ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อาจารย์ ศุภรัตน์ ท่านออกเเบบ เหรียญหลวงปู่สวยจวิงๆ ครับ
    อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ได้กล่าวถึงที่มาของเหรียญรุ่นนี้ไว้ว่า “หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ทรงด้วยความเมตตา การที่เราได้อยู่ ได้ใกล้ชิดท่าน เราย่อมได้รับความสวัสดิมงคล เหมือนเราอยู่ใต้ร่มเงาแห่งพระโพธิญาณนั้น”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    การเขียนหนังสือกายสิทธิ์ “ยุคอภิญญา”

    admin August 27, 2011

    ถาม : อยากขอรบกวนอาจารย์เล่าถึงมูลเหตุของการที่อาจารย์เขียนหนังสือกายสิทธิ์ค่ะ
    ตอบ :

    เขียนเพื่อเชิดชูครูบาอาจารย์
    เขียนเพื่อเชิดชูพระศาสนา
    ได้เรียนกับหลวงพ่อว่าควรจะเขียนก่อนที่หลวงพ่อยังไม่เสีย เพราะมีอะไรก็จะได้ปรึกษาได้ หลวงพ่อจะได้ติติงได้ว่าเป็นยังไง
    เมื่อคิดว่าจะทำ ก็เลยตั้งอธิษฐานต่อเทพ เทวดาว่าการที่ข้าพเจ้าเขียนในครั้งนี้ ไม่ได้เขียนเพื่อชื่อเสียงของข้าพเจ้า แต่เขียนเพื่อเชิดชูครูบาอาจารย์ ก็ขอให้เทวดาที่มีอานุภาพ จงมาโมทนา และขอให้การเขียนจงสำเร็จราบรื่น

    ถาม : ตอนนั้นที่อาจารย์เริ่มเขียนนี่คือพูดถึงสมัยหนังสือกายสิทธิ์รอบแรกใช่ไหมคะ

    ตอบ : ใช่ๆ


    ถาม : นานหรือยังคะ
    ตอบ : ตั้งแต่สมัยหนังสือนพรัตน์ ทีนี้นพรัตน์มันมีตอนที่เราเขียนไว้ เพราะหลวงพ่อท่านบอก ท่านพูดเองเลยนะ

    ตั้งแต่หนังสือนพรัตน์ และก็มาถึงพระผู้จุดประทีปในดวงใจ แม้แต่หนังสือกายสิทธิ์นี้ก็เช่นกัน ก็อธิษฐานแบบนี้ล่ะ ว่าก็ขอให้มาดลจิตดลใจ ขอให้การเขียนอย่าได้ขาดตกบกพร่อง เพื่อคนที่อ่าน และมีสายบุญที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อทวด หลวงพ่อดู่ เมื่ออ่านแล้วให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใส ในทางที่ดี ในการปฏิบัติหรือทำสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวกับพระศาสนา



    ถาม : ด้านหลังหนังสือกายสิทธิ์ "ยุคอภิญญา" ที่เป็นรูปเสือ 2 ตัว คือปริศนาธรรมอะไรคะ
    ตอบ : เสือคือแทนตัว ส. ทีนี้เลยเขียนเป็นตัวเสือ

    เสือก็คือกิเลส ตัณหา อุปปาทานที่ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นคนที่ยังสละก็ยังมีกิเลส แต่ว่าก็ยังต้องการที่จะสร้างบุญ มันก็ยังติดอยู่ แต่เมื่อดำเนินจิต ดำเนินใจไปถึงขั้นหนึ่ง ถึงขั้นวิปัสสนา ถึงขั้นได้ปัญญาที่แท้จริงก็ฆ่าเสือทิ้งซะ คือตัดตัว “ส”

    ในขณะที่เรายังมีบุญแต่ว่าก็ยังไม่มีคุณ คุณในที่นี้คือคุณธรรม เพราะฉะนั้น มันจะเป็นอารมณ์ที่ว่า แต่ละขั้น แต่ละขั้น ก็ยังเสียดายในการที่จะทำบุญ ทำกุศล หรือจะทำอะไรก็ตาม ยังตระหนี่ถี่เหนียว แต่เราก็ยังอยากจะสร้างบุญ ตรงนี้ก็เป็นหลักที่จะหันหน้าเข้าไปสู่การปฏิบัติที่แท้จริง เมื่อแท้จริงแล้วเราก็ฆ่าเสือตัวนี้ ที่นี้ก็กลายเป็น “ละ” ซึ่งเป็นอารมณ์ของพระอริยชน

    การสละเริ่มเป็นอารมณ์ของกัลยาณชน คือคนดี แต่ว่าถ้าเป็นปุถุชนคือยังมีตระหนี่ถี่เหนียว ยังไม่ค่อยอยากจะทำบุญทำกุศล คือมีกิเลสต่างๆ อยู่ครบ จนมากัลยาณชน ก็คือยังมีกิเลส จนมารู้แจ้งเห็นจริง จนฆ่าเสือทีนี้ก็จะกลายเป็นฆ่าเสือ ก็คือละ

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยบอกเราเอาไว้ว่า การที่จะทำดีมีอยู่ 3 ขั้น ท่านก็ยกตัวอย่างเช่น ทาน อันดับแรกก็เป็นการเสียสละ คือเสียดาย แต่ก็อยากจะสร้าง อยากจะสละเพื่อละความเห็นแก่ตัว พอเป็นอารมณ์ของกัลยาณชน มันเป็นอารมณ์ที่ว่าต้องการที่จะทำ มันเริ่มดีขึ้นไปแล้ว พออารมณ์ของพระอริยเจ้า เป็นอารมณ์ละ

    “เสียสละ” มา “สละ” แล้วมา “ละ” นี่เป็นอารมณ์สามชั้น เพราะฉะนั้นก็เลยเอามาแทนตัวเสือ เขียนเป็นเสือไว้อยู่ข้างหลังหนังสือ

    แล้วก็มีอีกอย่างหนึ่ง ตรงความกตัญญูกตเวที ทุกคนต้องมีทั้งนั้น กตัญญูต่อพ่อแม่ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ แม้แต่พระสารีบุตร สมัยก่อนมีราธะพราหมณ์ ตอนหลังท่านก็มาบวชให้ เพราะฉะนั้นคนที่มีความกตัญญูก็จะมีแสงสว่างในจิต แสงสว่างนี้ก็จะเป็นแสงสว่างที่เทวดาเขารู้ พอเทวดาเขารู้ เขาก็จะมาปกปักรักษา

    ตอนที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านไปที่วัดสวนดอก ที่เชียงใหม่ ท่านก็ไปเห็นแสงสว่างในใจของหลวงปู่คำแสน ว่าเป็นแสงสีแดง แต่ไม่ใช่แสงของกิเลส เลยเรียนถามครูบาศรีวิชัย ครูบาศรีวิชัยท่านก็เลยบอกว่าเป็นแสงของผู้ที่มากด้วยความกตัญญู

    โดยนัยยะก็คือว่าคนที่มีความกตัญญูก็จะมีแสงแห่งความดี ดังนั้นก็เลยมาเขียนว่า การรักษาศีล และการกตเวที เป็นสิ่งที่ดี ควรนำมาประพฤติปฏิบัติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงตาม้า กล่าวธรรมคำสอนของหลวงปู่ดู่

    หลวงพ่อเคยปรารถไว้ว่า

    จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฎิบัติ มีศีล รักในการปฎิบัติ จิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆ คน มีโอกาสทีจะบรรลุมรรคผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคน ไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือ ฐานะแต่อย่างใด ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากใจของผู้ปฎิบัติเอง

    ท่านได้แนะนำเคล็ดการบวชจิตว่า

    ในขณะที่เรานั้งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถีงเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาญ์ของเรา
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้
    ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช
    ชายก็เป็นพระภิกษุ หญิงก็เป็นพระภิกษุณี
    อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฎ์ทีเดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. เปิ้ล19

    เปิ้ล19 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +117
    วันนี้ขอมาเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ของการสวดบทมหาจักรพรรดิและบารมีของหลวงปู่ดู่ค่ะ

    เคยนึกถึงคำพูดเวลาที่หลวงตานำสวดมนต์บ้างไหมคะ??? คำว่า "ภพภูมิทั้ง 3 แดนโลกธาตุ" และเคยคิดไหมคะว่ามันเป็นอย่างไร หลวงตาก็อธิบายว่า 3 แดนโลกธาตุก็คือ ข้างบนซึ่งได้แก่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจก พระอริยสงฆ์ เทพพรหมเทวดา ฯลฯ ตรงกลางก็คือมนุษย์ ข้างล่างก็คือในนรก

    ประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา มีอยู่วันนึงหลวงตาม้าท่านมาจำวัดและนำสวดมนต์แถวพระราม3 ค่ะ ก่อนสวดก็เลยอธิษฐานขอหลวงปู่ศึกษาว่าภพภูมิทั้ง 3 แดนโลกธาตุนี้เป็นอย่างไร (ความจริงขอศึกษาจากหลวงปู่มานานแล้วค่ะไม่เคยเห็นสักที)

    สองทุ่มครึ่งหลวงตานำสวด วันนั้นใจสบาย ๆ พอหลวงตาท่านอัญเชิญภพภูมิทั้ง 3 แดนโลกธาตุ ภาพก็มาปรากฏให้เห็นค่ะ คือเห็นข้างบนมีเหล่าเทพพรหมเทวดาทั้งหลายมาสวดมนต์ด้วยกัน แล้วก็เห็นหลวงปู่ดู่ และก็เห็นนรกภูมิข้างล่างหยุดทำโทษทุกคนพนมมือหยุดสวดกันหมดเลยค่ะ พอสวดมนต์เสร็จก็มาเล่าให้หลวงตาฟัง ท่านว่า ที่เห็นนั่นถูกแล้ว หลวงปู่ท่านให้เห็นว่าของอย่างนี้มีจริง ที่พวกเราสวดกันทุกวันนี้ คิดดูซิว่ามีกำลังมากมายมหาศาลขนาดไหน พวกที่อยู่ในนรกก็ได้พัก... วันนั้นเลยปลื้มปิติมากค่ะ จากนั้นก็ไม่เคยเห็นภาพนี้อีกเลย ก็เลยมาถามหลวงตาอีก ท่านว่าเพราะเข้าใจแล้วรู้แล้วว่าเป็นอย่างไร หลวงปู่ท่านให้รู้แล้วก็จบค่ะ :)
     
  5. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ขอ อนุญาต นะครับ คุณพี่ เปิ้ล19 ถ้าผมจำไม่ผิด ภพภูมิทั้ง3แดนโลกธาตุ ประกอบด้วย
    1.อบายภูมิเบื้องล่าง
    2.มนุษย์ภิมิเบื้องกลาง
    3.เทวโลกพรหมโลกเบื้องสูง

    ส่วน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พ้นจาก3แดนโลกธาตุไปเเล้ว ก็คือพระนิพพาน
    พระนิพพานนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกเเล้ว
    ขออภัยนะครับ ถ้าผมพูดผิดผมขออภัย ไม่มีเจตนาอย่างอื่นครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2012
  6. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ขอ อนุโมทนาที่คุณพี่เปิ้ลได้เห็นถึงความเป็นจริงอย่างนั้น อนุโมทนากับหลวงปู่ที่สงเคราะห์ ขอบพระคุณ คุณพี่เปิ้ล ที่มาเล่ามาบอก ...สำคัญมาก กับกำลังใจ เพราะจะได้ ช่วยด้านกำลังใจของสหายธรรมผู้ปฏิบัติทั้งหลาย รวมถึงผมด้วย เพราะยังไม่มีโอกาศอย่างนั้น เเต่ก็เชื่ออย่างสนิทใจ..ตามหลวงตาว่า แผ่ไปทั่วถึงจริงๆ ยิ่งมีพี่ๆ ที่ปฏิบัติเเละเห็นขนาดนั้นว่าไปถึงทั่วทั้ง3แดน โลกธาตุจริงๆ (อย่างตัวอย่างพี่เปิ้ล)ก็ยิ่งเป็นเครื่องยืนยัน ปิติจังเลยครับ ขอบคุณพี่มากๆ ที่มาสงเคราะห์เล่าให้ฟัง มาช่วยกันเเชร์ช่วยกันสงเคราะห์ซึ่งกันและกันเรื่อยๆนะครับ
     
  7. thanaku

    thanaku เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +164
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่เข้ามาให้ความรู้และประสบการณ์ที่ดีแก่ผม
     
  8. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    วันนี้วันพระ ไม่รู้พี่นิติกูน ไปถวายสังฆทานหรือเปล่า
     
  9. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  10. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี (ครูบาอาจารย์สาย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) (หลวงพ่อเล็ก ท่านเป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ รูปสำคัญรูปหนึ่ง)และปัจจุบัน หลวงพ่อเล็กท่านก็ทำพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร สายหลวงพ่อวัดท่าซุงในปัจจุบัน....ซึ่งกระผมเองก็เคยไปรับยันต์เกราะเพชรที่ วัดท่าขนุน เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งปัจจุบันผมรับที่บ้าน ลูกศิษย์วัดท่าซุงจะรู้กันว่า เวลาพระท่านสงเคราะห์เรื่องยันต์เกราะเพชร เป่าทีเดียวทั่วจักรวาล จะอยู่ตรงไหนรับได้หมด ขอเพียงตัั้งใจรับ และทำถูกต้องตามขั้นตอน ...เเละเวลา เวลานี่ก็สำคัญคือต้องตรงกัน จริงๆไม่ได้เป่า.. เคยได้ยินหลวงพ่อบอกว่าพระท่าน ฉายพระฉัพพรรณรังสี เพื่อเป็นการสงเคราะห์
    ผมขออนุญาติ นำข้อความบางตอน ในกระโถนข้างธรรมาสน์ ที่หลวงพ่อสนทนา ตอบคำถามศิษย์ ซึ่งจะมีข้อความที่เกี่ยวกับวัตถุมงคล และหลวงพ่อเล็กได้กล่าวถึงหลวงปู่ดู่ด้วย ครับ

    ครูบาอาจารย์ของอาตมาองค์หนึ่ง คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยาโน่น ท่านบอกว่าถ้าติดในวัตถุมงคลก็ดีกว่าติดในวัตถุอัปมงคล โบราณจารย์ท่านมีปัญญา ท่านฉลาดมาก ท่านสอนให้เรายึดในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ คือระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการสร้างวัตถุมงคลพระเครื่องขึ้นมาให้เราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่โดยที่เราไม่รู้ตัว ท่านใ้ห้เราอาราธนาทุกวัน โดยระลึกถึงทุกวันเป็นอนุสสติอยู่ แล้วมีข้อกำกับว่าถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ก็จะมีอานุภาพคุ้มครองเราได้ระดับหนึ่งที่ไม่เกินกฎของกรรม

    ดังนั้นที่อาตมายอมเสียสตางค์ทีละมาก ๆ หามาให้แก่ญาติโยมทั้งหลายก็เพื่อเป็นอนุสสติ เพื่อเป็นการปฏิบัติ เพราะว่าไม่ว่าการเดินทางไปในที่ใดก็ตาม ถ้ามีสิ่งให้ยึดให้เกาะมันจะปลอดภัยมากกว่า การปีนเขาก็ดี การขึ้นบันไดก็ดี ถ้ามีที่ให้ยึดให้เกาะมันก็จะปลอดภัยกว่าคนที่ไม่ยอมยึดไม่ยอมเกาะ จำไว้ว่าเราต้องยึดก่อน เราถึงจะมีสิ่งที่ปล่อยวางได้ ถ้าเราไม่ยึดก่อนจะเอาอะไรมาวาง ทุกคนที่บอกว่าอนัตตา ๆ ไม่เอาอะไร ๆ นั้น ไม่เอาอะไรแล้ว มันยึดถือไอ้ตัวไม่เอาอะไรนั้นแหละ ยึดไอ้คำว่าอนัตตานั้นแหละ

    จำไว้ว่าถ้ายังไม่มีอัตตาก็จะหาอนัตตาไม่ได้ มันต้องมีอัตตาขึ้นมาก่อนมันถึงจะวางลงเป็นอนัตตาได้ เหมือนกับที่เราขึ้นมาบนห้องนี้ เราเดินขึ้นบันไดเราเกาะบันไดมาด้วยความระมัดระวังไม่ประมาทตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พอเราเดินมาถึงหน้าประตูเปิดประตูเข้ามาเราได้แบกราวบันไดเข้ามาหรือไม่? เราก็ไม่ได้แบกราวบันไดมาด้วย...

