น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    อุเบกขา.


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2007
  2. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ผมไม่นึกว่า กระทู้นี้จะสามารถ ยืดยาว ยืนนาน จนตามอ่านได้ไม่หมดขนาดนี้
    ที่ผ่านมากระทบกระทั่งอะไรไป ไม่สุภาพ ก็ขออภัยด้วย

    ขอให้ท่าน เตชปัญโญ พิจารณา มหาสติปัฏฐานให้มาก

    กาย=พิจารณากายของเรา, กายของคนอื่น ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน

    เวทนา=พิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้นกับเรา, กับคนอื่น ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน

    จิต=พิจารณาจิตของเรา, ของคนอื่น ว่าวอกแวกสับส่าย ปนไปด้วยกิเลส ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

    ธรรม=พิจารณาธรรมารมณ์ของเรา, ของคนอื่น ว่าทุกขารมณ์ สุขารมณ์ อัพยากตารมณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

    การทำให้มากซึ่งมหาสติปัฏฐานสี่ จะเกิดปัญญาญาณ ขัดเกลาจิตให้แจ่มใส ปราศจากกิเลส
    เอาแค่ก้าวเข้าสู่ทางพระนิพพานเมื่อไหร่ คุณจะไม่ปฏิเสธธรรมของพระพุทธเจ้าเลย

    หากยังมีข้อสงสัยในเรื่องความเชื่ออยู่ ให้ดูในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นติรฉานกถา, ชาดก, นวโกวาท, วิสุทธิมรรค, พระไตรปิฎก

    ขอย้ำว่า สัพพัญญูตญาณ ห่างไกลจากคำว่า คิดอย่างพระพุทธเจ้า หรือคนธรรมดาจะวินิจฉัยได้ หากพระองค์ใดไม่ได้พระอรหันตปฏิสัมภิทาญาณ จะไม่มีใครกล้าวิเคราะห์วิจารณ์พระไตรปิฎกเลย พระอรหันต์ทุกองค์ต่างยอมรับพระไตรปิฎกกันทั้งสิ้น
    ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีใครกล่าวว่าพระไตรปิฎกผิด หรือพระพุทธเจ้า เอออวย ตามชาวบ้าน พระพุทธเจ้านะท่าน มีสัพพัญญูตญาณ และมีความรู้มากกว่าพระอรหันตปฏิสัมภิทาญาณรวมแล้ว 6 อย่าง แล้วชาวบ้านเป็นใคร พระพุทธเจ้าต้องเอออวยด้วย ท่านกลับด่าเอาเสียอีก สำหรับพระที่ไม่ปฏิบัติ พราหมณ์ที่ไม่ปฏิบัติ อย่าลืมนะ ในสมัยนั้นมีนิกายต่างๆ มีความเชื่อต่างๆ มีพฤติกรรมมากมายกว่า 80 แบบ อย่างนี้พระพุทธเจ้าต้องเอออวยกับเค้าด้วยสิ

    *กราบขอขมากับคำว่า พระพุทธเจ้าเอออวย ที่ลูกกล่าวไป ขออย่าได้เป็นเวรกรรมใดๆ แก่ลูกเลย
    สัพพัง อัปราทัง ขมถะเม ภันเต อุกาสะ ทวารัตเย นะ กะตัง
    สัพพัง อัปราทัง ขมถะเม ภันเต อุกาสะ ขมามิ ภันเต
     
  3. norasit114

    norasit114 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +117
    เฮ้อทำไมพระอริยท่านมากมายเล่าเรื่องกฎแห่งกรรม เจอเทวดา เจอผี พูดถึงนิพพาน ทำไมไม่นำมาเป็นคำสอนเพราะทุกท่านไปทางเดียวกัน แต่มีพระบางท่านเข้าใจว่าผีไม่มีเทวดาไม่มีนรกไม่มี ทำไมนำมาใช้สอน สงสารคนที่เข้าใจศาสนาผิดเป็นมิจฉา แล้วเมื่อไหร่อีกกี่อสงไขย กี่กัปจะได้มาเจอพุทธศาสนาอีกน่าสงสารคนที่เข้าใจว่านรกสวรรค์ไม่มีจริง จะต้องรออีกเท่าไรจึงจะได้กลับมาอีก ถ้าบางท่านบอกว่าเทวดาไม่มีผีไม่มี คงจะไม่เคารพอริยสงฆ์ที่ท่านกรุณาเล่าให้ฟัง นับเป็นร้อยๆท่าน แต่มีพระบางท่านขอเน้นบางท่านบอกว่าไม่มี
     
