พลังงูไฟ( กุลฑณี )

เวลาพลังปราณตื่นตัวจากจักระใดออกมาก็ตาม หากใช้ไม่หมด ปลดปล่อย
ได้ไม่หมด จะเกิดปัญหาทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่กุลฑาลิณี ลมปราณสายอื่นก็เป็น
ดังนั้น คุณกระตุ้นมันจนตื่นแล้ว ต้องขับออกให้หมด ใช้ให้หมด อย่าให้เหลือค้าง


หากเหลือเศษเล้กๆ น้อยๆ ก็ดึงกลับไปเก็บไว้ที่เดิม ที่มันเคยอยู่จักระนั้นๆ

 

ในหลักการฝึก "กุลฑาลิณี" จะต้องควบคุมให้มันไหลขึ้นไปแนวดิ่งทะลุศีรษะ
และบางครั้ง ควบคุมมันไม่ได้ หรือปลดปล่อยมันไม่หมด จึงเหลือค้างในร่าง
กายส่วนอื่น มันจะไหลเข้าหาที่อยู่ ตามจักระ (หีบเก็บพลังวัตร) ที่ใกล้ที่สุด
แล้วลมปราณนี้ มันแปลก มันผิดที่ จะรบกวนสายลมปราณอื่น ในจักระนั้นๆ


ก่อให้เกิดปัญหาได้


แท้แล้วโดยธรรมชาติ ลมปราณกุลฑาลิณีจะไหลออกได้สามทาง

๑. ขึ้นตรงๆ แนวดิ่งออกทะลุหัว
๒. ออกทาง "ทวารจักระด้านหน้า" (penis)
๓. ออกทาง "ทวารจักระด้านหลัง" (ก้น เช่น ออกพร้อมผายลม)

ประตูทวารในการขับลมปราณออกนี้ มีทั้งแนวดิ่งและแนวราบ
แนวราบทุกจักระจะออกได้ทั้งด้านหน้าและหลัง


หากคุณมีปัญหาควบคุมพลังนี้ไปไม่ถึงฝั่ง คุณก็ต้องหาทางออกทวารอื่น
เพื่อไม่ให้ลมปราณสายนี้ คั่งค้างเหลืออยู่ผิดที่ ซึ่งจะเกิดอันตรายได้

 

พอดีผมมีปัญหาข้อนี่อ่ะครับ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้จักวิชาพลังธรรมจักร เป็นทั้งหมุนเวลาทำสมาธิ และแบบไม่ตั้งใจ เวลาหมุนตอนทำสมาธิ หมุนจนแยกไม่ออกว่านั่งท่าไหน มองไปท่าไหน หมุนยังกับอยู่ในพายุ เวลาเป็นแบบไม่ตั้งใจ อย่างดูทีวีอยู่ดีๆๆก็เป็น หลับตาก็รู้เลย จนเวลานั่งสมาธิ ไม่ค่อยอยากจะนั่งเลย เพราะมันหมุนจนทำอะไรไม่ถูก ช่วยบอกผมหน่อยละกันนะครับ

 

๑. ลมปราณธรรมจักรของคุณถูกปลุกให้ตื่นตัวแล้ว พร้อมแก่การฝึก
สำหรับพวกที่บอกว่าตนเองหมุนจักรได้แล้ว ฝึกพลังจักรวาลหมุนได้แล้ว
หากไม่มีอาการแบบนี้ ล้วน "ขี้โม้" ทั้งสิ้น

๒. การที่คุณหมุนจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร เรียกว่า "เอกัคตารมณ์"
เป็นการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับการหมุน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวิชชานี้
หากคุณรู้สึกแยกออกจากการหมุนเมื่อไร คุณจะเวียนหัว และ "อ้วกแตก"

๓. การที่หมุนผิดเวลา เพราะลมปราณที่ตื่นแล้วนั้น ไม่ถูกปลดปล่อยให้
ถูกวิธี หรือไม่ได้รับการเก็บให้ถูกวิธี

