ท่านจะนิพพานเพียง "ขันธ์ห้า" ไม่ได้ แม้แต่ภารกิจของท่านก็ต้องนิพพานด้วย?

ครั้งที่ท่านมาโปรด (ทางกายทิพย์)
ท่านได้บอกไว้ว่าท่านละสังขารหมด
แล้ว ถ้าเราจะเอานิพพานจริง ก็ต้อง
ปฏิบัติคล้ายพระปัจเจกฯ นะ (เพราะ
ไม่มีหมู่คณะที่มีสังขาร มารอรับเรา)
ส่วนนิพพานแบบไหน ไม่ทราบครับ

 

อ๋อ ธรรมภาคผ้าขาว จะมาช่วยคัดกรองคนที่ จะเข้ามาถึงผ้าเหลืองจริง

และนั่นจะทำให้ "ผ้าเหลืองบริสุทธิ์สะอาดจริงๆ ไม่แปดเปื้อนด้วยโลกีย์และวัตถุต่างๆ"

ซึ่งๆ คนที่อยู่ในธรรมภาคผ้าขาว มักจะอยู่แบบเรียบง่าย และจะไม่ได้นิพพาน แต่จะไปจุติยังแดนสุขาวดี

 

ท่านยังมีกายทิพย์มาโปรดอยู่ งั้นท่านก็ยังไม่นิพพานน่ะสิ น่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ที่ท่านเลือกธุดงค์ คงจะเลือกบำเพ็ญบารมีแบบ "อนาคาริก" รึเปล่า

เหมือนที่ "กามนิต" ที่เคยเป็นพระราชาหนุ่ม แต่เบื่อหน่ายในราชสมบัติ ออกอนาคาริก พเนจรไปเรื่อยๆ เพียงแต่ กามนิต ไม่ได้นุ่งห่มเหลืองเหมือนหลวงปู่ก็เท่านั้น

 

สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นกายทิพย์นั้น
เราก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นอะไร
ครับ วิญญาณขันธ์มั้ย? หรือ
สัญญาขันธ์ของเรา ปรุงจาก
ธรรมะอย่างอื่นที่ "พ้นรูป" ก็
ไม่ทราบเหมือนกันครับ

 

มันจะชัดเจนในมิติเชิงวัตถุด้วยครับ
เช่น เวลาเขาจะเอา "ตัวเรา" ง่ายๆ
เราอาจได้ทุนเรียนเมืองนอก แต่เป็น
ทุนที่ไม่ได้ให้ฟรีจริงๆ เขาให้เราทำ
สัญญาผูกมัด มัดตัวเราให้ต้องมาทำ
งานให้เขา สมมุติ 2 เท่าของเวลาที่
รับทุน เป็นต้น (แต่มีเงินเดือนให้นะ)


ทุกอย่างจะเกิดขึ้นใน "กายกรรม" ที่
มองเห็นได้ ในท้ายที่สุด ถ้าเราไม่เอา
เสีย เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ครับ (แต่ก็
น้อยคนนักที่จะปฏิเสธ ที่จะรับนะครับ)

 

วิญญาณขันธ์ก็คือ "กายทิพย์" ไม่ใช่เหรอ

อย่างผีหรือเทพเทวดา เขาก็มี "กายทิพย์" ในลักณะที่ต่างๆกัน

 

สิ่งที่เราเห็นในมิติทิพย์
อาจไม่ใช่วิญญาณขันธ์
หรือกายทิพย์เสมอไป
เช่น เราอาจสร้างนิมิต
ขึ้นมาหลอกตัวเอง แต่
มันไม่ได้มีอยู่จริง ก็ได้
นะครับ ดังนั้น เมื่อเห็น
แล้ว ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า
เป็นกายทิพย์หรืออะไร

 

เวลาคุณอยากอยู่บ้าน
เขาก็ให้คุณให้สมใจได้
แล้วคุณจะรู้ได้ไงว่าเขา
ไม่ได้อยู่เบื้องหลังการที่
คุณได้รับอย่างนี้ ?


