จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    พูดถึงปัญญา พระสารีบุตรปัญญาเลิศรองพระพุทธเจ้าลงมา
    ไม่มีใครเสมอพระสารีบุตรเรื่องปัญญา
    ทั้งๆ ที่ความบริสุทธิ์เสมอกัน มันต่างกันด้วยนิสัยวาสนา

    เพราะฉะนั้นผู้บริสุทธิ์ด้วยกันแล้ว การชี้แจงอรรถธรรมจึงมีต่างกัน
    ผู้ที่มีลึกซึ้งกว้างขวาง ท่านก็แสดงได้เต็มเหนี่ยวของท่าน
    ผู้ที่ไม่ลึกซึ้งก็ได้แต่ความบริสุทธิ์ ก็พอกินแล้ว


    ท่านจะได้กว้างขวาง ไม่กว้างขวาง ท่านไม่เดือดร้อน

    เพราะท่านเองพอกินแล้วนั่นซิ

    พวกเรามันไม่พอกิน เรียนจบที่ไหนมาก็ไม่พอกิน

    มันหิวโหยอยู่เพราะกิเลสพาเป็นไป

    อันนั้นธรรมพาเดินไป เมื่อถึงขั้นอิ่ม อิ่มด้วยกัน พอกับความบริสุทธิ์
    แต่เรื่องการเทศนาว่าการอุบายต่างๆ นั้นต่างกัน
    แม้จะต่างกัน ท่านก็ไม่หิวโหย ท่านก็ไม่ทุกข์


    ท่านพอของท่านเสมอกันหมด จากจิตที่บริสุทธิ์เหมือนกันนั้น

    มันต่างกันอย่างนี้แหละ พากันจำเอานะ


    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  2. ถิธานุ

    ถิธานุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +219
    เราอยู่ด้วยกันได้ แต่เราไม่ยึดซึ่งกันและกัน :cool::cool:
     
  3. taktay

    taktay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +338
    จิตจับภาพพระ บางครั้งกระโดดกลับไปพุทโธ เพราะเคยจับภาพแล้วภาวนาพุทโธไปด้วยอ่ะค่ะแหะๆ:cool:
     
  4. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    อ่านข้อความคุณแล้ว ทำให้เกิดปิติมาก
    รู้เลยว่าการพิมพ์น้น ออกมาจิตส่วนลึกจริงๆที่อยากจะหลุดพ้น
    มันมีพลังออกมา ผมรับได้เลย

    ต่อไป มาตั้งใจปฎิบัติกันนะครับ

    ส่งการบ้านทุกวัน

    ว่างๆ สบายๆ

    เดี๋ยวคุณจะได้เห็นความแตกต่างที่คุณจะรับรู้ได้เอง

    ยินดีต้อยรับสู่ทางสายเอกแห่งนี้

    ผมขอยกผลบุญของผมทั้งหมดทั้งมวลให้คุณ
    ขอให้คุณถึงนิพพานในชาตินี้ด้วยครับ

    ธรรมชาติสวัสดี

    วิทย์ จบ.11
     
  5. taktay

    taktay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +338

    สาธุ สาธุ ขอบพระคุณที่เมตตา มากมายเหลือเกินขออนุญาตไปล้างหน้าก่อนเด้อค่ะเด้อร้องอีกแล้ว
    รู้สึกตื้นตันใจมากๆ บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้เลยค่ะ:cool::cool::cool::cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะไม่มีวันหยุด

    พวกเราเคยคิดกันบ้างไหม๊ ว่า
    โลกทุกวันนี้ เราทุกวันนี้ ดูเหมือนๆจะดำเนินไปข้างหน้า
    แต่พอเรามีสติมากๆกันแล้ว ขอให้พวกเรามานั่งพิจารณาธรรม
    พิจารณาถึงหลักความเป็นจริงกันแล้ว

    มันเหมือนกับกำลังเดินถอยหลัง
    ความหมาของคำว่า เดินถอยหลัง มันไม่มีทั้งนั้น ไม่ดีทั้งทางโลกและทางธรรม
    แต่ความหมายเดินถอยหลังในที่นี้หมายถึงว่า ทุกวันนี้พวกเราทั้งหลาย
    ท่านกำลังเดินไปไกลจากความจริง
    นั่นก็หมายถึง ที่คนส่วนใหญ่มักจะเป็นทุกข์กันทั่วหล้านั้น ก็เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่นั้น อยู่ไกลพระนิพพาน อยู่ไกลความสงบร่มเย็นกัน
    หรือเรียกได้ว่า พวกเราส่วนใหญ่ดำรงชีวิตกันนั้นอยู่ไกลธรรมชาติ อยู่ไกลธรรมดา อยู่ไกลธรรมะกัน นั่นเอง
    ยิ่งถ้าใครอยู่ไกลกันนั้น จึงเท่ากับก็ยิ่งห่างไกลกับ คำว่า ความสุข บรมสุขกันโดยปริยาย

    พวกเรายิ่งเกิดมากันนับชาติกันไม่ถ้วนกันด้วยแล้ว
    ความหลง กิเลสก็มาก มันพอกพูนกันทุกๆชาติ ทุกๆภพ
    จนจิตจะกลายเป็นพวกเดียวกันกับกิเลสไปแล้ว มันจึงไม่ต่างกับคนดีไปอยู่ในหมู่โจร
    เราจึงมักกระทำความดีกันก็ยาก แต่ทำไมทำความชั่วมันง่ายดายนัก
    แต่กระทำความดีนั้น มักปรากฎได้เห็นช้ากันนัก
    การรักษาความดี จึงต้องเหมือนดั่งเกลือที่ยังคงรักษาความเค็มนั้นไว้จนหยดสุดท้าย
    เราก็เหมือนกัน ถ้าจะตั้งกระทำกรรมดีกันแล้ว อย่าวิตก ลังเล หรือว่าสงสัย ทำไปๆ
    ปฎิบัติไปๆ อย่าไปหวังมรรค ผล นิพพานให้มันมากนัก
    เพราะยิ่งคนที่มีกิเลสหนาก็มักจะขอมากกว่าคนที่กิเลสน้อยๆ ก็ขอให้พวกเราสังเกตกันเองก็ได้
    เหมือนจิตบุญ หรือจิตที่ยกแล้ว ก็มักจะเปลี่ยนไปได้เห็นเด่นชัดก็คือ ลักษณะ อาการ อารมณ์มันจะเฉยๆ ความอยากครั้งก่อนที่จิตจะยกนั้น มันหายหัวไปที่ไหนกันหมด
    ความรักเอ๋ย ความโลภเอ๋ย ความโกรธเอ๋ย ความหลงเอ๋ย มันหายไปเกือบจะหมด หรือบางท่านเหมือนรู้สึกตนเองได้ตายไปแล้ว เหมือนเกิดใหม่
    นั่นเป็นเพราะ คุณได้ดวงจิตเดิมแท้กลับคืนมากัน นั่นเอง
    คุณเคยเห็นเพชรใสไหม๊ นั่นแหล่ะดวงจิตที่เขายกกันนั้น มันยิ่งกว่านะ
    ความใสจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่ที่จิตใครบำเพ็ญเพียรมากกว่ากันกัน
    ดูง่ายๆที่คนจบรุ่นเดียวกัน คณะเดียวกัน ปีเดียวกัน เรียนก็ห้องเดียวกัน
    แล้วผิดตรงไหน ก็ผิดตรงเกรด GPA ไม่เท่ากัน
    จิตยกแล้วก็เหมือนกัน จิตใสเหมือนกัน จิตยกขึ้นเหนือขันธ์5เหมือนกัน
    แต่จะผิดแผกแตกต่างกันตรงที่ ดวงจิต ดวงจิตที่มีความสว่างไสวไม่เท่ากัน
    อย่าลืมนะว่า บนโลกทิพย์นั้น เขาวัดกันที่ดวงจิตที่ใส ใสสว่างเหมือนดั่งแสงในตัวเอง
    หรือแสงสว่างในดวงจิตของผู้นั้น

    ผมจะเฉลยสำหรับนักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติธรรม หรือที่พวกเรากำลังทำจิตเกาะพระกันเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นแล้ว ขอให้พวกเราตอบตนเอง เอาตามกำลังใจ ตามกำลังบุญบารมีของตน
    เหมือนจิตปุถุชน ก็อยากได้เป็นอริยบุคคล หรือจิตพระโสดาบัน
    หรือพระโสดาบัน ก็จะอยากได้จิตอรหันต์ ก็เช่นกัน
    พอได้จิตอรหันต์กันเข้าจริงๆ แต่กลับมีความรู้สึกเฉยๆ แต่กลับรู้มากกัน แต่มันจะรู้อยู่ภายในจิตของตนเอง บางท่านจึงไม่กล้าแสดงออกความคิดเห็นของตนเอง อาจจะเพราะอาย อายจิตที่ต่ำกว่าตนเอง หรืออายที่ตนเองดีกว่าเมื่อยังไม่ได้ยกจิต
    แต่ก้ไม่เป็นไร แต่เมื่อจิตของท่านจะเข้าสู่ความนิ่ง ความสงบกันเมื่อไหร่ อาการจะเหมือนคนที่คันแล้วอยากเกา
    อาการนี้ก็ดูได้จากครูวิทย์เป็นตัวอย่าง คือก่อนจะลงมือทำงานประจำแล้ว แต่จิตของขึ้น บอกว่าให้ไปลงที่กระทู้ให้หน่อย ผมก็เหมือนกันเป็นบ่อยมาก จนเหมือนเดินผ่านจอหนังภายในจิตตนเอง คือจิตไปรับรู้เรื่องราวอะไรต่อมิอะไรมาก็ไม่ทราบ แต่ถ้าใหม่ๆจะอยากจะบอกให้กับพวกเรารับรู้เหมือนตน นานๆเข้าก็เฉยๆละ นิ่งรู้ ดูภายในจิตของตนเองมั่งดีกว่า นานทีค่อยลง เพราะไม่เบื่อที่จะพิมพ์ แต่เกรงว่าประชาชนพี่น้องชาวจิตสีขาวจะเบื่อ จึงอยากให้คนอื่นมาสื่อบ้าง