ในโลกตอนนี้

อาจารย์ หลี่หงจื้อ ก็ใช้วิชชานี้ เรียกว่า "ฝ่าหลุน" แต่จะหมุนระหว่างฝ่ามือ
ช้าๆ และน้อยๆ ทุกๆ วัน ในปริมาณที่พอดี จึงไม่เป็นปัญหาอย่างที่คุณเจอ

พระอาจารย์รัตน์ ก็หมุนเหมือนกัน ลมปราณสายเดียวกันคือธรรมจักร แต่ง
พระอาจารย์รัตน์ไม่ได้บอกวิธีแก้ปัญหาว่าเมื่อนั่งสมาธิหมุนแล้วหมุนไม่หยุด
จะแก้อย่างไร

พ่อครูบัญชา เป็นอาจารย์ของผม ท่านแนะนำให้ฝึกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหยุด
หมุน หากไม่หยุดหมุน มันจะหมุนเอง แบบที่ควบคุมไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกวิธีแก้


ผมมีวิธีแก้อยู่บ้าง แต่เสียดาย ต้องบอกเวลาปฏิบัติตัวต่อตัวครับ พิมพ์แล้วไม่เข้าใจหรอก

หึๆๆ

(b-glass)

 

เอิ้กๆๆไม่น่าเชื่อว่าลมปราณธรรมจักรถูกปลุกให้ตื่นตัวแล้ว พอดีนั่งสมาธิ แค่เดือนหนึ่ง2-3ครั้งได้นะครับ ฟลุ๊กสุดยอด งั้นพี่ก็ช่วยบอกหน่อยนะครับ ผมมันฝึกมามั่วบ่อยหล่ะยังไงก็ขอมั่วต่อไป แล้วไอ้วิชา"ฝ่าหลุน"นี่เวลาทำมันรู้สึกยังกะเหมือนกะว่าเลือดในมือมันหมุนแต่ไม่ใช่เลือด คล้ายๆๆกับความรู้สึกมันหมุนวนไปเรื่อยๆๆอ่ะ งั้นก็ขอบคุณนะครับที่แนะนำผม ถ้าจะดีช่วยบอกเรื่อยนะครับ เพื่อจะได้บุญ

 

ความรู้สึกเวลาจักระหมุน


ต้องรู้สึกว่าหมุน หากไม่รู้สึกว่าหมุน ก็คือไม่รู้สึก หรือไม่ค่อยหมุน จึงไม่รู้สึก
ปกติ มันหมุนอยู่แล้ว ตามการหมุนของจักรวาล แต่เชื่องช้าและแผ่วเบาจน
ไม่รู้สึก เวลาฝึกหมุน นี่จะหมุนให้เร็วขึ้น จะขจัดปราณเสียออกได้เร็วขึ้นกว่า
ธรรมชาติปกติที่มันทำเองตามจักรวาล


หากมีคนสอนว่า "จักรหมุนแล้ว" แต่ไม่รู้สึกว่าหมุน นั่นไม่ใช่หมุนจริง
บางท่านสอนว่า "แค่รู้สึกขนลุกที่ศีรษะ" "เย็นๆ ศรีษะ" แบบนั้นไม่
ใช่ "อาการที่ถูกหมุน" เป็นเพียงพลังจักรวาลภายนอก เช่น พลังจิตเทพ
ที่เข้ามาที่จักระที่เจ็ด มาคุ้มครองดูแลเรา "แต่ไม่ได้เกิดการหมุนจริง"

จักระที่เจ็ด เวลาหมุนจะรู้สึกเบาที่สุด
จักระอื่นๆ ในร่างกายเรา หากหมุนจะพัดพาร่างเราตามไปด้วย


เขาถึงเรียกว่า "กำลังภายใน"

 

ขอบคุณครับตอบแบบนี่ผมหายโง่เลยครับ งั้นพี่ก็ช่วยแนะนำอีเมลหน่อยนะครับ เพื่อจะได้ไม่โพสให้คนอื่นรำคาญ
ThesLong@hotmail.com เมลผมครับ

