คนส่วนใหญ่ที่นี่มันบ้า ไม่รู้มันศึกษาธรรมกันยังงัย ตัวตนเต็มไปหมด

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย ผู้บรรลุ, 11 กันยายน 2012.

  1. ผู้บรรลุ

    ผู้บรรลุ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +41
    แม้กระทู้จะบอกแล้ว ว่า”ส่วนใหญ่” นั่นก็คือไม่ใช่ทุกคน แต่ก็จะมีพวกที่ตัวตนเยอะ ร้อนตัว เสนอหน้าเองว่า อย่างนี้ เมิงว่ากรูนี่หว่า นั่นเพราะอะไร..นั่นเพราะตัวตนมันเยอะ ใครว่าอะไรเข้าแม้ไม่ได้ระบุว่าเป็นตัวเอง ด้วยความที่ว่าใครจะมาหมิ่นเกียรติไม่ได้ มันเลยทำให้ร้อน ถึงแม้ว่าเค้าไม่ได้ระบุตัวระบุตน แต่คนที่อัตตาเยอะพวกนี้ มันจะอยากวิ่งเข้ามารับเอง เพราะข้านี้เก่งแล้วใครจะมาว่าข้านี้ไม่ได้ ยิ่งชำเลืองเห็นชื่อคนโพสว่า “ผู้บรรลุ” นี่ยิ่งหมั่นไส้ อดคิดไม่ได้ว่า “แหม...ผู้บรรลุเลย” นี่เพราะอะไร มันเพราะว่าไปยึดติดในชื่อ ไปจริงจังให้ความสำคัญในชื่อสมมุติกันซะมาก

    ปัญญา มี ๓ อันดับ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

    คนที่นี่ปริยัติจะเยอะ ก็แทนที่จะใช้ให้มันเป็นประโยชน์ เอาไปปฎิบัติขัดเกลากิเลส กองโลภ กองโกรธ กองหลง กองราคะโทสะโมหะให้หมดไป ก็เอามายึดมั่นถือมั่นว่าข้านี้รู้เยอะ ถามอะไรที่ในตำรามีที่ตัวรู้ ก็ตอบได้หมด แต่ถ้าไปเจอปัญหาอะไรที่มันอยู่นอกตำรา ก็ใบ้แดก เพราะปัญญาตัวอื่นมันไม่ได้ทำงาน มันไม่ทำงานเพราะอะไร เพราะความยึดมั่นถือมั่นในความรู้ที่ได้จากการร่ำเรียนท่องจำที่เยอะกว่าคนอื่นนั้นมันบังตาอยู่ ศีลก็ถือกันสมบูรณ์หรือเปล่าไม่รู้ ปัญญามันเลยแทงทะลุความหมั่นไส้ที่มีให้คนอื่นไม่ได้ พอเค้าแนะนำเข้าก็โกรธไม่สนหรอกว่าสิ่งที่แนะนำนั้นจะมีประโยชน์หรือไม่ คิดอย่างเดียวว่า “กรูเก่งแล้ว กรูรู้แล้ว เมิงถือดียังงัยถึงมาแนะนำกรู แล้วตัวเมิงล่ะทำได้หรือเปล่า กรูรู้มากกว่าเมิงซะอีก” นี่..ตัวตนมันเยอะอย่างนี้ พอใครจะพูดอะไรที่เกิดจากปัญญาที่ได้จากการรักษาศีล ทำสมาธิ ถ้าไอ้ที่แนะนำมันไม่อยู่ในตำราที่ตัวเองรู้ ก็พาลให้ไปคิดว่าว่าเป็นพวกนอกรีต เพราะมันไม่อยู่ในหนังสือ นี่แหละ คนที่บ้าตำรามันเป็นกันอย่างนี้ ยิ่งบ้าตำราแล้วบวกกับอัตตาเยอะ อย่างนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง

    รู้ธรรมเยอะ แต่เข้าไม่ถึงธรรม เพราะความหมั่นไส้ มันบังตา(แยกให้ออกนะระหว่างรู้เยอะกับเข้าถึงน่ะ) ทำอะไรที่ดีให้ มันก็มองว่าไม่ดี เจตนาดีๆก็ไปเปลี่ยนเจตนาเค้าให้ร้าย แหม..ทำได้ไม่กลัวบาปกลัวกรรม มันเหมือนกับ “คนที่ใสก็มองใส คนที่ขุ่นมัวก็มองขุ่นมัว” คนส่วนใหญ่ที่นี่มันบ้า ไปเปลี่ยนของดีให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็นของไม่ดี นั่นเพราะความหมั่นไส้ มันบัง "ความดีที่ตัวเองมีอยู่"แท้ๆ