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ผู้ชี้ขุมทรัพย์
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p< face="AngsanaUPC" O:pอานนท์. เราจะไม่พยายามทำกับพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
    เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
    อานนท์ .เราจักขนาบแล้วขนาบอีก
    ไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้
    คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใดๆที่คอยชี้โทษ คอยกล่าวคำขนาบ
    อยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์ละ
    ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น เมื่อคบหากับ
    บัณฑิตชนิดนั้นอยู่ ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย.
    ************************
    แก้ปัญหาเด็กติดเกมส์ด้วยสมาธิ
    http://www.whatami.8m.com/lum/lum80.html

    ************************
    </O:p<>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2007
  5. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    ...

    กราบเรียนพระอาจารย์และชาวพลังจิตอย่างเป็นกลางนะครับ


    พระอาจารย์ไม่ควรพูดค่อนแคะถากถาง คนที่ไม่รู้(ตามความคิดของท่าน) ท่านควรบอกกล่าวอย่างมีเมตตานะครับ เพื่อรักษาศีลของท่านเองให้บริสุทธิ์

    และสมาขิกเวปพลังจิตควรให้อภัยท่านเถอะครับ ต่างคนต่างความคิด

    แต่ถ้าเห็นว่าสิ่งที่พระเตชปญโญ ภิกขุพูดมาไม่ถูกต้องและอาจทำให้พุทธศาสนาบิดเบือนได้ ก็ควรช่วยกันรักษาของเดิมไว้


    -------------


    ปล.ผมได้เข้าไปอ่านบทความ แก้ปัญหาเด็กติดเกมส์ด้วยสมาธิแล้วครับ


    เข้าใจครับว่าพระอาจารย์อยากช่วยสังคมในฐานะที่เป็นพระ อันนี้ยอมรับว่าดีครับ


    แต่ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือ วิธีของท่านบอกเพียงว่ามีข้อดียังไง แต่ยังไม่มีอุบายในการชักจูงให้เด็กนั่งสมาธิโดยสมัครใจได้ครับ ถ้าอยู่ดีๆจับให้เด็กนั่งสมาธิคงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะธรรมชาติของเด็กไม่อยู่นิ่ง

    อันนี้ไม่ได้ติท่านนะครับ แต่อยากให้ท่านช่วยคิดวิธีเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่หน้าที่ท่านคนเดียว แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนซึ่งก็ควรช่วยกันทำประโยชน์เพื่อสังคมเท่านั้นละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2007
  6. กิเลศเยอะ

    กิเลศเยอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +676
    ถ้าไม่เชื่อก็อย่าใส่บาตร
    อย่าสวดมนต์
    อย่ากราบไหว้พระนะครับ
    พวกที่บอกว่าสวรรค์อยุ่ในอกนรกอยู่ในใจ
    ทำไม่ได้สักคนหรอก
    เพราะคนเรายังมีกิเลศ
    ดีแต่พูดเท่านั้นแหละ
    ชีวิตคนเหมือนแสงเทียนก็จริงอยู่
    พอตายแล้วแสงเทียนนั้นก็จะดับไป
    แต่ เมื่อแสงเทียนดับแล้วก็ยังจะมีควันให้เห็นอยู่นะจ้ะ
    วิทยาศาสตร์ก็ให้คำตอบได้อยุ่แล้วตามกฎที่พลังงานไม่มีวันสูญสลายแต่จะเปลี่ยนรูปเศร้าจัง
     
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    <CENTER>
    เรื่อง ชาล้นถ้วย<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    <HR align=center width="50%" SIZE=1>

