ผลของการแยก กาย ใจ จิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 23 สิงหาคม 2012.

  1. ธรรมานุภาพ

    ธรรมานุภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +122
    โดยส่วนตัว ผมเห็นว่า เป็นการส่งจิตออกนอกครับ เพราะเรารับเรื่องราวเข้ามาที่ตัวเราก่อนผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก่อนจากนั้นเราพิจารณาวิเคราะห์เป็นสังขารการปรุงแต่งของจิต เป็นความเห็นของเราออกไป ตรงความเห็นของเรา มีคำว่าของเรานั่นแหละคือเกิดอัตตาขึ้นแล้ว ยิ่งใครมีอัตตามาก ยิ่งไม่ยอมรับความคิดเห็นผู้อื่นง่ายๆ การเห็นความคิดตัวถูกกว่าคือ มานะกิเลสตามมาอีก มีมานะกิเลสมากๆ ก็ทะเลาะโกรธกันตามมา แท้จริงแล้วการปรุงแต่งของจิตแต่ละคนไม่เท่ากัน เพราะบารมีสร้างมาไม่เท่ากัน จึงเห็นได้แตกต่างกันแม้เป็นเรื่องเดียวกัน จึงไม่มีใครดีกว่า แย่กว่า แต่ยืนที่บันไดคนละขั้น เถียงกันก็เปล่าประโยชน์ เมื่อเป็นดังนี้ก็จะเห็นเป็นปกติธรรมดาของโลก วางอุเบกขาไปเข้าสู่จุดสุดท้าย ยอมรับในกฏธรรมดา เป็นธรรมะไป บางท่านที่ส่งจิตออกนอกแต่คุมจิตระวังกิเลสได้ดี ก็มีอยู่ สำคัญที่สุด ความเห็นทั้งหมดที่ผมโพสก็เกิดจากสังขารปรุงแต่งของผมเหมือนกัน อาจผิดหรือถูก ผมไม่แน่ใจ เพราะผมไม่มีญาณเป็นเครื่องรู้ เพราะถ้าผมมีญาณเป็นเครื่องรู้ ผมอาจไม่โพสก็ได้ เจริญในธรรมทุกท่าน สาธุ..
     
  2. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    oatthidet พี่ กลัว ผี หรือป่าวครับ ถ้าพี่ แยก กาย ใจ จิต ได้

    แสดงว่าพี่ อินทรีย์ 5 แข็งแรง มากเลยนะครับ

    ถ้า อินทรีย์ 5 แข็ง แรง แล้ว ก็ ต้องเจอ เจ้ากรรมนายเวร แล้วก็ สัมภเวสี

    มาขอ ส่วนบุญ สิครับ

    อันนี้ไม่ได้มารอง ภูมิ นะครับ ผม ได้เคย สัมผัส มาแล้วครับ เลยถามพี่ดูครับว่าพี่
    เคยเจอไหม ในเมื่อพี่ แยก กาย ใจ จิต ออก จาก กันแล้วครับ
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    1. เป็นการส่งจิตออกนอก
    2. เป็นการรับรู้สภาวะสมมติบัญญัติ ไม่ใช่การรับรู้ปรมัตถ์ธรรม

    จริงๆ แล้วใช้พิจารณาได้ครับ จิตมันจะไปไหน จะดูอะไร จะเห็นอะไร จะอยู่ข้างใน หรือส่งออกข้างนอก พิจารณาได้ทุกเรื่อง ทุกสภาวะ แต่พึงระวัง และระลึกไว้เสมอว่า การส่งจิตออกนอกนั้น มีการปรุงแต่งเสมอ และ มักจะทำให้เผลอไหลไปตามได้ง่าย ดังนั้นในการปฏิบัติ ถึงได้สอนกันว่า ไม่ให้ส่งจิตออกนอก เพราะคุมได้ง่ายกว่า ทำให้ไม่หลงเผลอไปได้ง่ายครับ
    อีกอย่างหนึ่งก็คือ จิตที่ส่งออกนอกทุกอย่าง เป็นการรับรู้ในบัญญัติ ในสมมติ ไม่ใช่การรับรู้สภาวะปรมัตถ์ ดังนั้นจะไม่ดีเท่าการพิจารณาปรมัตถ์ธรรม ซึ่งเป็นการดูสภาวะแท้ๆ ในร่างกาย และ ที่มากระทบอายตนะของเรา ครับ
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เกือบทุกคนในห้องอภิญญา-สมาธิ เขารู้กันเกือบหมดแล้ว ว่า ฟางว่าน กับ คีย์บอร์ดเป็นคนเดียวกัน ยังจะใช้สองชื่อ มาอวยกันเองอีกหรือ? ตั้งสติคิดก่อนทำดีไหม ฟางว่าน?
     
