หลงรักแต่คนอื่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aizwa, 23 พฤษภาคม 2007.

  1. aizwa

    aizwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +359
    การทำความเพียร อดนอน ผ่อนอาหาร อย่าได้ลดละ ทำความเพียรต่อเนื่องเหมือนลูกโซ่ไม่ขาดสาย จิตก็สงบรวมลงไปทุกวัน ล่วงไปถึงวันที่ ๑๓,๑๔,๑๕

    เมื่อไปถึงวันที่ ๑๕ แหมว่าอย่างไร มันก็เลยเมื่อยล้า ขอพักผ่อนหายร้อนสักคราวได้ไหม ลองกินให้อิ่ม นอนให้อิ่ม ก็เลยกินนอนนั่นแหละ พอตื่นขึ้นมาหายเลย ความสงบนั้น หายไปไหน ไม่มี

    นั่นแหละ โอ้...ผิดแล้ว เพราะเราไปนอนหนอ เราหลงรักแต่คนอื่น เลี้ยงแต่คนอื่น ความเพียรขาดสายไม่ต่อเนื่อง ธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ไม่รักษาไว้

    ทีนี้ ก็ตั้งสัตย์อีก จะเป็นจะตายก็ตาม อธิษฐานอีก เอาเดือนหนึ่ง วันคืนไม่นอน ข้าว ๒ วันฉัน ๓ วันฉัน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นไม่ไหว เห็นโทษของการเลี้ยงคนอื่น นั่นแหละ

    พอถึงวันที่ ๓ ปีติธรรม เกิดขึ้น เดินก็ดีกายเบา ยืนก็กายเบา แหมเหมือนมันจะเหาะขึ้นฟ้า ปีตินั้นเกิดขึ้นเอิบอิ่มร่าเริงบันเทิงใจ แสนที่สบาย

    ทีนี้พูดขึ้นมาเฉียด ๆ จิตยังไม่สงบดอก แต่พูดขึ้นมาอีกว่า นี่แหละรสชาติของธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นกำลังของจิตใจสำหรับผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะก้าวล่วงวัฏฏทุกข์เสียได้ ก็จงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในชีวิตสังขาร อาหารกินอยู่หลับนอนนั้น เป็นอาหารกาย

    ถึงวันที่ ๓ จิตรวมลงถึงขั้น ขณิกะ นี่แหละ รวมวับลงไปถึงขั้น ขณิกะ เย็นกาย เย็นจิต กายลหุตา กายเบา จิตลหุตา จิตเบา แช่มชื่น เบิกบาน เลื่อมใส น่าพึงพอใจ นั่นแหละ กำหนดถาม

    "ธรรมที่เคยเกิดมานั้น ทำไมมันดับ ?"

    พูดขึ้นมาอีกว่า "เลี้ยงแต่คนอื่น รักแต่คนอื่น ให้อาหารแต่คนอื่น อาหารของตัวเอง ได้มาแล้วก็ไม่รักษาไว้ นั่นแหละ"

    ธรรมที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ได้แก่ สมาธิธรรม เกิดขึ้น มันเป็นอาหารเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นมรรค เป็นผล ที่จะข้ามล่วงพ้นทุกข์เสียได้ ก็เพราะจิตสงบ จงรักษาไว้

    อย่าเพิ่งให้แต่คนอื่นมากไป ให้มากไปก็เสียหวัง เพราะคนอื่นนี้นั้น ท่องเที่ยวเกิดดับภพน้อยภพใหญ่ เป็นอื่นอย่างนั้น มีตั้งแต่เอาเปรียบเอารัด เอาแพ้เอาชนะ อยู่ภพน้อยภพใหญ่ ไม่มีวันจบสิ้นได้ นี่ข้อสำคัญ พูดมาอย่างนั้น

    คนอื่น ได้แก่ ร่างกาย นี่แหละ สังขารขันธ์ คนอื่น

    อื่นภายนอก ได้แก่ ญาติมิตรสายโลหิตเพื่อน ๆ บิดา มารดา ถนอมกล่อมเกลี้ยงดูปูเสื่อแล้วก็อื่นอย่างนั้น

    อื่นภายใน ได้แก่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตัวของเรานี่แหละ มันอื่นเพราะมันแก่ อื่นเพราะมันเจ็บ อื่นเพราะมันตาย ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่มีวันจบสิ้นได้ จงให้รู้หน้ารู้ตาของคนอื่นเสีย

    มนุษย์ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ในโลกทั้งสามทุกถ้วนหน้าในภพทั้งสาม กามภพ รูปภพ อรูปภพ ผลสุดท้ายก็รักตั้งแต่คนอื่น นั่นแหละ จึงเป็นเหตุให้ซบเซาเหงาอยู่

    ท่องเที่ยวเปลี่ยนชาติภพ ไม่มีวันจบสิ้นได้ เพราะรักตั้งแต่คนอื่น บำรุงตั้งแต่คนอื่น นั่นแหละ ไม่สำคัญมั่นหมายอะไร

    นี่แหละ อาหารอยู่กินหลับนอนนั้น เป็นอาหารของคนอื่นนั่นแหละ จงรู้หน้ารู้ตาของคนอื่นเสีย อย่าได้ให้จนเกินขอบเขต จึงให้อาหารตน นั่นแหละ ดีมาก