    ฉันใดก็ฉันนั้น คือว่าเราไม่สามารถปล่อยวางได้ถ้าไม่มีสิ่งให้ยึดเกาะ มันต้องรู้จักยึดก่อนมันถึงจะรู้จักวาง พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับคนแม่ลูกลงไปงมจับปลา ลูกชายจับไ้ด้หัวงูกำไว้แน่นเลย “แม่ ๆ ได้ปลาตัวเบ้อเร่อเลย” แม่ คือครูบาอาจารย์เห็นเข้าก็ “เออ...ดีไอ้หนูลูกกำให้แน่น ๆ เดี๋ยวมันจะหลุดไป” เพื่อไม่ให้ลูกตกใจ แล้วพอเสร็จแล้วลูกกำแน่นดีแล้ว “ไอ้หนูขึ้นฝั่งไปลูก แล้วเสร็จแล้วดึงหางมันออกมาสลัดมันไปไกล ๆ เลยลูก ๆ” พอลูกเหวี่ยงทิ้งไปเสร็จเรียบร้อยแล้วบอก “นั่นงูพิษนะลูกคราวหน้าอย่าไปจับมัน” ถ้าไม่กำให้แน่นตายไหมตอนนั้นน่ะ ...ตาย ...ไม่เหลือหรอก ...ประมาณลักษณะเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราต้องยึดก่อน

    วัตถุมงคลที่หมดไปเป็นแสน ๆ นี้ส่วนใหญ่จะเป็นพระรูปสมเด็จองค์ปฐมท่าน โดยเฉพาะที่ทำเป็นรูปที่เรียกง่าย ๆ ว่าพระพุทธชินราช จะมีส่วนหนึ่ง ๕,๑๑๙ องค์ ที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านจะเมตตาพุทธาภิเษกให้ต่างหากอีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๑๐ มกราคมนี้ ส่วนนั้นอาตมาจะเ็ก็บเอาไว้สำหรับท่านที่ทำบุญซื้อที่ถวายวัด คิดแพงมากตารางวาละ ๕๐๐ บาทมอบพระให้เป็นที่ระลึก ๑ องค์ จะเริ่มตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป อีกส่วนหนึ่งเป็นพระรูปสมเด็จองค์ปฐมเหมือนกันแต่ในรูปของพระองค์ที่ ๑๑ รูปเล็ก ๆ นี้

    อันนี้เจ้าของผู้สร้างระบุเอาไว้ว่า่จะมอบให้แก่ผู้ที่ถวายเงินเป็นวิหารทาน ไม่ว่าอาตมาจะไปก่อสร้างที่ใดก็ตามที่เป็นวิหารทาน ถ้ามอบถวายมา ๕๐๐ บาทก็จะมอบให้เป็นที่ระลึก ๑ องค์ พระองค์ที่ ๑๑ ก็คือหลวงพ่อใหญ่สมเด็จองค์ปฐมท่านเอง อีกส่วนหนึ่งจะเป็นพระพุทธชินราช และพระแก้วมรกต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญทั้งคู่ ซึ่งครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของอาตมา คือ หลวงปู่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ หรือว่าหลวงปู่มหาอำพัน แห่งวัดเทพศิรินทราวาส เคารพมากเป็นพิเศษ ปีหน้าวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๔ จะครบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงปู่ อาตมาซึ่งเป็นลูกศิษย์จะทำบุญถวายครูบาอาจารย์สักครั้งหนึ่งในวาระที่สำคัญนี้จึงได้สร้างวัตถุมงคลชุดนี้ขึ้นมา

    อีกส่วนหนึ่งซึ่งมากเกินครึ่งเป็นรูปของหลวงพ่อพระพุทธโสธร ที่แปดริ้ว ฉะเชิงเทรา หลวงพ่อโสธรเป็นพระที่ให้ลาภสำคัญที่สุดในเมืองไทยก็ว่าได้ ถ้าไม่นับตามสายวัดท่าซุงของเราแล้ว ไม่นับในสิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสร้างเสริมเอาไว้ด้วยอำนาจพุทธบารมีแล้วในจำนวนพระพุทธรูปสำคัญด้วยกันทั้งหมดในประเทศไทย หลวงพ่อโสธรเป็นพระที่ให้ลาภได้มากที่สุด ท่านนั่งอยู่เฉย ๆ สร้างพระอุโบสถได้ ๑,๘๐๐ ล้าน ของเราดิ้นรนหาเงินแทบตายได้ไหม? ไม่ได้เนาะ ท่านนั่งอยู่เฉย ๆ เงินมันล้นตู้เอง

    อาตมาก็เลยขอบารมีท่านด้วย นิมนต์มาบานเบิกเลย ก็ตั้งใจว่าจะแจกพวกเราไปเรื่อย ๆ ถ้าพวกเราสังเกตจะเห็นว่าระยะหลัง ๆ จะแจกแต่หลวงพ่อโสธร เดือนหนึ่งก็แจกแบบหนึ่ง เดือนหนึ่งก็แจกแบบหนึ่ง ที่นิมนต์มานี้สามารถแจกได้เกือบปีถึงได้หมดเยอะ แล้วก็รับประกันว่าแต่ละเดือนแบบจะไม่ซ้ำกัน ถ้าหากว่าใครต้องการครบทุกแบบก็มาทุกเดือน เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไรก็ตะเกียกตะกายมา ถ้าหากว่าขาดไม่ได้แน่

    คราวนี้เรื่องการพุทธาภิเษกสมเด็จองค์ปฐมเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก อาตมางวดนี้ไปที่ประเทศพม่าก็ได้กราบอาราธนาบารมี พระองค์ท่านให้ช่วยสงเคราะห์ด้วย ก็ปรากฏว่าในการพุทธาภิเษกพระรูปของท่านแต่ละครั้งพระพุทธเจ้าองค์อื่นท่านไม่กล้าทำ ในเมื่อพระพุทธเจ้าองค์อื่นท่านไม่กล้าทำ สมเด็จองค์ปฐมท่านต้องเสด็จมาทำเอง ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่สำคัญหนักหนา อาตมารบกวนเบื้องสูงโดยมิได้เจตนา เพราะว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ปัญญาน้อย

    ดังนั้นเมื่อทราบเหตุผลนี้จากพระองค์ท่านแล้วก็ตั้งใจว่าการกระทำวัตถุมลคลในรูปลักษณะของพระองค์ที่ ๑๑ ก็ดี ของสมเด็จองค์ปฐมท่านก็ดี งวดนี้น่าจะเป็นการรบกวนพระองค์ท่านครั้งสุดท้าย วัตถุมงคลชุดนี้ คือ รูปของสมเด็จองค์ปฐมในลักษณะพระพุทธชินราชที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ หลวงพ่ออีกองค์หนึ่งของอาตมาจะเมตตาพุทธาภิเษกให้่ต่างหากนั้นจะเอาไว้แจกให้สำหรับผู้ที่ทำบุญซื้อที่ดินให้วัดตารางวาละ ๕๐๐ บาท ๑ ตารางวามอบให้ ๑ องค์

    ในรูปของพระองค์ที่ ๑๑ คือ ในรูปลักษณ์ที่เราเห็นว่าคล้าย ๆ หลวงปู่ปานแต่จะมีอุณาโลมสีแดง อันนั้นคุณแสงชัยอุตส่าห์ไปติดต่อเอาพลอยสีแดงมาติดเอาไว้ เมื่อคืนนี้ก็เพ่งจนตาเหล่จนถึงตี ๒ ไม่ทราบเหมือนกันว่าตาทะลุไปหรือยัง อันนั้นจะเอาไว้แจกให้ผู้ทำบุญวิหารทาน ๕๐๐ บาทต่อ ๑ องค์ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก คาดว่า่กว่าเขาจะถวายมาถึงมืออาตมาน่า่จะเหลือไม่เกิน ๒,๐๐๐ องค์

    ในส่วนที่เป็นพระแก้วมรกตกับพระพุทธชินราช ซึ่งถ้าพุทธาภิเษกแล้วก็คือสมเด็จองค์ปฐมนั่นเอง อันนั้นจะเอาไว้แจกในงาน ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงปู่มหาอำพันในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๔ ซึ่งอาตมาจะนิมนต์พระพี่พระน้องไปทำบุญ จะมีการสวดมนต์ฉันเพลส่วนตอนบ่ายจะถวายผ้าป่าเพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายแก่หลวงปู่ในวาระที่สำคัญ ซึ่งคณะของคุณพิสิฐ อรุณทรัพย์ จะหาผ้าป่าไปให้ ก็คงไม่ได้หาหรอกท่านไม่ชอบรบกวนใคร อาจจะควักกระเป๋าคนเดียว ได้เท่าไหร่เราก็เอาเท่านั้นนะ ๓ บาท ๕ บาท ก็เอาแล้ว

    คราวนี้ส่วนที่เหลือ คือ หลวงพ่อโสธรทั้งหมดประมาณ ๗๐ แบบ จะเอาไว้แจกผู้ที่ถวายสังฆทานทุกเดือน ๆ เิริ่มตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป สำหรับเดือนนี้ให้ฟรี ๆ พุทธาภิเษกเสร็จแจกระเบิดเถิดเทิงอีตรงนี้แหละ ตอนนี้ให้ฟรี ๆ นะ ถ้าเผื่อว่าเดือนหน้าอยากได้ต้องทำบุญถวายสังฆทานถึงจะให้ แต่ว่าสำหรับรูปของหลวงพ่อโสธรนี้ถวายสังฆทานไม่จำกัด บาทหนึ่งก็ให้ ๒ บาทก็ให้ ๕ บาทก็ให้ ๑๐๐ บาทก็ให้ ๕๐๐ ก็ให้ ๑,๐๐๐ ก็ให้ ให้องค์เดียวเหมือนกัน

    ส่วนตรงกลางที่เห็นเป็นมณฑปนั้น คณะศิษย์ของครูบาอนันต์ อานันโท พระ้น้องชายอีกองค์หนึ่งของอาตมาที่ใคร ๆ ก็เรียกว่าหลวงพี่แขกน่ะ ท่านเมตตาช่วยกันสร้างมณฑปถวายแ่ก่สมเด็จองค์ปฐมทองคำที่อยู่ตรงกลาง สมเด็จองค์ปฐมทองคำตรงกลาง หลวงพ่อสพฤกษ์ ปภัสสโร แ่ห่งวัดบ่อทอง อ.แกลง จ.ระยอง เมตตาถวายมาให้แก่น้องรักองค์นี้ ท่านบอกว่าท่านเป็นหนี้บุญคุณอาตมาเป็นอย่างมากชนิดที่เรียกว่าช่วยชีวิตท่านไว้หลายรอบเหลือเกิน ท่านก็เลยถวายสิ่งที่ท่านสร้างมาด้วยความยากลำบากมากให้มา

    ท่านบอกว่าทางร้านทองตีราคาให้ ๗ แสนบาท น้ำหนักประมาณ ๒ กิโลกรัม เห็นองค์เล็ก ๆ อย่างนี้อาตมาทิ้งเอาไว้ที่ศาลา ๒ วัน ให้คนเขานอนที่นั่น ๗-๘ คน

    พอวันต่อมาก็เอาครอบแก้วไปบอกว่าช่วยขัดทีจะบรรจุพระทองคำ มันก็ขัดไปถามไปว่าองค์ไหน ชี้บอกที่หัวนอนนั่นน่ะ พอบอกเขาเสร็จเราก็ยกเก็บ (หัวเราะ) อีตอนยังไม่บอกทิ้งไว้นั่นล่ะ พระองค์นี้ที่เห็นอยู่นะ ถ้าหากว่ามีผู้ใด...ขอพูดถึงเรื่องใหญ่มาก ..มีผู้ใดถวายเงินเพื่อสร้างวัด ๑ ล้านบาท อาตมาจะยกให้เลย เพราะว่าถ้าเป็นไปตามที่ท่านบอกก็เท่ากับว่าเราจ่ายเงินแค่ ๓ แสน แต่อย่าเอาไปหลอม ขายใหม่นะ ทุบตายเลยนะ

    เรื่องของการทำลายพระพุทธรูปนี่ยิ่งสมเด็จองค์ปฐมด้วยรับรองได้ว่าเกิดยาก ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดจริง ๆ อย่าเอาไปหลอมขายใหม่เพราะว่าทำขึ้นมาด้วยความยากลำบากเหลือเกิน แล้วงานครั้งนี้ก็คาดว่าจะเป็นการราบรบกวนท่านเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากว่าถ้าเป็นรูปของท่านแล้วองค์อื่นจะไม่กล้าเสกให้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.4 KB
      เปิดดู:
      64
    • images (1).jpg
      images (1).jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.1 KB
      เปิดดู:
      79
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2012
  11. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ขอ อภัยนะครับ วันนี้ผมลงข้อมูลเยอะไปหน่อย ตั้งแต่เมื่อคืนเเล้ว(เมื่อคืนวันโกน)(วันนี้วันพระ) วันนี้ผมสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติธรรมเสร็จ ก็ไม่ได้ไปไหน ก็เลยเผยแพร่ธรรมที่บ้านครับ จิตใจจะได้เกาะบุญตลอดแถมได้บุญด้วย เลยเอาธรรมะครูบาอาจารย์ครับมาลง สงเคราะห์ตัวเองด้วย(อ่านด้วย)เพื่อนสมาชิกด้วย(เเชร์)