ทุกอย่างมันกลายเป็นสินค้า
ได้ "ทุกความอยาก" นะแหละ
แม้แต่ "อยากพอเพียง อยากสมถะ"
มันก็กลายเป็นสิ่งที่ซาตาน มอบให้
เพื่อแลกเอาอย่างอื่นของคุณไปได้

 

หมดเวลาละ ไปละ


:z8

 

สร้างเพราะรู้ว่ามันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่ได้หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเราถ่ายเดียว

ท่านไม่สร้างเองแต่ท่านก็อาศัยสิ่งที่คนอื่นสร้างได้ นั่นไงล่ะเป็นประโยชน์แล้ว คล้ายๆโลงศพนะ คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ 5555+

จะสร้างก็ได้ จะให้ก็ได้ แต่ไม่ยึดติด?
หรือจะเสียก็ยังได้ ถ้าไม่ยึดติด?

ถ้าการสร้าง การให้ทาน มันขวางมรรคผล พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็คงไม่ได้นิพพานหน่ะสิ เพราะพระพุทธองค์ให้ธรรมะเป็นทานแก่ปวงสัตว์ ก็ต้องมีอานิสงส์มหาศาล ยังไม่ได้นิพพานไปอีกนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน เลยใช่มั้ยล่ะ ชักจะงงงง นิดหน่อย

กลับมาตอบให้หน่อยนะ

 

ตกลง ที่เจ้าของกระทู้ อ้างว่า รับสารมาถ่ายทอด อีกที

ก็คงจะไม่ใช่แล้วหละ เพราะว่า

พอโดน มินาโก๊ะจัง ทักนิดทักหน่อย ก็คลอนแคลนใน คำพูด ที่ใช้

นี่ก็แปลว่า ไม่ได้ ทำหน้าที่เป็น ทูต วางตัวในฐานะ ผู้บอกผ่าน

สรุปว่า

ทั้งหมด ไม่ใช่การ รับทอดการสื่อสาร แต่เป็น แต่งเอาด้วยคำตน ล้วนๆ

ก็เลยสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบ หรือไม่ก็ ยังเกิดอาการโลเลได้
ว่า ตกลงจะใช้คำไหนดี

 

ไม่ได้คลอนแคลน "ความเข้าใจในการใช้ภาษามันไม่ตรงกัน"

แต่ความเข้าใจในจิตของต้นหลิว กับของเราน่ะ "ถูกแล้ว"

พระศรีอาริย์กับพระพุทธเจ้าท่านมีกรรมร่วมกันน่ะ ฉะนั้น เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านอยากจะสื่ออะไรมา ท่านก็จะสื่อมากับร่างสังขารของ "จิตภาคแบ่งของพระศรีอาริย์ ที่มาเกิดเป็นคน และที่มีบารมีมากที่สุดน่ะ ถึงจะรับสื่อได้ถูกต้องแม่นยำที่สุด และที่สำคัญ ร่างสังขารที่รับสื่อมา ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวหรือดังเสมอไป อยู่บ้านนอกธรรมดาไปก็พอ"(ร่างสังขารนั้น ไม่ใช่ฉัน : มินาโกะ)

แต่เพราะว่า "พระศรีฯที่มาเกิดเป็นคน ไม่ได้มีญาณหยั่งรู้ไปเสียทุกสิ่ง มีแค่โพธิญาณ ซึ่งก็เป็นญาณหยั่งรู้ประเภทหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็ไม่เทียบเท่ากับญาณหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้า"

และอีกอย่าง ศาสนาของพระพุทธเจ้าก็เหมือนเป็นบ้านของพระพุทธเจ้า เจ้าของบ้านย่อมจะทราบดีว่า ศาสนาของตัวเอง มีจุดหรือตำหนิตรงไหน มี ดี-เลว ตรงไหนบ้างงง มีรอยแตกรอยร้าวที่อยู่ในหลืบ หรือมุมไหนบ้าง เจ้าของบ้านสิ ที่ต้องรู้ดีหมด

ซึ่งพระศรีฯอาริย์ ไม่ใช่เจ้าของศาสนานี้ เพียงแต่มี บุญ-กรรม ร่วมกันเฉยๆ แล้วพระศรีฯมาดูแลแทน ผ่านการโพสต์หรือบอกใบ้ผ่านสิ่งต่างๆ ซึ่งบางที มันก็อาจจะมีข้อบกพร่องได้ในระหว่างการสื่อสาร เพราะไม่มีอะไร "สมบูรณ์แบบ"

 

อ้างอิง : ความแตกต่างระหว่าง
โลกียธรรม และหรือโลกียทรัพย์ และ และหรือโลกุตรธรรมและโลกุตรทรัพย์

เข้าใจให้ตรงเรื่อง โลกียธรรม และ โลกุตรธรรม | rombodhidharma.net

 

อืมมมม.....น่านนนสินะ

ท่านไม่สอนให้สร้างอารายยยเลย

แค่พอมีคนมาถามก็จะตรัสว่า สร้างได้ ถ้าจะสร้างก็ได้สถูปสร้างได้ เจดีย์สร้างได้ อะไรประมาณนี้.....