    อาจารย์และโปรเฟสเซอร์ที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศไปหาอาจารย์น่ำอินเพื่อขอศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างเซ็น.<o:p></o:p>
    ในการต้อนรับ ท่านอาจารย์น่ำอินได้รินน้ำชาลงในถ้วย รินจนล้นแล้วล้นอีกโปรเฟสเซอร์มองดูด้วยความฉงน ทนดูไม่ได้ก็พูดโพร่งออกไปว่า "ท่านจะใส่มันลงไปได้อย่างไร?" ประโยคนี้ก็แสดงว่า โมโห ท่านอาจารย์น่ำอินจึงตอบว่า "ถึงท่านก็เหมือนกัน อาตมาจะใส่อะไรลงไปได้อย่างไรเพราะท่านเต็มอยู่ด้วยความคิดความเห็นตามความยึดมั่นของท่านเองและมีวิธีคิดคำนวนตามแบบของท่านเองสองอย่างนี้แหละมันทำให้เข้าใจพุทธศาสนาอย่างเซ็นไม่ได้ เรียกว่าชามันล้นถ้วย.<o:p></o:p>



    </CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2007
  8. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    http://www.whatami.8m.com/lum/lum79.html

    จากบทความในเวปด้านบนอ่านแล้วน่่ากลัวจริงๆครับ ผมกลัวว่าศาสนาพุทธจะถูกบิดเบือนไปมากกว่านี้
    ผมอ่านแล้วเหมือนท่านเตชปญฺโญ ต้องการเอาใจคนต่างชาติมากๆ อะไรที่คนต่างชาติเค้าชอบ ท่านก็ว่าดี ส่วนคนไทยที่เชื่อเรื่องนรก,สวรรค์ หลังจากตาย เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า ท่านบอกว่าถูกครอบงำ เป็นพวกงมงาย ไร้สาระ..... และยังมีบทความที่ท่านปฏิเสธพระไตรปิฏกอีก
    อย่างนี้จะให้ผมเชื่อท่านได้อย่างไรล่ะครับท่านเตชปญฺโญ.
     
  9. น้อมโลกธรรม

    น้อมโลกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +154
    เข้ามาอ่านพิจารณาข้อมูลอย่างเดียว ยังไม่ขอร่วมวิจารณ์ว่าใครผิดใครถูกล่ะครับ ใจไม่แข็งพอ :)
     
  10. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    ข้าพเจ้าไม่รู้ธรรมขั้นลึก ไม่ได้เรียนเปรียญธรรมใด ๆ ไม่มีฌาณ ที่แยกแยะได้ชัดขนาดว่ามีอยู่ สวรรค์-นรก หรือว่าไม่มีอยู่ ได้แต่ฟัง อ่าน มาตามที่มีผู้บอกเล่า และสรุปจากหลักฐานในพระไตรปิฎกที่ไม่ได้ปฏิเสธนรก-สวรรค์ (แม้ไม่ได้สรรเสริญ) พร้อมกับ ประสบการณ์ของครูบาอาจารย์ รวมทั้งพระสงฆ์ หลายรูป บางรูปที่ท่านมรณภาพแล้วฟื้นขึ้นมาเล่าอย่างละเอียด ประสพการณ์ของคนที่ตายแล้วฟื้นมีมากมายให้ซักถาม- ที่มีประสบการณ์และยังมีชีวิตอยู่เช่น พระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช วัดภูลังกา บึงโขงหลง หนองคาย - เดินทางไปสอบถามท่านได้ (ท่านจะเล่าอย่างละเอียด เล่าแม้กระทั่ง ว่าเห็นนรก ขุมหนึ่งจัดไว้เฉพาะ พระเณร ที่ประพฤติผิดวินัย มีมิจฉาทิฐิ มีผ้าเหลืองแขวนอยู่บนราวเป็นแนวยาว เพราะผ้าเหลืองไม่ลงนรก แต่ตัวคนที่ไม่ใช่พระ-เณร ลงไป เรื่องนี้ ตรงกับประสบการณ์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำและหลวงปู่คำคะนิงเห็น หาอ่านได้ทั่วไป)

    ในพุทธประวัติมีการพูดอ้างอิงถึงสวรรค์ดาวดึงส์ ดุสิต พระยามาร
    หากไม่มีจริงพระสูตรเป็นการแต่งขึ้นใหม่หมดเลยหรือ