    เมื่อคนเราปฎิบัติกันมาตั้งนาน แต่ทำไมไม่เข้าถึงธรรมกันสักที
    แล้วมันจะเข้ากันไหม เหมือนเรากำลังทาสีไม้ ที่ไม้มันมีแต่สิ่งสกปรก หรือเต็มไปด้วยคาบน้ำมัน ทาสี หรือศรีลังกา มันจะติดไหม๊ (เหน็บไปโดนคุณดัชชี่จักหน่อย)

    ผู้ปฎิบัติธรรมทั้งหลาย ผมอยากให้ท่านลองหันมาพิจารณากันตรงสองคำนี้กันสักหน่อย คือ คำว่า ธรรม อธรรม
    ถ้าจิตใครนิ่งๆแล้วก็จะทราบกันอย่างชัดเจน
    พวกเราไม่ต้องไปรู้มาก ศึกษามาก
    ยิ่งรู้มาก ศึกษามากกันในทางโลก ก็เหมือนที่เคยบอกกันไปแล้วว่า ยิ่งเดินถอยหลังลงคลอง เพราะจิตพวกเราไปยึดติด คำว่ารู้ในทางโลกกันมาก
    และความรู้ทางโลกที่ว่านี้ มันไปขัดขวางการเดินทางของจิต ไปขัดขวางการเจริญสติ ไปขัดขวางการเจริญในศีล ในธรรม
    เรานึกว่าเก่งกว่า ดีกว่า มีการศึกษาสูงกว่า อั่ยคำว่า กว่าๆนี้แหล่ะ!
    ก็คือตัว อวิชชา ตัวเบ๊อเริ่มเลยจะบอกให้
    ขอให้พวกเราคอยสังเกตแค่บวชเขกขัมมะกันก็พอจะรู้ เช่น คุณหญิง คุณนายไปบวช
    ดูสิไปบวชแค่กายกันเท่านั้น ขาวแต่กาย จิตไม่ได้ขาวตาม (ขอโทษนะ เห็นจริงๆ)
    หรือโดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่ใหญ่ เป็นเจ้าคน นายคน อันนั้นยิ่งไปกันใหญ่
    นี่ขนาดบวชเนกขัมมะ นี่ขนาดไม่ได้แต่งกาย แต่งเครื่องแบบ มันยังเก๊กหน้าตาอยู่เหมือนเดิม ยิ่งไปอยู่ในกลุ่มของลูกน้องของตนด้วยแล้ว
    แล้วมันจะไปบวชเอาอะไร เอาหน้า หรือเอาบุญ แล้วคิดว่าได้ไหม๊ บุญน่ะ
    บุญคืออะไร ก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าเขารู้นะ จะต้องรีบมาต้อนรับ แล้วรับเอาบุญอย่างแน่นอน
    เหมือนเจ้าหน้าที่ผู้เป็นผู้น้อยกว่าเขา เมื่อเห็นข้าราชที่ใหญ่กว่าตน จะต้องไปต้อนรับอย่างแน่นอน เช่นกัน
    ไหนบอกว่าเรียนมาก รู้มาก มีหน้าที่ตำแหน่งใหญ่โต
    แต่กับคำว่า บุญ ธรรม อธรรม กลับแยกไม่ออก แยกไม่ได้ นี่หรือปัญญาชน
    จริงไหม๊?

    ไม่ได้ออกมาด่าใครเขานะ นี่พูดความจริง มิได้เอ่ยนามใคร

    พวกเราหูตาสว่างกันได้แล้ว เวลาทำบุญก็เหมือนกัน พวกเราก็อย่าไปงมงายกันมากนัก
    ทำได้อย่าไปเดือดร้อนตนเองและผู้อยู่ข้างหลัง
    เพราะการบริจาคทานนั้น บุญเขาจะนับตั้งแต่ ก่อน ระหว่าง หลังของการบริจาคทาน
    และทรัพย์ได้มาโดยความบริสุทธิ์กันไหม
    และก็อย่าทำเอาหน้า เพราะจะได้กิเลสไปแทน คือได้หน้าเพิ่มมาอีกหนึ่งหน้า คนนะไม่ใช่ทศกัณฐ์ จะได้มีกันสักสิบหน้า
    เขาทำบุญ ทำทานเพื่อลดความตระหนี่ ความโลภกัน

    พร่ำแค่นี้ก่อน ใครอ่านก็อ่านไป ใครไม่อ่านก็ผ่านไป

    ปล. ใครยังงงกับคำระหว่าง วิปัสสนา กับ วิปัสสนึกกันมั่ง
    การทำวิปัสสนาแบบพุทธกาลนั้น เขาให้เราทำจิตให้นิ่ง หรือจิตเป็นสมาธิ หรือจิตทรงฌาน หรืออุปจารสมาธิ หรืออัปปสมาธิกัน
    แต่ถ้าใครทำขณะที่จิตใครต่ำที่กล่าวมานี้แล้ว ก็จะกลายเป็นวิปัสสนึก หรือเราคิดเอากันเอง ตามที่เราเคยเรียนรู้กันมาทางโลกนั้น
    เพราะถ้าเราทำจิตถึงขั้นอุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิกันแล้ว จิตจะเข้าสู่ความนิ่ง ถึงนิ่งที่สุดแล้ว จิตจะไปรับรู้อัตโนมัติเอง ที่เราเรียกว่ารู้ๆๆน่ะ จิตได้แต่รู้อย่างเดียว แต่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิด ดีชั่วได้นะ จนกว่าเรามีสติกันเยอะๆมากๆ แล้วสติตัวนี้จะนำพาจิตไปเรียนรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรคือฝ่ายบุญกุศล อะไรคือฝ่ายบาป อกุศล เป็นต้น
    เพราะฉะนั้นแล้วถ้าพวกเราอยากฉลาดทั้งทางโลกและทางธรรม เราจะต้องฝึกเจริญสติ
    ฝึกการสร้างสติให้รู้สึกตัวกันให้มากๆ
    แต่คนส่วนใหญ่มักจะฉลาด รู้มากกันในทางโลกกัน เท่านั้น
    แต่หารู้มาก หรือฉลาดในทางธรรม ก็หาไม่
    เพราะปัญญาทางโลก ตามที่พวกเราเข้าใจกันนั้นก็คือ ปัญญาทางโลกจึงเปรียบได้แค่ สัญญาในทางธรรม

    (อุปจารสมาธิ ก็คือ จิตที่เฉียดฌาน คือใกล้ๆปฐมฌาน)
    (อัปปนาสมาธิ ก็คือ จิตที่ทรงตั้งแต่ปฐมฌาน เป็นต้นไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มิถุนายน 2012
  7. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    กราบแทบเท้าท่านพ่อ
    ไม่รู้จะเอ่ยอะไร
    เอางั้...โคตรๆ
    สาธุ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอให้พวกเราทรงจิตแต่ฝ่ายบุญ
    ง่ายนิดเดียว ถ้าใครขยันๆทำจิตเกาะพระกันนะ
    และก็ไม่ต้องไปสนใจว่าเราจะทำจิตเกาะพระกันสำเร็จหรือไม่
    คนตั้งหน้าปฎิบัติลูกเดียว อันนี้จิตจะยกไว
    แต่ถ้าใครไปคิดเมื่อไหร่จะทำ จะปฎิบัติสำเร็จ อันนี้ช้าเลย เผลอๆอด คือทำไม่ได้

    บุญมีทุกวินาที บุญมีทุกลมหายใจ
    บุญมิได้อยู่ที่กระเป๋ากางเกงใคร หรือบุญมิได้อยู่ที่ใครๆ
    แต่ถ้าใครอยากได้ก็ทำเอากันเอง
    บุญที่ทำง่ายที่สุด บุญที่ไม่ต้องลงแรงกาย แรงทรัพย์ ไม่เสียเสียเวลา ไม่ต้องรอวันพระ วันหยุด ลางาน
    เลิกเห่อ แต่ถ้าใครคิดได้แค่นั้น

    จริงๆแล้วบุญกรรมฐาน บุญจากการทำจิตเกาะพระง่ายที่สุด
    ไม่มีตังค์ก็ทำได้ ไม่มีเวลาก็ทำได้ คนไกลวัด ไม่เคยสวดมนต์ คนกิืนเหล้าเมื่อคืนนี้ก็ทำได้ บอกคาถากันไปแล้วไง๊...ว่า....ทำไปๆ เดี๋ยวได้เอง ยกเอง จิตวิปัสสนาเอง จิตยกเอง จิตไปนิพพานเอง กายเราไม่ได้ไปหรอก อย่าเข้าใจผิด เพราะร่างกายนี้เป็นสมบัติของโลก

    จำไว้นะ
    นึกบุญได้บุญ ใครนึกบาปได้บาป ใครขยันนึกถึงความทุกข์ก็จะได้อยู่กับความทุกข์กันไปตลอดชีวิต (เอากันไหม๊)
    ไม่เอาก็ให้นึกถึงพระกัน
    หัดคิดให้มันดี หัดคิดให้มันเป็นบวก อย่ามองโลกในแง่ร้าย
    ถึงโลกจะแตก แผ่นดินจะไหว น้ำจะท่วม พายุจะมา ก็หัวมันปะไร
    คนอื่นๆไม่ได้เลวร้าย โลกไม่ได้เลวร้าย

