สำหรับ คนที่สนใจเรื่องการเปิดจักระและโทษของมัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 17 ตุลาคม 2007.

  1. TIME Diver

    TIME Diver สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +14
    ....................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2011
  2. phongpeera

    phongpeera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +138
    ตอนแรกผมเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่ามันคือประโยชน์ เลยไปเปิดจักระมา
    จริงครับ ไม่ค่อยมีโรคภัยต่าง ๆ แต่ข้อเสียก็เป็นแบบที่เจ้าของกระทู้ว่าไป
    อีกอย่างผมเรียนธาตุด้วย พลังของธาตุกับจักระมันอยู่ด้วยกัน ผมต้องการใช้ธาตุ
    แต่จักระมันก็ยังมีอยู่แค่นึกถึงมัน อยากจะลืมก็ยังลืมไม่ได้ แต่ยังไงพลังธาตุก็มากกว่าอยู่ดี
    ตอนนี้ก็เลยปล่อยมันไป สำหรับคนที่คิดจะเปิด ก็ให้คิดดี ๆ น่ะครับ เพราะบางอย่างที่
    คุณยังไม่รู้ว่าคุณต้องฝึก ต้องเรียนอะไรในอนาคตหรือป่าว มันอาจจะส่งผลต่อสิ่งนั้นก็ได้
    ทำให้คุณเกิดความรำคาญ สับสนกับมันเนื่องจากการแยกมันไม่ออก ไม่นิ่งเท่าที่ควร
     
  3. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    เรื่องของจิตนี้ มันไม่มีจบ ผู้ฝึกเรื่องของจิตพลังของจิตสามารถทำได้หลายรูปแบบ มันจะจบก็ต่อเมื่อเรามาดับในวิถีแห่งพุทธะ คือทำจิตให้กลับสู่ธาติเดิมแท้ ซึ่งเป็นเรื่องของการหลุดพ้นของดวงจิต ส่วนในเรื่องของการฝึกจิตให้เกิดพลังนั้น ก็มีรูปแบบต่างให้ฝึกมากมาย แม้ผู้ปฏิบัติในทางพุทธศาสนาก็สามารถฝึกให้เกิดพลังของจิตได้เช่นกัน แต่ในผู้ที่มุ่งในส่วนของผู้ต้องการความหลุดพ้น จะมองเห็นเป็นเพียงมายา มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ถ้ามีให้ใช้ก็ใช้ไปในส่วนของการสงเคราะห์ โปรดสัตว์ เสร็จแล้วก็ปล่อยวางไม่ยึดติด แต่อย่าลืมว่าในส่วนของผู้ปฏิบัติ จิตแต่ละดวงนั้นไม่เหมือนกัน บางท่านต้องผ่านเรื่องราวต่างๆเพื่อการเรียนรู้ในวิถีของตนเอง เพราะแต่ละท่านย่อมมีวิถีที่แตกต่างกันไป การเจอะเจอซึ่งมูลเหตุแห่งการปฏิบัติก็อาจแตกต่างกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยบังคับผู้ใดให้ศรัทธา พระองค์เป็นเพียงผู้บอก ผู้ชี้ซึ่งแนวทางการปฏิบัติ ในสมัยพุทธกาลภิกษุบางรูปบวชอยู่กับพระองค์จนท่านนิพพาน