็เห็นพระ อย่างนี้ไปได้แน่นอน"

    หลวงปู่ท่านบอกผู้เขียนว่า "ทุกอิริยาบท ถ้าเราเห็นพระได้ จิตของเราจะไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เคลื่อนจากความดี พระมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งไหว้ตรงไหนก็เจอ" ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของ หลวงปู่อินทร์ จันทูปโม ที่ว่า "ที่กล่าวว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เป็นสิ่งจริงแท้ เพราะพออาตมาได้ธรรม มองไปทางไหนก็เจอแต่พระ บนอากาศก็มี บนบกก็มีไหว้ได้ทั้งนั้น เกิดความซาบซึ้งในธรรมจนน้ำตาไหล ถ้าใครไม่รู้มาเห็นเข้าคงนึกว่า อาตมาบ้าแน่นอน"
     
  16. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ผู้มีสติชอบ

    ๑๗.ผู้ มี ส ติ ช อ บ

    นักปฏิบัติธรรมทุกคนที่หวังพ้นทุกข์ มักมีอุปสรรคจากการปฏิบัติไม่มากก็น้อย สิ่งที่ต้องนำมาใช้อยู่เสมอคือ ธรรมที่มีอุปการะมาก ได้แก่ สติ และสัมปชัญะ แต่มักเรียกสั้นๆ ว่า สติ มีผู้ปฏิบัติท่านหนึ่งได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า

    ผู้ปฏิบัติ "หลวงปู่ครับ ทำอย่างไรจึงจะมีสติอยู่ตลอดเวลาครับ"

    หลวงปู่ "ผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา เห็นมีแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น มีสติแม้กระทั่งเวลาหลับ ปุถุชนอย่างเราจะทำได้อย่างไร ยากต้องค่อยๆ ทำไป"

    คำพูดของหลวงปู่คือ หมั่นเจริญสติจนในที่สุดจะได้มหาสติเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย
     
  17. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ครับผม ดีใจครับที่เรื่องราวของหลวงปู่มีคนได้อ่านมากๆ
    จะทยอยลงให้เร็วที่สุดครับ
    เวลานั่งพิมพ์เรื่องหลวงปู่เนี่ย มีความสุขบอกไม่ถูกครับ คุณ Specialized
    จบ ๓๗ เรื่องนี้แล้วจะมีต่ออีกครับ จะตั้งใหม่อีกกระทู้ครับผม

    โมทนาครับ
     
  18. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ครับผม เรื่องของหลวงปู่สุดยอดทุกเรื่องครับ อ่านแล้วอ่านอีก ไม่เบื่อเลย
    ผมโพสเอง แล้วก็กลับไปนั่งอ่านที่ตัวเองโพส ได้เรื่อยๆ เลยครับ
    จะทยอยลงเรื่อยๆ ครับ ติดตามได้ครับผม
     
  19. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ความเป็นห่วงของหลวงปู่ที่มีต่อประเทศชาติ

    ๑๘. ค วา ม เ ป็ น ห่ ว ง ข อ ง ห ล ว ง ปู่ ที่ มี ต่ อ ป ระ เ ท ศ ชา ติ

    เมื่อคราวที่เกิดการปะทะกันระหว่างไทยกับลาว ซึ่งถือว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ในปี พ.ศ.๒๕๓๑ ที่หมู่บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เหตุการณ์ก็รุนแรงและเริ่มส่อเค้าการก่อตัวของสงคราม ผู้เขียนได้ติดตามข่าวสารทั้งทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ รู้สึกเป็นห่วงพวกทหารหาญมาก คิดอยู่ในใจว่า จะกราบเรียนเรื่องนี้กับหลวงปู่ดีหรือไม่ เพราะอย่างน้อยท่านจะได้ช่วยอธิษฐานแผ่เมตตา แต่ก็คิดไม่ตก เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องทางโลก

    วันหนึ่ง ผู้เขียนตกลงใจว่า อย่างไรก็ตาม จะกราบเรียนหลวงปู่ให้ได้ จึงตัดสินใจไปนมัสการท่าน แต่ผู้เขียนยังนั่งเงียบอยู่

    หลวงปู่ "เอ้า มีเรื่องอะไรที่จะคุยด้วย"

    ผู้เขียนสั่นหน้า "ไม่มีอะไรหรอกครับ"

    หลวงปู่ "ทำไมไม่มี ก็เรื่องลาวกับไทยไง รบกันไปถึงไหนแล้ว"

    ผู้เขียนเห็นเป็นโอกาสอันดี จึงรีบเรียนชี้แจงให้ท่านทราบถึงสถานการณ์ รวมทั้งการได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์

    หลวงปู่ "เมืองไทยไม่เป็นไรหรอก ขอบารมีพระ บารมีเทวดา ช่วยคุ้มครองเดี๋ยวก็เลิกกัน การสู้รบมันต้องสูญเสียทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ"

    ในวันนั้นมีคนนำพระประธานขนาดใหญ่ไปถวายหลวงปู่ ท่านบอกว่า "องค์ใหญ่ไม่รู้จะตั้งตรงไหน ข้าให้เขาไปถวายสมภาร สมภารบอกให้มาถวายข้า" ขณะที่พวกเรากำลังดื่มน้ำชาอยู่ หลวงปู่ท่านมองมาที่พระแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานโดยไม่หลับตาเป็นเวลาประมาณ ๑๕ นาที ที่น่าอัศจรรย์คือ ตาท่านไม่กระพริบเลย ผู้เขียนเลยนั่งอธิษฐานตามท่าน พอครบเวลา ท่านกล่าวว่า

    "นั่งดูซิ สว่างหรือเปล่า ข้าอธิษฐานเอาหลวงพ่อองค์นี้ไปช่วยประเทศชาติคลุมหมดทั้งประเทศ ขอให้หลวงพ่อช่วย แล้วก็ฝากเทวดาให้ช่วยเหลือด้วย อันที่จริงข้าก็ให้ทุกๆ วันไม่เคยขาด ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็เลิกกัน"

    หลังจากนั้นประมาณ ๑ อาทิตย์ มีการเซ็นสัญญาสงบศึกระหว่างไทยกับลาว ทำให้ผู้เขียนรู้สึกซาบซึ้งในความรักและห่วงใยของหลวงปู่ที่มีต่อประเทศชาติและทหารหาญของประเทศเป็นอย่างยิ่ง
     
  20. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    เรื่องที่ ๑๘ นี้จะเห็นได้ชัดเจนถึงทิพยจักขุญาณ และพลังแห่งการอธิษฐานจิตของหลวงปู่
    บุญของพวกเราจริงๆ ที่ได้บูชาพระผงกำลังจักรพรรดิสูตรของหลวงปู่ ที่หลวงตาม้าสืบทอดมาจากหลวงปู่ในปัจจุบัน

    สาธุ กราบเท้าหลวงปู่ดู่ และหลวงตาม้าที่เคารพอย่างยิ่ง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...