    แต่จิตคนที่คิดน่ะ เลวร้ายกว่าแสนล้านเท่า
    บาปทั้งนั้น จิตกำลังตกไปอยู่แดนอบายภูมิก็ไม่รู้ตัวกัน

    และอีกอย่างนึงที่อยากเตือนกัน ก็คือ อย่าอยากเป็นผู้ชนะ
    เพราะคนที่กำลังคิดว่าตนเองชนะนั้น จิตมันดับไปแล้วครึ่งดวง

    จำเข้าไว้ให้ดี
    อีกไม่นานนัก มันจะเริ่มเอาชนะกันแล้วนะพวกเรา

    จำเข้าไว้นะ
    เราไปเปลี่ยนจิตใครไม่ได้หรอก นอกเสียจากเปลี่ยนจิตของตนเอง เท่านั้น
    เราไปทุกข์ ไปสุขแทนใครไม่ได้หรอก และบรรลุธรรมแทนกันก็ไม่ได้
    บุญบาป กุศลอกุศล พวกเราเลือกทำเอากันเอง

    กฎแห่งกรรมนั้น คือ เปาปุ้นจิ้น

    บ่นจบแล้วครับครูเพ็ญฯ ผมไปนอนแล้วนะ นำจิตไปฝากพระก่อน
    เพราะผมก็อยากได้บุญ อยากอยู่กับบุญๆ พระๆ ทุกลมหายใจเลย
    เห่อ หายใจก็อิ่ม ตายตอนนี้ก็ยังได้เลย แล้วพวกเราไปห่วง ไปหวงอะไรกันอีก
    รีบทำบุญ เอาบุญ อยู่แต่ฝ่ายบุญกันเยอะๆนะพี่น้อง
    และอย่าลืมหัดเป็นผู้แพ้ ผู้ให้ ผู้มีเมตตากันและกันให้เยอะๆนะ


    ทำจิตเกาะกายไม่ได้บุญ แต่ถ้าอยากได้บุญก็ให้ทำจิตเกาะพระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มิถุนายน 2012
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    เพิ่งกลับจากงานบวชพระใหม่ที่วัดดอยเปา
    ท่านบวชหนึ่งพรรษา
    คุณแม่ของท่านเป็นเพื่อนกับเพ็ญ
    แก่กว่าเพ็ญปีเดียว

    เพ็ญส่งบุญให้ทุกคนแล้วนะ
    ใครยังไม่ได้รับก็ให้รีบมาโมทนา
    โดยเฉพาะกลุ่มจิตบุญนี้
    พอเราส่งพลังบุญไปให้
    โห รับกันจ๊วบจ๊าบ
    รับกันไวมาก ๆ
    เพราะจิตท่านใสไม่มีเครื่องขวางกั้น
    แต่จิตต่ำกว่านี้ เหอ ๆ ไปแบบเอื่อย ๆ ฮ่าๆ

    พี่ภูไปนอนได้แล้ว ตีสามแล้วนะ
    เดี๋ยวเถอะจะฟ้องครูดัชนี
    แจกไม้เรียวสองอัน
    ฮ่า ๆ ของเพ็ญเองแหละ เพ็ญยกให้พี่ภูหมดเลย
    เพราะไม่อยากโดนไม่เรียวสองอัน!!
     
  10. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ขอบคุณครับที่ให้ความกระจ่าง หลงผิดนึกว่าเอาความชัดเจนเป็นหลัก
     
  11. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    พยายามต่อไปนะครับ

    เอาแบบสบายๆ แต่ให้รู้สึกได้ว่าพระท่านอยู่กับเรา

    ทำแบบสบายๆ ไม่บังคับ

    ธรรมชาติสวัสดี

    วิทย์ จบ.11
     
  12. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    [FONT=&quot]สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้

    [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มีความสำคัญดังนี้

    [/FONT]
    [FONT=&quot]๑.จงอาศัยการกระทบให้เป็นประโยชน์ของการตัดกิเลส เห็นทุกข์มากเท่าไหร่ ยิ่งเบื่อทุกข์มากขึ้นเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]จิตจักปล่อยวางทุกข์ลงได้ในที่สุด[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ต้องอาศัย[/FONT][FONT=&quot]ปัญญาพิจารณาประกอบไปด้วย มิฉะนั้น เห็นทุกข์ก็จักเกาะทุกข์[/FONT][FONT=&quot]ก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ ถ้าหากมีปัญญาก็จักปล่อยวาง[/FONT][FONT=&quot]เนื่องด้วยเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง การที่จักพ้นทุกข์ได้[/FONT][FONT=&quot]จักต้องรู้จักพิจารณาใช้ปัญญาใคร่ครวญอยู่เสมอ จึงจักปล่อยวางได้.[/FONT]

    [FONT=&quot]๒.พิจารณาร่างกาย พิจารณาอารมณ์ ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป อย่าเอาความไม่เที่ยงมาเกาะติดอยู่ในจิตให้เป็นทุกข์[/FONT][FONT=&quot]พยายาม[/FONT][FONT=&quot]รักษาอารมณ์เกาะพระนิพพานให้มาก ๆ อย่าห่วงใคร อย่ากังวลกับเหตุการณ์ใด ๆ[/FONT][FONT=&quot]ทั้งปวง ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อพระศาสนา เพื่อพระนิพพานจุดเดียว[/FONT][FONT=&quot]ปล่อยวางเรื่องภายนอกลงเสียบ้าง แม้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี[/FONT][FONT=&quot]เพราะยังไม่ใช่พระอนาคามีผล[/FONT][FONT=&quot]การเจริญพระกรรมฐานให้หมั่นฝึกให้ได้ทุกอิริยาบถ[/FONT][FONT=&quot]ไม่ว่าทำอะไรอยู่ก็ให้จิตจับมาเป็นกรรมฐานให้ได้ การเผลอนั้น[/FONT][FONT=&quot]ย่อมยังมีอยู่เป็นธรรมดา พยายามประคองจิต[/FONT][FONT=&quot]อย่าให้หวั่นไหวกับเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบมากนัก[/FONT][FONT=&quot]แล้วจักมีความสุขขึ้นในจิต.[/FONT]

    [FONT=&quot]๓.ร่างกายไม่ใช่สาระแก่นสารที่สำคัญก็จริงอยู่ แต่บุคคลใดจักพ้นไปจากร่างกายได้ ก็จักต้องพิจารณาให้เห็นความจริงของร่างกาย[/FONT][FONT=&quot]จัก[/FONT][FONT=&quot]พูดแต่ปากหรือพูดเอาแต่สัญญานั่นย่อมไม่ได้ เพราะเท่ากับมีแต่ความจำ[/FONT][FONT=&quot]ไม่ช้าไม่นานก็ลืม ผิดกับคำว่าอธิปัญญา คือ เห็นอยู่ในความเป็นจริงตามปกติ[/FONT][FONT=&quot]บุคคลใดที่จักพ้นจากร่างกายได้[/FONT][FONT=&quot]ตถาคตขอยืนยันว่าจักต้องพิจารณาร่างกายให้เห็นตามความเป็นจริง[/FONT][FONT=&quot]จนกระทั่งจิตเข้าถึงคำว่า เอกัตคตารมณ์[/FONT][FONT=&quot]หมายความว่าเห็นจริงตามนั้นอยู่เป็นปกติ จึงจักพ้นจากร่างกายนี้ไปได้.[/FONT]

    [FONT=&quot]๔.มองเห็นร่างกายแล้ว ให้ดูอารมณ์ของจิต ที่ยึดเกาะร่างกายในส่วนไหนบ้าง[/FONT][FONT=&quot]การ[/FONT][FONT=&quot]มีอาการถูกกระทบกระทั่งใจ ก็เนื่องด้วยร่างกายเป็นเหตุ ใครจักเกลียด[/FONT][FONT=&quot]จักโกรธ จักแกล้ง จักติ จักชม ก็เนื่องด้วยร่างกายเป็นต้นเหตุทั้งสิ้น[/FONT][FONT=&quot]ดังนั้นการพิจารณารูปและนาม จักต้องย้อนไปย้อนมา[/FONT][FONT=&quot]จึงจักเกิดปัญญารู้เท่าทันรูป-นามตามความเป็นจริงได้[/FONT][FONT=&quot]จงอย่าละความเพียรในการปฏิบัติ พึงเร่งรัดกำลังใจของตน[/FONT][FONT=&quot]ให้ตั้งมั่นอยู่ในการพิจารณารูป-นามอยู่เสมอ[/FONT][FONT=&quot]นั่นแหละคือหนทางที่จักไปพระนิพพานได้.[/FONT]

    [FONT=&quot]๕.การป้องกันคุณไสยทำร้ายกายและจิตไม่ให้สงบ จักต้องไม่มีอารมณ์ปฏิฆะหรือโกรธ[/FONT][FONT=&quot]เพราะ[/FONT][FONT=&quot]การภาวนาคาถาต่าง ๆ เพียงเพื่อป้องกันเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]เจ้าไม่ได้ต่อสู้เพื่อทำร้ายเขา ให้ทำจิตให้สงบ[/FONT][FONT=&quot]ไม่คิดเป็นศัตรูกับใครเข้าไว้ อย่าโกรธ อย่าอาฆาต ภาวนาเพื่อต่อสู้ไป[/FONT][FONT=&quot]เพื่อป้องกันเท่านั้นเป็นพอ และจำไว้[/FONT][FONT=&quot]อย่าใช้บารมีของตนเองในขณะที่ภาวนาต่อสู้[/FONT][FONT=&quot]ให้กำหนดจิตขอบารมีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้[/FONT][FONT=&quot]หรือพระอริยสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้[/FONT][FONT=&quot]จักทำให้เจ้าปลอดภัยจากอำนาจคุณไสยทั้งปวง และจงอย่าคิดว่าตนเองเก่ง[/FONT][FONT=&quot]ถ้าคิดว่าตนเองเก่งเมื่อไหร่ ดีเมื่อไหร่ พระทุกองค์ก็จักไม่ช่วยเจ้า.[/FONT]