    จิต เจตสิก รูป นิพพาน ในพระอภิธรรม เป็นเรื่องไม่มีอยู่จริงหรือ

    สาวกรุ่นหลังพุทธกาลไม่กี่ปี มีสัพพัญุตญาณและกล้าพอที่จะเปลี่ยนแปลงพระพุทธธรรมทั้งหมดเลยหรือ

    (หากยังสงสัยว่าพระอภิธรรมไม่ใช่พุทธพจน์แนะนำให้อ่านหนังสือของท่านพระอาจารย์ คันธสาราภิวงศ์ วัดท่ามะโอ www.wattamaoh.com)

    โดยสรุปรวมๆ จากหลักฐานทั้งหมดที่เป็นแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือได้ รวมถึงประสบการณ์การปฏิบัติของพระอริยะมหาเถระเช่นหลวงปู่มั่น ซึ่งธรรมที่ท่านสอนไม่ใช่สัทธรรมปฏิรูปแน่นอน

    ข้าพเจ้าจึงขอยืนยันว่า ยังคง เชื่อเรื่องกรรมและวิบากคือผลของกรรม การมีสวรรค์-นรก นิพพาน
    จะยังคงสวดพระสูตรที่มีการกล่าวถึง สวรรค์ เช่น ธรรมจักกัปปวัตตนสูตรต่อไป แม้ไม่เคยเห็นด้วยตนเองก็ตาม
    แต่เพราะสูตรนี้สอนให้เห็นทุกขสัจจะทำให้เราได้พิจารณาจิตตน
    การได้ท่องแค่ ปิเยหิ วิปปโยโค ทุกโข อปิเยหิ สัมปโยโค ทุกโข ข้าพเจ้าก็รู้ได้ด้วยตนเองแล้วว่า ทุกข์นั้นลดลงไปได้จริง

    อนูปวาทโท การไม่กล่าวร้าย อนูปฆาโต การไม่ทำร้าย
    เอตังพุทธานะ สาสะนัง นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    ข้าพเจ้า ไม่เรียกร้องใครให้เชื่อตาม และไม่ปฏิเสธความเชื่อของใคร

    เพราะธรรมะ นั้นเมื่อปฏิบัติแล้วเป็นปัจจัตตัง จริง ๆ จึงไม่สงสัย ไม่ลังเล ใน พระธรรมต่ออีก และนำให้เห็นพระพุทธองค์อย่างแท้จริง เพราะ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"
     
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    หลักความเชื่อ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    พุทธศาสนาจะมีคำสอนอยู่ ๒ ระดับ คือ<o:p></o:p>
    (๑) ระดับศีลธรรม ซึ่งเป็นคำสอนเรื่องการดำเนินชีวิตของผู้ครองเรือน ซึ่งไม่เน้นเรื่องความเชื่อ คือใครจะเชื่ออย่างไรก็ได้ ขอว่าให้ทำดีและอย่าทำชั่วก็แล้วกัน เมื่อผู้คนส่วนใหญ่มีศีลธรรม สังคมก็จะสงบสุข โลกก็มีสันติภาพ <o:p></o:p>
    (๒) ระดับสูง ซึ่งเป็นคำสอนเรื่องการดับทุกข์โดยตรง ซึ่งในเรื่องการดับทุกข์นี้พุทธศาสนาจะเน้นเรื่องความเชื่อมาก คือพระพุทธเจ้าจะทรงสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ โดยมีหลักในการสร้างความเชื่อดังนี้<o:p></o:p>
    ๑. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าฟังจากคนอื่นเขาบอกต่อๆกันมา<o:p></o:p>
    ๒. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าเห็นเขาทำตามๆกันมา<o:p></o:p>
    ๓. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าผู้คนกำลังเล่าลือกันอยู่<o:p></o:p>
    ๔. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่ามีตำราอ้างอิง<o:p></o:p>
    ๕. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่ามีเหตุผลตรงๆมารองรับ(ตรรกะ)<o:p></o:p>
    ๖. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่ามีเหตุผลแวดล้อมมารองรับ(ปรัชญา)<o:p></o:p>
    ๗. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่านึกเดาเอาตามสามัญสำนึกของเราเอง<o:p></o:p>
    ๘. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่ามันตรงกับความเห็นเดิมที่เรามีอยู่<o:p></o:p>
    ๙. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าผู้พูดผู้สอนนี้อยู่ในฐานะที่น่าเชื่อถือ<o:p></o:p>
    ๑๐. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าผู้พูดผู้สอนนี้เป็นครูอาจารย์ของเราเอง<o:p></o:p>
    เมื่อพบคำสอนใดก็ให้นำมาพิจารณาดูก่อนว่ามีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าเห็นว่ามีโทษก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่าไม่มีโทษและมีประโยชน์ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าปฏิบัติเต็มที่แล้วความทุกข์เพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง ก็ให้ละทิ้งอีกเหมือนกัน แต่ถ้าปฏิบัติแล้วมีผลเป็นความทุกข์ดับลงจริง ก็ให้รับเอามาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นไป<o:p></o:p>
    สรุปได้ว่าความเชื่อจากผู้อื่นและแม้จากเหตุผลหรือจากสามัญสำนึกของเราเองนั้นจะยังเชื่อไม่ได้ เพราะมันอาจที่จะเกิดความผิดพลาดมาก่อนแล้วก็ได้ หรืออาจถูกเปลี่ยนแปลงมาก่อนแล้วก็ได้ทั้งสิ้น จะต้องมีการพิสูจน์จนได้รับผลเป็นความดับลงของทุกข์จริงๆก่อนจึงค่อยปลงใจเชื่อ ซึ่งนี่แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรามีอิสรภาพทางสติปัญญา ไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของใครๆแม้กับพระพุทธเจ้าเองก็ตาม ซึ่งจะเป็นไปได้ด้วยการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2007
  12. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ขำจริงๆ