  5. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,500

    กลัว มันเป็นสภาวะของจิตที่ปรุงแต่ง หรือเปล่าครับ
    ถ้าสัมผัสได้แล้ว จะรับรู้ได้ทางไหนหรอครับ กาย หรือ ใจ หรือ จิต ครับ
    ขอถามคุณ ที่เคยสัมผัสมาแล้ว จะเป็นการง่ายกว่าไหมครับ
     
  6. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    ขอบคุณมากครับ ขอบคุณคุณ ongsathit1 ด้วยครับ

    คือผมพอจะเข้าใจสภาวะนั้นๆอยู่บ้าง แต่ไม่ทราบบัญญัติที่ใช้
    เรียกสภาวะนั้น เพราะมันค่อนข้างเป็นอารมณ์ละเอียด บางครั้ง
    เหมือนว่าจะรู้ แต่ก็ไม่รู้ ขอบคุณครับ
     
  7. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ทางกายครับ มาให้เห็น แล้วก็ เดินหนีไป ตอนเด็ก ผม เจอผีบ่อยมาก ครับ

    ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ครับ มนุษย์ ก็ ชอบใช่ชีวิต เหมือน ผี ขึ้นไปทุกวันแล้วครับ

    สังเกตุดูได้ครับ เช่น กลางคืน ไม่นอน นอน กลาง วัน เวลาเดิน เหมือน ผี เดินเหมือนคนไม่มีสติครับ

    ถ้า อินทรีย์ 5 แข็งแรง พี่ ก็ สามารถ อ่านใจคน ได้ครับ

    ทุก อย่าง มันก็ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มี วิชาได้วิชา มาแล้ว แต่ ยังเอามาใช่อยู่

    ก็ยังไม่ได้ไป นิพพาน ครับ

    สาทุ ทุกท่านที่ ปฏิบัติ ธรรม ขอให้ได้ มรรค ผล ตามอย่างใจที่ต้องการครับ
     
  8. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    คุณ ธิเดช....

    มากล่าวเรื่อง อภิธรรม ในแบบฉบับ ทึี่คุณ คิดว่าใช่ โดยคูณ อ้างว่า คุณ ปฏิบัติ มาเอง แบบนี้ ไม่ได้ อ่านตำรามา .ผม มอง แบบนี้นะ.....

    คุณ ำลัง อวด ตัวคุณ ว่าเก่ง ที่ไม่ต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธศาสดา...
    โดยอ้างว่า คุณ ปฏิบัติ จนรู้เอง และ มักเข้ามา ตั้งกระทู้ แบบว่า ต้องการแสดง ความสามารถ ของตนให้ คนในเวบ นี้ อ้ง ทึ่ง ..ใน ลีลา ของคุณ

    ผม อ่านๆ แล้ว บางที ก็ เข้าเค้า คำสอน ของพุทธ แต่ พออ่านไปๆ ผมว่า มัน เพี้ยนไปจากตำรามาก เพราะ เกิด จาก ความคิด ของคุณ ในสิ่งที่คุณกล่าวมา ผม จับประเด็นได้ว่า ไม่ได้เกิด จาก การปฏิบัติ ของคุณ แน่ๆ...แต่ คุณ อ่าน มาจาก ตำรา ที่ครูบาอาจารย์ หลายๆท่าน มักแสดงผ่าน หนังสือ หรือสื่อต่างๆ แล้วคุณ ก้ มรารวบรวมเป็น คำพูด ของคุณ เองใหม่ บ่างที ก็ ดู ดี บางที ก็ดูมั่วๆ ซั่วๆ...

    ผม รู้ เจตนา ของคุณ และ ความต้องการของคุณ นะ..คุณ ธิเดช

    เลิก งมงาย กับความฝันลมๆแล้งเถอะ..คุณยังไม่ได้ ปัญญา อะไรทั้งนั้น..ผมจะบอกอะไรให้นะ คำสอน ทางพุทธศาสนา นั้น เป็น สัจจะ เป็นของจริง หาก คุณ เข้าใจ สัจจะจริง ก็ ไม่ควรแอบอ้างว่าคุณ ปฏิบัติ มาเอง..จน รู้เองได้ มันไม่มีจริงหรอก

    คน ที่ ปฏิบัติเองจนรู็เองได้จริง นั้น มี อยู่จริง เขาเรียกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า..หาก ท่านเหล่านี้มา เกิดใน สาวกภูมิ เขาจะบวชกัน ในร่สเงาพระพุทธศาสนา และ ช่วยปนะกาศพระศาสนา ด้วยสาวกภูมิ หาก เกิด นอก พุทธันดร ((ในช่วงที่ไม่มี พุทธศาสนาตั้งอยู่แล้ว)) เขาเหล่านี้จะไม่ แสดงธรรมเลย ยกเว้นมีคนถาม ขอเรียนรุ้ เขาเหล่านี้ไม่มีวาสนาที่จะตั้ง พุทธบริษัทได้.แต่เขาสามารถสอนคนไปนิพพานได้...