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พศ.ศ ๒๕๔๓

    ตอบ: ยึดมั่นถือมันในการปฏิบัติตน คิดว่าดีกว่าคนอื่นเขา มีความสามารถมากกว่าคนอื่นเขา ก็เลยเกาะไม่รู้ตัว ไอ้เกาะไม่รู้็ตัวนี่ว่าไม่ได้ด้วยนะ ถ้าว่าเดี๋ยวเขาโกรธต้องให้เขารู้ตัวเอง
    ถาม : ถือว่าคนเข้าไปทีหลังก็ยังได้เข้าไปหาวัดหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ: ใครก็ตามที่สามารถนำคนเข้าวัดได้จะดีจะชั่วก็ถือว่าใช้ได้ทั้งนั้น เพราะว่าคนที่เข้าวัดก็เหมือนกับคนที่หิวแล้วเข้าร้านอาหาร ถ้ารสชาติไม่ถูกใจเดี๋ยวเขาหาร้านใหม่ของเขาเองแหละ เดี๋ยวก็ไปเจอไอ้ประเภทเชลล์ชวนชิมเข้าจนได้ แรก ๆ อาจจะกินร้านอีเหละเขละขละอะไรไปเรื่อย แต่ขอให้เข้ามากินสักทีเถอะเดี๋ยวติดใจก็กินไปเรื่อยเอง เขาใช้คำว่า “เป็นเหตุเป็นปัจจัยนำไปเบื้องหน้า” การภาวนาแค่ช้างกระดิกหูงูแลบลิ้นมันก็มีอานุภาพกว่ารักษาศีลเป็นร้อยปีนะ
    ถาม : ผมว่ามันได้แว้บเดียวจริง ๆ นะครับ อย่างไหว้พระทุกวันนี้ พอหลับตาเห็นหน้าองค์ปฐมสักแว้บรู้สึกชัดเจนแจ่มใส แต่ได้แค่ชั่ว ๒-๓ วินาทีน่ะ แล้วสักพักจะเิริ่มฟุ้งซ่าน
    ตอบ: ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็นึกได้หลายหน มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร นี่นึกได้แค่แว่บเดียวแล้วตายเลย (หัวเราะ) ปัจจุบันนี้เป็นพระโสดาบันนั่งปร๋ออยู่ข้างบน พูดถึงไม่ได้หรอก...ใครพูดถึงก้มมอง ใครนินทากูวะ? (หัวเราะ) เป็นตัวอย่างที่ชัด ๆ เลย เพราะฉะนั้นในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสเอาไว้ว่า “บุคคลผู้ตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา เกิดฌานสมาบัติ ได้ทิพจักขุญาณขึ้นมา ไปเห็นนรกเห็นสวรรค์แล้ว กล่าวว่า ผู้ที่ทำความดีไปสวรรค์ทั้งสิ้น ผู้ที่ทำความชั่วไปนรกทั้งสิ้น เราขอกล่าวว่าไม่ใช่” ตัวอย่างชัด ๆ ก็มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ใช่มั๊ย ? นั่นชั่วมาตลอดชีวิตเลย แต่ไปสวรรค์ ขณะเดียวกันพระนางมัลลิกาเทวีดีมาตลอดชีวิตลงนรกซะ ๗ วัน
    ถาม : กรรมดีอันไหนล่ะครับถึงมาช่วยไว้วาระสุดท้าย ?
    ตอบ: ของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่ในตำราไม่ได้ว่าเอาไว้ แต่หลวงพ่อบอกว่าในอดีตเคยสร้างพระพุทธรูปเอาไว้ ชาติปัจจุบันตัวพุทธานุสตินี่ตามมาทันในวินาทีสุดท้าย ก่อนจะขาดใจ ไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพแบบคนอื่น แต่นึกว่า ใคร ๆ เขาลือว่าพระสมณโคดมมีความสามารถ ถ้าหากว่า่ท่านมารักษาเราคงจะหาย อยากจะให้พระสมณโคดมมาช่วยรักษาเรา แค่นั้นแหละ..แล้วก็ตาย ไอ้ของเรานึกได้ตั้ง ๓ วินาที มันน่าจะดีกว่านั้น
    ถาม : ฟังแล้วมันเหมือนอะไรรู้หรือเปล่าครับ? คนอื่นต้องนึกว่าโฆษณาชวนเชื่อ คือ ไม่ต้องอะไรเลย
    ตอบ: มันต้องดูว่าเขามีปัญญาไหม? เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นบุญเล็กน้อยมาก ตอนที่อากาสจารีเทพบุตรไปประกาศว่าใครจะไปฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้วเห็นวิมานถึงได้ตกใจ วิมานเขา(มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร)อับแสงตัวจะตายอยู่แล้วยังไม่รู้เลยทั้ง ๆ ที่มีความดีอยู่แค่ ๗ วันเท่านั้น
    ถาม : ไปสวรรค์ไปได้แป๊บเดียวเหรอครับ?
    ตอบ: ไปได้แป๊บเดียวถ้าหากว่าพลาดจากตรงนั้นเป็นอันว่านรกทุกขุมต้องผ่านหมดสำหรับรายนี้ แต่บังเอิญนะว่าบุญเก่าของท่านดีจริง ๆ พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาพอดี ตัวท่านเองก็รู้ตัวอยู่ ความเป็นทิพย์ยังมีอยู่นี่ ก็มองย้อนไป ตายละวา ไม่รอดแน่ ก็ตกใจ ขอให้อากาสจารีเทพบุตรช่วยท่านบอกว่าช่วยไม่ได้ให้ไปหานายเราคือพระิอินทร์ ไปหาพระอินทร์ ๆ ท่านก็บอกว่าช่วยไม่ได้มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยได้ก็พาไป พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อภิธรรมอยู่ก็ต้องเบรคก่อน เพราะว่าพิจารณาดูแล้วว่าถ้าเทศน์อภิธรรมแล้วจะไม่มีผล เลยเทศน์อุณหิสวิชัยสูตรแทน พอจบท่านเป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่ารอดตัวไปจุติเดี๋ยวนั้นเกิดใหม่สบายเลย
    ถาม : อีก ๗ วัน กำลังจะตาย รู้ตัวปั๊บชิงลงมาเกิดไม่ได้เหรอครับ?
    ตอบ: ได้ แต่จะเอากุศลที่ไหนส่งล่ะ ลงมานี่อ้วกแน่ บุญเก่าไม่ได้ทำไว้เลย
    ถาม : ยังดีกว่าลงไปอ้วกในนรกน่ะครับ มันก็ยังเผื่อฟลุค ๆ ได้ทำอะไรบ้าง
    ตอบ: แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นเทวดาที่ไหนเขาจะเป็นคนรับรองให้ เพราะว่าการลงมาเกิดจะต้องมีเทวดาผู้ใหญ่รับรองให้ว่าลงมานี่กลับไปอย่างเลวที่สุดต้องแค่เดิมน่ะ แต่ว่าจะต้องให้ดีกว่าเดิม
    ถาม : ต้องไปขออนุญาตก่อนใช่ไหมครับ?
    ตอบ: ต้องไปขออนุญาตก่อน
    ถาม : อ้าว อย่า่งเห็นหลวงพ่อลงมาก็วิ่งตามหลวงพ่อมาเลย ไม่ได้หรือครับ ?
    ตอบ: ไม่มีทางล่ะจ๊ะ
    ถาม : แล้วถ้าเป็นพรหมก็ต้องไปขอหัวหน้าพรหมก่อน?
    ตอบ: ถ้าเป็นพรหมต้องแจ้งท้าวสหัมสบดีพรหมก่อน ต้องดูว่าใครจะช่วยรับรองให้ด้วย คนรับรองน่ะจะเหนื่อย หมายความว่าต้องคอยดัดเราให้ตรงทางอยู่เรื่อยไม่งั้นคอยจะแหกคอกอยู่ตลอด
    ถาม : แล้วอย่างนี้ถ้าเราขอใครลงมาคนนั้นก็ต้องมาคอยประคองซ้าย-ขวา ถ้าเราหลุดไปอเวจีแล้วคนรับรองทำยังไงครับ?
    ตอบ: ก็ซวยไป (หัวเราะ) รับรองได้ว่าขึ้นมาโดนซ้ำแน่ (หัวเราะ) อีตอนลง ๆ ไปก่อน ขึ้นมาขอสักฉาดเถอะ (หัวเราะ) ทำให้เสียชื่อหมด
    ถาม : แล้วไม่มีสิทธิ์หนีลงมาเองได้เลยหรือครับ?
    ตอบ: ไม่ได้เลย มันเป็นการฝืนกฎของกรรม บรรดาผู้ที่มีความเป็นทิพย์อยู่ในระดับนั้นมีความดีสูงระดับนั้นเขาจะไม่ฝืนกัน มีอะไรก็ว่ากันตามกฎตามระเบียบ เปิดช่องให้ขนาดนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเขาว่าเราชิงหมาเกิดก็อย่าไปโกรธเขานะมันจริง ๆ หมามันจะเกิดก็แย่งโควต้ามันซะงั้นล่ะ
    ถาม : อุณหิสวิชัยสูตรนี่เกี่ยวกับอะไรครับ?
    ตอบ: เกี่ยวกับ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าจะต้องทำอย่างไร แล้วก็ตัดสินใจทำตาม สุทฺธสีลังสมาทายะ – รักษาศีลให้บริสุทธิ์นะ ธัมมังสุจริตังจเร – ปฏิบัติในธรรมะอันสุจริตเอาไว้ สอนง่ายจะตายไป ในความเป็นทิพย์ของเทวดาเท่ากับมนุษย์ที่เป็นอุคฆฏตัญญู- ฟังหัวข้อก็เข้าใจแล้ว ว่าต้องทำอย่างไร ท่านตัดสินใจว่า “เราทำตาม” เดี๋ยวนั้น ก็เป็นเดี๋ยวนั้นเลย สมัยหลังมานี่เขาก็เลยใช้อุณหิสวิชัยสูตรเป็นคาถาต่ออายุ เพราะเห็นว่าขนาดหมดอายุแล้วมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรยังรอดมาได้ ถ้าเขาบอกว่า “สวดต่อนาม” รีบท่องบทนี้ไว้ต้องใช้แน่ ๆ เลย เคยได้ยินไหม? โบราณเขาฉลาดตั้งแต่เกิดยันตายเขาผูกพันเราไว้กับพระตลอด ขนาดใกล้ตายยังให้จิตเกาะพระด้วยการไปสวดต่ออายุ สวดต่อนาม
    ในสมัยนี้มันว่าโบราณโง่ สู้โบราณไม่ได้สักราย ตัวอย่างชัด ๆ ก็หลวงตานา หลวงตานา อยู่วัดท่าซุง สมัยก่อนวัดท่าซุงเขาจะมีอยู่ ๒ องค์ คือหลวงตาผ่องกับหลวงตานา แล้วก็จะมีหลวงพี่โอ หลวงพี่ทีป หลวงพี่นันต์ สมัยนั้นถ้าใครเขาจะนิมนต์พระเขาจะเอาหลวงตาผ่อง หลวงตานา หลวงพี่โอ หลวงพี่ทีป เขาจะว่ามาอย่างนี้เลยก็ต้องจัดไปให้ หลวงตานานี่แกสวดปาติโมกข์ โอ้โห คล่องปาติโมกข์มากเลยน่ะ แล้วเวลาแกสวดนี่ถ้าหากว่าสมาธิไม่ดีนี่หัวเราะกันโบสถ์แตก ท่าทางของแกยังกับนักแสดง บางทีก็กระทุ้งเสียงซะ จัตตุก ขัตตุง ปัญจัก ขัตตุง ฉักขัตตุง ปรมัง ตุณหี ฯลฯ (หัวเราะ) เขาเล่นของเขาสนุก แต่ว่าไอ้กุศลตัวนี้มันกลับช่วยได้ หลวงตานาแกฟาดเหล้าทุกวันนั่นแหละแต่คนไม่รู้
    ถาม : กินเหล้า เป็นพระเนี่ยนะครับ?
    ตอบ: ใช่ ใส่ในโอเลี้ยง เย็น ๆ แกก็เล่นกาแฟเย็นหรือโอเลี้ยงของแกหน้าแดง
    ถาม : หลวงพ่อก็ต้องรู้สิครับ?
    ตอบ: รู้อยู่ แต่ว่าไปถ้าไปห้ามแล้วเขาโกรธหลวงพ่อมันจะหนักกว่านั้นอีก อีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของพระอย่างหลวงพ่อท่านไม่ยุ่งกับจริยาของคนอื่นอยู่แล้ว ก็ปล่อยเขา ปรากฏก่อนตายเขาป่วยหนักลูกหลานเอาไปรักษาเห็นว่ารักษาไม่ไหวก็เอาไปบ้าน คือกะจะให้ตายที่บ้าน เอาพระไปสวดต่อนาม หลวงตานาแกฟังพระสวดน้ำตาไหล คงจะพิจารณาดูแล้วว่าไม่น่าเลยอะไรที่ทำ ๆ มาใช่ไหม? มันบกพร่องในศีล แต่ว่าจิตของแกเกาะพระ ตายตอนนั้นเลยรอดไป หลวงพ่อบอกว่าถ้าไม่ได้อานิสงส์ปาติโมกข์ที่สงเคราะห์พระส่วนรวมอยู่นี่ไม่รอดนะ อานิสงส์ปาติโมกข์ช่วยได้
    ถาม : แกทำยังไงล่ะครับที่สงเคราะห์พระอื่น?
    ตอบ: ปาติโมกข์ก็คือการทวนศีลพระ ทวนศีล เขาจะสวดไปทีละบท เรียกว่าอุเทศน์หนึ่ง ๆ พอจบแต่ละอุเทศน์ก็จะถามเป็นภาษาบาลีใครแปลออกนี่เหงื่อหยดทุกรายน่ะ “ตัตถา ยัสมันเต ปัจฉามิ กัจจิตถะ ปริสุทธา?” เราขอถามว่าสิกขาบททั้งหลายเหล่านี้บริสุทธิ์แล้วหรือ “ทุติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปริสุทธา ?” ขอถามเป็นวาระที่สองว่าเธอบริสุทธิ์แล้วแน่หรือ “ตติยัมปิ ปุจฉามิ กัจจิตถะ ปริสุทธา?” ขอถามเป็นวาระที่สามว่าเธอบริสุทธิ์แล้วแน่หรือ ไอ้คนที่ทวนศีลตัวเองอยู่จะรู้เลยว่าตัวเองศีลขาดหรือเปล่า
    เขาถึงได้มีข้อแนะนำว่าก่อนจะลงปาติโมกข์ควรจะปลงอาบัติกันซะก่อน แสดงอาบัติเพื่อให้ศีลบริสุทธิ์ก่อน แต่ที่แสดงอาบัติได้มันได้แต่ศีลเล็ก ๆไง ศีลใหญ่ ๆ อย่างปาราชิกนี่โดนขาดความเป็นพระไปเลย สังฆาทิเสสนี่โดนขาดความเป็นพระชั่วคราวจนกว่าจะได้รับโทษตามนั้นก่อน โดนกักบริเวณ เขาเรียกอยู่ปริวาส ปัจุบันนี้ไม่รู้ว่าใครมันไปเป่าหูซะจนคนเขาเชื่อว่าทำบุญกับพระอยู่ปริวาสจะได้บุญมากเป็นพิเศษ ความจริงทำบุญกับเณรดีกว่า ถ้าเณรศีลบริสุทธิ์ใช่ไหม?
    ถาม : หลวงพ่อเคยเล่า ผมจำได้ หนังสือหลวงพ่อบอกว่าถ้าผิดแค่สังฆาทิเสสท่านก็นับว่าขาดแล้วไม่ใช่หรือครับ?
    ตอบ: ขาดแล้ว ขาดจากความเป็นพระ ต้องอยู่ชดใช้กรรม เราปิดบังไว้นานเท่าไหร่ โดนกักบริเวณอยู่นานเท่านั้น แล้วใช้อีก ๖ คืน ถ้าบอกเดี๋ยวนั้นเลยก็อยู่ ๖ คืน เสร็จแล้วต้องให้พระ ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ ถึงกลับเป็นพระอีกทีหนึ่ง คราวนี้บรรดาพวกนักเรียนนักศึกษาท่านก็ฟาดข้าวเย็นแล้วปลงอาบัติกัน เขาถือว่ามันแสดงคืนได้ ไอ้นั่นชั่วอยู่ทุกวันแหละ
    ถาม : ถ้าฟังอย่างนี้แสดงว่าพระที่ปาราชิกก็ไม่ใช่ว่าท่านตายแล้วจะต้องลงนรก?
    ตอบ: ไม่ใช่ เพราะว่าปาราชิกนี่ปิดมรรคผลแต่ไม่ปิดสวรรค์ ปิดมรรคผลหมายความว่า ท่านจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนี่ไม่ได้ แต่ไม่ได้ปิดสวรรค์ถ้าหากว่าล่วงโดยไม่ได้เจตนาตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ทาน ศีล ภาวนา ถ้าจิตมันเกาะมั่นคงยังมีโอกาสขึ้นข้างบนได้ แต่ว่าเรื่องของมรรคผลนี่ต้องรอชาิติใหม่ก่อน มันไม่เหมือนกับไอ้ อนันตริยกรรม ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ทำสังฆเภทคือยุสงฆ์ให้แตกกัน ถ้าพวกนี้นี่จะปิดมรรคผล ปิดสวรรค์ หมดเลย ลงอบายภูมิอย่างเดียว