    [FONT=&quot]๖.ร่างกายที่เห็นอยู่นี้เป็นสมบัติของโลก ไม่มีใครสามารถเอาไปได้ โลกนี้ทั้งโลกกอปรไปด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ[/FONT][FONT=&quot]มี[/FONT][FONT=&quot]ความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง มีความสลายตัวไปในที่สุด[/FONT][FONT=&quot]เจ้าจักยึดถือร่างกายเป็นสรณะที่พึ่งก็ไม่ได้[/FONT][FONT=&quot]จักยึดถืออะไรในโลกเป็นที่พึ่งก็ไม่ได้ พิจารณาถึงจุดนี้[/FONT][FONT=&quot]ฝึกฝนจิตให้รู้จักกับคำว่าธรรมดาให้มาก และยอมรับคำว่าธรรมดาให้มาก[/FONT][FONT=&quot]และจงรู้จักคำว่าไม่เบียดเบียนร่างกายตนเองให้มากจนเกินไป[/FONT][FONT=&quot]และรู้จักเมตตาร่างกายตนเองด้วย[/FONT][FONT=&quot]เพื่อความอยู่เป็นสุขของจิตผู้อาศัยอยู่ในร่างกายนี้[/FONT][FONT=&quot]และอย่ากังวลกับสิ่งภายนอกให้มาก จงเป็นผู้มีธุระน้อย[/FONT][FONT=&quot]หาความพอดีให้กับกายและจิตให้มาก ๆ จึงจักพบกับความสุขอย่างแท้จริง.[/FONT]

    [FONT=&quot]๗.การอาศัยความกระทบ[/FONT][FONT=&quot]กระทั่งของอารมณ์เป็นเครื่องวัดกำลังใจที่จักตัดกิเลส นั่นแหละเป็นของจริง[/FONT][FONT=&quot]ได้ก็รู้ ตกก็รู้ ใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา[/FONT][FONT=&quot]อะไร[/FONT][FONT=&quot]ที่เข้ามาในชีวิตก็จักต้องทนได้ เพราะต้องการที่จักไปพระนิพพาน[/FONT][FONT=&quot]ต้องทนได้กับทุก ๆ สภาวะ ให้ตรวจบารมี ๑๐ เข้าไว้[/FONT][FONT=&quot]ขาดตัวใดตัวหนึ่งก็ต้องทำตัวนั้นให้เต็ม อย่าให้พร่องแม้แต่หนึ่งนาที[/FONT][FONT=&quot]แล้วการเจริญพระกรรมฐานก็จักคล่องตัวเอง ทำกำลังใจให้สงบ[/FONT][FONT=&quot]แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจักดีขึ้นเองอย่าหวั่นไหวในการกระทบ[/FONT][FONT=&quot]สิ่งใดรู้ว่าแพ้ก็ให้แพ้ไป ตั้งกำลังใจกันใหม่ แผ่เมตตาให้มาก ๆ[/FONT][FONT=&quot]การปฏิบัติอย่าเครียด คือเอาจริงเอาจังเกินไป อารมณ์ต้องเบา ๆ สบาย ๆ[/FONT][FONT=&quot]จงอย่าสนใจกรรมหรือการกระทำของผู้อื่น ให้ดูแต่กรรมของตนเองเป็นที่ตั้ง[/FONT][FONT=&quot]ดูกาย-วาจา-ใจของตนเอง เพียรให้อยู่ในศีล-สมาธิ-ปัญญา เท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]อารมณ์เผลอย่อมมีบ้างเป็นธรรมดา ได้สติก็ตั้งต้นดึงเข้ามาใหม่.[/FONT]

    [FONT=&quot]๘.เหตุการณ์บ้านเมืองเวลานี้ไม่ดี ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าใครดีใครเลว เพราะกฎของกรรมเป็นของตายตัว[/FONT][FONT=&quot]จึง[/FONT][FONT=&quot]มิใช่ของแปลก เป็นเรื่องธรรมดาของกฎของกรรม นักปฏิบัติเพื่อต้องการพ้นทุกข์[/FONT][FONT=&quot]จงเห็นกฎของธรรมดาเหล่านี้ให้มาก และยอมรับนับถือกฎของธรรมดาด้วย[/FONT][FONT=&quot]จิตจึงจักสงบเย็นลงไม่โทษเขาหรือโทษใคร[/FONT][FONT=&quot]ให้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงไว้เสมอ และจงอย่าได้มีความประมาทในชีวิต[/FONT][FONT=&quot]พร้อมตายและซ้อมตาย เพื่อเอาจิตเข้าสู่พระนิพพานไว้ ด้วยความไม่ประมาท[/FONT][FONT=&quot]ให้จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาให้มาก แล้วจิตจักเป็นสุข.[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  13. jackdongbung

    jackdongbung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +102
    ผมติดตามอ่าน มาตั้งนานแล้วครับ พยายามปฎิบัติตาม ให้ได้ แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย ผมอยากสมัครเป็นศิษย์ ด้วยคนครับ เพื่อไห้การปฎิบัติไปได้ถูกทาง ขอโทษนะครับพิมพ์ไม่เก่ง
    แต่ตั้งใจที่จะปฎิบัติครับ
     
  14. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    โมทนาสาธุเจ้าค่ะ
    ยินดีต้อนรับนะฮับบบบ
    น้องเห็นท่านพี่อยู่น่าน.. เอ๊!! อยู่นานแล้ว
    ขอให้ท่านพี่มีสติเยอะๆ.. หมั่นเรียนรู้จิตตนเอง
    มีจิตเกาะพระ มีพระในจิตให้ได้ดียิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ

    ปล. ดื่มน้ำปั่นหน่อยไหมจ๊ะ ท่านพี่?





    [​IMG]
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น

    (โ ด ย ส ม เ ด็ จ อ ง ค์ ป ฐ ม)

    ทรงเมตตาสอนไว้เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕
    พิจารณาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผล มีความสำคัญโดยย่อดังนี้

    ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัด จับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุดจากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้นแล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำเมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขา ก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า ”บ้า” อีกท่านหนึ่งพูดว่า “ทะลึ่ง” ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรมและวจีกรรมทั้งคู่)

    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อๆ) ดังนี้

    ๑. "เหตุที่จิตมีอุปาทาน ยึดเอากรรมของผู้อื่นมาใส่จิตของเรา
    จึงกล่าวเป็นวจีกรรมหลุดออกไป เพราะเหตุไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของจิต ที่ยึดเอาอุปาทานนั้นๆ(บุรุษผู้สร้างกรรมกับปลา) ถ้าไม่ใช่อดีตกรรมส่งผลให้เขาทำกับปลา กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ปลาเคยเป็นคนมาแล้ว จับคนที่เป็นปลาอยู่อย่างนี้แล้ว กรรมนี้ก็เป็นกรรมปัจจุบัน คือ มีอารมณ์ฟุ้งซ่านเหลวไหล เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ มีอารมณ์สนุกไปกับการเบียดเบียนปลา จึงสร้างกรรมนี้ให้เกิดขึ้น ซึ่งกรรมนี้เมื่อลุล่วงไปแล้ว ก็เป็นกายกรรมอันส่งผลให้เกิดกรรมในอนาคตได้ กล่าวคือจะต้องมีชาติหนึ่งในต่อไปข้างหน้า บุรุษนี้ก็จะเกิดมาเป็นปลาสวาย และปลานั้นกลับชาติมาเกิดเป็นคนจับเงี่ยงปลาชูให้ดิ้นรน จนกระทั่งตกลงกระแทกแพอีก นี่คือกรรมภายนอก แต่เจ้าทั้งสองเอามาเป็นกรรมภายใน สร้างวจีกรรมให้เกิด เท่ากับเห็นคนผิด เห็นปลาถูก จึงไปตำหนิกรรมอยู่อย่างนั้น วจีกรรมคือนินทากับสรรเสริญนั่นเอง”

    ๒. "ถ้าจิตยังละการตำหนิกรรมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมโนกรรมหรือวจีกรรม
    ก็เท่ากับสร้างผลกรรมให้ต่อเนื่องกันไป ในการตำหนิกรรมไม่รู้จักสิ้นสุด ในเมื่อโลกนี้มันเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ ผิดถูกในโลกนี้ไม่มี มันมีแต่กรรมล้วนๆ”

    ๓. "ในเมื่อเจ้าทั้งสองตำหนิกรรมอย่างนี้แล้ว
    พอไปชาติหน้าก็ประสบมาเป็นคน จากคนที่เป็นปลาก็ต้องมาตำหนิกรรมอีก
    เมื่อมัวแต่ตำหนิธรรมหรือกรรมของผู้อื่น อันสืบเนื่องเป็นสันตติประดุจกงกำกงเกวียน หมุนเวียนต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วพวกเจ้าจะเอาชาติไหนมาตัดสินว่าใครผิด-ใครถูก โลกทั้งโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้ เพราะกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-อกุศลกรรมเป็นเหตุ ทำให้จิตของคนกระทำกรรมให้เกิดแก่มโน-วจีและกายได้อยู่เป็นอาจิณ”