    คุณ ธิเดช ผม เตือนสติคุณ นะ ไม่ได้ ต่อว่าอะไร..จะบาปกกรมไปเ้ปล่าๆ ที่อ้างว่า สามารถปฏิได้เอง โดยไม่เล่าเรียน มาจากใคร ผม ว่า คุณ โกหก แน่ๆ..เพระา อยาก อวด ครับ
     
  9. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    จิต และ ใจ..ของ หลวงปู่เทศน์ นั้น...

    ใจความหลัก ท่านสอนไว้อย่างนี้ครับ.....
    จิต ที่ ธาตุรู้...เมื่อใด ที่มัน รู้สึกตัว มันจะกลายเป็น ใจ...ใจ ในความหมายของหลวงปู่เทศน์คือ ความเป็นกลาง ..อันหมายถึง ความ ที่จิตตั้งมั่นย นั้นเอง ท่านเรียกว่า ใจ...

    ท่านยัง อุปมา..คำว่า ใจ ว่า...ใจนี้ แปลว่้า กลาง..ให้สังเกตุ คำว่า หัวใจๆ อะไรต่างๆ ของคำเรียก..เช่น หัวใจ ของคำสอน..หรือ ใจกลาง ของสรรพสิ่ง..ศูนย์กลาง การบังคับบัญชาอะไรต่างๆ..เหล่า นี้ คือ ใจ กลาง ศูนย์ รวงม ของสิ่งเหล่านั้น

    ท่านจึงหมาย เอา คำว่าใจ นั้น คือ แปลว่า กลาง...และกลาง นี้ จะเกิดได้ ต่อเมื่อ จิต มีความรู้สึกตัว แล้ว เกิด ตั้งมั่นแล้ว...จึงจะ กลาง แท้จริง จิต กับใจ มันคือ ตัวเดียวกัน..แต่ ใจมันคืด จิต ที่ตั้งมั่น ..ส่วน จิต ปกติ หาก ไม่รู้สึกตัว จะเป็นจิต..ที่ประกอบไปด้วย เจตสิก...เจตสิก มี 3 ตัว ที่ประกอบจิต เป็นตัวชักพา จิต ให้ แส่ส่าย 3 ตัวนั้นคือ เวทนา สัญญา และ สังขาร...เจ้า เจตสิก 3 ตัวนี้ เป็นตัวพา จิต ให้วุ่นวาย แส่ส่ายไม่หหยุด การเจริญสติ จึงเป็นการ ตัด เจตสิก ออกจากจิต แล้วจึงเกิืด ใจ....

    อ่านๆกันคงไม่เข้าใจ กันได้ ลอง เจริญสติ กันสิ ทำไปเรื่อยๆ จะเห็น เอง ว่า เจตสิก มัน เกิด พร้อมจิต จริงมั้ย มันแยก ออกจาก จิตได้จริงมั้ย....
     
  10. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    คุณรู้จักคำว่าปางไหม ถ้าผมใช้ชื่อคีย์บอร์ดนั่นคือผมอยู่ในปางพระอนาคามี ส่วนฟางว่านปางพระโสดาบัน ขอให้ได้นิพพานภายในชาตินี้เลยนะครับ ไม่ได้โกรธ ไม่มีอะไร อย่าคิดมาก...
     
  11. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    คิดๆเอามันจะได้หรอ....เฮ้ออ...
    การแยกกาย กับใจ เป็นสาถะ และการแยก ใจกับจิต เป็น วิปัสสนา

    คุณ เอาอะไรมารองรับคำพูดแบบนี้เล่า คิดไป เรื่อยๆเปื่อยๆ
    คนไม่รู้ มาอ่านกัน ก้ พลอย จะงมงายไปด้วย.....

    การแยก กาย กับจิต มันต้อง จิต รู้แจ้ง ..เห็นไตรลักษณ์ ในเบื้องต้น ไม่ได้เกี่ยวกับ การทำสมถะเลย..สมถะเป็นเครื่องมือ อันนึง ในการดำเนินไปให้ถึงมรรค แห่งการแยก...การแยก กาย กับจิต จะเกิด ต่อเมื่อ จิตเห็นไตรลักษณ์ แล้ว...เป็น ญาณ ปัญญา ในระดับ นามรูป ปริเฉทญาณ..คือ ญาณ กำหนด แยก รูป และนามออกจากกัน....อันนี้เกิดจาก ญาณ ปัญญา ไม่ใช่ การ เจริญสมถะ แล้วจะแยกได้....หาก คุณ ไม่รู้จริง อย่า มา เขียนไว้หลอกคนไม่รู้เลย มันทำให้ คำสอน ทางพุทธศาสนาเสื่อมไป เร็วขึ้น บาปกรรมครับ

    เมื่อ เกิด วิปัสสนาบ่อยๆ แล้ว จากการเจริญสติ จึงจะเห็น นามรูป ปริเฉทญาณ ครับ...และเป็น..ญาณ ในระดับเริ่มต้น..ของการ ตรัสรู้ เพื่อ ถึงนิพพาน.ทุกๆขั้นตอนของการ เกิดญาณ..จะมีระดับไปเรื่อยๆ..ทั้งหมด มาจาก การ เจริญสติ ทั้งนั้น..

