เอ็นจีโอ-นักอนุรักษ์-โลกไซเบอร์ ต้านสร้างเขื่อนแม่วงก์

เอ็นจีโอ-นักอนุรักษ์-โลกไซเบอร์ ต้านสร้างเขื่อนแม่วงก์

<!-- <iframe src="http://hilight.kapook.com/view/fb_button.php?id=70359" scrolling="no" frameborder="0" allowTransparency="true" style="border:none; overflow:hidden; width: 80px; height: 100px;"></iframe>
//-->



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก กรมประชาสัมพันธ์

เอ็นจีโอ-นักอนุรักษ์ และโลกไซเบอร์ รุมคัดค้านมติ ครม. ให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ แก้น้ำท่วม-น้ำแล้ง ชี้กำลังทำลายป่า และไม่สามารถแก้น้ำท่วม น้ำแล้ง ได้จริง จวกไม่ยอมรับฟังความเห็นภาคประชาชน

ยังคงเป็นประเด็นต่อเนื่อง หลังจากที่เมื่อวันที่ 10 เมษายน คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยให้เหตุผลว่า จะได้ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งได้นั้น ปรากฏว่า หลังจากนั้นก็ได้มีภาคเอ็นจีโอ และนักอนุรักษ์เครือข่ายต่าง ๆ ออกมาคัดค้านโครงการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก รวมทั้งประชาชนที่ไม่เห็นด้วยต่างก็ตั้งกลุ่มขึ้นมาในหน้าเฟซบุ๊ก

อย่างเช่น นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร คือหนึ่งในผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ซึ่งเขาระบุว่า ทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และองค์กรด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ติดตามปัญหาเรื่องเขื่อนแม่วงก์มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี และมีความเห็นว่า การอนุมัติให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ตามมติ ครม. เป็นการตัดสินใจที่ขาดความรัดกุม และไม่มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากภาคสังคม รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่าง ๆ ซึ่งอาจจะทำให้คนมองข้ามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นไป

ด้านนายภานุเดช เกิดมะลิ ผู้จัดการโครงการจัดการพื้นที่คุ้มครองอย่างมีส่วนร่วมในฝืนป่าตะวันตก มองว่า หากมีการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เขื่อนดังกล่าวก็จะกักเก็บน้ำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์ พื้นที่อำเภอแม่วงก์ อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จะถูกน้ำท่วม มีลักษณะลาดเท จึงเป็นแอ่งรับน้ำจากพื้นที่ทางตอนบน ลักษณะเช่นนี้ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งรวมของลำน้ำอีกหลายสายไหลมาบรรจบกันกับแม่น้ำวงก์ ปริมาณน้ำจึงมีมากในพื้นที่บริเวณลุ่มต่ำ

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลต้องการจะแก้ปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้ง นายภานุเดช แนะนำว่า รัฐบาลต้องรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนอย่างจริงใจ และให้กรมชลประทานศึกษาเรื่องการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ ดีกว่ามาเสนอให้สร้างเขื่อนขนาดใหญ่เป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น

ขณะที่นางสาวรุ้งนภา พูลจำปา นักวิจัยกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ) ประเทศไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนแม่วงก์ เพราะในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์เป็นที่อยู่อาศัยของเสือโคร่งจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันนี้ ทั้งโลกเหลือประชากรเสือโคร่งไม่ถึง 3,200 ตัว ส่วนในประเทศไทยเหลือไม่ถึง 250 ตัว รวมทั้งยังเป็นสถานที่ฟื้นฟูกระจายพันธุ์นกยูงให้กลับสู่ป่า หากสร้างเขื่อนแม่วงก์จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสมดุลทางระบบนิเวศ และทำให้สัตว์ป่าหายากสูญพันธุ์