    หลวงพ่อท่านเคยแนะนำว่าถ้ารู้ตัวว่าโดน แก้ไขไม่ได้แล้วอย่างปาราชิกเนี่ยนะ ให้นุ่งขาวห่มขาวอยู่กับวัดเลย อยู่รับใช้พระ ทำงานเพื่อสงฆ์ทุกอย่าง ชนิดที่ว่าไม่ต้องย่อท้อ แล้วมีเวลาว่างก็เจริญกรรมฐานภาวนาของเราโอกาสรอดยังมี ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ส่วนใหญ่แล้วโทษมันหนักจะดึงลงต่ำ คือ ไอ้เรื่องปาราชิกขาดความเป็นพระไปเลยไม่ว่ากัน แต่ว่า...สังฆาทิเสส-ขาดความเป็นพระชั่วคราว ถ้าหากว่าเราไปปกปิดเอาไว้ ไปอยู่ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรม ทำให้พระอื่นเขาลำบากไปด้วย สังฆกรรมมันไม่บริสุทธิ์ทำไปเท่าไหร่ไม่มีผลโทษมันจะทับซ้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามวาระและเวลา
    โดยเฉพาะมีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านบอกว่าพวกโดนอาิบัติสังฆาทิเสสนี่ไสยศาสตร์พวกลมเพลมพัดมันชอบ ลมเพลมพัดก็คือว่า พอวันเสาร์หรือวันอังคารพวกบรรดาหมอไสยศาสตร์ที่ร้อนวิชาเขาจะต้องปล่อยของ ๆ เขาออกไป ถ้าไม่ปล่อยแล้วมันหงุดหงิดปล่อยออกไปซะครั้งหนึ่งพวกโดนอาบัิติสังฆาทิเสสท่านบอกว่ามันเหมือนกับแม่เหล็กดูดเศษเหล็กน่ะ วิ่งเข้าใส่เลยน่ะ ไอ้ของคนอื่นนี่ต้องดวงตกกุศลขาดจริง ๆ เป็นช่วงอุปฆาตกรรมเข้าอะไรอย่างนี้ถึงจะโดน แต่สังฆาทิเสสนี่โอกาสโดนเต็ม ๆ เลย
     
  12. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ต่อกัน ครับ

    ถาม : อย่างทุกวันนี้ จะว่าไปแล้วเกือบจะไม่เป็นพระกันทั้งประเทศอยู่แล้วน่ะ แล้วอย่างนี้เวลาไปทำบุญหรือต้องออกไปทำสังฆกรรมข้างนอก ทำบุญขึ้นบ้านใหม่อะไรอย่างนี้ คนที่เขานิมนต์พระซึ่งตอนนี้ไม่ใช่พระแล้วเนี่ย ได้อานิสงส์ของการทำบุญครบไหมครับ?
    ตอบ: ถ้าตั้งใจเป็นสังฆทานได้ครบ
    ถาม : ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพระหรือเปล่า?
    ตอบ: ใช่ จะชั่วขนาดไหนก็ตาม เพราะว่าสังฆะนี่หมายถึงหมู่สงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตั้้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ว่าตัวของเราเองถ้าหากว่ามีความผิด ปฏิบัติดีไม่ได้ นำทานที่เขาเจตนาให้โดยบริสุทธิ์ไปกินไปใช้นี่มันมีแต่จะหนักไปทุกวัน หลวงพ่อท่านบอกว่ากลืนก้อนเหล็กเผาแดง ๆ ซะยังดีกว่า มันทรมานแล้วตายในยกเดียว แต่ถ้าเราอยู่ทำชั่วนี่มันตกนรกไม่รู้จบ
    ถาม : แล้วเรื่องอย่างนี้ระหว่างเพื่อนพระด้วยกัน ถ้าองค์หนึ่งขาดจากความเป็นพระด้วยสังฆาทิเสส ไอ้ที่เหลือก็มาร่วมสังฆกรรมกันนี่ เขาก็ยังไม่ผิดเยอะสิครับ เพราะถ้าเข้าไปร่วมสังฆกรรมกันยังไงมันก็ไม่ได้อยู่แล้ว
    ตอบ: เป็นอันว่าสังฆกรรมอันนั้นไม่เป็นสังฆกรรมตั้งแต่แรกแล้ว มันต่างคนต่างผิดทั้งหมด
    ถาม : แต่อย่างน้อยก็ยังผิดน้อย ใช่หรือเปล่าครับหลวงพี่?
    ตอบ: ใช่ ถ้าหากว่าส่วนอื่นบริสุทธิ์ แต่ตัวของเราเองแย่อยู่คนเดียวนี่โทษหนักเลย
    ถาม : ผมหวนนึกไปตอนที่ผมบวชแล้วเราก็เคยทำไม่ดีไว้ อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อยครับ
    ตอบ: (หัวเราะ) สู้ไอ้แจ๊คไม่ได้ ไอ้แจ๊คเขาเป็นเด็กที่ศูนย์ต้นน้ำ เขาบวช ตอนสึกแล้วเขาเอารูปมาให้ดู มันกำลังนั่งโซ้ยมาม่ากลางคืนแล้ว คนเขาถ่ายรูปไว้ ถามว่า “ทำไมเอ็งกินข้าวเย็น?” “ผมทนไม่ไหวครับ ผมอดได้แค่ ๗ วันเอง เขากินกันทั้งวัดเลยต้องกินกับเข้ามั่ง”
    ถาม : อย่างนี้ก็ขาดความเป็นพระกันทั้งวัดเลยสิครับ?
    ตอบ: มันศีลขาด ถ้าหากไม่ได้ทำความชั่วอื่น ถ้าขาดความเป็นพระมันต้องอาบัติใหญ่ แต่อันนี้เรียกว่าไม่ใช่พระแล้ว มันเจตนาล่วงศีล อุตส่าห์อดได้ตั้ง ๗ วันนะ บวช ๒๘ วัน เหลืออีก ๒๑ วันมันอดไม่ได้
    ถาม : เหมือนความดีต้องลองหนัก ๆ ?
    ตอบ: ไอ้รายนี้จริง ๆ แล้วดวงมันเฮง นิมนต์เราไปเทศน์ตอนบ่ายโมง รอจนบ่าย ๒ ครึ่งยังไม่ได้เทศน์เลยลาโยมกลับ มันมัวแต่ไปโห่ไปแห่กันทีละบ้าน ๆ ลาญาติ ลาพี่ ลาน้อง ไม่รักษาเวลา ไอ้ของเรา ๆ ก็นัดโยมเอาไว้เวลาถัดไป ใครจะไปรอมันได้ เขานิมนต์เราเทศน์บ่ายโมงนะ ฎีกาบอกชัดเจนเลย บ่าย ๒ ครึ่ง ยังไม่ได้เทศน์เลยลาโยมกลับ อบรมกันเองก็แล้วกัน มันเลยออกมาสภาพนั้นแล้วอดได้ ๗ วัน ถ้าหากเราอบรมด้วยอาจจะได้สัก ๘ วัน(หัวเราะ) อย่างน้อยมันก็ยังดีขึ้นมาอีกวันหนึ่ง
    ถาม : อาบัิติปาราชิกนี่มีอะไรบ้างครับ?
    ตอบ: ปาราชิก มีเสพย์เมถุน คือ ร่วมเพศ ไม่ว่าจะคน จะสัตว์ จะซากศพ ไม่ได้ทั้งนั้น โอ๊ย...สมัยก่อนเขาหัวหมอกว่าเราเยอะ พอห้ามเขาก็ออกไปเรื่อย ตะแบงข้างไปเรื่อย ๆ สุดท้ายว่าห้ามองค์กำเนิดคือ อวัยวะเพศ เขาก็ออกไปทางอื่น ขนาดซากศพเป็นแผลก็แทนได้ เขาไปของเขาเรื่อย ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าบัญญติศีลห้ามไว้เสียตั้งแต่แรก คนจะไม่เชื่อว่ามันจะตะแบงข้างได้ถึงขนาดนั้น คราวนี้ท่านก็เลยค่อย ๆ ห้ามไปทีละข้อ เอ็งมีปัญญาทำข้าก็มีปัญญาบัญญัติเพิ่มเหมือนกัน คนเขาทักท้วงมาหลายคนแล้วเรื่องพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูรู้ทุกอย่าง ทำไมไม่บัญญัติกันไว้ก่อน
    ถ้าบัญญัติกันไว้ก่อนใครมันจะไปเชื่อว่ามันจะไปได้ถึงขนาดนั้น ก็มีเสพย์เมถุน, ลักของเขาราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป, ฆ่ามนุษย์ให้ตาย ฆ่าสัตว์นี่ไม่โดนปาราชิกนะโดนอาบัิตปาจิตตีย์ โดนเบากว่า, อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ตัวนี้ท่านระบุไว้เลยว่า เป็นฌาน เป็นวิโมกข์ เป็นวิมุติ เป็นอะไรพวกนี้ สมาธิสมาบัติ ถ้าไม่มี...ปรับ
    ถาม : เอ๊...แล้วฆ่าสัตว์นี่นับสัตว์ใหญ่หรือสัตว์เล็กครับ
    ตอบ: สัตว์ใหญ่ สัตว์เล็กอะไรก็ตามปรับ เพราะว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ว่าถ้าเป็นมนุษย์โอกาสบรรลุธรรมของเขามี โดนปาราชิกไปเลย
    ถาม : ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่มีสิทธิ
    ตอบ: เข้าถึงไตรสรณคมน์ได้ แต่ว่าบรรลุธรรมไม่ได้ ปาราชิก ๔ ข้อ นี่ของภิกษุนะ ถ้าภิกษุณี ๘ ข้อ ภิกษุจับต้องกายหญิงด้วยจิตกำหนัด อย่าลืมคำว่าจิตกำหนัดนะ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ภิกษุณีจับต้องกายเด็กชายแม้แรกเกิดในวันนั้นมีจิตกำหนัดหรือไม่ก็ตามโดนปาราชิกขาดความเป็นภิกษุณีไปเลย
    ถาม : แล้วถ้าเห็นเด็กตกจากที่สูงแล้วตกใจกลัวเด็กจะเป็นอะไร ?
    ตอบ: ก็ต้องยอม คือช่วยเด็กได้แต่ตัวเองต้องสึก
    ถาม : ทำไมล่ะ? ก็จิตใจไม่ได้มีอะไร
    ตอบ: ใช่ แต่ถ้าไม่ห้ามเอาไว้ขนาดนั้นมันจะเละยิ่งกว่านี้ พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่า ที่ไหนก็ตามทีผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันโอกาสที่พรหมจรรย์จะทรงตัวได้มันน้อยเหลือเกิน มีน้อยมาก ก็เลยต้องห้ามเอาไว้หนัก ๆ ไว้ก่อน ต้องชมกำลังใจว่าพระนางปชาบดีโคตมี พระน้านางต้องเรียกพระมาตุจฉาใช่ไหม? กำลังใจท่านเหลือเกินจริง ๆ ท่านตั้งใจจะบวชให้รับครุกรรม ๘ ประการ เป็นเราได้ยินก็ถอยกรูดแล้วใช่ไหม แต่ว่าท่านเอา ขอให้ได้บวชเท่านั้นแหละ เสร็จแล้วยังยากถึงขนาดว่าต้องเป็นสิกขมานาก่อน ๒ ปี ลักษณะก็เหมือนเป็นสามเณรผู้หญิงนั่นแหละ รักษาสิกขาบทให้เคร่งครัดภายใน ๒ ปี ถ้าไม่ขาดเลยถึงอนุญาตให้บวช
    เมื่อบวชในสำนักภิกษุณีแล้วต้องมาญัตติในสำนักภิกษุอีก แต่ว่าที่ภิกษุณีขาดลงเพราะว่าช่วง ๆ หลังนี่บางทีสิกขมานายังไม่ครบ ๒ ปี อุปัชฌาย์ตายแล้ว มันก็เลยค่อย ๆ ขาดไป ๆ จนกระทั่งไม่มี ปัจจุบันมหายานเขาว่าของเขายังมีอยู่ ปัจจุบันประเทศไทยก็ยังมีภิกษุณีอยู่ ๑ องค์ คือแม่เลี้ยงเจ้าลูกเกด อุตส่าห์ไปบวชยันโน่นแน่ อินเดียหรือว่าลังกาก็ไม่รู้
    ถาม : ถ้านับตามจริงนี่มีไหมครับ?
    ตอบ: ไม่มี
    ถาม : อย่างนี้เวลาเขาทำอะไรนี่เขาได้บุญ ม้นเหมือนกับเราบอกว่า เราเอาใจตัวตั้งขึ้นใช่ไหมครับ ในเมื่อใจเราบอกว่าเราเป็นภิกษุณีแล้ว ถือว่าเราเป็นภิกษุณีไหมครับ?
    ตอบ: ไม่เป็น
    ถาม : อย่างนี้ผู้หญิงก็เป็นเพศที่โชคร้ายสิครับ?
    ตอบ: เรียกว่าโชคร้ายก็ได้นะ แต่จริง ๆ แล้วน่าจะโชคดีมากกว่า เป็นฆราวาสมันทำง่ายกว่าพระเยอะ จะไปแบกศีล ๓๑๑ ข้อ หรือจะเอา ๕ ข้อดี ไอ้ถนนมันมีรู ๕ รู เดินไปหลบซ้ายหลบขวามันก็พอพ้นนะ ไอ้ ๓๐๐ กว่ารูี่นี่เดี๋ยวก็ร่วงแอ้กจนได้ ก็เลือกเอา
    ถาม : อ๋อ อย่างพระโสดาบันก็แค่ศีลห้าบริสุทธิ์ใช่ไหมครับ?
    ตอบ: ใช่ อยากทำของยากเผื่อสำเร็จอาจจะดัง (หัวเราะ) ๓๑๑ เยอะกว่าพระ พระ ๒๒๗ ต้องไปดูในภิกขุณีวิภังค์ในพระไตรปิฎก โหแต่ละข้ออ่านแล้วสะอึก ไม่มีผ้ารัดอกออกจากกุฏิไม่ได้ เข้าไปยังสำนักของท่านใช้คำว่า สำนักของมนุษย์ คือ เข้าไปอยู่ในเขตบ้านคนไม่ได้ กระทั่งการแต่งเนื้อแต่งตัวยังบังคับไว้หมดเลย
    ถาม : อ้าว แล้วถ้าเกิดที่มีอยู่นี่ชีวิตทำยังล่ะครับ?
    ตอบ: เขาต้องหาครบก่อน หาครบก่อนถึงบวชได้ ลำบากมากเลยอยู่ในอาวาสที่ปราศจากภิกษุไม่ได้ แต่อยู่ร่วมกับภิกษุไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องอยู่ในเขตอาวาส คือ ในบริเวณวัด อาจจะเป็นมุมใดมุมหนึ่งที่กันเขตให้ต่างหากไป เพราะว่าสมัยก่อนพวกโจรพวกปล้นเยอะ บางทีก็โดนเขาปล้น โดนเขาฆ่า โดนเขาข่มขืน
    ถาม : แล้วในสมัยนั้นมีพระภิกษุณีที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณไหมครับ?
    ตอบ: บานเบิกเลย (หัวเราะ) จะเอาสักเท่าไหร่ล่ะ พระนางเขมาเถรี นี่เป็นอัครสาวิกานะ เลิศทางปัญญา พระนางอุบลวรรณาเถรีเลิศทางมีฤทธิ์ มีเหมือนกัน เป็นอัครสาวิกาเหมือนกัน มีมหาสาวิกาเหมือนกัน มีอยู่หลายต่อหลายองค์ สมัยโ้น้นเขาเป็นกันง่ายเพราะฉลาด สมัยของเราเป็นยากเพราะเราฉลาดกว่า
    ถาม : ยังติดอยู่ตรงภิกษุณีครับ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจทำดี?
    ตอบ: ภิกษุไม่มีปัญหา แต่ถ้าภิกษุณีโดนแน่เลย ผู้หญิงตกน้ำอุ้มได้ช่วยได้ แต่ต้องจิตไม่กำหนัดนะ แต่ว่าภิกษุณีนี่ไม่มีจิตกำหนัดก็โดนเลย
    ถาม : ทั้ง ๆ ที่เห็นคนจะตายต่อหน้า ?
    ตอบ: ตายต่อหน้า? ถ้าจะให้ดีก็ต้องยอมขาดจากความเป็นภิกษุณี
    ถาม : อย่างนี้ผมว่าเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณง่ายสุด
    ตอบ: ดีดบึ๊งเดียว (หัวเราะ) ของท่าน ท่านเจตนาบอกแล้วว่า หากว่าในศาสนานี้มีภิกษุณีอยู่จะตั้งได้ไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ก็ไอ้ัปัจจุบันนี้อยู่นอกวัดมันยังลากเข้าไปในวัดจนเป็นข่าวเป็นคราวกันตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จนลูกโตแล้วเป็นแถว อยู่ในวัดด้วยกันมันไม่ง่ายกว่ารึ? เป็นยังไงฟังแล้ว อยู่ในบ้านเขายังลากเข้าวัดไปได้หรือไม่ก็ออกจากวัดไปหา
     