    ส่วนเรื่องการ แยก ใจ กับ จิต ที่คุณ ว่ามา ก็ เพี้ยนๆ คิดเอา้เอง..แบบว่้า อยากดัง อยาก อวด เ้ก๋า..คุยโม้ หลอก สาวไปวันๆ..

    วิปัสสนาเิกด เมื่อ หมดความคิด..และ วิปัสสนาเกิด เพราะ การ เจริญสติมากๆ เท่านั้น ส่วนผล นั้น มี ตั้งแต่ ระดับ ต่ำไป หา สูงสุด คือ การ สิ้นอาสวะ...

    คุณมาสรุป เอาเอง แบบ เพี้ยนๆ ไป เพื่อ จะโชว์ เก๋า ว่า ระดับ สมถะ กับ วิปัสสนา ที่คุณ แสดง ช่างน่า อึ้ง ทึ้ง เสียว..หุหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2012
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    จริงๆ เราฝึกเอง แล้วก็มาหาอ่านตำหรับตำรา หน่อยก็ได้

    มันคงไม่ใช่เรื่องที่ต้องขี้เกียจอ่านตำรา

    คนได้ สติ สมาธิ ปัญญา มันจะทำให้ขี้เกียจอ่านตำหรับตำรา มันจะเป็นไปได้ไหม

    เวลา สนทนาที่เป็นสาธารณะ จะได้ สื่อเข้าใจกันมั่ง

    หากจะบอกแบบ ปิยะนิ้วพิมพ์
    " ผมรู้ว่าคุณเก่ง อ่านตำราหน่อยจะเสียหายตรงไหน "


    หากจะบอกแบบ อัปปิยะนิ้วพิมพ์
    " กรูรู้ว่ามรึงเก่ง จะอ่านตำราแค่นี้ มันทำให้มรึงขี้เกียจหรือเปล่า"
     
  13. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ศูนย์รวมทุกภาษาคือลิ้นคนไทย
    จบปอสี่ไปต่างประเทศปร๋อเลยครับฝรั่งเข้าใจไทยรู้เรื่อง
    ฟอเรสสะโลลี่

    ภาษาอื่นหาเหตุไม่ได้เหตุหาเรื่องไม่ได้เรื่อง
    มวยไทยตีกันนัว

    คำว่าจัยนี้คือปัจจัย
    เหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดกุศลธรรมอกุศลและอัพยา
    ท่านกล่าวไว้แจ้งแล้วแต่ผมไม่เคยจำและจำไม่ได้สักที
    พระท่านเทศน์
    เหตุเกิดจากปัจจัยแล้วเกิดผลสามคำเอง
    แต่ท่านลองไปดูปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุจนถึงผล
    ผมอ้างบ่อยๆ
    เหตุปัจจะโย อิธิปัจจะโย อารัมณาปัจจะโย
    สมาชิกท่านใดเป็นสมณมาต่อให้ทีเถิดครับผมอยากกลับบ้านแล่้ว

    พี่ไทยไปเอาใจที่เป็นลุกแอ้ปเปิลที่หมายถึงวงกลมสองวงทับกันอยู่วงละครึ่ง
    จะทับทิศไหนก็ตามปฏิสนธิไปแล้ว

    หากแยกมาวงเดียวใส่ขาไปแปดขา
    หากไม่มีขาเหมือนเดือนเต็ม
    จัยที่ว่านี้
    จุดศูนย์รวมของขาหรือไม่
    จุดศูนย์กลางหรือไม่

    ใจที่ว่าสระใ นี้กับไม้หันอากาศมันคนละเรื่อง
    การกระทำใดที่ไม่ปราณีตผลออกมาคือลวกๆ
    ธรรมไม่หายไปไหนเป็นอกาลิโกเดี๋ยวก็คืนมาครับ

    เท่าที่รู้มาตามท่านมารู้แต่ว่า
    กายมีวิญญานครอง
    วิญญานหลุด.......กายนี้ไม่ใช่ของเรา

    วิญญานนี้สกปรกก็ไม่ใช่ไม่เจ้าเลห์ก็ไม่เชิง
    รับมาหมดจากอายาตนแล้วส่งมาให้พี่จิต
    พี่จิตได้รับการสอนมาจากกายอื่นว่านี่คือ นี่เป็น นี่อยู่ อย่างนี้
    เขาจำว่านี่คือข้าวกินแล้วอิ่ม
    สมมุติไทยว่าข้้าว