ก็ไม่เห็นต้องสร้างเลยโน๊ะ แค่ให้คนทั้งโลกถือศีล๘กันให้หมดทุกคน โลกก็จะไร้เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่มีเหลือหลอภายในไม่เกิน๑๐๐ปี อิอิ ดีจัง^-^

แต่เรื่องของเรื่องก็คือ.........มันเป็นไปไม่ได้ไง ชิมิ :'(

 

"

คนชอบเรียกว่าเจ้าแม่อ่าาา... น่าจะเรียกว่า พระโพธิสัตว์กวนอิม เพราะท่านไม่ใช่"ผู้หญิง"โน๊ะ

 

เรื่องการสื่อสารผิดพลาดนี่ตัดสินอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ขันธ์๕มันไม่เที่ยง

ขนาดแปลไทยเป็นไทย คุยกันธรรมดานี่ยังเข้าใจผิดกันได้บ่อยๆเลยนะคะ

แปลภาษาต่างประเทศก็ยากขึ้นไประดับนึง

แปลภาษาอรหันต์ต่างดาวก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ฮ่าาาาา ขำๆนะคะ

 

จขกท .......หัดออกไปโดนแดด เจอผู้คนมั่งนะ

 

การโปรดสัตว์ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่กรรมสืบชาติภพ?


เรื่องนี้ผมเขียนไว้หลายครั้ง แต่คิดว่าหลายคนอาจไม่ทัน
ได้ "สว่าง" อ่านเลยๆ ผ่านมันไป แล้วคิดว่าพิสูจน์ไม่ได้
ก็แค่นั้น ผมเขียนชัดเจนว่า "พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วก็
ไม่มีแม้เจตนาจะโปรดสัตว์หรือสอนธรรมะแก่ใคร" ทว่า
ท่านก็มีกรรม ทำให้มี "ท้าวมหาพรหม" มาทูลเชิญท่าน
ก่อน ถ้าไม่นิมนต์เชิญ ท่านก็ไม่ทำ พระทำเพราะมีวิบาก
กรรม "ถูกเขานิมนต์ให้ทำ" ถูกเขาเชิญให้ทำ มันเป็นแค่
"วิบาก" มันไม่มีเจตนาจะทำเอง คิดเอง ก็หาไม่ เขามา
หาถึงที่ บอกให้ไปทำเสียในกิจนั้นๆ ผมถึงเขียนไว้ชัดเจน
ว่า "พระน่ะ ถ้าเขาไม่นิมนต์ ก็ไม่ต้องเสนอหน้าไปทำ" นี่
มันชัดมาก แทบจะด่ากันเลยด้วยซ้ำไป แต่ก็ "ยังไม่ตื่น"

 

สิ้นสุดแห่ง "ความคิดโปรดสัตว์"
คือ สิ้นสุดแห่งโพธิจิต ก็คือสิ่งที่
เหนือกว่าโพธิจิตขึ้นไป นั่นเอง


ทีนี้แจ้งหรือยังละ กับคำว่าพระพุทธเจ้า
ตรัสรู้แล้ว "ก็ไม่คิดโปรดสัตว์" อะไรเลย
นั่นน่ะ กี่คนหนอ ที่จะเข้าถึง เข้าใจได้นี่?

 

เรื่องสร้างได้หรือไม่ได้นั้น
ผมไม่ได้ยกขึ้นมาให้ถกกัน
เลยนะครับ เพราะผมเขียน
ไว้ "ชัดเจนแล้ว" ไม่ต้องมี
การถกเถียง ใครจะทำก็ทำ
ไปแต่ไม่ได้นิพพาน ใครจะ
เอานิพพาน ก็ไม่ต้องไปทำ