  13. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ต่อกันคัรบ

    ถาม : แล้วอย่างพระที่แต่งตัวเป็นนายทหารล่ะครับ?
    ตอบ: ปรับอาบัติทุกกฎ ทำตัวเลียนแบบฆราวาส แต่อีคราวนี้ของมัน ๆ แต่งไปเพื่อหลอกชาวบ้านเขา ปรับได้อีกหลายชั้นเลย โดยเฉพาะแต่งไปอวดเมียอย่างนี้ ไอ้มีเมียนี่มันขาดความเป็นพระไปแล้ว
    ถาม : แต่ถ้าที่ทำเพื่อตัวเองให้คนเลื่อมใสเข้าวัดก็ได้ทั้งบุญและบาปไปในคราวเดียวกันใช่ไหมครับ?
    ตอบ: ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ทำร้อยได้บุญสลึงนึง นี่หลวงพ่อโตวัดระฆังท่านเปรียบไว้เอง คือ ขาดทุนไป ๙๙ บาท สามสลึง
    ถาม : ทำไมท่านถึงเปรียบไว้อย่างนั้นล่ะครับ หลวงพ่อโตท่านไปเจอตัวอย่างอะไรหรือครับ?
    ตอบ: ตัวอย่างของยายแฟง เคยได้ยินชื่อวัดใหม่ยายแฟงไหม? ปัจจุบันนี้ชื่อวัดคณิกาผล ยายแฟงแกเป็นแม่เล้า เปิดซ่อง รวยขึ้นมาแกก็เลยเอาเงินไปสร้างวัดแล้วนิมนต์หลวงพ่อโต วัดระฆังไปเทศน์ หลวงพ่อวัดระฆังท่านก็เลยบอกว่าทำบุญจากบาปได้ไม่ถึงเฟื้อง (หัวเราะ) เพราะว่าเงินมันไม่ได้มาโดยบริสุทธิ์ วัตถุทานต้องบริสุทธิ์ เจตนาในการทำบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ ถึงจะอานิสงส์เต็ม ไอ้อันนี้มันมาไม่ดีตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังดีที่เขาอุตส่าห์ไปสร้างวัด
    ถาม : ถึงแม้ว่าหากิน ใช้ร่างกายเรา เราก็หากินปกติไม่ใช่หรือครับ?
    ตอบ: ปกติ แต่ปกติของเขานี่ต้องดูด้วยว่าของเขาเองเจตนาโดยตัวเขาหรือเปล่า ส่วนใหญ่มันโดนบังคับน่ะสิ ถ้าเจตนาประกาศตัวชัดเจนนี่คุณไปเที่ยวได้สบายศีลไม่ขาด เขาประกาศตัวเป็นของกลางอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นสมบัติของคนใดคนหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเป็นสมบัติของคนใดคนหนึ่งยังมีพ่อ มีแม่ มีสามี มีพี่ มีน้อง อะไรดูแลอยู่อย่างนี้ล่วงเมื่อไหร่เราศีลขาดเมื่อนั้น
    ถาม : แสดงว่าโดนล่อลวงมา แล้วถ้าพ่อแม่เขายอมล่ะครับ พวกตกเขียวอย่างนี้
    ตอบ: ไอ้อย่างนั้นมันก็ต้องดูด้วยนะ ตัวเขาเองเต็มใจหรือเปล่า มันยากเต็มทีที่จะมีใครเต็มใจ ถ้าคนทำใจได้ขนาดนั้นมันต้องหน้าทนขนาด
    ตอบ: ท่านหมอชีวกนะครับ ท่านมีน้องสาวเป็นโสเภณีใช่ไหมครับ?
    ตอบ: แต่องค์นั้นเป็นพระโสดาบันนะ
    ถาม : ผมงงตรงที่ ในเมื่อฐานะทางบ้านก็ร่ำรวยขนาดนั้นน่ะทำไมต้องไปเป็นด้วย
    ตอบ: สมัยก่อนนั้นเขาได้รับการยกย่องพอ ๆ กับนางสาวไทยสมัย เขาเรียก นครโสเภณี แปลว่า ทำให้เมืองนี้งาม เป็นชื่อเสียง เป็นเกียรติยศ ของประเทศชาติเลย
    ถาม : แต่ก็ต้องมีหน้าที่ไปนอน?
    ตอบ: มีหน้า่ที่ปฏิบัติดูแลอะไรก็ตามที่แขกต้องการ แต่แหม ค่าตัวแพงหูดับเลย มีอยู่่ท่านหนึ่งชื่อนางอัฒฑกาสี เมืองกาสีที่เป็นเมืองที่ทอผ้าได้สวยมาก ผ้าจากเืมืองกาสีราคาจะแพงเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นจะเก็บภาษีจากเมืองนี้ได้มหาศาล นางอัฒฑกาสีนี่ค่าตัวของแกครึ่งเมืองเท่ากับภาษีครึ่งเมือง สมัยนี้ก็งบประมาณแผ่นดินของเราครึ่งหนึ่ง
    ถาม : อยากทราบว่าพระพุทธเจ้ามีเทวดาอารักขาไหมคะ?
    ตอบ: จะเอาสักกี่แสนล่ะ แหม...ถามมาได้ว่าพระพุทธเจ้ามีเทวดาอารักขาไหม อาตมายังมีตั้งหลายองค์
    ถาม : ทำอะไรควรจะดูฤกษ์ไหมครับ?
    ตอบ: เรื่องของฤกษ์มันเหมือนกับการข้ามถนน ข้ามถนนต้องดูทางไหมล่ะ ดูซะหน่อยมันก็ปลอดภัยกว่าใช่ไหม...? เพราะว่าไอ้เรื่องของบุญของบาปของเรานี่จังหวะเวลาของมันนี่มันมีของมันอยู่ ถ้าหากว่าไปเจอไอ้จังหวะรถมาเยอะ ๆ ข้ามไม่พ้นมันก็เดี้ยง ดูซะหน่อยแต่อย่าไปยึดถือมันมาก ถ้าหากว่ายึดถือมันมากมันจะหนักอกหนักใจเสียเปล่า ๆ เจอหลายต่อหลายรายแล้วแก้กันไปก็แก้กันมาอยู่นั่นแหละ คนเดียวเปลี่ยนไปเกือบจะ ๒๐ ชื่อยังไม่ได้ดังใจเลยก็มี ไอ้นั่นมันเกินไป (รับโทรศัพท์)
    คนเขาถามว่าพระผงที่แตกที่หักเอาไปบดทำผงสร้างพระใหม่ได้ไหม ? ไม่ได้นะ จำไว้เลยนะ โทษเท่ากับทำลายพระพุทธรูปเลย พระที่แตกที่หักถ้าจะให้ดีก็เอาบรรจุองค์ใหญ่ไว้ ไอ้ที่ไม่รู้น่ะมันหานรกใส่ตัวไปเยอะแล้ว
    ถาม : (ไม่ได้ยินคำถามเบามาก)
    ตอบ: ทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะการภาวนาถ้าอารมณ์ใจทรงตัว แค่อุปจารสมาธิขึ้นไปท้าวมหาราชจะส่งบริวารมาช่วยรักษาให้ เพราะว่ากลัวพวกผีพวกยักษ์ที่ไม่ดีเขาจะมากวน แล้วพระพุทธเจ้าท่านต้นตำรับของทาน ศีล ภาวนา เลยนะจะเอาสักกี่แสนองค์ดีล่ะ หลวงพ่อที่วัดท่าซุงเฉพาะเทวดาชั้นจาตุมหาราชนี่ ๒,๐๐๐ องค์ หน่อยเดียวนะ อยู่ที่ไหน ๆ เขาก็คงไม่เอานายพลไปขนาดนั้นหรอก แต่ที่วัดท่าซุงนี่เขาเล่นนายพลซะ ๒,๐๐๐ และยังมีระดับจอมพลอีก ๔ อยากได้อย่างนั้นก็ต้องทำ ขยันเกิดหน่อย สร้างบารมีสัก ๑๖ อสงไขยกว่า ๆ ก็ได้แล้ว ไม่ยากเลย
    ถาม : (คำถามเบามากเกี่ยวกับการเข้าทรง)
    ตอบ: ส่วนใหญ่แล้วถ้าหากของเราทรงสมาธิได้เขาจะทายผิด เขาจะทายผิดหมดเพราะว่าของเราสูงกว่า การมองบุคคลที่สูงกว่าจะไม่เห็น เขาจะเห็นได้แค่เสมอกันหรือต่ำกว่าแค่นั้น เพราะฉะนั้นไม่เห็นมันก็กลัวเสียหน้ามันมั่วไปเรื่อยมันก็ผิด ๑๐๐ % ยังดีมันไม่ด่าเอา (หัวเราะ) อย่าไปลองเลย เคยไปลองมาหลายรายแล้ว ลองถึงขนาดเขาเข้าทรงไม่ได้เลย ไม่ได้เจตนาแต่เราไปเราก็ต้องป้องกันตัวเราก็นึกถึงพระครอบเราไป แล้วผีที่ไหนมันจะมาได้ (หัวเราะ) ทรงไ่ม่ได้เลยนะ ถ้าหากว่ามาได้แสดงว่ากำลังของเขาสูงพอ แต่ว่าถ้าหากว่ามีอะไรเกี่ยวกับตัวเราเขาจะทำนายผิด แต่ให้เราภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวไว้
    เรื่องของการทรงเจ้าเข้าผีอะไรเนี่ยต้องเรียกว่าปลอมเกือบ ๑๐๐ % ไอัที่จริงในความหมายของเราก็ต้องหมายความว่าเป็นพระ เป็นพรหม หรือว่าเป็นเทวดามาสงเคราะห์ ถ้าเป็นพระ เป็นพรหม เป็นเทวดามาสงเคราะห์เนี่ยคือ ข้อสังเกตข้อแรกเลย เขามาโดยจำกัดเวลา บางรายมาปีละครั้ง พระเจ้าตากมาปีละครั้งเดียว บางรายมาเฉพาะวันพระใหญ่ บางรายมาเฉพาะวันพฤหัส มาเฉพาะวันอังคาร เขาจะจำกัดเวลา เรื่องที่สองส่วนใหญ่ต้องการแค่ความเคารพจากเราจะไม่เรียกร้องผลประโยชน์อะไรมาก นอกจากดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องบูชาครู อาจจะมีเงินสัก ๓ บาท ๙ บาท เต็มที่ไม่น่าจะเกิน ๑๐๘ บาท อันดับที่สามเรื่องที่เขารับปากว่าจะช่วยนี่จะสำเร็จตามนั้น สังเกตได้ง่าย ๆ ถ้านอกเหนือจากนี้แล้วส่วนใหญ่เรียกว่า ประเภทไปถึงแล้วเข้าทรงได้ทุกเวลาที่ต้องการ อันนั้นถือว่าปลอมไว้ก่อน
    ถาม : เราดูแผนที่กรมอุตุแบบที่มีพายุเข้าน่ะครับ แล้วที่้พอวิ่งเข้าเมืองไทยแล้วน่ะ พอจะขึ้นฝั่งที่ชุมพรแล้วพายุมันเลี้ยวขวาออกทันที (พายุแองเจลล่า)
    ตอบ: ตอนนั้น คุณสมิท ธรรมสโรช อยู่ คุณสมิทรายงานว่าพายุขึ้นแน่นอน ในหลวงบอกว่าไม่ขึ้นหรอกเชื่อฉันเถอะ พอเขารายงาน ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ พอพายุมันเลี้ยวกลับคุณสมิทเลิกเชื่อลูกน้องตัวเอง มีอะไรถามในหลวง
    ถาม : ในหลวงให้ตั้งนกกระสาตัวหนึ่ง ท่านตั้งชื่อคุณสมิทด้วยหรือครับ ?
    ตอบ: นกกระทุง ท่านพูดเล่นสนุก ๆ จริง ๆ แล้วบางอย่างถ้ามันไม่เกินกฎของกรรมเทวดาก็ช่วยได้ ไอ้เรื่องของพายุน่ะ มันเกี่ยวกับนางเมขลา นางเมขลาเขามีหน้าที่รักษาท้องทะเลเกี่ยวกับลมฟ้าอากาศ พอพายุเข้าในหลวงท่านไปขอร้องให้ช่วย นางเมขลาท่านบอกว่าท่านไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะฝืนได้ไหมแต่จะลองดู ในหลวงเองท่านก็ไม่ได้ประมาทถึงเทวดารับปากแล้ว ท่านก็สั่งพวกกรมประชาสงเคราะห์พวกราชประชาสโมสรพวกกองทัพเรือให้เตรียมพร้อมหมด เรือหลวงจักรีนฤเบศร์ ลอยลำรออยู่แล้วถ้ามันขึ้นตึงก็ต้องช่วยเลย
    ถาม : อย่างนี้ที่หาดใหญ่แสดงว่าไม่ไหวสิครับ?
    ตอบ: อันนั้นไม่ไหว ถ้าไหวช่วยแล้ว ท่านเองท่านจะบอกเอาไว้ชัดเลย ท่านบอกว่าปรากฏว่านางเมขลาท่านเก่งกว่าพายุมันเลยขึ้นฝั่งไม่ได้
    ถาม : อย่างนี้มันไม่เหมือนกับว่าเราผลักดันเราไปให้เขาหรือครับ?
    ตอบ: ไม่ใช่ ถ้าหากว่ากรรมมันจำเป็นต้องรับมันก็แปลว่าต้องรับ แก้ไขไม่ได้ ถ้ายังแก้ไขได้ก็แปลว่ามันยังไม่หนักนักไม่เกินวิสัย ภาษาพระหรือภาษาเทวดาเรียกว่าไม่เกินวิสัยยังช่วยได้อยู่
    ถาม : อ้าว อย่างนี้ คนเวียดนามเขาก็เรียกว่าซวยน่ะสิ ?
    ตอบ: ไอ้นั่นถึงเวลามันก็ต้องรับของมัน เพราะไม่ทำเอาไว้แล้วใครจะได้ล่ะของแบบนี้ จะดีจะชั่วก็ตามถ้าไม่ทำเอาไว้มันไม่ได้รับง่าย ๆ หรอก เดี๋ยววันที่ ๔ นี้ก็คอยฟังแล้วกัน วันที่ ๔ ทุกปี ๆ เวลาออกมหาสมาคมในหลวงท่านจะพูด ไอ้บางเรื่องมันเกินไปคนฟังไม่รู้เรื่องบางทีท่านพูด ๆ ไปเห็นเขาไม่เข้าใจแน่ ท่านก็ดึงออกทะเลไปเลย แต่ถ้าเห็นว่าคนเข้าใจท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อย
    ถาม : นั่งสัปหงกกันเลยครับ
    ตอบ: ไอ้พวกนั้นมันน่าเตะเป็นใหญ่เป็นโตในแผ่นดินซะเปล่า โง่บรรลัย ถ้าเป็นเราไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ถามในหลวงว่าจะมีพระราชดำริออกไปทางด้านไหนเกี่ยวกับการปกครองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ พอท่านให้พระราชดำรัสลงมาเราก็ทำตามอย่างเดียว สมัยนี้มันอวดเก่ง เจ๊งกันบรรลัยเลย สู้คุณสมิทไม่ได้ คุณสมิทนี่ต้องยอมรับว่าฉลาดจริง ๆ นะแล้วเขามาจากไหนรู้ไหม ? มาจากกรมไปรษณีย์โทรเลข โดนย้ายกระเด็นไปเป็นอธิบดีกรมอุตุ แต่ฉลาดใช้ได้เลย รายงาน ๒ ครั้ง ๆ ที่ ๓ เลิกรายงานเลย มีอะไรถามในหลวง
    ถาม : แล้วนกกระสาคุณสมิทไม่รู้็ยังอยู่หรือเปล่าครับ ? ผมจำได้เลย ในหลวงท่านบอกว่าดูนกกระสา ถ้าหันซ้ายแสดงว่าอากาศต้องอย่างนี้ หันขวาต้องอย่างนี้ (หัวเราะ)
    ตอบ: นกกระทุง เคยเห็นไหม ไอ้ที่มันใช้ปากช้อนปลา ไอ้ที่ปากเป็นถุง ๆ น่ะ
    ถาม : มันก็คล้าย ๆ นกกระสา?
    ตอบ: ไม่เกี่ยวกัน นกกระสามันคล้าย ๆ นกกระยาง มันขายาว ๆ ไอ้นกกระทุงนี่มันห่านดี ๆ นี่เอง ใหญ่กว่าห่านอีก ปากเบ้อเร่อเลย มันใช้ปากมันเป็นสวิงช้อนปลา
    ถาม : แล้วมันช้อนทันเหรอครับ ? ปลามันไว
    ตอบ: มันฉลาดพอที่มันจะรู้จักรวมหมู่สามัคคีกันน่ะ ถึงเวลาก็ว่ายต้อนปลา มันประเภทแปรขบวนแล้วมันจะเล็งตัวเดียว จำเอาไว้นะ พวกเราเหมือนกันนักปฏิบัติน่ะ ไอ้ที่มันเอาดีไม่ได้ทุกวันนี้เพราะมันไม่ได้เล็งกรรมฐานกองเดียว กรรมฐานมันยากกองแรกเท่านั้น ถ้ากองแรกได้กองอื่นเหมือนกันหมดเพียงแต่เปลี่ยนวิธีกรรมหน่อยเดียว กำลังใจเท่ากันหมด นกกระทุงก็เหมือนกันอย่าเห็นว่ามันช้านะ มันฉลาดพอถึงเวลาต้อนปลาเข้าฝั่งก็ต่างคนต่างไล่ ๆๆ ไป มันจะเล็งปลาตัวเดียว ไอ้ตัวที่มันเล็งเนี่ยรอดยาก ถ้าหลายตัวมันหลายใจไม่ได้กินหรอก ปลามันเร็วกว่า
    ถาม : อ้าว แล้วหลาย ๆ ตัวเล็งตัวเดียวกันแล้วใครกินล่ะครับ ?
    ตอบ: มันต่างคนต่างมีมุมของมันอยู่ มันจะว่ายแปรขบวนไป ไอ้พวกปลานี่เห็นเงานกมันก็จะว่ายหนีว่ายไปว่ายมาติดฝั่งคราวนี้จะทำยังไงล่ะ ก็ต้องหาทางแหวกขบวนไปให้ได้ ไอ้ตอนช่วงนั้นก็ตัวใครตัวมัน ก็แบบเดียวกับพวกปลาโลมาน่ะ มันแปลกอยู่อย่างว่าสัตว์เล็ก ถ้าหากว่ารวมฝูงกันอยู่ สัตว์ใหญ่จะไม่กล้าโจมตี พวกปลาโลมาเขาใช้วิธีนี้ทำให้ให้มันแตกขบวน ไอ้ตัวไหนแตกขบวนไอ้ตัวนั้นตาย สามัคคีมีสุข แตกสามัคคีเมื่อไหร่ก็ทุกข์ถึงแก่ชีวิต เดี๋ยววันที่ ๔ ต้องดักฟังให้ได้ หากว่าเขาไม่ถ่ายทอดสดก็ฟังตอนข่าว ตอนช่วงท่านป่วยหนักคงนึกว่าไม่รอดแล้ว มีอะไรท่านบอกหมด เจอเทวดาอย่างนั้นเจอพระอย่างนี้ว่าไปหมดเลย
     