    เขาลืมว่ากินเกินแล้วอ้วนส้วมเต็มไว....ราเกิดง่าย
    พอพี่วินเขาไปล้างทั้งเก่าใหม่มาหมดวินสะอาด
    ไม่มีรูปแล้วใครจะหาเขาเจอ
    แล้วพี่จิตอยู่ไหน
    พี่วินสะอาดพี่จิตไม่มีงานทำ
    หรือทำงานไม่หนักเหมือนเดิมที่จะต้องจำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    สามสิบแปดภาษาจำทำไมสมมุติ

    ธรรมละครับอยู่ไหน

    มาว่าในกระทู้
    ท่านที่ได้ฌานสี่ออกมาแสดงความโง่ของตัวเองให้เพื่อนสมาชิกฟังบ้างว่า
    ที่หลุดออกมานั้นมันคือวิญญานไม่ใช่จิต
    มันยังมีเวรมีกรรมอยู่ไม่สะอาดจนกระทั่งหลุดมาเขาจึงมาตามเอาไปรับบุญรับโทษ
    มันมีจริง
    ผมหนีไปหลายรอบแล้ว
    พอมานึกได้ขี้ยังหวงทำไว้ตั้งหลายกองไม่กลับมาล้างให้สะอาด

    แล้วเราจะทำอย่างไรว่ากายนี้ที่สนองมันทุกอย่างสุราอาหารชั้นเลิศชั้นเลว
    สุดท้ายก็ต้องลามันไปแล้วไปเจอคนอื่นอีกไม่มีอำนาจมากกว่าอีกเขาพาไปรับคุณรับโทษ
    แล้วกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
    หากอัปมาณ
    ไม่ได้กลับมาเป็นคน
    หากเจ๋งจริงขนาดยมฑูตยังโกยเราคงเป็นคนดีแล้ว
    วินญานนี้คงใสสะอาดแล้วใครจะมารับก็ลองตายดูแล้วกัน

    ตายรอบแรกเถียงกันไม่จบรอบสองเป็นจังได๋น้อ


    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้ว
     
  14. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ผลของการแยก กาย ใจ จิต

    กาย ใจ นิ ตัวเดี่ยวกันนะครับ เป็น สังขาร สังขารคนเรา มันต้องเน่า เหม็น ทุกอย่าง ครับ

    จิต นี้ คือ จิต เรา ดวงเดี่ยวครับ ให้มี สติ อยู่ กะ จิต

    แล้วก็ บังคับ กาย นั้น ละครับ เรียก ว่า แยก จิต แยก กาย ออก จากกัน ใช่ สติ ดู การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    สาธุ ทุกท่าน ที่ ปฎิบัติ ธรรม ครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ผมมีโอกาสแวะเข้ามาอ่านในกระทู้นี้ หลังจากอ่านดูแล้วจึงเห็นว่า ความเข้าใจที่มีต่อ การใช้ภาษาต่างกันเป็นเหตุ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนจึงเป็นผล

    +++ ก่อนอื่น ผมจะสรุปสั้น ๆ ออกมาก่อนว่า กระทู้นี้เป็นกระทู้ในระดับ อภิธรรม
    +++ มีลักษณะของ การรายงานเป็นหลัก การอธิบายเป็นรอง
    +++ เหมาะสำหรับ ผู้ที่รู้จัก สติ มาแล้วในระดับหนึ่ง
    +++ ไม่เหมาะต่อ ผู้ที่ยังไม่รู้จัก สติ และผู้ที่ใช้การท่องจำจากตำราเป็นหลัก

    +++ คำว่าสติ คือ การกำหนดจิต แล้ว ผลลัพธ์ออกมาเป็นสภาวะรู้ (สำหรับผู้ที่ชำนาญ)
    +++ สำหรับผู้เริ่มต้น คำว่าสติ คือ การกำหนดจิต แล้ว ผลลัพธ์ออกมาเป็นรู้สึกตัว เพื่อให้สภาวะรู้ทำงานอยู่กับกาย

    +++ ผมจะพยายาม ใช้ภาษาให้ตรงกับอาการ ให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพื่อประโยชน์แห่งพุทธศาสนิกชน และผู้ที่มีวาสนาที่อาจจักตามมาภายหลัง และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อกระทู้นี้ในกาลต่อไป

    (1) การแยก กาย ออกจาก จิต คือ สมถะกรรมฐาน
    +++ การแยก กาย ออกจาก จิต (สภาวะปรุงแต่ง) คือ สมถะกรรมฐาน

    (2) การแยก ใจ ออกจาก จิต คือ วิปัสสนากรรมฐาน
    +++ การแยก ใจ (สภาวะรู้) ออกจาก จิต (สภาวะปรุงแต่ง) คือ วิปัสสนากรรมฐาน