    ๔. "เจ้าต้องการพ้นกรรม ก็จงหมั่นปล่อยวาง
    มองเห็นเหตุแห่งกรรม อะไรจักเกิดก็ต้องคิดว่า กรรมใครกรรมมัน รู้สันตติของกฎแห่งกรรมว่ามันเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาไม่ทำกรรมกันมาก่อน กรรมนี้ก็จักไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ ตถาคตจึงได้ตรัสยืนยันว่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เมื่อเรารู้เหตุก็จงดับที่เหตุแห่งกรรมนั้น จงอย่ามองว่าใครผิดใครถูก กรรมถ้าไม่ใช่เขาก่อขึ้นเอง มันก็เกิดขึ้นไม่ได้เองหรอก”

    ๕. "เมื่อพวกเจ้าเข้าใจดีแล้ว ก็จงหมั่นทำจิตให้พ้นจากการตำหนิธรรมเถิด
    ค่อยๆวางค่อยๆทำ กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับ กำหนดจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในวิมุติธรรม ทำอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ยอมรับนับถือกฎของกรรมให้เกิดขึ้นในจิต ทำบ่อยๆเข้ามรรคผลก็จะปรากฏขึ้นเอง อย่าละความเพียรเสีย กระทบเท่าไหร่-เมื่อไหร่-ที่ไหนก็ต้องรู้ อย่าตำหนิธรรมให้เกิดขึ้นกับจิต เห็นกรรมที่เป็นสภาวะอย่างนี้อยู่ให้ชัดเจนอยู่ตลอดเวลาอยู่กับจิต ผู้ไม่รู้ย่อมกอปรกรรมให้เกิดด้วยจิตอุปาทานในกรรมนั้น ๆ กรรมใครกรรมมัน พวกเจ้าอย่าไปเกาะยึดเอากรรมนั้นๆมาตำหนิดีเลว เพราะเท่ากับว่ามีอุปาทานเห็นกรรมนั้น ๆ ว่าดี-เลว เมื่อจิตมีอุปาทานตำหนิดี-เลวจนเป็นมโนกรรม แล้วยับยั้งไม่อยู่ ก็ออกปากตำหนิดี-เลว จนเป็นวจีกรรมอีก”

    ๖. "ถ้าบุคคลไม่รู้อุปาทานนี้ ทำกรรมโดยลงแพไปต่อว่าต่อขานคนที่จับปลาเข้า
    ถ้ายังอารมณ์ปฏิฆะให้เกิด ก็จะทะเลาะกัน ดีไม่ดีก็จักทำร้ายร่างกายกัน จนเป็นกายกรรมสืบเนื่องต่อกันไปได้ ดังมีตัวอย่างมามากมาย คนอื่นเขาทะเลาะกัน สร้างกรรมกัน คนนอกเข้าไปสอดแทรก เป็นกรรมการห้ามปราม คู่กรณีไม่ยอมฟังเกิดอารมณ์โทสะขึ้นหน้า ลงมือทำร้ายกรรมการเสียจนตายไปด้วยความหมั่นไส้ เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าปรารถนามรรคผลนิพพาน ก็ไม่ควรต่อกรรมกันไปอีก ยุติการตำหนิกรรมลงเสียให้ได้ ไม่ว่าจักเป็นกายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็ต้องยุติลง ใช้ศีล-สมาธิ-ปัญญาอันเกิดแก่จิต พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในสันตติวงล้อวัฏจักรกรรมว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้เอง พยายามทำจิตให้ยอมรับกฎของกรรมโทษของกรรมไม่ว่าดีหรือเลวนั้นไม่มี เห็นแต่กงกำกงเกวียนหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด จงยอมรับกฎของกรรมซึ่งยุติธรรมที่สุด ใครทำใครได้ อย่าไปมีหุ้นส่วนกรรมกับใครๆเขาโดยการตำหนิกรรมเป็นอันขาด จำไว้นะ ”

    ขอยกตัวอย่างอารมณ์ที่สอบตกสัก ๒ เรื่อง

    เรื่องแรก...
    มีความโดยย่อว่า มีคนมาเล่าให้ฟังว่า หญิงแก่คนหนึ่งว่าจ้างรถจากในเมืองให้มาส่งที่วัดท่าซุงในราคา ๕๐ บาท พอรถมาส่งที่วัด หญิงแก่กลับให้ค่ารถเพียง ๑๐ บาท บอกว่าฉันมีแค่นี้จะเอาหรือไม่เอา คนรถก็ตำหนิหญิงคนนั้นว่า อะไรกัน คนมาปฏิบัติธรรมที่วัดใหญ่โต แต่ไม่มีสัจจะ พอได้ยินเขาเล่าเพียงแค่นี้ จิตก็ปรุงแต่งตำหนิหญิงแก่นั้นเสียยืดยาว คือ ร่วมวงนินทาปสังสากับผู้เล่าเสียเพลิน กว่าจะรู้ตัวว่าสอบตก ผิดทั้งมโนกรรมและวจีกรรม ก็ว่าไปครบสูตรแล้ว จึงต้องขอขมาพระรัตนตรัย

    เรื่องที่ ๒
    คือ ตัวของข้าพเจ้าเอง พอขอขมาพระรัตนตรัยเรื่องการตำหนิกรรมของบุรุษผู้สร้างกรรมกับปลาแล้ว ตาก็เห็นหนังสือพิมพ์พาดหัวโต ๆ ว่า เมืองไทยมีคดีฆ่าคนตายมากเป็นอันดับ ๒ ของโลก จิตก็ตำหนิกรรมทันทีว่าไม่จริง เป็นอุปาทานของนักข่าวเอง เพราะประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศที่มีคดีฆ่าคนมากกว่าเรา แต่หนังสือพิมพ์เขาไม่ประโคมข่าวในหนังสือพิมพ์หน้าแรกเหมือนเมืองไทย เมืองไทยชอบประโคมข่าวชั่วร้ายข่าวไม่ดีในหน้าแรกตัวโตๆ ชอบขายข่าวบนความทุกข์ของชาวบ้าน ว่าเสียยาวกว่าจะรู้ตัวว่าสอบตก ผลก็คือต้องขอขมาพระรัตนตรัยอีกครั้ง

    : หมายเหตุ
    นี่คือตัวอย่างเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว
    ผู้อ่านพระธรรมบทนี้แล้วหากหวังก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
    เมื่อรู้ตัวเองว่าผิดก็ควรจะละอายแก่ใจ (มีเทวธรรมหรือหิริ - โอตตัปปะ) ให้ขอขมาพระรัตนตรัยทุกครั้งจนเป็นนิสัย

    ผมขออาราธนาบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง
    ขอให้ผู้อ่านด้วยความศรัทธาทุกท่าน จงโชคดีในธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
    ในชาติปัจจุบันนี้



    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน


    ปล. ขอสรุปสั้นๆว่า เรื่องทั้งหลาย ทั้งปวงนี้ ซึ่งเกิดขึ้นจากจิตของคนเราแทบทั้งสิ้น ใช่ไหม๊?
    แล้วต่อไปนี้ใครพอจะรู้ตนเองบ้างแล้ว หรือรู้แล้วก็ดีไป รอดไป
    แต่ถ้าผู้ที่ยังคงเมามัน เอามันๆกันอยู่ ณ.เวลานี้กันหล่ะ! ใครจะทราบไหมหน๋อ! จิต ดวงจิตนั้นก็จะวนเวียน หลงมาเกิดกัน มาเบียดเบียนกัน มาทุกข์กันอยู่อย่างนี้ ไม่จบ ไม่สิ้น
    ก็ขอให้ทุๆท่านคิดดูเอาเอง
    สติปัญญามีกันไหม๊
    แต่ถ้ามี แต่ยังมีมากไม่พอก็ให้หมั่นเจริญสติกันให้มากๆเข้าไว้
    เพราะสตินั้นถือว่าเป็นฝ่ายบุญกุศล ที่เกิดมาจากธรรมชาติ แต่มีไม่เพียงพอที่จะไปต่อสู้กับกิเลสของตนเองและผู้อื่นๆได้
    เราจงควรหมั่นเจริญสติ หรือหมั่นสร้างสติกันเอาเอง

    เมื่อเรามีสติมากๆกันแล้ว เราก็จะค่อยๆฉลาดขึ้นมาทีละน้อยๆ
    ไม่เชื่อลองทำดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มิถุนายน 2012
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    รากแก่น&แก่นธรรม?

    ร่างกายทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย ที่พวกเราส่วนใหญ่เห็นกันนั้น
    เป็นของสวยงาม หลงกายตน หลงความคิดตน หลงตนสวย หลงตนหล่อ
    หรือเห็นหล่อ เห็นสวย ที่กำลังลุ่มหลงกันอยู่นี้
    เห็นรักกันเหลือเกิน รักปานจะแห...ตู...ดมกันนั้น เมื่อตายไปเห็นเอาไปตั้งหน้าเมรุทุกรายไป แล้วไปยึดทำไม เห็นตายไปมอดทุกราย ไม่เห็นใครเอาตนเองไปได้ เอาคนรัก คนข้างหลังไปกันได้สักรายเดียว เอ่อ...

    นั่นก็คือ ตัวทุกข์ทั้งสิ้น
    ร่างกายทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย แท้ที่จริงเกิดจาก อวิชชา ทั้งสิ้น
    ทุกข์ทั้งสิ้น
    พระพุทธองค์ ท่านก็เคยตรัสไว้เช่นนั้น
    " นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด "
    " นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ "

    ร่างกายทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย คือตัวทุกข์
    และคนเราทุกข์กันทุกวันนี้ ก็เพราะเราไปยึดเอาตัวทุกข์ คือร่างกาย ขันธ์5มาเป็นของตนกัน นั่นเอง
    เมื่อพวกเราพาหลงไปยึด ละปล่อยวางไม่เป็นกัน
    ตัวทุกข์นั้นก็จะพาไหลหลงกันไป เป็นไปตามลักษณะแห่งทุกข์นั้นๆ

    ต่อไปถ้าบุคคลใดพอจะมีสติมาก มีปัญญากันมากๆ ก็จะพากันละร่างกาย ขันธ์5 กันได้เองนะ

    อย่าไปคิดมาก...