    5555
    คุณ brushed สมาชิก ไม่รู้โพสอะไรอ่ะ ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจเลยจริงๆ 5555
    ผมคงลบกระทู้นี้ไม่ได้นะครับ เพราะต้องใช้ความคิดเห็นจากหลายฝ่าย อาจมีข้อความไม่เหมาะสมบ้าง ก็ขอให้ทุกท่านพิจารณากันเอง

    หากผมทำอะไรผิดพลาดน่าติติงก็ช่วยเตือนด้วย และขออภัยด้วย

    -
    คุณเตชะปัญโญ ไม่ทราบว่าเคยทำสมาธิหรือฌานให้เกิดหรือยัง
    -
    หากคุณทำได้แล้วคงไม่ต้องไปถามใคร คงไม่ต้องไปเถียงหรือกล่าวว่าพระไตรปิฎกผิดหรือถูกบิดเบือน
    -
    เพราะพระพุทธเจ้าก็สอนวิธีพิสูจน์ไว้แล้ว
    -เพียงแต่คุณทำตามได้หรือไม่
    -หากคุณไม่ทำตามหรือทำตามไม่ได้
    -ก็ไม่ควรหาเหาใส่หัว หาบาปใส่ตัว
    -ถ้าคุณทำสมาธิหรือฌานให้เกิดได้แล้ว
    -ขอให้ฝึกฝนต่อไปในด้านการอธิฐานฤทธิ์
    -แล้วคุณจะหมดข้อสงสัย
    -การที่ผมมั่นใจขนาดนี้
    -เพราะผมทำมาแล้ว
    -ทำได้แล้ว
    -เห็นผลแล้ว
    -มีพยานและหลักฐาน เป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม
    -แต่อย่าเข้าใจผิดว่าผมมีฤทธิ์ทำได้ทุกอย่าง
    -ผมทำได้บางอย่างเท่านั้น
    -ขอให้คุณตั้งใจทำ
    -ผลที่ได้ย่อมเป็นผลดีตกแก่ตัวคุณเอง
    -และชาวบ้านก็จะมีผลพลอยได้ คุณจะได้เป็นเนื้อนาบุญของชาวบ้าน
    -และยกตัวออกจากอบายได้
    ขอเตือนสติมาเท่านี้
    เพราะคุณบอกว่าต้องพิสูจน์ก่อนใช่ใหม ดังนั้นขอให้คุณพิสูจน์ตามนี้ และ....