 

ฝึกฝ่าหลุนหมุนธรรมจักรระหว่างฝ่ามือถูกต้องแล้ว
ส่วนการรู้สึกว่าเลือดมันเต้นๆ นั่นคือ "ชีพจร" มันสัมพันธ์กันเวลาหมุน
ฝึกได้ถูกต้องและจิตละเอียดดี จึงแยกแยะความรู้สึกได้แจ่มชัด



เมื่อลมปราณตื่นแล้ว ต้อง "ฝึกควบคุมและใช้มันให้เป็น"


ลองดูว่า แรงหมุนนั้น อยู่บริเวณใด ในจักระทั้งเจ็ด?
เช่น หมุนมีศูนย์กลางที่ท้องน้อย (จุดตานเถียน)
แบบนี้ ให้ลองกำหนดเลื่อนขึ้นมาหมุนท้องใหญ่
เลื่อนมาที่อก แล้วเลื่อนมาที่คอ แล้วเลื่อนไปที่เหนือหัว


ทีนี้ ร่างกายเริ่มควบคุมได้ชัด ขับเคลื่อนมันได้
ก็ฝึกถ่ายออกทางฝ่ามือทั้งสองข้าง
แล้วใช้ท่า "จีบนิ้วมุทรา" เพื่อระบายปราณออกให้หมด

เมื่อระบายปราณทางฝ่ามือหมดแล้ว ลมปราณจะไม่หมุนนอกเวลา
จิตจะเป็นผู้สั่งการได้ทั้งหมด ว่าให้หมุนตอนไหน หรือไม่ให้หมุน


อย่าลืมตรวจดูว่าลมปราณถ่ายหมดหรือไม่ หากไม่หมดมันก็จะหมุนได้อีก
ยิ่งเวลาออกกำลังกาย เดินไปเรื่อยๆ หรือทำท่าหมุนๆ มันยิ่งเข้ามาทันที


ลองฝึกดูแล้วมาเล่าให้กันฟัง...

 

แอดเมลน้องแล้ว แต่ขอไม่เปิดเผยเมลในที่นี่นะ

 

ท่าจีบนิ้วมุทราคืออะไร?


ท่าจีบนิ้วมุทรา เป็นการฝึก "สติปัฏฐานสี่" แบบเคลื่อนกาย เช่นเดียวกันกับ
หลวงพ่อเทียน แต่ของหลวงพ่อเทียนอาจฟื้นคืนวิชชาในอดีตชาติมาไม่หมด
การเคลื่นกายจึงไม่ครบเต็มรูปแบบ "ของการจีบนิ้วมุทรา"


การจีบนิ้วมุทรา เป็นเคล็ดที่ทำให้ผู้ฝึก "หลอมรวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะ"
เพราะ "จิตเดิมแท้คือพุทธะอยู่แล้ว" ดังนั้น จึงกระตุ้นความเป็นพุทธะให้มี
กำลัง เอาขนะกิเลสที่รายรอบให้หมดสิ้นราบคาบไปได้

ตัวอย่างท่ามุทรา

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

นี่ใช้หมุนธรรมจักรระหว่างสองฝ่ามือ เป็นท่าเดียวกับ "ฝ่าหลุน"
ซึ่ง อ. หลี่หงจื้อ อาจเคยมีอดีตชาติฝึกวิชชานี้มาเช่นกัน จึงฟื้นคืนได้

ท่าจีบนิ้วมุทรายังมีอีกมากมาย เป็นล้านๆ ท่า ไม่อาจวาดให้ดูได้หมด
ลองไปดูพระพุทธรูปที่จีบนิ้วของ "นิกายมหายานดู" แล้วเปลี่ยนจาก
ท่าหนึ่งไปอีกท่าหนึ่งอย่างรวดเร็ว ไม่มีการจำ ไม่มีการนึกคิด ทิ้งความ
คิดความจำ ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัยให้หมด แล้วจิตจะควบคุมไปเอง