    การแยก กาย ออกจาก จิต จะมีความสงบเป็นที่ตั้ง
    +++ จาก (1) ฐานของสมถะกรรมฐาน จะมีความสงบเป็นที่ตั้ง ดิ่งอยู่ในความสงบไม่รับรู้สิ่งภายนอกแม้แต่ร่างกาย
    +++ จาก (2) ฐานของวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อความสงบนั้นดิ่งจนเป็นนิสัยแล้วจะมองเห็นการเคลื่อนไหว
    +++ ตรงนี้ผมใช้คำศัพท์ว่า ตาสติ (สภาวะรู้ตั้งมั่น แล้วกลั่นตัวเป็นสภาวะเห็น) ซึ่งไม่ใช่ ตาเนื้อ (ลืมตาอยู่ จึงมองเห็น) และ ตาจิต (นึกคิดอะไร ก็ รู้เห็นอันนั้น)

    การเคลื่อนไหวนี้ เป็นความรู้สึก ที่เกิดจากการกระทบทางอายตนะ ๖
    +++ จุดหลักเน้นที่ เป็นความรู้สึก ที่เกิดจากการกระทบ ซึ่งมาจาก อายตนะใดก็ได้ ในอายตนะ ๖

    เมื่อเห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยที่ จิต มีการรับรู้นั้น คือ ใจ
    +++ เมื่อ ตาสติ เห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ จิต (สภาวะปรุงแต่ง) ส่วนการรับรู้นั้น คือ ใจ (สภาวะรู้)
    +++ ใจ (สภาวะรู้) คือตาสติ อาจกล่าวในอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นได้ว่า
    +++ ใจ (สภาวะรู้ตั้งมั่น แล้วกลั่นตัวเป็นสภาวะเห็น) ในขณะนี้เป็น Subject (สภาวะรู้) ส่วนจิต (สภาวะปรุงแต่ง) เป็น Object (สภาวะที่ถูกรู้)
    +++ กรณีนี้เป็น สติ เห็น การเห็น ขันธ์ต่าง ๆ นั้น จะเห็นได้เฉพาะ ตาสติ เท่านั้น ส่วน ตานึก ตาคิด จะเห็นไม่ได้เลย

    ซึ่ง จิต จะคอยรับรู้การเคลื่อนไหวนั้น ซึ่งก็คือ ความรู้สึกนั่นเอง
    การฝึกสมถะจะมีผลในขณะนี้ หากไม่สงบนิ่งจนเป็นนิสัย
    จิต ก็จะปรุงแต่งอย่างที่เคยเป็นอย่างเป็นปกติ ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึก
    จนเป็นเหตุให้ก่อเกิดอารมณ์ และ แสดงออกทางการกระทำด้วยร่างกาย
    ซึ่งเกิดจากการปรุงแต่งด้วย ใจ ที่เป็นบ่อเกิดของการปรุงแต่ง จิต ย่อมรับรู้ และ จดจำ
    ในการปรุงแต่งนั้นๆ จนเป็นนิสัย จนเป็นความเคยชิน ซึ่งทางธรรมได้กล่าวว่าเป็น อาสวะ

    +++ ในย่อหน้านี้ ขออนุญาตปรับปรุงเป็น ดังนี้
    +++ จิตจะคอยส่งออกต่อธรรมารมณ์ (ความรู้สึกที่กระทบเข้ามา) นั่นเอง
    +++ การฝึกสมถะจะมีผลในขณะนี้ หากไม่สงบนิ่งจนเป็นนิสัย
    +++ จิต ก็จะปรุงแต่งอย่างที่เคยเป็นอย่างเป็นปกติ (นิสัยตามปกติ) ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึก (ธรรมารมณ์)
    +++ จนเป็นเหตุให้ก่อเกิดอารมณ์ และ แสดงออกทางการกระทำด้วยร่างกาย
    +++ ใจ (สภาวะรู้) ที่เป็นบ่อเกิดของ การปรุงแต่ง (จิต) และ จิต ย่อมรับรู้ และ จดจำ
    +++ ในการปรุงแต่งนั้นๆ จนเป็นนิสัย จนเป็นความเคยชิน ซึ่งทางธรรมได้กล่าวว่าเป็น อาสวะ

    การแยก ใจ ออกจาก จิต นั้นจำเป็นที่จะต้องเฝ้ามองดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
    โดยไม่ปรุงแต่ง ไม่เพิ่มเติม ยอมรับสภาพตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นบนโลก

    +++ การแยก ใจ (สภาวะรู้) ออกจาก จิต (สภาวะปรุงแต่งที่ถูกรู้) นั้นจำเป็นที่จะต้องเฝ้ามองดู (เพราะมันเป็น) ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ปรุงแต่ง ไม่เพิ่มเติม (ไม่เอาความคิดเข้าไป ปลอมปน) ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง (ที่เป็นอยู่เช่นนั้น) ที่เกิดขึ้นบนโลก