    อย่าคิดว่าตัวทำไม่ได้
    คนอื่นจะทำไม่ได้
    ตัวไม่รู้ไม่เห็น อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่รู้ไม่เห็น
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    การพูดนั้นใครจะพูดอย่างไรก็ได้
    แต่คนอื่นจะรู้ได้อย่างไรว่าคนพูดนั้นพูดจริงหรือโกหก
    คนโกหกก็พูดว่าตนเองพูดจริง
    ส่วนคนไม่โกหกก็พูดว่าตนเองพูดความจริง
    แล้วคนฟังจะเชื่อใคร?
    ถ้าเชื่อใครก็แสดงว่าคนฟังโง่
    แต่ถ้าไม่เชื่อก็โง่อีก
    แล้วทำอย่างไรจึงจะฉลาด?
    ก็แค่ลองรับฟังแล้วนำเอาไปคิดพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลก่อน
    ถ้าเห็นว่าไม่ดีก็ทิ้งไป
    แต่ถ้าเห็นว่าดีก็ให้ลองเอามาปฏิบัติดู
    ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลก็ให้ทิ้งไปอีก
    แต่ถ้าได้ผลก็ให้ปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไป
    แต่ก็ยังเชื่อตนเองโดยไม่เชื่อใครๆอยู่นั่นเอง
    www.whatami.5u.com

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2007
  14. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ฌานคืออะไร?เกิดขึ้นได้อย่างไร?<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ฌาน แปลว่า เพ่ง หรือ การเพ่ง ซึ่งการที่เราตั้งใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2008
  15. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    นมัสการ ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ

    ผมขอถามนอกเรื่องนิดนึงนะครับ คือถ้าผมจะบวชแบบไม่ต้องมีพิธีอะไรนี่ได้มั่ยครับ?
    (ประมาณโกนหัว เข้าวัดเลย) เพราะผมเห็นเพื่อนๆผมที่บวชมักจะมีเลี้ยงอะไรเยอะแยะ ผมมองไม่เห็นว่ามีประโยชน์อะไร รบกวนท่านช่วยตอบด้วยครับ หรือใครรู้ก็บอกด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ขอตอบปัญหาของคุณโยม manson810 สักนิด
    ก่อนอื่นเราต้องรู้จุดประสงค์ของการบวชที่แท้จริงก่อน
    คือการบวชที่แท้จริงนั้น เป็นการบวชเพื่อดับทุกข์
    แต่สมัยนี้เป็นการบวชตามประเพณี เพื่อรักษาศาสนา
    หรือบางคนบวชเพื่อเลี้ยงชีพ
    หรือบางคนบวชเพื่อแสวงหาลาภยศสรรเสริญ
    ซึ่งก็ยังมีส่วนดีตรงที่ได้ช่วยรักษาศาสนาเอาไว้ให้คนรุ่นต่อๆไป
    การบวชที่แท้จริงไม่มีพิธีรีตองอะไรเลย<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เพียงมีบาตร จีวร และบริขารครบก็ไปขอบวชจากพระอุปัชฌาย์ได้เลย
    พิธีต่างๆนั้นคนรุ่นหลังๆกำหนดกันขึ้นมาเอง
    อาจเพื่อให้คนได้สังสรรกันหรือเพื่อหวังเงินทำบุญก็ได
     
  17. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ขอบคุณ ท่านเตชปญโญ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2007
  18. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    เท่าที่ผมอ่านคำตอบจากคุณเตชปัญโญเนี่ย
    ทำให้ผมรู้ว่า คุณไม่ได้อ่านข้อความที่ผมเขียนแล้วไปพิจารณาอย่างถ่องแท้เลย
    และจากที่คุณเขียนเรื่องฌานนั้น ยิ่งทำให้ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ฌาน

    ฌานก็ไม่ได้
    ให้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ปฏิบัติ
    แล้วคุณจะพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

    จะกล่าวไปใยกับคนเช่น เตชปัญโญ ผู้มีอายุน้อยนี้ มีพฤติกรรมเช่นนี้
    ที่มากล่าวตู่พระไตรปิฎก ซึ่งทนต่อการพิสูจน์มานับ 2550 ปี

    สงสารแต่คนอ่าน บางท่านเท่านั้นที่เชื่อตาม โดยยังไม่พิสูจน์
    หากพิสูจน์ทำตามแล้ว คำว่า "ตนย่อมรู้ได้เฉพาะตน" ก็จะปรากฎทันที