    ปล.ช่วงนี้อัดธรรมะกันเยอะๆหน่อย เพราะเห็นว่าจิตมันว่างจากธรรมะ คือจิตไม่มีศีล ไม่มีธรรมะกันอยู่ภายในกาย ภายในจิตใจกัน
    ใครรับได้กฌถือเป็นกำไรไป แต่ถ้าใครรับไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
    แต่ถ้าเมื่อไหร่ วาระกรรมของท่านใกล้จะหมด เดี๋ยวบุญของเจ้าจะนำพาไปปฎิบัติเองนะ

    ทำจิตเกาะพระไป ทำไปๆ อย่าได้หวังผลมากเกินไป
    อย่าไปตั้งใจเกินไปจนเครียด จนจิตล้า อันนั้นใครรู้ตัวรีบปรับปรุงเสีย
    พยายามค้นหาจุดความพอดีของตนเองให้ได้
    แต่ถ้าใครหาไม่ได้ หาไม่พบ หาไม่เจอ ก็เอาใจของตนเองสบายๆเบาๆกันเข้าไว้ก่อน
    อย่าไปกำหนดเกินไป อย่าไปกดขี่ ข่มเหง ทำร้ายจิตตนเองนะ
    อันนั้นผิดเวย์แล้ว
    หาใหม่ เริ่มใหม่ ไม่หย่อนไม่ตรึงจนเกินไป
    พูดไปเห่อ ปากจะฉีกถึงหูก็ไม่รู้ฟังกัน
    ทำไปๆ เดี๋ยวจิตนิ่ง จิตรวมเดี๋ยวก็จะเข้าใจกันไปเองแหล่ะ!
     
  17. somkun62

    somkun62 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +763
    ส่วนการกำหนดภาพพระที่ฐานใดๆนั้น เรามีข้อแนะนำว่า:-
    - ลองกำหนดไปดูหลายๆฐานแล้วดูว่าเราถนัดฐานไหนที่สุด ก็ให้เอาฐานนั้น
    - คำว่าถนัดให้พิจารณาจาก ผลแห่งการปฎิบัติที่ดีที่สุดก้าวหน้ามากที่สุดเป็นหลัก (อย่าเอาความชอบส่วนตนเป็นหลัก เพื่อความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนะ)
    - ฐานกำหนดก็มีเช่น ที่ศรีษะ ที่หน้าผาก(ตาที่3) ที่จมูก ที่หน้าอก ที่ท้องน้อย(กึ่งกลางกาย) ที่ภายนอกอยู่ข้างๆกายเรา(แนะนำว่าให้อยู่ในกายเราจะดีกว่าเพราะในกายเราจะบังเกิดมี พุทธานุภาพมากๆเลย.. ยิ่งสมาธิดีๆนะยิ่งกว่าแขวนพระเครื่องสัก10องค์เลย..ไปถึงไหนมีแต่รังษีพุทธะแผ่ออกจากตัวเองออกมาเต็มไปหมด ถามว่ารู้ได้ไง?.. ตอบ:เอาไว้ให้จิตเรานิ่งให้ได้ก่อนแล้วก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง-ปัจจตัง)

    ผมขออนุญาต นำข้อมูลส่วนนี้และส่วนอื่นๆที่สำคัญต่อการปฏิบัติสำหรับผู้ฝึกใหม่ ของคุณลูกพลัง ส่งให้น้องที่ผมรู้จักทางอีเมลล์นะครับ น้องเขาเป็นนักศึกษาอยู่ครับ เป็นช่วงวัยรุ่น ยังหลงโลก ผมก็กำลังแนะนำให้น้องเขาเข้ามาฝึกจับภาพพระในกระทู้นี้อยู่ครับ ส่วนเขาจะมาหรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่บุญวาสนาของเขาครับ ผมก็หวังว่าน้องเขาจะเข้ามาฝึกในเร็ววันนี้ครับ ขอบคุณครับ
     
  18. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะพี่ภู ครูเพ็ญ ครูดัชนี ครูวิทย์ ครูนก ครูน้องหนู ครูลูกหว้า ครูโจ ครูลูกพลัง ครูนิว เวฟ และทุกท่าน พอดีช่วงนี้เจ้าตัวเล็กไม่สบายค่ะ เลยไม่ได้เข้ามา เดี๋ยวก็ต้องไปเยี่ยมอาที่โรงพยาบาล เพราะเป็นโรคหัวใจ เพิ่งใส่เครื่องช่วยกระตุ้นหัวใจและมาเจออีกโรคคือมะเร็งต่อมลูกหมากระยะที่3 แต่เจ้าตัวยังไม่รู้ กลัวถ้ารู้เรื่องแล้วจะเสียกำลังใจ รอบตัวมีแต่คนป่วยจริงๆค่ะ

    ตอนนี้ก่อนนอนจะนำคำสอนของสมเด็จองค์ปฐมที่ครูนกนำมาฝากมาทบทวนและพิจารณาทุกคืน รู้สึกเหมือนท่านพ่อมาชี้แนะนำเองเลยค่ะ เพราะทุกปัญหานั้นตรงมากๆๆ
    ต้องขอขอบคุณคุณนกมากๆๆนะค่ะ ทั้งนี้รวมถึงพี่ภู ครูเพ็ญ ครูดัชน ครูวิทย์ ครูลูกหว้า ครูลูกพลัง ครูน้องหนู ครูนิวเวฟ ที่ช่วยแนะนำสิ่งดีดีให้นะค่ะ

    แสงจันทรขออาราธนาบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นำบุญบารมีที่ลูกมีอยู่ส่งไปให้ พี่ภู ครูเพ็ญ ครูดัชนี ครูวิทย์ ครูลูกหว้า ครูลูกพลัง ครูน้องหนู ครูนิวเวฟ ครูโจ นะค่ะ และให้ทุกท่านที่ปรารถนาการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ขอให้ท่านก้าวผ่านความทุกข์สู่แดนนิพพานดั่งที่ตั้งใจเทอญ
     
  19. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    โมทนาสาธุครับ

    ขอส่งผลบุญต่อให้ทุกท่านด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  20. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ.. โดยสังเขป

    การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ.. โดยสังเขป

    สืบเนื่องมาจากมีผู้คนสงสัยในการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระกันมาก คือว่าเป็นของใหม่สำหรับท่านๆเหล่านั้น จึงมีการดำริขึ้นมาว่าควรที่จะทำการรวบรวมข้อมูลอธิบายความการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อ่านทั่วไปหรือผู้สนใจจะปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง จะได้รับทราบโดยองค์รวมของการปฎิบัติรวมถึงเป้าหมายปลายทางว่าเป็นเช่นไร

    ที่มา: สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทรงมีเมตตา แนะนำถ่ายทอดผ่านท่านพี่ภูลงมา โดยมีท่านพี่ภูเป็นผู้ปฎิบัติสำเร็จเป็นคนแรกแล้วก็ถ่ายทอดต่อมายังบุคคลท่านอื่นๆตามลำดับต่อมา แล้วในวันหนึ่งกาลภายภาคหน้า การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระนี้จะเป็นที่แพร่หลายแก่พุทธศาสนิกชนสืบต่อไป ตั้งแต่ยุคกึ่งพุทธกาลนี้เป็นต้นไป..
    วัตถุประสงค์: เป็นการปฎิบัติธรรมซึ่งเจริญรอยตามอริยมรรควิธีของพุทธศาสนา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นมีดวงตาเห็นธรรมโดยใช้เวลาไม่นานนัก คือนอกจากจะเป็นทางสายตรงแล้วก็ยังเป็นทางลัดด้วย..(คำว่าทางลัดในที่นี้หมายถึง ผลแห่งการปฎิบัติจะเกิดประสิทธิผลด้านเวลาอยู่มาก)
    อานิสงค์: มีดวงตาเห็นธรรม สามารถตัดสิ้นอาสาวะกิเลสทั้งปวง ถึงมรรค ผล นิพพานในภพชาตินี้
    อรรถาบรรยาย: ความจริงแล้วก็เป็นการปฎิบัติธรรมเชกเช่นเดียวกับการปฎิบัติธรรมในรูปแบบอื่นๆ สายอื่นๆสำนักอื่นๆ แต่ที่มีความต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ รูปแบบการปฎิบัติสามารถเข้ากับภาระกิจทางโลกได้ง่ายไม่ยุ่งยาก สามารถปฎิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา มีความคล่องตัวในการปฎิบัติไม่มีเงื่อนไขมาก ทำแบบสบายๆ ทำไปเรื่อยๆ และที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพประสิทธิผลแห่งการปฎิบัติเมื่อเทียบกับเวลาที่สูญเสียไปทุกวันๆ (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่เขียนข้อเด่นเอาไว้แล้ว)
    วิธีการปฎิบัติ: แบ่งออกได้เป็น4ขั้น (ขออนุญาติใช้ภาษาทางโลกตอนที่เราๆท่านๆเข้าโรงเรียน เรียนหนังสือเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับทางธรรม..) ตามลำดับดังนี้:-