  14. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ต่อครับ

    ถาม : เมื่อ ๒-๓ วันก่อนนี่ผมฝันว่าท่านสวรรคตครับ
    ตอบ : ฝันให้แปลตรงกันข้าม ถ้าฝันว่าคนป่วยหายโอกาสตายเกิน ๙๐% แต่ถ้าฝันว่าคนป่วยตายโอกาสรอดมากกว่า ๙๐%
    ถาม : ฝันมาจากไหนครับ?
    ตอบ : มีหลายอย่างด้วยกัน มันจะเก็บความฟุ้งซ่านกลางวันไปฝันอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องของบุญกรรมที่เราทำเอาไว้แสดงเหตุนิมิตให้รู้ล่วงหน้าอย่างหนึ่ง เรื่องของเทวดาท่านจะสงเคราะห์ให้รู้อย่างหนึ่ง แล้วก็ธาตุไม่ปกติคือท้องไส้ไม่ดีอีกอย่างหนึ่ง ๔ แบบด้วยกัน เขาเรียกธาตุวิปิริต ไอ้พวกนี้ท้องไส้ไม่ดี กินมากไม่ได้ขี้ฝันเละเทะไม่เป็นเรื่องเลย อีกอย่างก็กรรมนิมิตบุญบาปที่เราทำไว้ในอดีตแสดงเหตุให้รู้ว่าผลอะไรจะเกิดขึ้นจะไม่มีต้นไม่มีปลาย มาเฉย ๆ
    ถาม : คนไม่มีโชคนี่มันไม่มีจริง ๆ นะครับ ขนาดแบบตรงเป๊ะยังซื้อไม่ได้เลย
    ตอบ : ของเรานี่มันยัง มันต้องกำนันเถา กำนันเถานี่อยู่ยุคหลวงปู่ปาน หลวงปู่จง หลวงปู่่ปานเรียกไอ้เถากระเพาะยาง มันแดกข้าวทีละกาละมังแน่ะ ท่านบอกกระเพาะมันยืดได้เหมือนยาง นั่นแหละ กำนันเถาไปหาหลวงปู่จง ขอหวย หลวงปู่จงบอกว่าอย่าเอาเล้ยให้ไปเอ็งก็ไม่ได้เล่นหรอก กำนันเถาเขาก็ยืนยันหลวงพ่อผมเล่นครับเล่นแน่ หลวงพ่อจงบอกไม่ได้เล่นหรอกอย่าเอาเลยมันก็จะเอาให้ได้ หลวงพ่อจงท่านก็เขียนให้มัน ๓ ตัว มันก็ใส่กระเป๋าเสื้อไป วันหวยออกปรากฏว่าไปตรวจโพยไปดูปรากฏว่าซื้อทุกรายที่มาขอยกเว้นของหลวงปู่จง คว้าปืนจะยิงกะบาลตัวเองลูกเมียห้ามแทบไม่ทัน คนเราถ้าหากว่าผลของทานบารมีไม่ส่งผล ลาภพวกนี้ไม่มีหรอก แล้วท่านรู้นี่ พระระดับหลวงปู่จง หลวงปู่ปาน นี่ไอ้เรื่องของยถากัมมุตาญาณ ท่านจะรู้ละเอียดมาก มันจะต้องเป็นทานที่ทำโดยไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ คล้าย ๆ กับว่าเห็นการบุญการงานอะไรที่มันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมที่ไหนเราก็ทำมันเดี๋ยวนั้นเลย ถ้าเจตนาทำไว้ไม่ต้องไปรอหวยหรอก เป็นเศรษฐีไปแล้ว
    ถาม : แล้วอย่างตอนปัจจุบันนี้ ตั้งใจไว้เลยว่าเจอที่ไหนเราจะทำอย่างนี้ล่ะครับ มันก็เหมือนว่าเราตั้งใจไว้ก่อนใช่ไหมครับ?
    ตอบ : ไม่ใช่ คนละอย่างกัน ไอ้บุญตั้งใจไว้มันมีการเตรียมการ อันนี้ไปถึงชนเมื่อไหร่ก็ให้เดี๋ยวนั้น
    ถาม : เดี๋ยวนี้ผมก็ทำอย่างนั้นบ่อยนะครับ ไม่เห็นถูกหวยเลย
    ตอบ : ชาติก่อนได้ทำไหมล่ะ (หัวเราะ) ผลของปัจจุบันมาจากอดีต แต่ว่าอย่าลืมว่าวินาทีข้างหน้าวินาทีนี้มันก็เป็นอดีตแล้วนะ ทำ ๆ ไว้ เผื่อฟลุค ๆ แก่ ๆ อาจจะถูกหวยบ่อย
    ถาม : ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรแล้วมั้ง
    ตอบ : เอาไว้ซื้อตะบัน (หัวเราะ) เอาไว้ตะบันน้ำกิน ไอ้เรื่องของการทำแล้วหวังมันขาดตัวอุเบกขา พอขาดตัวอุเบกขาผลมันจะส่งช้า กำลังใจไม่มั่นคง จำไว้ว่าตัวอุเบกขาต้องมีอยู่ในทุกอารมณ์กรรมฐาน ทานบารมี อย่าลืมว่าบารมี ๑๐ ตัวไหนตัวหนึ่งนำขึ้นมาอีก ๙ ตัว มันได้ด้วยตัวท้ายสุดคือตัวอุเบกขาบารมี
    ถาม : มันเหมือนกับว่าตอนนี้มันรู้แล้วนะครับ เรามั่นใจแล้วว่าทำแล้วเราต้องได้ มันกลายเป็นว่าทุกครั้งที่เราทำปั๊บเนี่ยเราจะรู้็สึกขึ้นมาเลยว่าเราต้องได้แน่
    ตอบ : มันได้แน่ อันนี้ไม่เถียงหรอกแต่เมื่อไหร่ล่ะ?
    ถาม : ทำยังไงถึงจะรู้ได้ด้วยและอุเบกขาได้ด้วยล่ะครับ ?
    ตอบ : ต้องทำให้ได้ถึงระดับนั้น คือทำเสร็จเรียบร้อยแล้วรู้ว่าเรามีหน้าที่ทำเขาต้องการเราให้ หลังจากที่เราให้แล้ว เขาจะเอาไปทำอย่างไรเราไม่เกี่ยว นั่นน่ะอุเบกขาแน่ ๆ แขนก็เบกด้วย
    ถาม : การที่มีอุเบกขามากไปทำให้เป็นคนไม่ยอมคนหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : มันต้องดู คนที่เข้าถึงธรรมจริง ๆ ไม่ใช่เป็นคนไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่เขารู้ว่าอะไรมันเหมาะมันควรกับวาระกับเวลาอย่างไร โบราณเรียกว่ากาลเทศะ เรื่องที่ดิ้นรนไปแล้วไร้ประโยชน์เขาก็นอน มันเสียเวลาไปดิ้นทำไม รถชนกันตูมพังกระจายจะเสียเวลาไปเข็นรถเหรอ ก็โทรเรียกประกันมาแล้วก็นอนรอมันสิ
    อุเบกขา เป็นอุเบกขาที่ประกอบไปด้วยปัญญา ไม่ใช่ปล่อยวางแบบลูกศิษย์หลวงพ่อชา ลูกศิษย์หลวงพ่อชา เป็นพระด้วยนะ โดนลมตีหลังคากุฏิเปิดไปหลังคามุงด้วยแฝก ท่านเองท่านก็ปล่อยมันไปเรื่อยแหละ ฝนจะตกแดดจะออกก็ช่างกูจะนั่งกรรมฐานของกู หลวงพ่อชาทนไม่ได้ไปถึงก็ คุ้ณ ซ่อมหลังคาสักหน่อยสิ ท่านบอกผมปล่อยวางซะแล้วครับ หลวงพ่อชาบอกว่าไอ้ปล่อยวางแบบนี้มันปล่อยวางแบบควาย (หัวเราะ) ควายมันตากแดดตากฝนทนกว่าคุณอีก คนเรามีปัญญามันต้องแก้ไข แก้ไขให้สิ้นกำลังตัวเอง สิ้นกำลังปัญญา สิ้นกำลังคน สิ้นกำลังทรัพย์ ถ้าแก้ไขไม่ได้แล้วค่อยยอมรับว่ามันเป็นกฎของกรรม ถ้ายังมีช่องทางให้ดิ้นรนแม้แต่นิดเดียวก็ต้องทำก่อน ไอ้ปล่อยวางแบบนั้นเดี๋ยวก็นั่นล่ะ ควายอึดกว่าเราเยอะเลย
    ถาม : เมื่อตะกี้ผมเล่าให้น้องเขาฟังครับ เรื่องดารา ถ้าเกิดไม่เคยทำบุญอย่างอื่นตกนรกหมด เพราะทำให้คนยึดติดก็รู้สึกเอ๊ะ ในเมื่อดารามันทำสัมมาอาชีวะแล้วทำไมต้องไปตกนรกด้วยในเมื่อเถ้าเขาไม่ทำเขาก็ไม่มีกิน ?
    ตอบ : มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ สิ่งที่เขาทำมันค้านกับธรรมะที่แท้จริง เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นมายา มันทำให้คนหลงยึดติดอยู่ สังเกตไหมล่ะว่านางอิจฉาเข้าไปในตลาดดีไม่ดีเจอเปลือกทุเรียนก็รองเท้าขว้างเอานั่นน่ะ คนมันยึดขนาดนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ละ ไอ้พวกนี้ทำให้ยึด มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ โทษของมิจฉาทิฏฐินี่มันหนักมากนะ อเวจีทีเดียว น่าสงสารมากเลย ในพระไตรปิฎกมีอยู่คือ พระตาลปุตตคามินีเถระ ท่านเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก ได้รับการอบรมมาจากวงการนักแสดงเขาบอกไว้ว่า บุคคลที่สร้างความรื่นเริงให้แก่ผู้อื่นจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็คือว่าจะได้ไปเกิดที่นั่น ภาษาบาลีฟังยากมันต้องแปลเป็นไทยอีกทีหนึ่ง ท่านเองท่านก็ยึดมั่นในจุดนั้นมา
    คราวนี้พอไปเปิดการแสดงที่เมืองสาวัตถี ได้ยินมาว่าสมณโคดมทราบเรื่องทุกอย่าง ได้โอกาสก็เข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า สิ่งที่ท่านทำจะให้ท่านได้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จริงไหม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ดูก่อน มายาการ อย่าเพิ่งให้ิเราพยากรณ์เลย ท่านเองตื้อถามถึง ๓ วาระ พอถึงครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าบอกว่าลงอเวจีมหานรก คราวนี้ดีตรงที่ว่าท่านเชื่อ นั่งร้องไห้เลยถามว่าทำยังไงถึงจะรอดได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชแล้วปฏิบัติ ไม่นานท่านก็เป็นพระอรหันต์รอดไป ถ้าไม่เชื่อก็ซวย คราวนี้มันมีตัวอย่างอยู่ ไอ้ดาราวัยรุ่นธรรม์โทณวนิก น่ะ ไอ้ที่มันตายดูคนไปงานศพมันกี่หมื่น ถ่ายหนังสือพิมพ์ออกมาเห็นแล้วตกใจมันทำให้คนติดได้ขนาดนั้นแล้วไอ้ดาราเพลงร็อคของญี่ปุ่น มันมากันทีคนแห่กันไปดอนเมืองรถติดบรรลัยวายวอดเลย คนติดมันขนาดไหน แต่มันเป็นการยึดในทางที่ผิด จริง ๆ แล้วการปฏิบัติมันต้องปล่อย ยึดเมื่อไหร่ก็อยู่แค่นั้นแหละ
    ถาม : แต่มันเป็นเรื่องทางโลกนะครับ ไม่มีก็ไม่ได้
    ตอบ : ก็มันไม่มีก็ได้ถ้าหากว่าคนเราพอใจมีธรรมะประกอบอยู่แต่ บังเอิญว่าคนเรามันไม่สนใจจะหันมาหาธรรมะ มันสนใจแต่ทางด้านโน้นจริง ๆ แล้วพวกนี้น่าสงสารมาก การแสดงแสง สี เสียง อะไรต่าง ๆ ก็ดี ที่มันเกิดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหล่านี้มันทำให้ปีติเกิดขึ้นในใจชั่วคราว ทำให้จิตมันฟูขึ้นมา ทำให้รู้สึกว่ามีความสุข แต่มันเป็นความสุขที่เกิดจากการกระตุ้นภายนอก มันไม่เหมือนกับการรักษาศีลเจิรญภาวนาที่เป็นความสุข ที่เป็นปีติที่เกิดขึ้นจากภายใน มันอยู่ยั้งยืนยงกว่าเพราะมันเพาะสร้างขึ้นมาเอง แต่ว่าอันโน้นมันเกิดจากการกระตุ้นภายนอก
    เมื่อขาดสิ่งกระตุ้นนั้นมันก็ขาดไป พวกนี้ก็จะเกิดอาการทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ตรงที่ว่า เอ๊ะ ทำไมไอ้ความสุขที่เคยมีมันหายไปก็ตะเกียกตะกายไปหาอีก ก็ต้องไปกินเหล้าเมายา ไปเต้นรำ ไปเข้าคลับ เข้าบาร์กัน เข้าโรงหนัง ฟังเพลง ไปกรี๊ดกันมันถึงจะมันส์
    ถาม : พวกนักร้องก็เหมือนกันเหรอครับ
    ตอบ : เหมือนกันหมด พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วทำให้คนยึดติด ถ้าไม่เคยทำบุญอื่นมาในลักษณะที่เรียกว่ากำลังใจทรงตัวน่ะนะ โอกาสรอดอเวจีน้อยเต็มที น่าสงสาร
    ถาม : อย่างนี้พวกนักฟุตบลมันก็เกี่ยวเนื่องไหมครับ ?
    ตอบ : มันก็มีสิทธิ์เหมือนกัน
    ถาม : อย่างพวกแมนยู ลิเวอร์พูล อาร์เซนอล
    ตอบ : พวกนี้จริง ๆ มันไม่น่าโทษเขานะไอ้คนระยำดันไปติด
    ถาม : เลยพาเขาซวยไปด้วย
    ตอบ : ต้องดูเจตนาของเขา ถ้าเจตนาของเขาคือว่าวางลีลาจะมีท่าแปลก ๆ อะไรออกมาเพื่อดึงดูดใจคน ไอ้นี่เจตนาชัดเลย โทษ ๑๐๐%ถ้าหากว่าเป็นอาชีพของตัวเองทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดคนอื่นจะเป็นอย่างไรเราไม่เกี่ยว นี่โอกาสรอดยังมีเยอะ คราวนี้แบบแรกมันจะเยอะ เป็นแบบแรกซะเกือบหมด
    ถาม : ตายแน่ เดวิด เบคแฮม (หัวเราะ) โห ทั้งสามีภรรยาเลย
    ตอบ : เอาให้ถึงเวลาก็ไปดูแล้วกัน ถ้าคนไปติดเขาเองน่ะจริง ๆ แล้ว โทษเขาไม่มี แต่ว่าพวกนี้ส่วนใหญ่เจตนาหาจุดเด่นขึ้นมาเพื่อดึงดูดไง มันช่วยได้เยอะชื่อเสียงของตัวเองก็ได้เงินทองก็มากขึ้น
    ถาม : คือว่าถ้าเป็นดาราก็คิดซะว่าเราทำหน้าที่ของเรา
    ตอบ : คือทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดไป แล้วถึงเวลาเรื่องของบุญ ของบาปของอะไรบาปเราก็ละบุญเราก็ทำให้จิตใจมันเกาะบุญมากกว่าบาป โอกาสรอดมันก็มี
    ถาม : เอาใจเป็นที่ตั้งเหรอครับ ?
    ตอบ : ทุกอย่างมันเกิดที่ใจ มโนปุพพังคมาธัมมา – ธรรมทั้งหลายใจเป็นหัวหน้า, มโนเสทฏา – สูงสุดที่ใจ, มโนมยา – สำเร็จที่ใจ ถ้าใจเราบอกว่าไม่มันก็ไม่
    ถาม : ครับแล้วคนที่แต่งตัวให้สวยเพื่อที่จะยั่วยวนก็บาปสิครับ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือว่า ถ้าในส่วนของธรรมะแล้วพร่อง อันนี้มันเกี่ยวกับศีลระดับสูงอย่างเช่นศีล ๘ เรื่องของการประดับตกแต่งร่างกายอะไรตนเองนี่ถ้าเจตนาที่จะไปดึงดูดเพศตรงข้ามมีโทษ แต่ถ้าหากว่าเก้อเขินออกสังคมไม่ได้จึงจำเป็นจะต้องแต่งตัวตามเขาเจตนาอันนั้นไม่มีอันนี้ไม่เป็นไร
    ถาม : แต่ว่าผิดน้อยกว่าดาราใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : อันนี้น้อยกว่าเยอะ ส่วนของธรรมะมันพร่องไป แต่ดารานั่น ถ้าหากเจตนาทำนี่ โทษหนักเลยเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิหมด
    ถาม : ผมนึกถึงพระเอกนางเอกเมืองไทยนี่ก็ล้วน ๆ เลย
    ตอบ : ส่วนใหญ่ใจบุญนะ
    ถาม : แล้วอย่างที่เขาแสดงละครสะท้อนสังคมอย่างเจ้ากรรมนายเวรนี่เขาได้กุศลไหมครับ ?
    ตอบ : ดูเจตนาของเขาว่าตั้งใจจะสอนคนหรือเปล่า ถ้าเจตนาของเขาตั้งใจจะสอนคนให้เป็นคนดีจริง ๆ มันก็ได้ แต่ถ้าหากเขารู้แต่ว่าคนจ้างเขาเล่นแล้วเขาทำหน้าที่อันนั้นไปส่วนนี้มันก็น้อยลง ยังไงเจ้ากรรมนายเวรน่ากลัวไหม (หัวเราะ) จริง ๆ มันน่าจะเห็นอย่างงั้นนะ
     