    พูดมากเปลืองน้ำลายจริงๆ ... ไม่มีอะไรดีขึ้น
    คนอะไร้ ... ไม่มีคำบรรยายจริงๆ
     
  19. setsiri

    setsiri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +35
    อนุโมทนากับคุณยายทองประสาด้วยครับ
    ปสฺสติ ปสฺโส ปสฺสนฺตํอปสฺสนฺตญฺจ ปสฺสติ
    อปสฺสนฺโต อปสฺสนฺตํปสฺสนฺตญฺจ น ปสฺสติ
    ผู้เห็นย่อมเห็นทั้งผู้เห็นและผู้ไม่เห็น
    ส่วนผู้ไม่เห็นย่อมไม่เห็นทั้งผู้ไม่เห็นและผู้เห็น
    ..............................................................................
    สำหรับผู้เข้าใจผิดใน คำว่า ฌาณ กับ ญาณ
    1.ฌาณ4 ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญาใดใดทั้งสิ้นครับ ฌาณ 4 จนถึงอรูปฌาณ มีมาก่อนพุทธศาสนาแล้ว แต่ไม่สามารถประหารกิเลสใดๆได้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบว่าเหนือกว่าและประหารกิเลสได้คือ วิปัสสนาญาณ และสติปัฏฐานสี่
    ผู้ปฏิบัติจนเห็นตรงตามแล้ว จะไม่หลงว่า ฌาณ สามารถทำให้เกิดปัญญา และตัดกิเลสได้ ดังที่มาอธิบายผิดๆไว้ (ส่วนเรื่องเป็นฐานให้แก่วิปัสสนา ขอยกไว้ต่างหาก)

    2.ส่วน ญาณ เบื้องต้น "นามรูปปริเฉทญาณ" และ ญาณที่สอง "ปัจจยปริคคหญาณ" ผู้เริ่มฝึกวิปัสสนาจะไม่สงสัยเรื่อง ภพภูมิ นรกสวรรค์ แล้วครับ แม้ว่ายังไม่ใช่วิปัสสนาญาณยังไม่เกิดภาวนามยปัญญาเลยก็ตาม แต่เริ่มมีสัมมาทิฐฐิแล้ว

    ปัญญาใดที่ไม่ได้เกิดจากภาวนามยปัญญา ไม่ควรนำมาตอบครับ
    คำตอบใดเกิดจาก โลภะ โทสะ โมหะ คำตอบนั้นเป็นอกุศลกรรมครับ

    ก่อนหน้านี้คำตอบผมอาจมาจากสุตตมยปัญญาและจินตมยปัญญา
    ณ วันนี้ผมปฏิบัติต่อเนื่องด้วยความเพียร เห็นแจ้งด้วยปัญญาอันพระพุทธเจ้าตรัสสอนดีแล้ว มีจิตเป็นพระโดยแท้แล้ว
    พึงพิจารณาว่า กิเลสใดที่ละได้แล้ว และกิเลสใดที่ยังละไม่ได้

    ผู้มีพรหมวิหารธรรมที่เข้ามาช่วยชี้แนะทางที่ถูกที่ควร ผมขออนุโมทนาในคุณงามความดีและความเมตตาของท่านทั้งหลายด้วยครับ

    บุคคลบางจำพวกพระพุทธเจ้าท่านให้ละเสีย

    มรรคผลมีจริง (มรรคที่ตัดสังโยชน์ไม่ใช่มรรคเทียม) พระอรหันต์ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ผู้ที่ปฏิบัติอยู่ ขอให้เพียรต่อไปครับ สติปัฏฐานสี่ เป็นทางสายเอก ที่ลัดสั้นที่สุดในการไปให้ถึงนิพพาน

    ผมขอตอบตรงนี้ครั้งเดียวน่าจะหมดธุระ นะครับ ขอให้ทุกท่านที่ตอบสำรวจดูจิตของตนเองขณะตอบด้วยนะครับ ว่ามีโลภะ โทสะ โมหะ มากน้อยประการใด

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2007
  20. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    กราบนมัสการท่านเตชปัญโญภิกขุ