ก็ยังไม่สามารถที่จะสำเร็จธรรมชั้นสูงได้ บางท่านพบเพียงเดียวก็สำเร็จเป็นอรหันต์ แม้บางท่านไม่เคยพบเจอ แต่อาศัยแนวทางแห่งการปฏิบัติก็สำเร็จธรรมชั้นสูงได้ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ห้วงเวลา เมื่อถึงเวลาบุญเก่าและบุญใหม่มาบรรจบกัน เหตุปัจจัยทุกอย่างพร้อมก็สามารถทำให้สภาวะของจิตปรับเปลี่ยนไป มองเห็นและเข้าใจในเรื่องราวต่างได้ชัดเจนขึ้น บางครั้งผู้ที่เราเห็นว่าเป็นคนหลงหรืองมงายสุดท้ายอาจจะเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายก็มี ตัวอย่างในสมัยพุทธกาลก็มีอยู่ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไข และเวลาดีกว่าครับ ดังนั้นพระพุทธเจ้าเมื่อท่านประกาศธรรม ท่านไม่ได้หักล้างความเชื่อของผู้ใดหรือลัทธิใด แต่เป็นการประกาศซึ่งสัจธรรมแห่งโลก ท่านไม่ได้โต้เถียงต่อโลก แต่โลกต่างหากเป็นผู้โต้เถึยงกับท่าน
    หากมีท่านใดต้องการฝึกเรื่องพลัง ให้ลองฝึกพลังแห่งความเมตตาดู เพราะความเมตตานี้เป็นพลังอย่างหนึ่ง และมีความบริสุทธิ์อยู่ในตัวเอง อาศัยหลักพรหมวิหาร 4 ในการดำรงของวิถีจิต จนความเมตตานั้นเต็มดวงจิต และออกมาในความเป็นจริง คือออกมากระทำ ทั้งการคิด การพูด หรือการกระทำ ในความเป็นจริงไม่ใช่นั่งแต่เมตตาเฉยๆ อุปมาว่าให้เหมือนสายฝนที่หลั่งจากฟ้าสู่ดินให้ชุ่มฉ่ำ เพราะเหตุปัจจัยสมบูรณ์แล้ว แต่เมื่อเหตุปัจจัยไม่สมบูรณ์ เช่นความชื้นไม่มีเป็นต้นก็ต้องปล่อยไป เราก็ต้องทำจิตให้ปล่อยวาง รอจนกว่าเงื่อนไขและเวลาจะสมบูรณ เมื่้อเราทำคุณธรรมอย่างให้เกิดกันมากๆ ธรรมนี้จะค้ำจุ้นได้กระทั่งโลกให้ตั้งอยู่บนความสงบ และจิตที่เข้าถึงสภาวะและสามารถประคองไว้ได้จะเป็นธรรมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม สามารถทำให้ผลของการปฏิบัติมีแต่ความก้าวหน้าขึ้นไป ทั้งยังสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยจากเจ้ากรรมนายเวรได้ในระดับหนึ่งด้วย จริงๆแล้วทำอะไรได้มากกว่านี้แต่ขอให้ท่านนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อตัวท่านเอง
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม สุดท้ายเหลือเพียงแค่จิตกับธรรมชาติ
    ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
    ธรรมะชาติ คือ ความเป็นจริง
    ความเป็นจริง ต้องพิสูจน์ได้