ทั้งนี้ นอกจากองค์กรข้างต้นแล้ว ก็ยังมีกลุ่มอดีตนักศึกษาที่เคยทำกิจกรรมในนามคณะกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม 16 สถาบัน หรือ กคอทส. ออกมารวมตัวกันเพื่อคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้ได้พูดคุยสื่อสารกันในเฟซบุ๊ก กคอทส. (กลุ่มอดีตนักศึกษาที่เคยและไม่เคยทำกิจกรรมร่วมกับ คอทส.) ก่อนจะตัดสินใจออกมารณรงค์เรื่องดังกล่าว ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อบอกกล่าวให้คนภายนอกได้รับรู้ และแสดงจุดยืนคัดค้านโครงการที่ทำลายธรรมชาติ

นอกจากนี้ กลุ่ม กคอทส. ยังได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ฉบับที่ 1 โดยเรียกร้อง 2 ข้อ คือ หนึ่ง ขอให้รัฐบาลยกเลิกมติ ครม. ที่อนุมัติให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ พร้อมเสนอให้กรมชลประทานกลับไปศึกษาการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ และสอง รัฐบาลจะต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเป็นรูปแบบ เพราะที่ผ่านมา การดำเนินโครงการใหญ่โดยไม่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนได้สร้างปัญหาความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดของคนในสังคมมาโดยตลอด

ด้านนายสมศักดิ์ สุนทรนวภัทร นักอนุรักษ์ ที่ทำงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระดับท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง ก็ได้แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊ก Somsak Soonthornnawaphat โดยระบุว่า การสร้างเขื่อนแม่วงก์ จะทำให้ป่าสักผืนสุดท้ายที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งอยู่ภายในพื้นที่ป่าอนุรักษ์อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ถูกทำลายไปจนหมด

นอกจากนั้น นายสมศักดิ์ ยังมองว่า การสร้างเขื่อนแม่วงก์ยังไม่มีอะไรมารับประกันว่า เขื่อนจะสามารถกักเก็บน้ำให้เพียงพอใช้ใน 22 ตำบลตามที่กล่าวอ้าง ส่วนที่ว่าเขื่อนจะสามารถป้องกันน้ำท่วมได้นั้น ตนยิ่งไม่เห็นด้วย เพราะจากตัวอย่างเขื่อนทับเสลาและเขื่อนคลองโพธิ์ที่สร้างอยู่ใกล้ ๆ กัน ก็ยังแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ และปริมาณน้ำจากเขื่อนแม่วงก์ไหลลงสู่ภาคกลางก็แค่เป็นส่วนหนึ่งที่น้อยนิด เมื่อเทียบกับน้ำที่มาจากส่วนอื่น ๆ

"ถ้าจะลดปัญหาน้ำท่วมและทุเลาความแห้งแล้ง เอางบประมาณก่อสร้าง 13,000 ล้านบาท ไปกระจายสร้างอ่างเก็บน้ำ หรือฝายกั้นน้ำขนาดเล็กให้ครอบคลุมทุกพื้นที่จะดีกว่า รับรองว่างบประมาณมากมายขนาดนี้จะสามารถกระจายอ่างและฝายได้ทั่วถึงทุกพื้นที่ในลุ่มน้ำแม่วงก์ได้แน่ ๆ และจะมีประโยชน์มากกว่า ป่าก็ไม่เสีย และใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่ามากกว่า....ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนด้วย...แล้วนักการเมืองในพื้นที่ว่าไง.???" นายสมศักดิ์ เสนอแนวทางแก้ปัญหาทิ้งท้ายไว้

ขณะที่ความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ ก็ได้มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่พอทราบข่าวว่า ครม.อนุมัติให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ และเกิดความรู้สึกไม่เห็นด้วย จึงได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาในเฟซบุ๊ก เพื่อแสดงจุดยืนที่จะปกป้องธรรมชาติ และรักษาผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์เอาไว้ อย่างเช่น กลุ่มประชาชนผู้คัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ , กลุ่มหยุด!!! เขื่อนแม่วงก์ STOP DAM เป็นต้น