  15. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ถาม : เห็นเป็นตัวเป็นตนเลยนะครับ ?
    ตอบ : ทุกคนสามารถเห็นได้เพียงแต่ว่าเขาทอดทิ้งการกระทำอันนั้นเสียเพราะว่าขาดความอดทน ถ้าหากว่ามีความอดทนเพียงพอตั้งใจปฏิบัติมันได้ทุกคนแหละ โอกาสที่มันจะเข็นยากเต็มที่น่ะไม่มีหรอก เพราะว่าขนาดเนยยะก็คือประเภทที่ต้องเคี่ยวเข็นกันพระพุทธเจ้าท่านยังบอกว่าโอกาสที่จะเข้าถึงไตรสรณคมน์ของเขาก็มี พอเข้าถึงไตรสรณคมน์นี่สวรรค์เปิดโล่งอยู่แล้วล่ะไปได้สบาย ๆ
    ปทปรมะนี่ไม่ใช่โง่นะ ฉลาดเกินไป ปทปรมะนี่ภาษาบาลีเขาแปลว่ามากด้วยบทบาท พวกนี้ฉลาดเกินไปชอบเถียงครู มันเก่ง ปทปรมะที่บอกว่าสอนไม่ได้นี่ไม่ใช่ว่าเขาโง่ หากแต่มันไม่ฟังใคร ยึดความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ ตะแบงข้างหรือไม่ก็ที่เขาเรียกว่าคนขวางโลกอะไรพวกนั้น มันเลยเป้า เราต้องการแค่หัวมัน เอื้อมมือเลยหัวทุกที
    ถาม : อย่างนี้พระโพธิสัตว์บารมีเข้มจะเป็นปทปรมะไหมครับ ?
    ตอบ : ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ ตัวอย่างโตไทยพราหมณ์ ก็ยังอยู่อเวจีอยู่นี่ อันนั้นเจตนาขวางพระพุทธเจ้าเลยเพราะว่ากลัวว่าพระพุทธเจ้ามาจะเอาบริวารตัวเองไปหมด พระโพธิสัตว์เขาต้องมีบริวาร โตไทยพราหมณ์ จริง ๆ ก็คือคนไทย โต-ไทย–ยะ-พราหมณ์ =พราหมณ์คนไทยชื่อนายโต สมัยก่อนเขาไม่มีนามสกุล เขาก็เลยต้องมีฉายาต่อท้าย สมัยก่อนเขาใช้ฉายากันใช่ไหม ภัททิยะศากยราชา ก็จะได้รู้ว่า ภัททิยะที่เป็นราชาของเหล่าศากยะเขา เพราะ่ว่าชื่อภัททิยะเขามีเยอะ อลกุณฑกะภัททิยะ ภัททิยะที่เป็นคนเนี้ย,คนค่อมน่ะ เขาบอกเอาไว้ชัด ๆ ไม่งั้นชื่อซ้ำกันจะแยกไม่ออกว่าเป็นคนไหน
    คราวนี้พระพุทธเจ้าเข้าไปประกาศศาสนาในเขตนั้นโตไทยพราหมณ์เขากลัวว่าจะเอาลูกศิษย์เขาไปหมด เลยไปยืนลำเลิกเบิกประจานด่าพระพุทธเจ้าไล่ให้ออกไปจากเขต ตายตอนนั้นยังไม่ลงนรกนะ กลายเป็นหมา เกิดเป็นลูกหมาก่อน เกิดเป็นลูกหมาอยู่ในบ้านตัวเอง พระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตมาเห่าอีก พอมาเห่าไล่พระพุทธเจ้าก็บอกว่า โตไทยพราหมณ์สมัยเธอเป็นคนอยู่ก็ขวางทางตถาคตแล้ว เกิดเป็นหมาแล้วยังจะทำอย่างนี้อีกหรือ โตไทยพราหมณ์ก็ตกใจ เอ๊ะ สมณโคดมรู้ด้วยว่าเราเป็นใคร ก็เลยเสียใจไปนอนซุกกองขี้เถ้าไม่ยอมกินอะไร บรรดาคนใช้เขาได้ยินเขาก็ไปฟ้องเจ้านาย ไปฟ้องสุภมานพ ที่เป็นลูกของโตไทยพราหมณ์ บอกว่าสมณโคดมประจานตระกูลนี้ว่าโตไทยพราหมณ์ที่จะต้องเกิดเป็นพรหมแน่ตามความเชื่อของเขาน่ะ เกิดเป็นเดรัจฉาน สุภมานพก็เลือดขึ้นหน้ากะว่าจะบุกไปโซ้ยพระพุทธเจ้าถึงเชตวันเลย พาบริวารพาอะไรไปพอไปถึงก็ว่า ถ้าหากว่าพระสมณโคดมพิสูจน์ไม่ได้ว่าลูกสุนัขตัวนี้เป็นบิดาของเรา เราก็จะประจานสมณโคดมต่อหน้ามหาชน เขาตั้งความคิดไว้อย่างนั้นเลย
    พอไปถึงพระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า ท่่านกล่าวอย่างนั้นจริง ๆ เอาอย่างนี้สิ ให้เอาลูกสุนัขนั้นมาอาบน้ำทำความสะอาดให้ดีหาอาหารให้กิน พอเขากินอิ่มแล้วกระซิบตรงข้างหูว่า สมบัติอะไรที่พ่อยังไม่ได้บอกแก่ลูกขอให้ช่วยบอกด้วย สุภมานพก็เอา ไอ้เรื่องแค่นี้มันพอทำได้ก็ทำดู ถ้าไม่ได้อย่างนั้นจริง ๆ แล้วค่อยกลับมาด่าใหม่ ก็ไป พอทำอย่างนั้นปุ๊บโตไทยพราหมณ์ได้ยินลูกพูดอย่างนั้นก็ความลับแตกแล้วน่ะ ก็เลยพาไป ตะกุยดินตรงไหนสุภมานพก็ขุดตรงนั้นได้มาลัยทองราคาตั้งแสนกหาปณะ ได้ถาดทองราคาตั้งแสนกหาปณะ อะไรขึ้นมาบานเบิกเลย
    สุภมานพก็ อ๋อ พระพุทธเจ้าท่านตรัสจริง ก็เลยเลื่อมใสนับถือพระพุทธเจ้าปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ แต่โตไทยพราหมณ์เขาใช้คำว่าอกแตกตาย ก็คงหัวใจสลายน่ะนะ คนอื่นรู้ความลับตัวเองหมดทั้ง ๆ ที่คิดว่าพราหมณ์เป็นตระกูลที่สูงมากอย่างไร ก็ต้องเกิดเป็นพรหมมันกลับไปเกิดเป็นลูกหมาซะได้ ตายในขณะที่จิตเศร้าหมองคราวนี้ลงอเวจีไปเลย
    ถาม : หลวงพ่อเคยบอกไว้ไม่ใช่หรือครับว่าหมานี่ไม่มีทางไปต่ำ ?
    ตอบ : ท่านบอกว่าส่วนน้อยที่จะไปอย่างนั้น โอกาสที่จะพลาดมันมีแต่มันน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วก็ไปแค่หมา แต่ไอ้ส่วนน้อยมันมีอยู่อาจจะเปอร์เซ็นต์เดียว แล้วไอ้เปอร์เซ็นต์เดียวมันดันลงไปให้เห็นชัด ๆ ซะด้วย
    ถาม : พระพุทธเจ้าท่านเคยพยากรณ์ไว้หรือเปล่าครับว่าโตไทยพราหมณ์เป็นพระโพธิสัตว์ชั้นไหน
    ตอบ : นิยตะโพธิสัตว์แน่นอนด้วยว่าจะตรัสรู้ในภัทรกัปนี้
    ถาม : ทำไมเรียกภัทรกัปล่ะครับ ?
    ตอบ : ภัทรกัปแปลว่ากัปที่มีความเจริญมาก
    ถาม : ไม่ใช่ ๕ องค์ ใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : กัปที่มีพระพุทธเจ้าจะประกอบไปด้วยสารกัป มีพระพุทธเจ้า ๑ องค์ มัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ วรกัป มีพระพุทธเจ้า ๓ องค์ สารมัณฑกัปมีพระพุทธเจ้า ๔ องค์ และภัทรกัป มีพระพุทธเจ้า ๕ องค์ คราวนี้มันจะมีพวกสุญกัป อันตรายกัป ที่ว่างจากพระพุทธเจ้ามีแต่สิ่งชั่วร้ายอะไรต่าง ๆ เยอะแยะไปหมดนาน ๆ ถึงจะมีกัปที่มีพระพุทธเจ้าขึ้นมาทีหนึ่ง แต่ปรากฏว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ฟลุคที่สุดเป็นภัทรกัป ๒ กัปติดกันมีพระพุทธเจ้าได้ ๑๐ องค์ ใครเกิดช่วงนี้เฮงที่สุดแล้วก็ซวยที่สุด เฮงที่สุดก็คือทำความดีไม่ต้องมากหรอกขึ้นไปได้แค่สวรรค์น่ะ พระศรีอาริยเมตไตรย์ขึ้นไปตรัสโดยเฉพาะพวกเรายึดในทานศีลภาวนาอยู่รับรองว่า ตอนนั้นสวรรค์ร้าง ท่านคงกวาดไปหมด แต่ถ้าพลาดลงนรกนี่เอาแค่ขุมตื้น ๆ เท่านั้นนะ ผ่านไป ๑๐ องค์นี่ยังไม่ทันได้โผล่หรอก เพราะฉะนั้นเฮงที่สุดแล้วก็ซวยที่สุดในเวลาเดียวกัน
    ถาม : อย่างนี้มาเกิดในพุทธศาสนานี่ก็วัดดวงที่สุดเลยสิครับ ?
    ตอบ : ก็โดยเฉพาะโตไทยพราหมณ์กับสุภมานพตรัสรู้ติดกันสุภมานพตรัสรู้ก่อน สุภมานพจะเป็นสมเด็จพระพุทธเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า โตไทยพราหมณ์จะเป็นสมเด็จพระพุทธนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อไปทีหลังลูก ลูกได้ก่อน คำพยากรณ์เขาพยากรณ์แน่นอนอยู่แล้ว อาจจะป็นไปได้ด้วยว่าช่วงนี้ท่านลงกว่าจะขึ้นมาก็เลยไปทีหลังลูกก็ได้
    ถาม : อย่างนี้ก็ครบ ๑๐ องค์แล้วนี่ครับ พระศรีอาริยเมตไตรย์ หลวงปู่ปาน ?
    ตอบ : เกิน เขาบอกเอาไว้เกิน แสดงว่าจะต้องมีผู้ที่ลาพุทธภูมิในช่วงนี้อีก พระที่รู้แน่ ๆ ก็คือพระยามาราธิราชลาใช่ไหม ในอนาคตวงศ์เขาเริ่มพระศรีอาริยเมตไตรย์องค์ที่ ๑ ช้างปาลิไลยกะองค์ที่ ๑๐ แต่ว่าเราต้องการแค่ ๖ เพราะฉะนั้นต้องลาอย่างน้อย ๔ องค์ พระยามาราธิราชลาไปแล้วก็เหลืออีก ๓ องค์ ก็ดูว่าใครจะสละสิทธิ์
    เมตเตยยพราหมณ์จะเกิดเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย์ พระรามจะเป็นสมเด็จพระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศลจะเป็นสมเด็จพระพุทธธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ถาม : องค์นั้นไปแล้วนี่ครับ ?
    ตอบ : อันนั้นน่ะมหาปเสนทิโกศลนะ เป็นหลวงปู่ปาน เป็นองค์พ่อกษัตริย์ผู้ครองแคว้นโกศลเขาเรียก ปเสนทิโกศลทุกองค์แหละ ก็พระยามาราธิราชถ้าไม่ลาซะก่อนจะเกิดเป็นสมเด็จพระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า อสุรินทราหูถ้าหากว่าไม่ลาก็จะเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ถาม : ใครนะครับองค์นี้ ?
    ตอบ : ราหู ไม่ใช่ราหูอมจันทร์นะ ท่านเคยบอกไว้ว่าท่านไม่ไปอมขี้ดินหรอก คนมันลือกันไปเอง (หัวเราะ) ก็พระพุทธรูปจะมีอยู่ปางหนึ่งปางไสยยาสน์น่ะ ไสยยาสน์พระบาทเสมอเป็นปรินิพพาน ถ้าหากว่าไสยยาสน์พระบาทซ้อนเหลื่อมก็จะเตรียมตัวลุก แต่มีปางไสยยาสน์อยู่อันหนึ่ง เขาเรียกว่าไสยยาสน์ลืมเนตร ไม่ได้หลับตา อันนั้นเขาเรียกว่าปางโปรดอสุรินทราหู ไปโปรดพระราหูเพราะพระราหูนี่ท่านคิดว่าตัวท่านใหญ่มาก ตามในบาลีเขาบอกว่ารอยต่อระหว่างคิ้วนี่โยชน์หนึ่ง ๑๖ กิโลเนี่ย ของเรามันได้ ๒ นิ้วมือหรือเปล่าก็ไม่รู้ คราวนี้ตัวท่านใหญ่ขนาดนั้นก็เลยว่าจะไปกราบพระพุทธเจ้าแต่กลัวว่าจะเป็นการไม่เคารพ เพราะว่าตัวใหญ่ต้องก้มลงดูพระพุทธเจ้า อยากจะไปแต่ไม่ได้ไปกลัวจะเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเลยเสด็จไปโปรด ปรากฏว่าพระพุทธเจ้านอนตัวใหญ่กว่าราหู (หัวเราะ) ปางนั้นแหละเขาเรียกว่าไสยยาสน์ลืมเนตร-ปางโปรดอสุรินทราหู
    ถาม : แล้วอย่างนี้คนสร้างเขารู้ประวัติความเป็นมาหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วบรรดาที่เขาเขียน ๆ ขึ้นมาก็มักจะป็นผู้ที่ได้อภิญญาได้อะไร แต่ว่าต่อมาหลัง ๆ มันมีเฝือเยอะ ถ้าอธิบายพระไตรปิฎกลงมาเป็นอรรถกถานี่โอเคล่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณไม่ใช่ส่วนใหญ่ล่ะทุกองค์ แต่อรรถกถามาฎีกา ฎีกามาเป็นอนุฎีกา อนุฎีกามาเป็นเกจิอาจารย์นี่ไม่ไหวแล้ว ชักจะเลอะ ก็เลยกลายเป็นว่าเพิ่มอะไรขึ้นมาเยอะเกินไป มันเฝือ ทีนี้ถัดจากอสุรินทราหูก็เป็นโสณพราหมณ์ จะเป็นสมเด็จพระพุทธรังสีมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นสุภมานพเป็นสมเด็จพระพุทธเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า โตไทยพราหมณ์เป็นสมเด็จพระนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ช้างนาฬาคิรี ที่เทวทัตปล่อยไปจะเหยียบพระพุทธเจ้าน่ะ จะเป็นสมเด็จพระพุทธติสสสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วช้างปาลิโลยกะ ที่อุปฐากพระพุทธเจ้าตอนที่อยู่ป่าเลไลย์น่ะ ตอนหนีภิกษุโกสัมพีที่ทะเลาะกัน นั่นจะเป็นองค์สุดท้าย จะเป็นสมเด็จพระพุทธสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า
    อันนี้ก็เกินโควต้า เพราะต้องการ ๖ มาตั้ง ๑๐ จะต้องมีอย่างน้อย ๆ อีก ๔ องค์ที่จะลา เรารู้แน่ ๆ คือท้าวมาลัย ท้าวมาราธิราช ลาแล้ว ที่เหลือท่านไม่ได้พยากรณ์มิบังอาจบอก ลาก็คือลา ไปแทรกคิวเขาไม่ได้เดี๋ยวโดนดีเขี้ยวมันยาวจัด (หัวเราะ)
    ถาม : อย่างนี้คิวก็มีไปเป็น
    ตอบ : โหไม่ต้องนับเลยล่ะ แค่ที่บารมีเต็มอยู่นี่เข้าคิวกันยาวกี่กิโลก็ไม่รู้ ต้องชมบรรดาพระโพธิสัตว์ว่ากำลังใจท่านทรงตัวจริง ๆ กำลังใจท่านทรงตัวมาก อย่างพลตรีศรีพันธ์ วิชชุพันธุ์ น่ะ หลวงพ่อท่านถาม “ไอ้แดง ของเอ็งน่ะอีก ๘๑ กัปนะ สู้ไหม” “สู้ครับ” ๘๑ กัปนะ ไม่ใช่ ๘๑ องค์ แต่ละกัปอาจจะเกิดหลายองค์ก็ได้ สู้ครับ มันไม่ถอยน่ะ กำลังใจของพระโพธิสัตว์ส่วนใหญ่แล้วเข้มแข็งมาก เรื่องลำบากไม่กลัว
    ถาม : ถ้าเราเป็นนี่เราจะรู้ไหมครับว่าอีกนานไหม ?
    ตอบ : ถ้าทำถึงเดี๋ยวมันรู้เองแหละ หรือไม่ก็รอได้รับการพยากรณ์ พยากรณ์ว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แบบเดียวกับพระพุทธเจ้านามว่า ปทุมมุตรพยากรณ์...ญาติพระเจ้าพิมพิสาร “อีก ๙๑ กัปญาติของเธอจะเกิดเป็นพระราชานามว่าพิมพิสาร ถึงเวลานั้นแล้วเธอจะได้ส่วนบุญ” ดีใจแทบตาย ๙๑ กัป
    ถาม : แล้วหลวงพ่อท่านพยากรณ์ว่าอีก ๘๑ กัปได้ด้วยเหรอครับ ?
    ตอบ : พระท่านบอกจ้ะ ท่านก็ว่าต่อ ท่านเองท่านไม่เสียเวลามาพยากรณ์หรอก สำหรับหลวงพ่อเองท่านบอกว่าถ้าไม่ลาซะก่อนอีก ถัดจากพระศรีอาริยเมตไตรย์ไปอีก ๒๒ องค์ รอกันอ่วมเลยท่านบอกรอไม่ไหว ไปดีกว่า พวกที่หมดเรื่องแล้วรอได้ ไอ้ที่มีเรื่องต้องลงเรื่อย
     