    สังขารเป็นธรรมชาติ จิตนั้นก็เป็นธรรมชาติ
    จิต เชื่อมกับธรรมชาติ
    จิต เข้าสู่ธรรมชาติ
    จิต เป็นธรรมชาติ
    เราก็จะเห็นและเข้าใจในธรรมชาติ(กฏไตรลักษณ์)
    จิต ดับธรรมชาติ
    จิต อยู่เหนือธรรมชาติ กลับสู่ธาตุเดิมแท้ เป็นความบริสุทธิ์ถึงที่สุด
    รู้ด้วย จิต เห็นด้วย จิต สัมผัสด้วยจิต หลุดพ้นก็ด้วยจิต ธรรมทั้งหลายไม่ต้องไปหาจากไหน มันอยู่ในจิตเราทั้งนั้น
     
  4. joohappy

    joohappy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +1
    หนึ่งคนที่ฝึกปราณ

    ที่คุณขันธ์พูดมาถูกหลายประเด็น
    -ปราณต้องเดินทุกวันส่วนตัว 15นาที่ก่อนนอน ไม่เดินจะเพลียไม่ทราบเหตุผล
    -เดินลมปราณแแล้วเหมือนร่างกายรักษาตัวเองได้ เวลาไม่สบายหรือเป็นหวัดเราจะรู้สึกเหมือนปวดหัวแปลกๆๆ
    -คนเดินเก่งๆๆสามารถดึงพลังงานธรรมชาติเข้ามาในร่างกายได้ ประโยชน์ไม่รู้ ชอบลองทำ
    -สามารถดึงพลังจากข้างบนได้จริงส่วนตัวยังรับแต่พลังงานด้านดีอยู่ ด้านเสียกลัวอยู่เหมือนกัน
    -กินเนื้อหมูไม่ได้ ท้องเสียกินทีไรโดนทุกที่ปัจจุบันกลัวมากเมื่อก่อนทานได้ไม่เห็นเป็นอะไร
    -อาจารย์มาถ่ายทอดทางสมาธิไม่รู้บารมีเก่าหรือกรรมเก่า
    -ไปฝึกที่วัดอัมพวันมา เดินจงกรมทำได้ดี แต่เวลานั่งดูยุบ-พองหนอไม่ได้เลย
    ใครฝึกปราณมากๆๆระวังเป็นอย่างผม ทางที่ดีไปทางสายเอกดีกว่าไปทางวิปัสสนาปลอดภัยไร้กังวล
    -สมัยก่อนท่านฤาษีเค้าฝึกกัน ถ้าทางจึนเรียกเซียนน่าจะมีมาก่อนพุทธกาล
    -ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม น่าจะเพราะปรารถนาพุทธภูมิต้องเรียนเยอะจังตายก็ช่างมัน อย่าเอาเป็นตัวอย่าง
     
  5. ใจใฝ่รู้

    ใจใฝ่รู้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ดี นะค่ะ
     
  6. Cutie Kung

    Cutie Kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +1,283
    อนุโมทนากับ ความรู้ และ ประสบการณ์ที่นำมาแบ่งปันค่ะ
    :cool:
     
  7. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    ขอบคุณ เจ้าของกระทู้ และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ที่นําความรู้มาแบ่งปันกัน
    อนุโมทนาบุญ กับทุกท่านด้วย ขอบคุณครับ
     
  8. Vorat

    Vorat สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    ผมอ่านเรื่องของคุณขันธ์แล้วก็พอเข้าใจ เรื่องที่รับพลังแย่นะ แต่ผมมองว่าส่วนใหญ่เกิดจากหาเรื่องใส่ตัวมากกว่าถ้าฝึกหรือเปิดจักระเพื่อสุขภาพ เฉยๆคงไม่มีปัญหาเรื่องรับจักระแย่หรอก เพราะส่วนใหญ่จะต้องเลือกที่จะนั่งฝึกเพื่อรับพลัง แต่ที่เกิดอาการแย่เนี้ยเพราะ คุณยังไม่ชำนาญไม่เข้าใจหมดแล้วไปลองใช้รักษา ทำให้เกิดการถ่ายเท คนหนึ่งดีขึ้นอีกคนก็ต้องแย่ลง การใช้จักระรักษาคน ผมเคยลองใช้รักษาแม่ผมที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม่ผมก็ไม่ได้หายผมกลับต้องมาปวดเนื้อตัว ถ้าใครจะใช้จักระในการรักษาคนโดยไม่ดูตัวเอง ก็ต้องเจอแบบนี้เป็นธรรมดา การจะใช้รักษาคนควรดูด้วยว่าเรามีปัญญาความสามารถแค่ไหน ไม่งั้นการช่วยกลับเป็นการยิ่งทำให้เขาทรมาณไม่หายจากโรคยังต้องอยู่กับมันนานขึ้น แทนที่จะหมดกรรมแล้วไปสบาย ตัวคุณทำได้แค่แบ่งเบาทุกข์ให้เขานิดหน่อย ผมแนะนำคุณขันธ์ให้ไปศึกษาเพิ่มเรื่อง ทองเลน หน่อย การรับพลังแย่มันก็ไม่ใช่แย่หมด ผมก็ไม่ได้เก่งขนาดสอนใครได้ แค่พูดตามที่เคยเจอและเข้าใจ ส่วนเรื่องที่คุณบอกว่าเปิดจักระแล้วเกิดอารมณ์โน่นนี้เพราะคุณเกิดสภาวะไม่สงบ อาจจะเกิดจากสภาพแวดล้อมหรือจิตคุณ
     