 

เหอะๆๆพี่มั่นใจแรงไปหรือปล่าวครับ ว่าผมฝึกฝ่าหลุนหมุนธรรมจักรระหว่างฝ่ามือถูกต้องแล้ว เพิ่งจะทดสอบเมื่อกี้นี่เอง อ่านเสร็จก่อนลองเลย ลองแบบมั่วๆๆนะครับ เอิ้กๆๆแล้วท่า"จีบนิ้วมุทรา นี่อ่ะครับ ให้ลมปราณมันหมุนชนกันหรือปล่าว หรือหมุนไปทางเดี่ยวกันอ่ะครับ จีบนิ้ว แบบ นิ้วโป้กกับนิ้วชี้ ใช่หรือปล่าว พอดีผมเคยฝึกแบบแปลกๆๆอ่ะครับ แล้วมีเหตุการแปลกๆๆเกิดขึ้นกับผมพี่พอจะรู้มั้ยครับ ตอนกลางคืนผมจะนอนละเมอ ทั้งที่ไม่เคยนอนละเมอ จนพ่อเป็นเป็นห่วง เวลาละเมอ นาน30นาทีได้ จะมีเสียงผมพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้(ถามพ่อแม่แกก็ไม่บอกว่าภาษาแนวไหน แกบอกแต่ว่าฟังไม่ออก เหมือนมันท่องอะไรนี่แหละ)บางครั้งก็ได้ยินเสียงคนทุบพื้น แล้วตอนเช้าแม่ผมทางว่า ทำอะไรเมื่อคืนได้ยินเสียงดังตั้งนาน ผมก็ชิบหายหล่ะตื่นมาร่างกายก็ยิ่งเพลียๆๆด้วย(ผมนอนกับพื้นนะครับ)เพิ่งเป็นได้ไม่นาน สงสัยผมมันใกล้จะบ้าแล้วหรือปล่าวครับ

 

การจะมั่นใจได้ว่าถูกแน่จริงหรือไม่ ต้องเห็นกับตาด้วย
พี่เชื่อใจน้อง หากน้องไม่โกหกพี่ ก็เดินทางตามแนวธรรมจักรแล้ว


ส่วนการมีอาการแปลกๆ นั้น มีได้จริง
บางคน เมื่อเปิดจักระเจ็ด มีดวงจิตบางดวง
แทรกเข้ามาที่จักระเจ็ด แล้วมีอาการ "ผีเข้า"


การที่เขามีอาการผีเข้า หรือทรงเทพ เพราะจักระเปิด จิตเปิดรับ
จิตเขายินดีกับการที่ตนเองจะเป็นร่างทรง ดวงจิตจึงมาเข้าร่าง


ลมปราณบางคนรุนแรงมาก ต้องเอาเข้าห้อง "ขังเดี่ยว"

เขาจะกระทืบฟื้น ชก และเตะ มากมาย
พี่เองช่วงฝึกก็เป็นเหมือนกัน
จนเพื่อนต้องจับเข้าห้องขังเดี่ยว
ให้พี่ชก เตะ ในห้องนั้นคนเดียว


หากหลอมรวมจิตกับพุทธะ จะไม่มีปัญหา สุดท้ายจะกลับมาได้
จิตแค่แสดงอาการของมัน ตาม "สันดานดิบเดิมๆ ในอดีตชาติ"
เมื่อน้องฝ่านด่าน "ระลึกชาติ" อาการจะหมดไป เพราะได้แก้
และชดใช้กรรมในชาติที่ระลึกนั้นๆ หมดสิ้นแล้ว


อนึ่ง เวลาฝึก เราจะเปิดบทสวดทิเบตนำจิต และควบคุมไม่ให้
จิตออกนอกลู่นอกทาง ปราณมีความรุนแรง บางครั้งหากจิตขาดพุทธะ


มีปัญหาแน่นอน..
ดังนี้ พี่จึงอยากให้ฝึกต่อหน้าต่อตากันมากกว่าฟังแล้วไปทำเอง

 