    ขั้นที่ 0: อนุบาล - ทาน (ทานศีลภาวนาพื้นฐานทั่วๆไป)
    วัตถุประสงค์: เพื่อเตรียมความพร้อมพื้นฐานทางจิตและ/หรือข้อปฎิบัติสำหรับพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปที่ใฝ่ดี
    อานิสงค์: ของการทำบุญทำทานหรือการสร้างทานบารมีนั้นยังผลให้เกิดความไม่อับจนในโภคทรัพย์ และยังผลให้มีกำลังใจ(เมื่อบารมีมากขึ้นๆ) ในการปฎิบัติธรรมขั้นสูงๆต่อไป โดยที่ไม่อับจนข้นแค้นในทางโภคทรัพย์จนเกินไป
    อรรถาบรรยาย: การสร้างทานบารมีคือการทำบุญภายนอก ลดความตระหนี่ถี่เหนียวแห่งใจ มีเมตตาจิตช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยากหรือจะช่วยส่งเสริมพุทธศาสนะกิจให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป มีกำลังใจเป็นบาตรฐานในการรักษาศีล มีหิริโอตัปปะ เมื่อสิ้นอายุขัยก็จะไปจุติยังเทวโลก เมื่อกลับมาเกิดยังโลกมนุษย์อีกก็จะมีความเป็นอยู่ไม่ขัดสนไม่อับจน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสร้างทานบารมี ในความเป็นจริงแล้วการสร้างทานบารมี มีข้อรายละเอียดอยู่อีกมากแต่ในที่นี้ก็ขอละไว้เท่านี้ก่อน
    วิธีการปฎิบัติ: ก็ไม่มีอะไรมากคือว่า หมั่นทำบุญทำทานตามกาล ฟังเทศน์ฟังธรรม อ่านธรรมะ รักษาศีล(ปุถุชน-ศีล5) สวดมนต์ ภาวนาเบื้องต้นตามกาล ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้วพุทธศาสนิกชนใฝ่ดีก็ได้ปฎิบัติตนกันอยู่แล้ว เมื่อปฎิบัติมากๆเข้าก็จะเกิดมีกำลังใจสูงขึ้นๆ "กำลังใจ"หรือบารมีนี้แหล่ะจะเป็นบาตรฐานในการก้าวเข้าสู่การปฎิบัติธรรมขั้นสูงขึ้นๆ ต่อไป

    หมายเหตุ: ในกรณีท่านที่มีบุญบารมีเดิมหรือบุญเก่ามานั้นแท้จริงแล้วคือ ท่านได้สั่งสมบารมีต่างๆมาในภพชาติก่อนๆ เช่น ทานบารมี ศีลบารมี (บารมี10ทัศ) ดังนั้นแล้วกำลังใจของท่านในการที่จะปฎิบัติธรรมในขั้นที่สูงๆขึ้นไปจึงไม่เป็นปัญหาเมื่อเทียบกับบุคคลที่ยังต้องหวังพึ่งการให้กำลังใจจากผู้อื่นอยู่ (คือท่านสามารถเติมกำลังใจให้แก่ตนเองได้..ว่างั้นเถอะ)

    การเจริญอริยมรรควิธี (แก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา)
    ขั้นที่ 1: ประถม - ศีล
    วัตถุประสงค์: การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แบ่งเป็นศีลหยาบ กลาง ละเอียด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)
    อานิสงค์: เมื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้แล้วก็ยังผลให้เกิดบารมีหรือกำลังใจที่สูงขึ้นเป็นบาตรฐานแห่งสมาธิในขั้นต่อไป
    อรรถาบรรยาย: การทรงศีลให้บริสุทธิ์เป็นการชำระกิเลสเบื้องต้น(ปิดประตูอบายภูมิ) ทำให้จิตมีความสงบและนิ่งมากยิ่งขึ้น เหมาะสมควรแก่งานด้านการเจริญสมาธิภาวนาให้ได้ผลมากยิ่งๆขึ้นไป
    วิธีการปฎิบัติ: หมั่นมีสติระลึกรู้ที่จะไม่ทำผิดศีล รักษาศีลยิ่งชีวิต จนกระทั่งจิตจะทำการรักษาศีลให้เราเองโดยอัตโนมัติ (นี่..ต้องทำให้ได้ถึงขั้นนี้ จนศีลเป็นฝ่ายรักษาเรา)
    เพิ่มเติม: กรรมเก่า คือการกระทำในครั้งอดีตของตนเองทั้งในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติโดยเฉพาะในทางอกุศล ก็จะมีเจ้ากรรมนายเวรมาคอยขัดขวางการเจริญปฎิบัติธรรมของเราทำให้ไม่ก้าวหน้า (คือเหนี่ยวรั้ง ขัดขวางหรือมีเหตุให้ไม่สามารถปฎิบัติได้ต่อเนื่อง) แล้วจะทำอย่างไร? เพราะว่าไม่มีใครย้อนอดีตไปแก้ไขกรรมนั้นได้
    วิธีแก้ไขคือ ให้อุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและขออโหสิกรรม ทุกๆครั้งที่เราได้กุศลผลบุญมา เช่น ทำบุญทำทานมา(กุศลยังน้อยนัก..บุญภายนอก) รักษาศีลบริสุทธิ์ เจริญสมาธิ (กุศลมากโข) แล้วหมั่นอุทิศบุญ(อย่าลืม ขอบารมีพระรัตนตรัยช่วยแปรเปลี่ยนบุญกุศลนี้ให้เป็นบุญกุศลที่เขาสามารถรับได้ และเมื่อได้รับแล้วก็ขออนุโมทนาสาธุกา อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ..) ทำอยู่เนืองๆทำบ่อยๆภายหลังจากได้บุญกุศลมาทุกครั้ง นานวันไปเจ้ากรรมก็จะอโหสิกรรมและละวางกรรมเก่าของเราเอง (แต่ว่าไม่ใช่เขาจะละวางทั้งหมดนา อย่าเข้าใจผิดคือมันจะมีกรรมบางประเภทที่ จะอย่างไรก็มิอาจหลีกหนีได้..อีอันนี้ก็วิบากใครวิบากมัน..รับกันไป)
    อีกกรรมหนึ่งที่สำคัญมากๆคือ อกุศลกรรมกับบุพการี ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่ารอช้าให้รีบไปขอขมาแล้วให้ท่านอโหสิกรรมให้แก่ตัวเรา เพื่อเป็นการตัดเวรตัดกรรม ไม่เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งในการเจริญธรรม
    อย่าลืม.. แล้วก็ตัวโตๆเอาไว้ด้วยว่า "จะไม่สร้างอกุศลกรรมใหม่ใดๆขึ้นมาอีก" มิฉะนั้นตามโหสิกรรมจนตายก็ไม่หมดซักที..
    สรุปว่า เมื่อทรงศีลบริสุทธิ์และจัดการเรื่องโหสิกรรมแล้ว บารมีหรือกำลังใจก็จะทะยานพุ่งขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง อันเป็นบาตรฐานแห่งการเจริญสมาธิสืบต่อไป (เริ่มเข้าสู่กระแสแห่งธรรมแล้ว มองเห็นโลกุตระอยู่ไม่ไกลแล้ว)