    ข้าพเจ้าคิดอยู่นานว่าควรแสดทัศนะหรือไม่ในทีสุดก็ตัดสินทำ

    ขอแค่ ครั้งเดียว

    หากท่านเชื่อในหลักกาลาม ก็คงจจะทราบว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงสนับสนุนให้เชื่อตำราและหลักตรรกะเหตุผลฉะนั้น
    ตำราท่านแต่งขึ้นควรบอกเด็กด้วยว่าอย่าเชื่อในทันทีที่อ่าน
    ตามหลักวิทยาศาสตร์(องค์ความรู้)หากสิ่งใดเขาไม่รู้หรือพิสูจน์ไม่ได้ เขาจะไม่ปฎิเสธว่าไม่มีจริง แต่เขาจะบอกว่าไม่มีข้อมูล และพร้อมพิสูจน์ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ในรัฐเซียและอื่นๆกำลังพยายามค้นคว้าและผลิตกล้องถ่ายภาพวิญญาณ
    อยู่

    อาจเป็นสิ่งสมควรที่จะปูพื้นฐานการศึกษาพุทธศาสนาด้วยศีล เพราะศีลคือคความปกติของคนปกติคนไมชอบให้ผู้อื่นเบียดเบียนตน ไม่ชอบให้คนขโมยของตนไม่ชอบคนพูดโกหกกับตนไม่ชอบให้คนแย่งคนรักไม่ชอบให้คนขาดสติมาเบียดเบียนตนเราก็ไม่ควรไปทำกับเขา องค์แห่งศีลจึงถูกกำหนดขึ้น

    พระพุทธเจ้าไม่ทรงปฎิเสธเรื่องนรกสวรรค์เพราะคนสมัยพุทธกาลมีจริตเข้าถึงสิ่งนั้นได้ง่ายแต่พระพุทธองค์ก็ทรงกำหนดอจินไตย 4 อันเป็นหลักที่ปุถุชนไม่ควรคิดเอาไว้

    ท่านเป็้นปราชญ์ ผู้หนึ่ง ท่านไม่ควรปฎิเสธสิ่งที่ไม่รู้ว่าไม่มี
    ตาเนื้อคนรามองเห็นรูปเฉพาะในเรงจ์ของแสงที่กำหนดเท่านั้นสิ่งที่ตาคนไม่เห็นก็มีเช่นคลื่นไมโครเวฟ รังสีคลอสมิค
    จมูก ลิ้น กาย ใจก็เช่นเดียวกันจะรับบได้แค่สเป็้คซิฟิกเรงค์เท่านั้น สิ่งนี้นักวิทย์เขารู้ดี
    ถ้าจะเอาตามหลักวิทย์จริงๆหนังสือพุทธศาสนา ควรทำแบบเปิดให้พระอาจารย์รูปอื่นๆที่มีทัศนะแตกต่างจากท่านออกความเห็นบ้างเช่น หลวงตามหาบัว หลวงพ่อเกษม อาจิณโล
    ไม่ควรให้มีทัศนะเดียวเพราะไม่หลากหลาย

    เพื่อให้สมเจตนารมณ์ ท่านควรเปิดประเด็นด้วยพระธรรมในพระใตรปิฏก่อนแล้วจึงแสดงทัศนะ และให้พระเถระรูปอื่นแสคงทัศสนะที่ต่างกันไม่ใช่ฟันธงลงไปด้วยตรรกะแห่งท่าน

    และควรสอนให้เด็กฝึกสมาธิวิปัสสนา หาข้อพิสูจน์เอง

    ในการเรียนรู้ศาสนา สิ่งที่ต้องเรียนคือ หลักธรรมตามพระไตรปิฏก ไม่ควรเสริมเติมแต่งด้วยทัศนะของผู้เขียนเด็กควรจะรู้ว่าในพระไตรปิฎกสอนอย่างนี้ๆ แล้วเป็นหน้าที่ของผู้เรียนเองที่จะคิดวิเคราะห์เอาเอง ไม่ใช่มีผู้คิดวิเคราะห์และสร้างตรรกะให้ มันจะทำให้เด็กคิดเองไม่เป็น

    พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
    เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรมาพิสูจน์เอง
    เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้

    ขอขมากรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...