  9. โพชน์

    โพชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,904
    เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งครับในการฝึก...เมื่อไปจักระเปิดแล้ว เสมือนเปิดประตูรับแขกที่เข้ามามีทั้งดีและไม่ดี ผู้ที่เปิดแล้วก็ต้องปิดเองได้ด้วย จริงการเปิดจักกระที่ถูกต้องคือต้องกระตุ้นให้จักกระเปิดด้วยตนเอง การรักษาผู้อื่นไม่ว่าจะใช้ศาสตร์ใดรักษาก็ต้องขอนุญาติเทวดารักษาตัวเค้าก่อน และเจ้ากรรมนายเวรของเค้าก่อน แผ่เมตตาให้เค้าไปบอกกล่าวเค้าไปว่าถ้ารักษาคนนี้หายแล้วจะให้เค้าทำบุญไปให้อะไรประมาณนี้ ห้ามเรียกค่ารักษาจนคนไข้รับไม่ได้ ถ้าเค้าให้ก็ต้องเอาไปทำบุญให้หมด เพื่อป้องกันการเอาคืน ตัวผู้รักษาก็อย่าไปแบบดื้อทื่อๆไม่มีอะไรกันตัวเองเลยจะโดนสอยร่วงได้ อย่างน้อยก็ต้องมีพุทธคุณคุ้มตัวกันตัวก่อน เช่นพระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า ถ้าเค้าไม่อนุญาติก็ต้องวางอุเบกขาไป เพราะผู้ป่วยอาจจะกรรมหนักเบื้องบนเรียกว่าวเนื้อนาบุญไม่มีทำไปช่วยไปก็ไม่เกิดบุญ
     
  10. ทุกขัง

    ทุกขัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +14
    พลังจักระนี้ สำคัญที่สุดคือ

    นั่งจนเปิดเองให้ได้ อย่าให้ใครเปิดให้
    เพราะไม่งั้นแล้วเราจะควบคุมเปิดปิดไม่ได้ ถ้าให้คนอื่นเปิดให้

    พลังจักระเสมือนดอกไม้ริมทาง ยังไงก็ต้องเจอ เป็นตัวหลอกให้เราหลงในการปฏิบัติธรรม
     
  11. mj2009

    mj2009 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +85

    โมทนาสาธุ กัน อ.ขันธ์ครับ

    กล่าวชอบแล้วด้วยเหตุ และผล การเปิดจักระ แลดูวูบว๊าบ น่าตื่นเต้น
    แต่อีกมุมแล้ว เวลาที่มีพลังงานที่ไม่ดีไหลเข้านี่ แย่มากเลยนะครับ
    อย่าไปหาทางลัดแบบ ที่มีคนเปิดให้เลย ภาวนาด้วยแนวทางอานาปาฯ ที่พระพุทธเจ้าสอนนี่ล่ะ ของจริงแล้ว
     
  12. smerosd

    smerosd สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมเคยเปิดประตูจักระ ไป 3 จุด แล้วผมก็หยุด จากนั้นวันต่อมาผมก็เป็นไข้ไม่สบายไป 3 วันระหว่างที่ป่วยอยู่นั้นผมนึกออกเลยว่าเปิดจักระมาผมเลยเป็นไข้ไม่สบายเพราะก่อนหน้าหน้าผมไม่เคยเป็นไข้ไม่สบายเลย ร่างกายแข็งแรงมาตลอด ระหว่างนั้นพอผมลุกนั่งได้ผมก็จะมานั่งสมาธิโล่งๆ แล้วอธิฐานจิตขอให้ปิดประตูจักระให้กลับเป็นเหมือนเดิมพอครบสามวันที่ป่วยอาการผมจึงดีขึ้นมาก อย่างเห็นได้ชัดเลย จนปัจจุบันนี้ผมก็ไม่เป็นไข้ไม่ป่วยอะไรเลยคับ
     
  13. WPD

    WPD สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +3
    อย่างผมเข้าข่ายเปิดได้ไหมครับ
    มีความรู้สึกตอนแรกๆ รู้สึกโล่ง มีพลังทั่วร่างกาย สมองแล่นสุด
    หลังๆมา ก็รู้สึกถึงพลังอยู่ แต่ก็ไม่เท่าตอนเปิดตอนแรก