    จิต จึงจะปล่อยวาง ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อการมีชีวิต ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดในภพชาติต่อไป

    +++ เมื่อเข้าใจแล้ว สภาวะปรุงแต่ง จึงจางคลาย และวางลง ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อการมี จิต ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดในภพชาติต่อไป

    ที่กล่าวมานี้ คือ ผลแห่งการปฎิบัติ ตามความเข้าใจส่วนตัวของผม จากการเห็นด้วยตนเอง
    อาจจะไม่ถูกต้องตามใจของผู้ที่เข้ามาพบเห็น แต่ผมมองว่าเป็นลำดับขั้นตอนอย่างชัดเจน

    +++ หากการใช้ภาษาของผมไม่ตรง กับอาการจากการปฏิบัติ ของคุณ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
    +++ หากตรง ก็น่าจะเป็นประโยชน์ ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

    การปฏิบัติธรรมนั้น ภาษายากที่จะเข้าถึง เพราะภาษาเป็นการใช้อยู่ในโลก และธรรมะนั้นสวนกระแสโลก
    ผู้ที่ใฝ่รู้ ควรพยายามเน้นที่เนื้อหาเป็นหลัก ส่วนรูปแบบนั้นอย่าไปยึดมาก เพราะมันเป็น นิวรณ์

    ขอใหเจริญในทางธรรมทุกท่าน
    และธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
     
  16. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    +++ คำว่าสติ คือ การกำหนดจิต แล้ว ผลลัพธ์ออกมาเป็นสภาวะรู้ (สำหรับผู้ที่ชำนาญ)
    +++ สำหรับผู้เริ่มต้น คำว่าสติ คือ การกำหนดจิต แล้ว ผลลัพธ์ออกมาเป็นรู้สึกตัว เพื่อให้สภาวะรู้ทำงานอยู่กับกาย

    แค่ ประโยคนี้ก็ผิดแล้ว...ครับ

    สติ แปลว่า ระลึก...ผมอ่านมาจากตำำรา และ ยืนยันว่าถูกต้องด้วย เพราะ ผม ระลึกเป็นแล้วครับ.....หาก ยัง บอกว่า สติคือ การ กำหนด คุณ ก็ ตกม้าตายตั้งแต่ ยังไม่ขยับม้า เพื่อจะ ขี่ ด้วยซ้ำ....

    ไปเอามาจากไหน สติ แปลว่า กำหนด
    คนที่เขา ระลึกเป็นแล้ว มาอ่านข้อความแบบนี้ เขาก็ รู้แล้วว่า คุณ คิดๆเอา
    พระ สัมธรรม ปฏิรูป...((ธรรมมะแท้ๆเสื่อมไป )) เพราะ มีการ คิดๆเอาโดยปฏิบัติผิดขั้นตอนของ คำสอน เป็นอย่างนี้เอง.....

    พิจารณา มากๆก่อน จะโพส เถอะครับ...ช่วยกันจรรโลง คำสอน ของพระพุทธองค์ อย่าให้เพี้ยนมากไปกว่านี้เลย....บาปกรรมเปล่าๆครับ
     
  17. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    อีกเรื่อง ที่อยากจะกล่าว....

    อย่าพยายาม ลาก สมถะกรรมฐานมาเพื่อ ที่จะอธิบาย คำว่าแยกกายออกจาก จิตเลยครับ..มันเป็นไปไม่ได้...คนที่ทำสมถะกรรมฐานมากๆเนี่ย เขาแยกกายไม่ได้หรอกครับ..เขาทำได้เพียง สงบจิต ได้มากๆตามกำลังฌาณ และ กายเขาหายไป ไม่ใช่ กายแยกกับจิต เพียงแต่เขาเหหลือจิตเพียวๆ...ในขณะทรงฌาณ กายหาย ไม่ได้แปลว่าไม่มีกาย....

    คุณ รู้มั้ยว่า คนเราเกิดมา เนี่ย เพราะอะไร เพราะ จิต มันหยั่งลง ในภพ..จิตเป็นตัวสร้างกายเนื้อ..ที่มี หัว มีแขน มีขา..มีตับไต ใส้ปอด เนี่ย..เกิดจาก จิต ที่ ไม่รู้ วิชชา..เมื่อ หยั่งลบงในภพแล้ว..ความไม่รู้ มันพาให้ สิ่งต่างๆ งอกออกมาเป็น กาย..

    เหล่าพรหม ทั้งหลาย ผู้ สำเร็จฌาณ สมาบัติ จนถึงขั้น อรูปฌาณ นั้น เขาทำ สมถะกรรมฐานเก่งกว่าใครๆ..เขา เพ่งเก่งจน กายหายไป เหลือ แต่จิตเด่นดวง เขาไปเกิดในอรูปพรหม..แม้ที่สุด ยังเกิดได้เป็น นิพพานพรหม หรือ พรหมลูกฟัก...