นี่เป็นท่าตัวอย่างการร่ายรำและจีบนิ้วมุทรา วิชชาของตันตระมีรากฐานจากโยคะ

 

บางคนจิตย้อนระลึกชาติไปแล้ว แต่ยังแก้ไขไม่หมด เกิดการซ้อนชาติ
คือรูสึกเหมือนอดีตชาติมาอยู่ปัจจุบัน แล้วทำตัวเหมือนอดีตชาติ จนเกิด
ปัญหาในการใช้ชีวิตปกติ


นี่คือ อันตรายอีกประการของการฝึกธรรมจักร


จะต้องมีคนดูแลให้ผ่านด่านต่างๆ เหล่านี้ให้ได้ทั้งหมด
ควรฝึกให้ผ่านด่านก่อน หากยอมเสียเวลา ๗ วันฝึกเต็มที่
ครบสำเร็จแล้ว ก็ย่นย่อเวลาได้ญาณระลึกชาติเร็วกว่า
กรรมฐานอื่นๆ ที่อาจต้องฝึก ถึง ๑๐ ปีกว่าจะได้ "ญาณระลึกชาติ"

 

ส่วนคนที่ฝึกลมปราณแล้วไม่มีปัญหาอะไรเลยนั่น
"ขี้โม้" เรียกว่า "เล่นปาหี่" แค่นั้นเอง
หากน้องกล้าจริง อยากได้วิชชาจริงๆ ไม่ใช่ของเทียม

มันก็ต้องกล้าเสี่ยงกล้าแลก

 

เพื่อนอีกคนหนึ่งของพี่ที่ฝึกธรรมจักร
เขาเข้าสมาธิแล้วย้อนระลึกชาติ
ทำท่าร่ายเวทย์มนต์

เขาไม่รู้ตัว แต่พี่จดจำมนต์ของเขาได้ เขาพูดว่า

"โอม อารามาซัว" ๆๆๆ (ได้ยินไม่ชัดนักหากผิดขออภัย)


อาการละเมอของน้องอาจเกิดจากจิตดิ่งย้อนระลึกชาติ
จำต้องแก้ไข ให้ "ปมในอดีตชาติ" หมดสิ้นไป
ไม่ก็รับกรรมไปจนกว่าจะหมดอาการถึงจะหาย

 

อืม...คุณคนขายธูปมีความรู้ดีมากเลยนะครับ ทั้งยังมีประสบการณ์ตรงด้วย ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ^ ^

ปล.ถ้าอย่างไรเวลาฝึกตอนแรกควรจะฝึกควบคู่ไปกับคำภาวนา เช่น อาจจะภาวนาพุทโธกำกับไปด้วย จิตจึงจะไม่หลงไปกับกระแสพลังที่ไม่ดีใช่มั๊ยครับ ^ ^

 

จริงๆ แล้วการฝึกกรรมฐานทุกสายเป็นไปเพื่อนิพพาน
หากจิตไม่พุ่งตรงต่อนิพพาน คือ ไม่บรรลุโสดาบันก็จะไม่ให้กรรมฐานขั้นสูง
เพราะเมื่อได้ไปแล้วคนส่วนใหญ่ก็ "หลงฤทธิ์" เพราะจิตไม่ตรงต่อนิพพาน


เผยแพร่ไปนี่ก็มีอันตราย แต่จำต้องทำครับผม...

 

ท่าร่ายรำและจีบนิ้วมุทราแบบโพธิสัตว์กวนอิมให้เลียนแบบตามนี้ครับ




เคลื่อนกายโดยปล่อยลมปราณไปยังปลายฝ่ามือ จีบนิ้วมุทรา
แล้วเปลี่ยนทิศทางต่างๆ ราวกับมีพันมือ ไว้ช่วยเหลือสรรพสัตว์

 

ไม่ทราบว่าคุณคนขายธูปรู้จักพระคุณเจ้า "ตอเจียลัวซาง" รึเปล่าครับ