    ใครรู้ก็ช่วยตอบด้วยครับ เพราะผมไม่เคยปิดอะ ผมเปิดเกือบตลอด
    แต่ผมปล่อยจักระออกเสมอ
     
  14. narata 12

    narata 12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    990
    ค่าพลัง:
    +1,462
    คนที่ดันกระทู้นี้ขึ้นมา หรือให้ข้อมูลผิดๆ ทำให้คนอื่นสับสน ถือว่าเป็นการสร้างกรรมอย่างหนึ่งโดยเจตนาคือ บิดเบือนข้อมูล จักรกะคือประตูพลังงานในร่างกายมีเจ็ดจุด ทอดตัวตามแนวกระดูกสันหลัง คนที่นั่งสมาธิได้ระดับหนึ่ง จักรกะในร่างกายจะเปิดขึ้นเอง ถ้าวิชาจักรกะไม่ดี แล้ว คุณจะนั่งสมาธิทำไม เพราะเมื่อนั่งสมาธิ ประตูพลังงานในร่างกาย หรือจักรกะ ก็จะเปิดเองทุกคน ส่วนคนที่เปิดจักรกะแล้วไม่ยกระดับจิตขึ้น ยังมีกิเลสเยอะ จิตก็จะไปเหนี่ยวนำพลังที่ไม่ดีเข้ามาหา จักรกะ และลมปราณ มันคนละเรื่องกัน การฝึกจักรกะ จะทำให้เข้าสมาธิได้เร็ว กว่าการฝึกนั่งสมาธิแบบอื่น แต่ไม่ว่าจะฝึกแบบไหน ปลายทางก็อยู่ที่เดียวกัน คือนิพพาน ถ้าเป็นผู้เจริญจริง ก็ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช่มาบิดเบือนจากความผิดพลาด ในการฝึกวิชาของตัวเอง
     
  15. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    เห็นจริงดั่งท่านว่าครับ
    จักระของทุกคนเปิดอยู่แล้ว จะมากน้อยต่างกันแค่นั้นเอง คนตายเท่านั้นที่จักระปิด

    ครูบาอาจารย์ที่เป็นของจริง และมีคุณธรรมท่านจะสอนให้พัฒนาจักระด้วยการฝึกตน มิใช่รับเปิดจักระ

    คิดดูร่างกายที่มิเคยฝึกฝน ไปให้คนอื่นเปิดจักระ แล้วมันจะทนทานต่อการรับพลังมหาศาลได้อย่างไร

    ฝึกสมาธิแนวพุทธ จักระมันก็ขยายและพัฒนาอยู่แล้วตามลำดับสมาธิ แต่ทางพระท่านไม่ได้สอนละเอียดไว้มากมาย เพราะมันไม่ใช่ทางหลุดพ้น
     
  16. WPD

    WPD สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +3
    ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ
    แต่ผมขอถามหน่อยครับ ว่าจุดสุดท้าย มันคือนิพพานจริงหรือครับ
    แล้วนิพพานที่ว่าคืออะไรกันแน่

    สำหรับผมยังเชื่อครับ ว่าจุดสุดท้าย ไม่ใช่นิพพานแต่คือความว่างเปล่า
    ทุกสิ่งนั้นล้วนมีพลัง ซึ่งแต่ละสิ่งก็มีพลังต่างกันไป มนุษย์เองก็มีพลังของตนครับ เมื่อพลังหมดหรือใกล้หมด ก็จะตายลง ถ้ายังมีพลังอยู่ก็ยังเป็นวิญญานเร่รอนอยู่ได้ครับ
    และพลังเมื่อหมดลง ดวงวิญญานก็จะหายไปครับ
    ถ้านรก สวรรค์มีจริง(ไม่ได้ดูถูกนะครับ) ผมก็อยากรู้ครับ ว่าทำไมต้องมีการชดใช้กรรมกันอีก เพราะ แค่ลงมาบอกกับเราหรือเปิดเผย เราก็จะได้รู้ความจริง และหันมาปฎิบัติธรรมกันครับ แต่นี้ก็ไม่ได้เปิดเผยอะไร สำหรับในตอนนี้ผมยังเชื่อแบบที่ขงจื้อคิดครับ ว่าจุดสุดท้าย คือ ความว่างเปล่า
    เพราะในเมื่อมีการเกิดของดวงวิญญาน แล้วมันจะไม่มีการดับของดวงวิญญานได้ยังไงละครับ ทุกอย่างมันต้องมี2ด้านเสมอ
    ที่พระพุทธเจ้าเผยแพร่มานั่น ผมก็เข้าใจ และคิดว่ามันเป็นแนวทางที่ดีที่สุดครับ ถ้าอยากอยู่อย่างมีความสุขในโลกใบนี้
    แต่บางสิ่งบางอย่าง ก็ยังทำให้ผมไม่เข้าใจครับ