    อาหารตน คือว่า บำรุงส่งเสริมด้วยการเจริญธรรมให้เกิดมีขึ้น สมาธิธรรม นี่เป็นอาหารของตน ที่ค้นคว้าและกระทำประพฤติปฏิบัติให้เกิดมีแล้ว

    นี่แหละเป็นของผ่องแผ้ว เบิกบานเลื่อมใส รสชาติของบุญเป็นอย่างนี้ นี่เป็นบุญ โลกียบุญขั้นต้น ถ้าเป็นผล โลกุตรบุญนั้นก็ยอดเยี่ยมเยือกเย็นขึ้นไปกว่านี้ ไม่มีสิ่งใดที่เสมอเหมือน

    ฉะนั้น นักปราชญ์เจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานหญิงชายท่านได้ดื่มรสของโลกุตรอาหารแล้ว ธรรมอันเลิศเกิดขึ้นที่จิตแล้ว

    อะนุตตะโร เป็นดวงจิตยอดเยี่ยม เยี่ยมหาสิ่งใดเสมอไม่มี

    โลกัสสันโต เป็นที่สุดแห่งโลกทั้งสาม ไม่มีทั้งนั้น นั่นแหละ

    อาโลโก สว่างโลกทั้งวันคืน เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญยังท้องฟ้าให้สว่างฉันนั้น อันนี้แหละ สิ่งใดที่จะเสมอเหมือนไม่มี

    โลกุตรกุศลธรรมอันเลิศประเสริฐแท้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ฟ้าผ่าห่ากินไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ โลกสะท้านหวั่นไหว ไม่มีสิ่งใดให้หวั่นไหว กระทบกระแทกแดกดัน ไม่มี อันนี้ข้อสำคัญ ดีเลิศ

    ฉะนั้น จงรีบเร่งซอกไซ้แสวงหาอาหารมาบริโภคให้เต็มที่เสียอย่าให้คนอื่นนี่ล่วงเลยไปสู่สภาพความแก่เสียเปล่า อย่าให้คนอื่นล่วงเลยไปสู่สภาพความเจ็บเสียหวัง อย่าให้คนอื่นล่วงเลยไปสู่สภาพตาย เสียหวัง

    ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้นะ เอาตนก็ไม่ได้ เอาอะไรก็ไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะผัดผ่อนได้ ไม่อยากตายก็จำใจต้องตาย จะพาพวกพ้องสมบัติทรัพย์สินทั้งปวงไปด้วยก็หาได้ไม่ เขาทั้งหลายจะติดตามไปด้วยก็หาได้ไม่ เมื่อดวงจิตออกจากร่างแล้ว ไม่มีอะไรทั้งนั้น

    ปี ๒๔๙๔ ตายอยู่เพชรบูรณ์ ตั้งแต่ ๖ โมงเช้าสิ้นลม จิตออกจากร่าง ก็ดูแล้ว ไม่มีอะไร มีแต่บุญเก่าและบุญใหม่เท่านั้น เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์นุ่งห่มสวยงาม เครื่องบริขารนอกนั้นก็ปกปิดร่างกาย ร่างกายนอนเหยียดอยู่เหมือนขอนกลางไร่ ไม่มีอะไร จะพูดจาพาทีก็ไม่ได้ นั่นแหละ ก็สิ้นสงสัย จึงได้ความว่า ภพชาติสังขารโลกคือหมู่สัตว์ มาแต่ภพปางก่อนก็มาแต่เราคนเดียวเปลี่ยวใจ

    ที่เป็นเพื่อนติดตามมาก็คือ บุญกุศล คุณงามความดีที่สะสมไว้ มาภพนี้ ชาตินี้ ได้สมบัติที่พึงพอใจ คือ มนุษย์ชาติสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่ขาดตกบกพร่อง จะไปสู่โลกหน้าอีก ก็มีแต่เราคนเดียวเปลี่ยวใจ มีกุศลธรรมที่สะสมไว้เท่านั้นเป็นเพื่อน นอกนั้นไม่มี

    ฉะนั้น ทุกท่าน ผู้ใคร่ธรรมทั้งหลาย จงรีบเร่งทำความเพียร อดนอน ผ่อนอาหาร ให้มันได้ อย่าให้วัน คืน ปี เดือน ล่วงไปเสียเปล่า จะเสียหวัง ที่ได้ภพชาติอันดีเลิศประเสริฐแท้ และได้มาบวชในศาสนาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว

    จงยึดเอา วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ มาฝังไว้ในให้แน่นติดกับจิตใจกับกาย อยู่อย่างนั้น ต่อแต่นั้นไป สิ่งที่เราใคร่นั้นนะ มนุษย์สมบัติ นิพพานสมบัติ คุณสารสมบัติใดนั้น

    พระโสดาปัตติผล พระสกิทาคามีผล พระอนาคามีผล และพระอรหัตตผล นั้น นั่นแหละ เป็นสมบัติของศาสนาพุทธ เราผู้มีความเพียรจะได้เป็นเจ้าของ ของสมบัติเหล่านั้นโดยไม่ผิดหวัง ดังพรรณามานี้ ก็สมควรแก่กาลเวลา ขอยุติกาลเอาไว้แต่เพียงนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...