  16. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,506
    วันนี้ไม่ได้ไปถวายสังฆทานที่ไหนครับคุณเอก..วันนี้ติดภารกิจมากมาย แต่พยายามเข้ามาอ่านเว๊ปพลังจิตบ้างนิดหน่อยก็ต้องรีบทำงานต่อครับ...
     
  17. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    โยมถามหลวงพ่อเล็กถึงเรื่อที่ หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยพญากรณ์ เรื่องคนจะไปนิพพาน



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: ในหนังสือหลวงพ่อฤๅษีกล่าวว่า "คณะที่ไปนิพพานประมาณหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคน" ณ วันนี้เหลือกี่คนคะ ?
    ตอบ : เหลือกี่คน ? โฮ้โฮ...! เหลือเป็นแสนเลย หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นห้าพันสามร้อยคน หมายถึงว่าไปนิพพานชาตินี้ ส่วนที่เหลืออีกระมาณเจ็ดแสนจะไปตอนพระศรีอาริยเมตตรัยขึ้นไปโปรดพุทธมารดา รวม ๆ แล้ว แปดแสนกว่าเกือบเก้าแสน ไม่มีของเราบ้างก็ให้รู้ไปสิวะ...!
    ถาม : ถ้าเรามั่นใจในทานศีลมาก แต่ภาวนามีเล็กน้อย ถ้าตายอยากไปพระนิพพานอย่างนี้ ต้องทรงอารมณ์พระโสดาบันหรือเปล่าเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไปได้จ้ะ เรื่องของการภาวนาจะใช้คำว่าเล็กน้อยไม่ได้ เพราะว่าการภาวนา ส่วนใหญ่คือการใช้ปัญญา ภาวนา แปลว่า "ทำให้เจริญ" แต่ส่วนใหญ่เราจะเน้นตรงสมาธิ การที่จะทำให้เจริญจริง ๆ ก็คือ การที่เรารู้จักใช้ปัญญา อย่าลืมว่าพระโสดาบันจริง ๆ น่ะ เขาไม่ได้เป็นพระโสดาบันกันไปตลอดนะ ส่วนใหญ่ก่อนตายเห็นสภาพของร่างกายไม่ไหวจริง ๆ ก็เป็นอรหันต์กันไปเยอะต่อเยอะแล้ว
    คราวนี้ของเราเองเรามีทานศีลเป็นปกติ ตัวภาวนาของให้เกาะนิพพานเป็นปกติ เราตั้งใจว่า "ทุกอย่างที่เราทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าหากว่าตายเมื่อไร เราปรารถนาที่เดียว คือพระนิพพาน" ไม่ต้องมากเลย แค่นี้แหละ
    คราวนี้ก่อนตายนี่สำคัญ...! สำคัญตรงก่อนตาย ก่อนตายถ้าหากว่าเราเป็นพระโสดาบันอยู่ไหม ช่วงนั้นจะไปรักใครก็ไม่ไหวแล้ว คนจะตายอยู่ จะไปโกรธใครก็ไม่ไหว แรงจะโกรธก็ไม่มี จะไปหลงใครก็คงจะไม่ไหว ถ้าอบรมมาดีต้องเห็นว่าร่างกายเป็นโทษ ก็แค่เพิ่มความคิดไปนิดเดียวแค่นั้น ว่าถ้าอย่างนั้นเราไปพระนิพพานดีกว่า เป็นอันว่าจบเลย เพราะฉะนั้น...ส่วนใหญ่แล้ว พระโสดาบัน ท่านจะไม่รอหรอก ถึงเวลากระโดดข้ามขั้นเลยมากกว่า
    ถาม : ..............................
    ตอบ : อันนั้นคือว่า คนที่เขาฉลาดและปัญญาถึง แต่ว่ามีอีกจำนวนหนึ่งทีไปเพลินติดอยู่กับความสุขตรงจุดนั้น การเป็นพระโสดาบันนี่ อธิบายไม่ได้ว่าท่านมีความสุขแค่ไหน ? ในอรรถกถาท่านเปรียบเทียบเอาไว้ว่า "พระเจ้าจักรพรรดิที่ปราบได้ในทวีปทั้ง ๔ รู้ว่าตนเป็นผู้ที่เลิศที่สุด ไม่มีใครเป็นศัตรู มีความสุขขนาดไหน ? ไม่ได้เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของพระโสดาบัน" เพราะว่าพระเจ้าจักรพรรดิยังมีสิทธิ์ลงนรกได้ แต่ว่าพระโสดาบันไม่มีสิทธิ์แล้ว อบายภูมิทั้ง ๔ ปิดสนิท คนที่มั่นใจว่าตัวเองรอดพ้นอบายภูมิแน่แล้ว จะมีความสุขขนาดไหน ? ถ้าเป็นเรานี่กระโดดโลดเต้นยังน้อยไป เพียงแต่ว่าอารมณ์ใจของท่านเป็นอารมณ์ใจพระอริยเจ้า การแสดงออกเลยเป็นไปตามสมควร แต่ว่าความสุขในใจของท่านน่ะ มากมายมหาศาลเหลือเกิน คราวนี้จะมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ท่านไปเพลินอยู่กับความสุขอยู่ตรงจุดนั้น เลยก้าวหน้าไมได้
    มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลวงพ่อท่านกราบเรียนถามพระท่าน พระท่านบอกว่า "พระอริยเจ้าที่เป็นพระอรหันต์มี ๗ องค์ เป็นสกิทาคามีเท่าไร เป็นอนาคามีเท่าไร แต่ว่าที่เป็นพระโสดาบันยังมีอยู่เท่าเดิม" และที่ไม่ขยับเขยื้อนเพราะว่ายังสุขอยู่แค่นั้น ติดสุขอยู่ กำลังใจสุขสบายเพลินอยู่อย่างนั้น เพราะท่านบอกว่า "พระโสดาบันมีปัญญาเล็กน้อย" ใช่ไหม อันนี้เล็กน้อยของท่าน ไม่ใช่เล็กน้อยของเรา ของเราถ้าหาว่าก้าวถึงตรงจุดนั้นแล้ว ความสุขที่เกิดขึ้น บางครั้งกลายเป็นสิ่งที่เราเพลินเพลินกับมันได้ คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับ อธิบายไม่ถูกหรอกว่าสุขแค่ไหน ไฟที่ว่าก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง
    ถาม : ความรู้สึกที่สบาย แต่ต้องทุกข์กับการดำเนินชีวิต ทำให้เราสามารถถอยอารมณ์ลงมาจากพระโสดาบันไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ได้ พระโสดาบันมีแต่ก้าวขึ้น ไม่มีถอยลง ถ้าหากว่าถอยลงเป็นแค่ฌานโลกีย์เท่านั้น ฌานโลกีย์ถ้าหากว่าได้ฌานสี่ คนหลงว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์มาเยอะแล้ว เพราะว่ากดรัก โลภ โกรธ หลง เงียบสนิทเลย แต่เงียบนี่เงียบเฉย ๆ ไม่ได้หมายความว่ามันตาย เผลอเมื่อไรมันก็โผล่ใหม่
    คราวนี้อารมณ์ของพระโสดาบันท่านรู้สุขรู้ทุกข์เหมือนกับเรา เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้ติดในสุข และก็ไม่ได้กังวลในทุกข์มากมายเหมือนอย่างกับพวกเรานะ สุขทุกข์จริง ๆ สำหรับพระอริยเจ้า ท่านมีไว้รับรู้ รับรู้แล้ววาง เพราะว่าสุขท่านก็ไม่เกาะ ทุกข์ท่านก็ไม่เกาะ จะสุขจะทุกข์ถือว่าเป็นนธรรมดา การเกิดมามีร่างกายนี้ต้องเจอกับความสุขความทุกข์เช่นนี้เสมอ ท่านจะมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดว่าเราจะต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรเราจะไปนิพพาน อันนี้สำหรับกล่าวถึงพระโสดาบันนะ ถ้าหากว่าสูงไปกว่านั้น ความรู้ของท่านก็จะสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    ถาม : บางท่านกล่าวว่า "หลวงพ่อหลาย ๆ องค์มาสอนในสมาธิ" แต่ลูกนี่ไม่เคยได้รับการสอนเลย แสดงว่าลูกบุญน้อยไปหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่ เพราะว่าการปฏิบัติไม่ได้หมายความว่าจะต้องเหมอืนกัน วิสัยของแต่ละคนมอียู่ ๔ ประเภท
    ๑. สุขวิปัสสโก ปฏิบัติง่าย ๆ บรรลุง่าย ๆ ไม่ต้องมีอะไรโลดโผน
    ๒. เตวิชโช จะต้องมีอะไรทีเป็นเครื่องยืนยันให้รู้ได้นิดหน่อยถึงจะพอใจ
    ๓. ฉฬภิญโญ ประเภทชน ประเภทล้น ไม่ค่อยพอใจอะไรง่าย ๆ
    ๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต อันนี้รู้ไม่ครบไม่ยอมเลิก
    เลยกลายเป็นว่า วิสัยของเรามาอย่างไร ถ้าหากว่าไม่เหมือนเขาไม่จำเป็นจะต้องมีอย่างเขา แต่ว่านักปฏิบัติจริง ๆ ถ้าหากว่ามีครูบาอาจารย์ที่ไม่มีตัวตนมาสอนในสมาธิ โอกาสก้าวหน้าจะเร็วมาก แต่ว่าจะต้องมีปัญญาเพียงพอ เพราะว่าบางอย่างเป็นการทดสอบกันลองใจกัน ลองกันชนิดเอาตายเลย อยู่ ๆ ประเภทเทวดาหรือพรหม เราเห็นชัด ๆ ว่าเป็นพระอริยเจ้าแน่นอน ขาวสว่างสดใสเดินมาถึงก็กราบกันก้นโด่งเลย กราบเสร็จบ่นให้ได้ยินอีก แหม...ชื่นใจเหลือเกิน ได้มากราบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เชื่อมันสิ...! เราได้ตายประไร เชื่อไม่ได้...! เพราะของพวกนี้เป็นการลองกัน เคยฟังปฏิปทาทานผู้เฒ่าไหมล่ะ ? เออ...! ที่มีเทวดามาทดสอบหลวงพ่อน่ะ มาถึงก็โยนดาบให้เล่มหนึ่ง ตัวเองถือไว้เล่มหนึ่ง บอกว่า "แน่จริงลุกมาฟันกัน" หลวงพ่อบอกว่า "ไม่เอาหรอก อยากจะฆ่า อยากจะฟันอย่างก็เชิญเถอะ ไม่สู้ใครแล้วล่ะ" แกก็วางดาบลง กราบ ๆ เออ...! อยู่ ๆ เรามาเจอพระอรหันต์เข้าซะแล้ว เชื่อมันก็บ้าสิ หลวงพ่อท่านบอกว่า "ยังไม่ได้เป็นเป็นพระโสดาบันเลย" นั่นแหละ...เขาลองกันขนาดนั้น เพราะฉะนั้น...ถ้าหาว่ามีครูบาอาจารย์ที่ประเภทอย่างนั้นมาสอน สติสัมปชัญญะและปัญญาเราต้องดีมาก ถ้าดีไม่พอ อาจจะโดนทดสอบเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องไปอยาก ถ้าทำถึงได้เอง
    ถาม : บางท่านกล่าวว่า "หลวงพ่อฤๅษีมาบอกว่าให้ทำอย่างโน้น ให้ทำอย่างนั้น" ในการอ้างชื่อหลวงพ่อ อย่างนี้ เราจำเป็นต้องทำตามเขาไหมคะ ?
    ตอบ : พิจารณาดูก่อน ถ้าหากว่าตรงกับสิ่งที่หลวงพ่อท่านเคยสอนทำตามได้ แต่ถ้าหากว่าไม่ตรง ไม่จำเป็นต้องทำตาม เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น อาจจะเป็นอุปาทานของเขาก็ได้ แล้วขณะเดียวกัน อาจจะเป็นการทดสอบเราก็ได้ กระทั่งพระพุทธเจ้ายังบอกเลยว่า "อย่าเชื่อแม้สมณะนี้เป็นครูของเรา" คราวนี้ไม่ใช่สมณะด้วย เพื่อนเราเองยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
    ถาม : การที่เขากล่าวอ้างหลวงพ่อฤๅษีนี่ เขาบาปไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นจริง ไม่มีอะไรบาปกรรมนี่ เป็นสิ่งที่ดีเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าเจตนาสงเคราะห์ แต่ถ้าหากว่าการกล่าวอ้างเป็นไปโดยที่หลงผิดหรือว่าเจตนากล่างอ้างเพื่อจะสร้างผลประโยชน์ หรือชื่อเสียงให้กับตัวเองอันนี้ผิดแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
    ถาม : ในกรณีที่เราฝากเพื่อนไปทำบุญ แล้วเราให้ญาติพี่น้องเราโมทนาในผลบุญทั้งหมด แต่บังเอิญเพื่อนยังไม่ได้ทำบุญให้เรา ?
    ตอบ : เราได้ตั้งแต่คิดจะทำแล้วจ้ะ ไม่ต้องถึงขนาดทำหรอก แค่คิดก็ได้แล้ว
    ถาม : ตัวเพื่อนที่เรารออีกสักสองสามเดือนเขาถึงทำ ?
    ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ แต่ว่ามีอยู่อย่างหนี่ง อย่าเผลอตายเสียก่อนแล้วกัน ตายเมื่อไร เดี๋ยวรับเละอยู่คนเดียว แต่ตัวเราอาจจะได้อะไรช้าหน่อย แต่แหม...ช้าหน่อยนี่ลำบากนาน พลาดรถไปเที่ยวหนึ่งโอกาสแก้ตัวเหลือน้อยลงเลย
    ถาม : ..................................
    ตอบ : ในชีวิตนะ ถ้าหากว่าหาพระไว้บูชานะ ภาคเหนือเอาครูบาศรีวิชัย ภาคอีสานเอาหลวงปู่มั่น ภาคใต้เอาหลวงปู่ทวด ภาคกลางเอาหลวงพ่อโต วัดระฆัง ได้ครบพอแล้ว
    ถาม : ........................
    ตอบ : คือว่าเรื่องของหลวงพ่อน่ะ คนเขากล่าวอ้างกันเยอะ พวกบอกว่าเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกันก็ไม่น้อย แต่ขอให้ทราบว่า ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า เป็นพี่น้องข้างแม่ของหลวงพ่อเก้าคน ที่ดินแทบจะไม่มีของคนอื่นเลย แล้วมันไปอ้างเป็นญาติบ้านใกล้เรือนเคียงอีท่าไหนล่ะ ทั้งตำบลที่ดินแทบจะเป็นของเขาหมด (หัวเราะ) ไม่ทราบว่าที่ดินเขาแบ่งสันปันส่วนให้ลูกให้หลานอย่างไรนะ แต่ว่าหลวงพ่อท่านเคยได้มาส่วนหนึ่ง แล้วท่านไม่ได้ใช้อะไร ก็มีญาติมาขอหลวงพ่อในลักษณะที่ว่า ในเมื่อหลวงพ่อไม่ได้ใช้ เขาขอไปลงทุน ถือว่าหลวงพ่อเป็นหุ้น ถ้าหากว่าได้ปันผลมาอย่างไรจะแบ่งให้ แล้วเขาก็แบ่งมาให้ตลอด ตรงไปตรงมาดี ถึงเวลาก็ส่งบัญชี จนกระทั่งหลวงพ่อใกล้มรณภาพสัก ๒ ปี ท่านบอกเฮ้ย...! เงินส่วนตัวข้าเยอะเกินไปแล้วว่ะ ถามว่า "มันเหลือเยอะหรือครับ ?" ไอ้เหลือน่ะ ไม่เหลือหรอก เพราะว่าลงไปในเงินสงฆ์หมดแล้ว ท่านแบบัญชีมาให้ดู โอ้โฮ...! เป็นร้อยล้านเลย ทั้งที่โยมถวายด้วยและทั้งที่เขาไปลงทุนแล้วเขาเอามาถวายท่านด้วย ท่านบอกว่า "คนอื่นเป็นหนี้สงฆ์ สำหรับข้าแล้ว สงฆ์เป็นหนี้ข้า" (หัวเราะ) เพราะท่านเอาเงินส่วนตัวท่านทำหมด
    แต่ว่าเจออยู่ครั้งหนึ่ง มีโยมสองคนมาจากภาคใต้ บอกว่า "เป็นญาติหลวงพ่อ" แล้วเขาก็โชว์บัตรประชาชนให้ดูนามสกุล "สังข์สุวรรณ" เหมือนกัน เราก็เออ... น่าจะญาติจริง ๆ ก็โทรไปกราบเรียนหลวงพ่อ "หลวงพ่อครับ เขาขออนุญาตมาพบหลวงพ่อก่อนเวลา" หลวงพ่อบอกว่า "ให้รอตอนรับแขก" เราก็บอกให้รอ แกรอไม่ได้ แกไปถึงประมาณสิบโมง สองคนนั่งรออยู่ประมาณครี่งชั่วโมงแล้วก็ไป พอหลวงพ่อออกมาฉันเพล ก็เข้าไปกราบเรียนท่าน บอกว่า "เขาบอกว่าเป็นญาติหลวงพ่อครับนามสกุลเดียวกันด้วย ผมดูบัตรประชาชนแล้ว" หลวงพ่อบอกว่า "ไอ้ญาติพวกนี้นะ ข้าก็ไม่รู้ว่าญาติข้างไหน ? ตอนข้าไม่มีชื่อเสียง ตกระกำลำบาก มันไม่เคยมาหรอก แต่พอข้ามีชื่อเสียงเมื่อไร ? มันมา ๆ มันไม่ได้หวังอะไรหรอก มันหวังจะมาพึ่งข้า"
    ถาม : ...........................
    ตอบ : เรื่องพระหลวงปู่ปาน ท่านสร้างไว้แปดร้อยแปดสิบปีบ บรรจุในเจดีย์สี่ร้อยสี่สิบปีบ แล้วเอาไว้แจกโยมสี่ร้อยสี่สิบปีบ แล้วท่านกันไว้ต่างหากสี่พันองค์ สั่งหลวงพ่อไว้ก่อนมรณภาพว่า "ถ้าข้าตาย ข้าจะมีหนี้อยู่สี่พันบาท แกเอาพระนี่ให้โยมเขาเช่าองค์ละบาท จะได้เงินมาใช้หนี้พอดี" ที่ท่านแจก แจกหมดไม่เหลือจริง ๆ สี่ร้อยสี่สิบปีบนั่นแหละ ใครบอกว่า มีเยอะแยะไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ แล้วสี่พันองค์นี่ พอถึงเวลาสิ้นหลวงปู่แล้ว ทายกเขาแบบัญชีออกมา มีหนี้อยู่สี่พันจริง ๆ หลวงพ่อเลยบอกว่า "หลวงพ่อปานสั่งเอาไว้ว่า พระนี่ให้จำหน่ายองค์ละบาท แต่ฉันขอได้ไหม ?" ทายกถามว่า "จะขออย่างไร ?" ฉันขอว่า "ถ้าหากว่าโยมเขาอยากได้ ให้เขาทำบุญตามอัธยาศัยแล้วกัน อย่าไปกำหนดราคาเลย ถ้าไม่พอฉันจะเทศน์ใช้หนี้ให้" เพราะตอนนั้นบาทหนึ่งเยอะนะ ทายกก็บอกว่า "ถ้าหากว่าท่านรับก็ตกลง" ตกลงหลวงพ่อรับว่า "สี่พันนี้หลวงพ่อจะใช้หนี้เอง" แล้วเอาพระนั้นให้เขาทำบุญ ประกาศว่า "แล้วแต่จะทำบุญ เพราะจะเอาเงินไปใช้หนี้ให้หลวงพ่อ" ปรากฎว่าได้มาหลายหมื่น ท่านบอกว่า "มีคนทำบุญ ๕ บาทอยู่รายหนี่ง แล้วก็ ๓ บาทอยู่สองราย นอกนั้นให้เกินทั้งนั้น" ไม่อย่างนั้นก็ได้แค่สี่พัน เพราะฉะนั้น...ที่บอกว่าหลวงพ่อหิ้วพระไปกี่ปี๊บน่ะ ไม่มีเหลือหรอก ขนาดที่หลวงปู่ปานท่านกันเอาไว้สี่พันองค์ ท่านยังปล่อยซะหมด คราวนี้อยากได้จริง ๆ เหลืออยู่อย่างเดียว คือรอเจดีย์พัง เจดีย์ที่อยู่เยื้อง ๆ หลังโบสถ์
    ถาม : มีเท่าไรครับ ?
    ตอบ : สี่ร้อยสี่สิบปี๊บ เท่ากับที่ออกในท้องตลาดปัจจุบันนี้ ถ้าออกมานี่ ท้องตลาดคงหมดราคาไปครี่งหนึ่งเลย (หัวเราะ) เคยไปดูแล้วอเนจอนาถใจมาก ปี ๒๕๒๗ ทางพระครูอุไร ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ หลวงพ่อเคยเป็นอาจารย์คู่สวดให้ท่าน ท่านนิมนต์หลวงพ่อไป หลวงพ่อท่านก็ไป ไปเสร็จมีคนมาทำบุญกันมาก เราเดินดูทั่ว ๆ วัด ขยะเยอะเหลือเกิน ช่วงนั้นเป็นงานประจำปีพอดี ที่ว่างสักตารางนิ้วหนึ่งก็หายาก ที่จะเดินยังไม่มีเลย มีแต่ร้านค้าตั้งเต็มวัดไปหมด เขาปล่อยให้เช่าที่เพื่อค้าขายจริง ๆ แล้วขยะไปหมกไว้ข้างโบสถ์เป็นคันรถเลย ไม่มีที่จะทิ้งขยะ แล้วแทนที่จะขนไปทิ้งนอกวัด ไม่หรอก มันมักง่ายทิ้งไว้ข้างโบสถ์ สุมโบสถ์ไว้เลย หลวงพ่อไปโยมเขาทำบุญได้สองแสนกว่าบาท หลวงพ่อบอกว่า "ให้เอาเงินสองแสนห้าหมื่นนี่เข้ามูลนิธิของโรงเรียนไว้ ถึงเวลาจะได้ช่วยเรื่องการศึกษาของเด็ก และที่เหลือยกให้วัด" ปรากฏว่าหลังจากนั้น มีการยักย้ายถ่ายเทไปทำอย่างอื่นแทน หลวงพ่อท่านเลยบอกว่า "ถ้าหากว่าไม่ทำตามคำสั่ง ไม่เคารพกันอย่างนี้ ก็ไม่คบอีก" หลังจากนั้นพอมานิมนต์หลวงพ่อท่านก็ไม่ไป ท่านบอกว่า "วัดนั้นจริง ๆ แค่บารมีหลวงปู่ปานอย่างเดียว ประเภทกินไม่ไหวใช้ไม่หมดแล้ว ถ้าหากว่ารู้จักทำให้ถูกนะ" แล้วอีกอย่างหนี่งแม่สะตือกับแม่ตะเคียน ๒ ต้นนั้นน่ะ อยากได้อะไรก็บอกเขาสิ แต่ปรากฏว่าแกเล่นไปตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวเอาไว้รอบต้นสะตือนั่นน่ะ ถึงเวลาน้ำก๋วยเตี๋ยวเหลือติดก้นชาม ก็ราดไปที่โคนต้นนั่นแหละ เทวดาเขารักความสะอาดขนาดไหน ? แล้วใครจะไปชอบใจล่ะ เห็นแม่สะตือกับแม่ตะเคียนบอกว่า "ถ้าเขาเคารพฉันซะหน่อย จะเอาเงินเท่าไร ฉันหาให้ได้"
    คือวัดครูบาอาจารย์สายนี้นะ ที่ไปดู ๆ มา มีวัดของหลวงปู่สุ่น วัดบางปลาหมอ ทางสายวัดปากน้ำไปบูรณะให้ งามมากเลย วิหารพระนอนก็สร้างใหม่ เพราะว่าทางวัดปากน้ำถือว่าเป็นปรมาจารย์ของหลวงพ่อสดมาอีกคราวหนี่ง หลวงพ่อสดได้ศึกษาวิชาจากหลวงปู่สุ่นมา และหลังจากนั้นก็มาปฏิบัติจนกระทั่งได้วิชาธรรมกายได้ เขาถือว่าเป็นวัดครูบาอาจารย์ เขาไปบูรณะให้ ส่วนวัดอื่น ๆ ที่ไปดู ก็ทรุดโทรมดูไม่ได้เลย ไม่ว่าจะของหลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า หรือกระทั่งวัดบางนมโคเอง และที่แน่ ๆ ของหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ถ้าพระครูองอาจท่านไม่ไปทำให้ก็โทรมเหมือนกัน
    ถาม : ผมเคยเจอหลวงปู่บุดดา ท่านเล่าทองขนาดนี้ ๆ ตั้งเยอะแยะ อยู่ในกรมทหารอันดับแรก หลวงพ่อองค์หนึ่งที่กงไกรลาศ วัดศรีชุมใต้ฐานของพระประธานวัดศรีชุมมีแต่ทองเต็มไปหมดเลย แสดงว่าสุโขทัยนี่มีทองมาก
    ตอบ : ที่ไหน ๆ ก็มี เพระว่าโบราณส่วนใหญ่เขานิยมเก็บทองมากกว่า พอถึงเวลาศึกเสือเหนือใต้มาก็ฝังเอาไว้ ที่ฝังเอาไว้ก็ต้องฝังในจุดที่จำได้ง่าย เลยมีการประเภทฝากพระประธานไว้บ้าง อยู่ในจุดที่ค้นหาได้ง่ายบ้าง ผูกเป็นปริศนาบ้าง พอตัวเองตายไปเลยไม่มีใครรู้เลย
    ถาม : .................................
    ตอบ : เรื่องสร้างเมรุนี่ก็แปลกนะ "โยมโต๋ว" แฟนป้ากิมกี่ที่วัดนั่นน่ะ ความคิดแกยอดจริง ๆ แกสร้างเมรุลอยถอดประกอบได้ ถึงเวลาใคจะยืมก็ถอดเป็นชิ้น ๆ ไปตั้งที่ไหนก็ได้ พอโยมโต้วสร้างเสร็จก็เผาตัวเองเป็นคนแรก แปลกจริง ๆ หลวงปู่ท่านก็อาจจะแบบเดียวกัน ตั้งร้อยกว่าแล้วไม่ใช่หรือ ? ในเมื่อร้อยกว่าแล้ว เกิดสร้างเสร็จขึ้นมาหลวงปู่ไปเลย ๑๒๗ ใช่ไหม ? เอ๊ะ...! หลวงปู่ละไมร้อยเท่าไรจำไม่ได้ วันก่อนเพิ่งจะเจอกัน ไปหล่อพระมาด้วยกันที่หนองคาย อะไร ๆ ท่านให้เราจัดการเสียหมด ท่านแค่เป็นประธานจับสายหล่อพระเท่านั้นเอง (หัวเราะ) ความจริงท่านแข็งแรงออกอย่างนั้น เดินเหินเหมือนกับคนหนุ่ม ๆ เลย แต่ว่าสังเกตได้อย่างว่าท่านสูง ถ้าหากว่าอ้วนสักหน่อย โอ้โฮ...ใหญ่โต
    ถาม : .............................
    ตอบ : พระพุทธเจ้าของเราท่านเป็นพระวิชชาสามนะจ๊ะ ในพุทธประวัติบอวก่า "ปฐมยามบรรลุ "ปุพเพนิวาสนุสติญาณ" ระลึกชาติย้อนหลังได้ไม่จำกัด ยามที่สองบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ยามสุดท้ายท่านบรรลุ "อาสวักขยญาณ" ทำจิตให้ผ่องใสหมดสิ้นจากกิเลสได้ บอกเอาไว้ชัดอย่างนี้ แล้วไม่ใช่วิชชาสามหรือ เพราะฉะนั้น...คุณจะไปเข้าใจว่าผู้ที่ลาพุทธภูมิแล้ว จะเป็นปฏิสัมภิทาญาณเสมอไปก็ไม่แน่นะ
    ถาม : .........................
    ตอบ : หลวงพ่อเคยตอบ ท่านบอกว่า "วิชชาสามของช้าง มากกว่าปฏิสัมภิทาญาณของมดอยู่แล้ว" ถ้าสาวกก็เหมือนอย่างกับมดแดงแรงน้อย จะเปรียบอะไรกับช้างได้ (หัวเราะ) อีกองค์หนี่งก็พระอนุรุทธ พระอนุรุทธเป็นพระวิชชาสาม แต่ว่าทิพจักขุญาณของท่านเหนือกว่าอัครสาวกอีกนะ ไม่ใช่ปกติสาวกทั่วไป อัครสาวกอย่างพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรยังสู้ท่านไม่ได้เลย เพราะของท่านทำมาทางด้านนั้นโดยตรง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พิธีพุทธาภิเษกใหญ่พระศรีอริยะเมตไตยที่วัดเขาวง จังหวัดสระบุรี
    มีแก้วจักรพรรดิ์เป็นประธานและรวมลูกศิษย์สายวัดท่าซุง

    พิธีนี้มีแก้วเป็นประธานด้วย
    1.เเก้วจักรพรรดิ์ วัดท่าซุง((หลวงพ่อ พระภาวนากิจวิมล (หลวงพ่ออนันต์ ท่านนำมา)) 2.เป็นลูกแก้วญาณบารมีหลวงปู่ทวด ((ที่หลวงพ่อเล็กท่านอัญเชิญ(หลวงพ่อเล็กท่านนำมา))
    พระที่ยืนอยู่ในรูปข้างล่างที่ผมอาราธนามาให้ชมนี้ (เฉพาะองค์ที่ยืน ซ้ายมือเรานี่ และผันหน้าไปทางซ้ายมือเรา คือหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนครับ ส่วนองค์กลางนี่ คือหลวงพ่ออนันต์ วัดท่าซุงครับ ส่วนองค์ ขวามือเรานี่ คือหลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_8148 (1).JPG
      DSC_8148 (1).JPG
      ขนาดไฟล์:
      98.5 KB
      เปิดดู:
      108
    • DSC_8148.JPG
      DSC_8148.JPG
      ขนาดไฟล์:
      98.5 KB
      เปิดดู:
      67
    • DSC_8189.JPG
      DSC_8189.JPG
      ขนาดไฟล์:
      9.8 KB
      เปิดดู:
      62
    • DSC_8178.JPG
      DSC_8178.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      71
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2012
  19. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ผมเคยอ่านเจอ จริงๆแล้วหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก็เคยให้คณะลูกศิษย์ มากราบหลวงปู่ดู่ที่วัดสะเเก
    ผมจำเนื้อเรื่องทั้งหมดไมได้ เเต่จะเล่าที่จำได้นะครับ อันไหนจำไม่ได้ไม่เล่า แต่ที่เล่าไม่ใช่ว่าสำนวนจะถูกต้องหมดทุกตัวอักษรนะครับ เป็นไปไม่ได้อยู่เเล้วเอาความหมายนะครับ
    ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเคยให้คณะลูกศิษย์ มากราบหลวงปู่ดู่ ที่วัด วันนั้นหลวงปู่ โปรดญาติโยมอยู่ เห็นคณะศรัทธาเดินมาแต่ไกล(คณะศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง) หลวงปู่ท่านมองเเล้วถามว่ามาจากไหน แล้วหลวงปู่ก็นิ่ง แล้วหลวงปู่ก็พูด ว่าอ๋อเด็กฝาก พอคณะเข้ามาก็กราบนมัสการหลวงปู่ หลวงปู่ก็สอนเรื่องการปฏิบัติเเบบที่คณะนั้นได้ปฏิบัติอยู่แล้ว หลวงปู่บอกว่า อาจารย์ของพวกเธอสอนมาดีเเล้วถูกเเล้วประมาณนี้ แล้วหลวงปู่เมตตาบอกว่า ให้รักษาองค์พระให้ดี อย่าให้หายนะ เเละหลวงปู่ก็ กล่าวชมในความดีเเละบารมีหลวงพ่อวัดท่าซุง ให้คณะนั้นฟังซักประมาณหนึ่ง คณะศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ถามหลวงปู่ดู่ ว่าหลวงปู่ทราบได้อย่างไร ขอรับ(ถึงการปฏิบัติเเละอารมณ์ใจของเเต่ละคน) หลวงปู่ดู่ท่านเมตตาตอบว่า ก็อาจารย์ของพวกเธอ พระมหาวีระ(สมณศักดิ์หลวงพ่อฤาษีลิงดำขณะนั้น)บอกข้า อาจารย์ของพวกเธอ ก็ยืนอยู่ข้างๆนี่เเหละ!!! (ผมจำไม่ได้ว่าหลวงปู่พูดว่า พวกเเก หรือ พวกเธอ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. เปิ้ล19

    เปิ้ล19 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +117
    ขออภัยด้วยค่ะถ้าพูดผิดไป... เพราะในเรื่องของรายละเอียดลึกๆ นั้นก็ยังไม่เข้าใจอะค่ะ ยังแค่งูๆ ปลาๆ เลยไปนึกถึงตอนที่อาราธนาก่อนสวดตามหลวงตาที่ว่า "ขออาราธนาบารมีรวมกำลังขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่องค์ปฐมถึงองค์ปัจจุบันบรมมหาจักรพรรดิทุกๆ พระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และพระอริยสงฆ์...." แต่ก็ดีมาก ๆ ค่ะที่ทักท้วงแบบนี้ เพราะถ้ามีอะไรไม่เข้าใจจะได้ไปถามหลวงตาท่านโดยตรง เพราะได้เจอท่านทุกเดือนอยู่แล้วค่ะ :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...