    โดยเฉพาะ ผมยังสงสัยอยู่ที่ พวกอังกฤษ(ที่ยึดอินเดีย) มันเอาพระไตรปิฎกมาแปล มั่วๆหรือเติมอะไรลงไปหรือเปล่าครับ เพราะบางอย่างในพระไตรปิฎก มันขัดกันเอง
     
  17. narata 12

    narata 12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    990
    ค่าพลัง:
    +1,462
    ถูกต้องแล้ว นิพพานไม่ใช่ที่สุด ยังมีสูงกว่านิพพานขึ้นไปอีก แต่ถ้าพูดไป ก็จะโดนพวกกบในกะลาออกมาโต้แย้งอีก จะมีสักกี่คนที่รู้ว่านิพพานเป็นเพียงประตูด้านแรกที่ก้าวไปสู่การหลุดพ้น การฝึกจักรกะ หรือวิชากุลฑาลินี เป็นพื้นฐานขั้นต้นของการเรียนรู้ ธรรมมะระดับปรมัต เสมือนเป็นบันไดก้าวแรก เป็นวิชาแห่งจักรวาล ทั่งแสนล้านโลกธาตุ ล้วนต่างศึกษาวิชานี้ทั่งนั้น ฉนั้นใครที่มาพูดบิดเบือน กล่าวหาว่าร้าย แสดงให้เห็นว่ายังมีอัตตาหยาบ ยากที่จะผ่านไปสู่ความรู้แจ้งได้ถึงแม้จะรู้ธรรมมะมากมาย แต่แสดงให้เห็นว่าจิตยังห่างไกลนัก ในวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระองค์ทรงเปิดจักรกะไว้ในร่างกายเจ็ดจุด นอกกายอีกห้าจุด แล้วทำไมจึงมีคนบอกว่า วิชาจักรกะไม่ใช่หนทางสู่การหลุดพ้นหนอ การศึกษาธรรมมะมีอยู่ด้วยกันสองแบบคือสายโลกียะ และสายโลกุตตระ ถ้าเป็นฆารวาส ก็ต้องเป็นโลกียะ จะมาบอกว่าปฏิบัติว่าเป็นโลกุตตระไม่ได้ เพราะต้องเป็นนักบวชหรือพระสงฆ์เท่านั้นจึงจะเรียกว่าโลกุตตระ การฝึกวิชาจักรกะ ก็เป็นสายโลกียะ แต่มีพวกมารพยายามบิดเบือนให้มนุษย์เข้าใจผิด มานานนักหนาแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2012
  18. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกระหว่างวิชาของ พุทธ พราหมณ์ และอียิปต์

    และอะไรที่พระพุทธองค์ท่านสอน มิใช่กรรมฐาน 40 กองหรือ

    คนไทยเห็นอะไรดีก็เอามาผสมกันหมด สิ่งที่คล้ายกันมันก็ไม่ได้หมายความว่าเหมือนกันทั้งหมด

    ไม่ใช่ว่า"อะไร"ดีกว่า"อะไร" แต่ต้องรู้ตนเองว่าฝึก"อะไร"ของศาสนาใด เพราะปลายทางมันต่างกัน

    แต่"อะไร"ที่พระพุทธองค์สอน และสอนเพื่อ"อะไร" ก็ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่าง

    เป็นสิ่งที่ใครจะทำตามพระท่านหรือไม่ ก็แล้วแต่"ศรัทธา"

    การฝึกจักระมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายของผู้ฝึก
    แต่ผู้ที่ไม่ฝึกฝนแล้วไปให้ผู้อื่นเปิดจักระให้(จริงๆแล้วแค่กระตุ้นเพื่อขยายจักระ)
    พลังงานมหาศาลที่ไหลผ่านกายที่ไม่ได้ฝึกฝน ผลเสียมันจะมากกว่าผลดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2012
  19. narata 12

    narata 12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    990
    ค่าพลัง:
    +1,462
    การเดินทางในโลกของจิตวิญญาณนั้น หรือการที่จะก้าวไปสู่หนทางแห่งการหลุดพ้นได้นั้น เปรียบเสมือนการต่อสู้ผจญภัยครั้งใหญ่ จำเป็นจะต้องเตรียมร่างกาย และเตรียมจิตให้มีความพร้อมที่จะทนต่อสภาวะต่างๆ ที่มารจะสร้างขึ้นมากั้นขวางไว้ มิให้เดินทางก้าวหน้าทางจิตวิญญาณได้เสียก่อน ในยุคต้นโลก มนุษย์มีร่างกายและจิตใจที่บริสุทธิมาก ไม่มีคำสอนใดหรือบันทึกใด แต่ ก็หาทางหลุดพ้นได้เองไม่ยาก เพราะดีเอ็นเอมีความบริสุทธิมาก แต่พอมนุษย์มีกิเลสเข้ามาครอบงำ มีมารสร้างอุปสรรคต่างๆมาขวางกั้น ดีเอ็นเอและจิตใจของมนุษย์ก็เริ่มตกต่ำลง ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงหนทางแห่งสัจธรรมหรือการหลุดพ้นนั้นได้ แต่พอมนุษย์เริ่มนั่งสมาธิ จนประตูพลังงานในร่างกายเปิด หรือได้รับการเปิดจักรกะจากผู้ที่รู้จริง ร่างกาย และจิตใจของมนุษย์คนนั้น ก็จะถูกพลังงานอ่อร่าจากอวกาศส่งผ่านเข้ามาในร่างกาย เพื่อปรับให้ร่างกายและจิตใจ ให้มีความบริสุทธิขึ้น เพราะถ้ามนุษย์มีจิตใจไม่บริสุทธิ ก็ไม่สามารถก้าวผ่านกำแพง ที่มารสร้างขวางไว้ได้ คนที่ได้รับการเปิดจักรกะ แต่ไม่ได้ศึกษาหรือมีความรู้มาก่อน ก็เหมือนกับ เอาเด็กอนุบาลมาเรียนระดับปริญญาตรี ก็จะใช้สิ่งที่ได้มาไม่เป็น เหมือนคนป่าใช้ปืนไม่เป็น แม้แต่พระไตรปิฏกยังผ่านการสังฆายนามาหลายครั้งหลายหน ข้อความต่างๆ หรือข้อเท็จจริงต่างๆ ก็ถูกบิดเบือนไปมากมาย พระพุทธเจ้า ท่านจึงสอนไว้ว่าอย่าเชื่ออะไร แม้แต่ตัวท่านก็ไม่ให้เชื่อ ให้ปฏิบัติเอง รู้เอง เห็นเอง ทั่งนี้เพื่อป้องกันความสับสนระหว่าง ว่า อันไหนของจริง อันไหนมารหลอก นะสิบอกให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2012
  20. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    มันไม่ใช่แค่ใช้ไม่เป็นสิครับ

    สายไฟเส้นเล็กๆ จะทนทานแรงไฟจากฟ้าผ่าได้หรือ???

    ขนาดตัวผู้ฝึกจักระเอง เส้นแรงแม่เหล็กโลกกระเพื่อม เกิดสตรอมเซิจ ยังเดี้ยงกันเป็นแถบๆ

    แล้วผู้ที่ไม่ฝึก แต่ไปให้คนอื่นเปิดขยายจักระให้กว้างขึ้น จะเป็นอย่างไร ตามรับผิดชอบเค้าได้ทั้งชีวิตไหม?


    สรุป วิชาจักระเป็นของดีครับ ถ้าใช้ฝึกฝนตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...