    ขั้นที่ 2: มัธยม - สมาธิ
    วัตถุประสงค์: การทำจิตเกาะพระเพื่อเจริญสมถกรรมฐาน(แถมวิปัสสนากรรมฐานบางส่วน) เพื่อเสริมสร้างกำลังแห่งสมาธิ อันประกอบด้วยองค์ฌานทั้ง5ได้แก่ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัตคตา ให้ได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนหรือตลอดเวลานั่นเอง
    อานิสงค์: การทำสมาธิจิตเกาะพระยังผลให้เกิดกำลังฌานสมบัติ(แถมสติตามรู้)คือทรงฌานได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นบาตรฐานในการเข้าสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานในขั้นปัญญาต่อไป
    อรรถาบรรยาย: การเจริญวิปัสสนาโดยขาดกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐาน พระท่านเรียกว่า "วิปัสสนึก" คือไม่อาจทำให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริงในการตัดสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสได้ ขอให้ทุกท่านได้โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ปัญญาทางธรรมหรือเรียกว่า ปัญญาวิมุติจะต้องมีกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐานเท่านั้นจึงจะเกิดได้ (มิฉะนั้นมันก็เป็นปัญญาทางโลกเท่านั้นเอง) ดังนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่าการเจริญสมถกรรมฐานนี้เป็นบาตรฐานที่สำคัญยิ่งทางพุทธศาสนา และก็เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ติดกันอยู่ตรงนี้มากๆเลย คือว่า บางท่านก็ปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีก็ยังไม่ไปถึงไหน ติดเวทนาปวดขาปวดหลังฟุ้งซ่านไปเรื่อย หรือเข้าได้แค่ฌาน1(ก็บุญแล้ว..) หรือเข้าได้แค่ฌาน2-3 ติดสุขอีก หรือเข้าฌาน4ได้ ติดฤทธิ์ติดอภิญญาอีก เพิ่มทิฏฐิมานะ ทรงคุณวิเศษเหนือบุคคลธรรมดา หลงตัวหลงตนหนักข้อเข้าไปใหญ่ โน้นออกทะเลไปเลย (เห็นแก่อามิส วันหนึ่งกิเลสเข้าครอบงำอภิญญาเสื่อมถอย ก็ต้องโป้ปดมดเท็จไปเรื่อย ผิดศีลข้อ4มุสาอีก ดันสร้างอกุศลกรรมขึ้นมาใหม่อีก ยิ่งแย่เข้าไปอีก) หรือปฎิบัติได้ทุกวันวันละ1-2ชม. ขาดความต่อเนื่องในการปฎิบัติ ติดๆดับๆ เป็นเวรเป็นกรรมเสียช่างกระไรนี่ จนท้อแท้กำลังใจหดลงก็พาลโทษว่าบุญเก่าเรามีน้อย..
    การทำจิตเกาะพระถือเป็นสมถกรรมฐานที่เป็น พุทธานุสติ+กสิน สามารถเจริญกรรมฐานกองนี้ไปได้ถึงฌาน4 เพิ่มความรวดเร็วและความต่อเนื่องในการปฎิบัติให้ได้ผลเป็นอย่างดี(สำหรับผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติจริงนะ) และสามารถเข้าออกฌานได้อย่างคล่องแคล่ว คือทรงฌานได้ตลอดเวลานาที จนกระทั่งจิตทำหน้าที่ทรงฌานเองเป็นอัตโนมัติ
    (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่ได้เขียนข้อเปรียบเทียบที่เด่นๆเอาไว้แล้ว)
    วิธีการปฎิบัติ: เนื่องจากมีรายละเอียดยาวมากๆจึงละไว้ว่าให้ไปหาอ่านในกระทู้ว่ามีวิธีการปฎิบัติอย่างไร
    บางครั้งการปฎิบัติไม่ก้าวหน้า ก็ให้หมั่นกลับไปสำรวจตรวจสอบขั้นอนุบาลและขั้นประถม(ทาน ศีล กรรมเก่า) อยู่เป็นนิจว่าได้ชำระสะสางไปมากน้อยแค่ไหนด้วย เพราะว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้นะเป็นเส้นผมบังภูเขาเลย จะบอกให้..
    การระลึกนึกถึงพระให้ได้ทั้งวันทั้งคืนนั้นได้อานิสงค์2ประการคือ 1)สามารถทรงฌานได้ตลอด 2)มีสติที่ไวไม่เผลอ ในความเป็นจริงแล้วเจ้าสองสิ่งนี้คือ ฌานกับสติ (คล้ายๆไก่กับไข่หรืองูกินหาง) ถ้ามาก็จะมาคู่กัน ถ้าหายก็หายไปพร้อมกัน คือมันเป็นสิ่งที่หนุนเนื่องซึ่งกันและกัน แล้วจะต้องทำให้ได้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง จิตของเราจนจำได้ นี่ข้อนี้คือข้อสำคัญ "ความต่อเนื่องแห่งการปฎิบัติ" บางท่านปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีแต่ไปไม่ถึงไหนก็เพราะว่าขาดความต่อเนื่องคือทำเฉพาะก่อนนอน1-2ชม. จิตยังไม่ทันได้จำ เอ้าพอรุ่งขึ้นก็ไปวิ่งตามกระแสแห่งกิเลสต่อ จิตมันก็เพลินกับกิเลส จิตมันก็ลืมต่อ พอตกคำ่ก็มาบอกกับมันใหม่ ทำอยู่อย่างนี้เป็นสิบๆปี มันก็ไม่ไปถึงไหนนะซีครับ.. เพราะว่าเวลางานก็ไม่ทรงฌาน(สติก็หาย) จึงสรุปว่ามีแต่พระชีเณรเท่านั้นที่จะทำได้เพราะว่าท่านๆเหล่านั้นมีเวลา แต่อันตัวเราไม่มีเวลาแถมต่อว่าบุญเก่ามันน้อยไปอีก.. ท่านทั้งหลายเหล่านี้คือข้อเท็จจริงและเป็น"อวิชชา" คือความไม่รู้(บางท่านเรียกว่าความโง่) จึงทำให้ผู้ปฎิบัติหลายๆท่านยังติดอยู่ในวังวนอันนี้ ไม่ไปไหน..
    การทำจิตเกาะพระสามารถแก้ปัญหาการทรงฌานและทรงสติระหว่างวันหรือตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องได้ อย่างน่าอัศจรรย์
    ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการให้ท่านผู้อ่านเชื่อ แต่ต้องการให้ท่านผู้อ่านลองไปปฎิบัติแล้วค่อยมาตัดสินกันว่าจะเชื่อหรือไม่..
    เมื่อผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้แล้วถึงขั้น "เมาฌาน" คือจิตมันจะดิ่งอย่างเดียว ครูฝึกก็จะเริ่มสอนการวิปัสสนาขั้นต่อไป
    ผู้สำเร็จขั้นอุปจาระสมาธิหรืออัปปนาสมาธิขั้นต้นคือฌาน1-2ก็สามารถตัดสังโยชน์ขั้นต้นบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นต้นได้คือขั้นโสดาบัน สกิทาคามี
    กำลังฌาน4มีความสำคัญมากในการวิปัสสนาตัดสังโยชน์ในขั้นอริยบุคคลขั้นอนาคามีขึ้นไป มิให้กิเลสกลับมากำเริบอีก ตัดขาดจริงๆ
    ดังนั้นสมถะเป็นบาตรฐานของวิปัสสนา เป็นเนื้อเดียวกันมิอาจจะแยกออกจากกันได้ การเขียนตำราทางโลกเราสามารถแยกเป็นหมวดหมู่ออกจากกันได้ แต่ว่าเวลาปฎิบัติทั้งสองนี้หนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่สามารถแยกจากกันได้จริงๆ..

    ขั้นที่ 3: มหาลัย - ปัญญา
    วัตถุประสงค์: ภายหลังจากที่ผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้เป็นวสี(ชำนาญ)แล้ว ก็จะเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปเพื่อที่จะบังเกิด"ปัญญาวิมุติ" คือรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะธรรมต่างๆแห่งธรรมชาติ มีดวงตาเห็นธรรมเป็นอันจบกิจ
    อานิสงค์: ผลแห่งการปฎิบัติจะนำมาซึ่งการละ เลิก วาง หลุดพ้นจากอาสาวะกิเลสต่างๆ ตามลำดับๆ จนจิตยกเข้าสู่โลกุตระ สำเร็จเป็น อริยบุคคลในขั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ตามลำดับชั้นในการละสังโยชน์10ได้
    อรรถาบรรยาย: การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ก็ได้อาศัยตามคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าคือ การเจริญมหาสติปัฏฐาน4 หนทางสายเอกแห่งปัญญาวิมุติ
    วิธีการปฎิบัติ: การมีสติอยู่ตลอด(จะทำได้เมื่อทรงฌานได้ตลอด) และนำสติตามรู้ปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ แล้วก็ปลงลงพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมั่นปฎิบัติอยู่เนืองๆทั้ง กาย(ขันธ์5) เวทนา จิต ธรรม จนบังเกิดเป็นวิปัสสนาญาณ (จิตจะทำงานเองเป็นอัตโนมัติ) จนอินทรีย์แก่กล้าบารมีเต็มเปี่ยม สำเร็จมรรคผล เป็นลำดับขั้นขึ้นไปจนถึงอรหันต์ปฎิผล.. ก็เป็นอันเสร็จกิจแห่งการปฎิบัติธรรมทางพุทธศาสนา
    เมื่อยังมีอายุขัยอยู่ก็หมั่นบำรุงและสืบสานพุทธศาสนา ประกอบกิจทางโลกบ้าง ช่วยยกจิตผู้คนเป็นธรรมทานเสริมสร้างบารมีต่อไปบ้าง จวบจนละสังขารขันธ์..

    ประโยชน์ของครูฝึก:-
    - เราจะเห็นได้ว่าการปฎิบัติธรรมจนถึงขั้นสมถะและวิปัสสนาแล้วจะเริ่มมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งๆขึ้น ถ้าเราคิดเองคือใชัสัญญา(ความจำ) ทางโลกเข้านำการปฎิบัติเอง บางครั้งมันจะเป็นเรื่องเสียเวลาหรือว่าอาจจะหลงทางไปเลย เพราะครูฝึกท่านผ่านมาหมดแล้ว ท่านจะช่วยตอบแล้วให้ผู้ปฎิบัติได้วางกำลังใจได้อย่างถูกต้องและปฎิบัติได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
    - ครูฝึกจะทำการสอบอารมณ์ในการปฎิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนา แล้วแนะนำต่อยอด
    - และอื่นๆอีกมากมาย
    ถามว่า:ไม่จำเป็นต้องมีครูฝึกสามารถปฎิบัติได้หรือไม่? คำตอบ: ได้ถ้ามีผู้รู้ช่วยชี้แนะตามขั้นๆไป

    แต่เหนือสิ่งอื่นใดดังคำพูดที่กล่าวไว้ว่า "จิตสำนึกไม่สามารถจับยัดใส่หัวกันได้ มันจะต้องเกิดจากตัวเราเองขึ้นมา" ฉันใด "อันผู้ใดปฎิบัติ ผู้นั้นพึงได้" หรือ "ผู้ใดกินผู้นั้นก็อิ่ม ไม่สามารถกินแทนกันได้จริงๆ" ก็ฉันนั้น..
    แต่เราก็พอจะเข้าใจผู้ที่ยังถนัดการปฎิบัติเอง ว่าก็มีเหตุปัจจัยในเรื่องความพร้อมทางด้านจิตใจตนเอง (เราก็เคยเป็นมาก่อนจึงพอที่จะเข้าใจ หลายๆท่านที่ขอซุ่มแอบฝึก เกาะขอบกระทู้ฝึก ความจริงแล้วดีกว่าหลายๆท่านมากๆที่ยัง"หลง"ตามกระแสโลกอยู่)
    จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เราเขียนภาพรวมของการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อให้ผู้ปฎิบัติได้เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร ทำแล้วไปที่ไหน เป็นแผนที่นำทางฉบับย่อๆ โดยเฉพาะกับบุคคลจำพวกพุทธจริต(ปัญญาจริต) ได้เข้าใจแล้วก็จะได้ลงมือปฎิบัติ รวมถึงท่านพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปด้วย ที่มีวาสนาบารมีเกี่ยวเนื่องกันด้วย.. ก็ขอเอวังด้วยประการละฉะนี้..

    สุดท้ายนี้ก็ขออวยชัยอวยพรให้ทุกๆท่านจงถึง บารมี10ทัศ ศีลบริสุทธิ์ ฌานสมาบัติ ปัญญาวิมุติและมรรคผลนิพพานโดยเร็ววันด้วยเทอญ..

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ.. สาธุสวัสดี..
     

แชร์หน้านี้

Loading...