��繨���-�ѡ͹��ѡ��-�š������� ��ҹ���ҧ����͹���ǧ�� ������ä�

 

สร้างฝายเก็บน้ำเล็ก ๆ ตามแนวพระราชดำริดีกว่าค่ะ
สามารถชะลอน้ำในหน้าฝน หน้าแล้งก็มีน้ำไว้ใช้ ไม่ทำลายสัตว์ป่า

http://www.rakbankerd.com/agriculture/open.php?id=2177&s=tblplant

 

ผมอยากจะแนะนำรัฐบาลว่าคุณมีศัตรูอยู่หลายกลุ่มซึ่งแต่ละกลุ่มก็พร้อมจะร่วมวงศ์ไพบูลย์อย่างสมัครสมานสามัคคีเพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องใดที่มันสร้างกระแสได้แบบเนื้อๆแต่หากเป็นเรื่องเขื่อนนอกจากคุณจะมีแนวร่วมเพื่องานสหบาทาแล้วมันยังเป็นประเด็นที่จุดติดง่ายเสียด้วย จะแดร๊กอะไรก็ดูตาม้าตาเรือซะมั้ง

 

เหอๆค้านไปทั่ว คนได้ประโยชน์มีเยอะแยะ

 

จะเข้ามาหาอะไรไปวิจัยอีกล่ะ

 

เมื่อคืนนั่งดูคุณจอมขวัญสัมภาษณ์ จากปากของบริษัททีม ที่ปรึกษากรมชล บอกเองเลยว่าสามารถลดปัญหาน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้ 1 % ใช้งบลงทุน 13,000 กว่าล้าน ตัวเขื่อนเองแค่ประมาณ 2,xxx ล้าน นอกนั้นเป็นค่าใช้จ่ายในการวางระบบชลประทานเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก(รุกป่าเพิ่ม?) ได้เขื่อนเก็บน้ำได้ 250-300ล้าน ลบ.ม. แต่ต้องแลกกับพื้นที่ๆสมบูรณ์มากขนาดสามารถนำไปขึ้นเป็นป่ามรดกโลกได้? และเป็นแผนป่าที่สมบูรณ์แหล่งเกือบๆจะสุดท้ายอยู่แล้ว

อยากให้ท่านส.ส. ผู้ทรงเกียริติช่วยพิจารณาให้หนักหน่อย จะทุ่มเงิน 13,000ล้านเนี่ยอย่างน้อยควรจะแก้ปัญหาได้ 10-20% ของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและต้องไม่ไปเบียดเบียนธรรมชาติมากเกินไปแบบนี้

ในอีกแง่นึง ทำไมคนเราถึงอยากแก้ปัญหากันที่ปลายเหตุ ทั้งๆที่ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งต้นเหตุส่วนหนึ่ง เกิดจากเราไม่มีผืนป่าซับน้ำเนื่องจากป่าลดลงอย่างมาก เราไปแก้โดยลดพื้นที่ป่าเพื่อสร้างเขื่อนอีกแล้วก็ต้องเจอภัยแล้งตามมา พอหน้าฝน น้ำมามากก็ท่วมอีกวนลูปไม่จบสิ้น แทนที่จะแก้โดยการปลูกป่าชดเชยและบูรณาการณ์พื้นที่เพาะปลูกอย่างเป็นระบบใช้งบประมาณน้อยกว่าแถมแก้ปัญหาระยะยาวได้จริง

 

แล้วที่ในหลวงท่าน ให้สร้างแก่งเสือเต้น แล้ว เอ็นจีโอก็โผล่หมายความว่าไง หรอ

 

เขื่อนแก่งเสือเต้นเป็นมติคณะรมต.อภิสิทธิ์โดยเสธฯ สนั่น ขจรฯ ไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ท่าน

 

พระเจ้าอยู่หัว.ป้องกันน้ำท่วม.2538.2ชม. - YouTube