    เมื่อ หมด กำลัง ฌาณ เขาก็มาเกิดอีก..ด้วยความไม่แจ้ง อริยสัจ เขาก็ มี หัว มีแขน มีขา มี ตับไต ใส้ปอด เหมือน ในชาติที่ผ่านๆมา

    แล้วจะมาบอกว่า สมถะกรรมฐานสามารถ แยกกายกับใจได่้อย่างไร
    หาก จะเถียงผมว่า ไม่จริง หรือ จะบอกว่าผม ทำได้แล้วหรือ จึงกล่าวแบบนี้

    ผม ก็ จะบอกว่า ผม ศึกษา มาจากพระไตรปิฏก เพระาผมเป็นชาวพุทธ แท้ๆ ที่เชื่อ คำสอน ของพระพุทธองค์ ครับ..หาก จะว่า ผม คงต้อง ไป ว่า พระพุทธเจ้า ด้วย เพราะ ท่าน สอนไว้ครับ...ตาม ที่ผมกล่าวมาแบบนี้..ด้วยเหตุ และผล ทุกประการ..

    คุณ ดู อุทกดาบส กับ อาฬารดาบส สิ..2 ท่านนี้ เป็น อาจารย์ ของพระพุทธเจ้า ไปเกิด ในนิพพานพรหม..เพราะสำเร็จ อรูปพรหม..จนพระพุทธองค์ ต้องอุทานออกมาว่า..ทั้ง 2 ท่าน ฉิบหาย จากคุณความดี เสียแล้ว..เมื่อใดที่ จิตหมด กำลัง แห่งฌาณ ก็ จะต้องมาเกิดใหม่ อีกแน่นอน...แล้ว คุณ คิดว่า ท่าน ดาบส ทั้ง 2 แยกกายเป็นแล้วละยังล่ะ...
     
  18. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    การ แยกกาย ออกจาก จิต

    ผม ก็ อธิบายไป แล้ว ว่า...เกิดจาก นามรูป ปริเฉทญาณ...
    คือ ญาณ ที่ สามารถ แยก รูป ออก จากนามได้....

    รูป คืออะไร...รูป คือ สิ่ง ที่สูญสลายได้..นั้นมี หมายรวมถึง ธาตุ 4 อย่าง และ เสียง วรรณณะ((สี)) ที่ตัดกันจนเป็นภาพ..กลิ่น..เหล่านี้ รวมเรียกว่า รูป ทั้งนั้น...

    นาม คือ..สิ่งที่มี แต่ ชื่อ ที่ไม่อาจจับต้องสัมผัสได้...ชี้ชัดไม่ได้ เพราะ ไม่มีตัวตนแน่นอน..มี 4 อย่าง คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ....

    การ แยกรูป และ นามออกจากกันได้ ต้องเกิด เมื่อ เริ่ม เจริญ สติ จนจิตเห็นไตรลักษณ์ เป็นขั้นๆไป..ตามลำดับๆ..การปล่อยวาง ของจิต จะเกิดเอง ตามกำลังญาณ...ซึ่งใน วิปัสสนาญาณ 16 ขั้นมีคำอธบายไว้ชัดเจนแล้ว

    หาก อ่านกันผ่านๆ ก็ ไม่มีทางรู้เรื่อง แน่ๆ..หาก ทุกท่าน เจริญสติเป็น....
    และ หมั่นเพียรทำให้มาก..จะเข้าใจ คำสอนของพระพุทธองค์ ชัดแจ้งเพระามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ..เรื่องนามธรรม ไม่ใช่ ว่า ใครมาอ่านๆ แล้ว คิดๆๆ เอา แล้ว จะเห็นได้ ไม่มีทาง เพราะั นาม นั้นแปลว่า สิ่งที่ไร้ตัวตน มีแต่ ชื่อ สมมติให้เรียกเท่านั้น สัมผัสได้ ด้วย จิต ด้วยธรรมมารมณ์ ้ เท่านั้น....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2012
  19. หวันเที่ยง

    หวันเที่ยง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +7
    อ่านแล้วระลึกถึงคำพระท่านว่า ลมหายใจหาย พุทโธหาย ขณะภาวนา...
     
  20. หวันเที่ยง

    หวันเที่ยง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +7
    ตรงนี้น่าจะอธิบายคำว่า แยกจิต กาย (นาม รูป) ระลึกคำพี่ ป.ปราบ ฝากไว้กับ จขกท." กรูรู้ว่ามรึงเก่ง จะอ่านตำราแค่นี้ มันทำให้มรึงขี้เกียจหรือเปล่า"(ต้องสีแดง)
     

แชร์หน้านี้

Loading...