    คนที่นี่มันต้องเตือนกันแรงๆ เพราะความรู้แบบปริยัติมันเยอะ ตัวตนมันเยอะ

    ใครอ่านเสร็จแล้วมันรู้สึกร้อน อยากด่ากลับก็เอาเลย..พวกที่ยังโดนบังตาทั้งหลาย แต่เราไม่เจ็บหรอกนะ เราขำมากกว่า

    รอบที่แล้วเราประเมิณพวกท่านสูงไป รอบนี้มันเลยต้องเตือนกันอย่างนี้
    นี่แหละเราถึงได้ว่า “คนที่ใสก็มองใส คนที่ขุ่นมัวก็มองขุ่นมัว” มันเป็นอย่างนี้..
     
  2. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดมักเกิดความบ้า

    กมฺมุนา วตฺตตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    จริต ของมนุษย์มี ๖ ประการ ไปเปลี่ยน ให้เป็นเหมือน จริต ท่านอย่างเดี่ยวมิได้หลอก

    จริต Wikipedia

    สาธุครับ
     
  3. 12345*

    12345* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +332
    ผมก็ขำวิธีการละเล่นของคุณเห็นแล้วตลกจริงๆ 5 5 5
    ก็ดีนะโพสแยะๆ เว็ปที่มันเงียบเหงาจะได้ครื้นเครงมีประเด็น 5 5 5

    อาตนเป็นที่ตั้ง เอาตนเป็นมาตรฐาน 5 5 5
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กันยายน 2012
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    คนที่เริ่มปฏิบัติแล้ว แต่ด้วยความที่ชาติภพมันยาวนาน
    บางคนอนุสัยมันเก็บสะสมมานาน แม้จะเริ่มเห็นแล้วว่าอยากออกจากวัฏฏะ
    แต่นิสัยมันไม่สามารถขัดออกได้เหมือนดังเสกให้หายได้

    เช่นนี้แล้ว จะเอาอัตตาของเราเอง ไปสร้างความขุ่นมัวให้กับผู้ที่เพียรพยายามหาทางออกจากวัฏฏะไปทำไม?
    แน่ใจหรือ ว่าเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่?
    แน่ใจหรือ ว่าสิ่งที่เรากำลังทำ ช่วยชี้ทางออกจากวัฏฏะให้ผู้อื่นได้?
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    สังเกตหรือเปล่าหละ ว่า มันจะ เพิ่มดีกรี ขึ้นเรื่อยๆ


    การคิดหาหนทาง จะชี้ข้อบกพร่องพวกนี้ เดี๋ยวมันจะ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ก็เป็นไปตามที่พระพุทธองค์กล่าว

    การที่เราเอา จิต ปักลงไปในสิ่งใด ธรรมชาติ มันจะไหลลงต่ำ

    ไม่ได้ต่ำธรรมดาๆ นะ คือ มันพอกพูล .....รูปนาม สารพัดจะ
    งัดขึ้นมา ทำลีลา โวหาร สบัดสำนวน

    ถามว่า สภาพธรรมเหล่านี้เกิดที่ใคร ก็แน่หละ เกิดกับ จิตที่ปักลงไปในามรูป
    มีวิญญาณหารเป็นอาหาร มีมโนสัญญาเจตนาเป็นอาหาร ความเป็น เนกขัมมะ
    ในจิตหายไป อันตรธานไป สิ่งที่ได้คือ ลีลา โวหาร ความรุนแรง จะเพิ่มขึ้น
    เรื่อยๆ

    ก็เป็นไปตามบุคคลที่ผมเคยบอกก่อนหน้า จะ คนที่มาจากแคว้น "อุรุเวลา" ที่
    ไปนั่งพักดื่มแบรนด์ กับ พวกกินข้าว "โอ๊ตติดเด็ก" ซึ่งตอนนี้ ก็ปรับฐานกลับ
    ไปสู่การก๊อปปี้ โศลกธรรมบท แต่ปิดบังที่มาเอาไว้ เดี๋ยวพอใครเจอว่า เฮ้ย
    นี่มันธรรมก๊อปปี้ ก็จะ สนุกสนาน สร้าง ลีลา โวหาร มา ทัก กันและกันอีก
    ไปตามเรื่องตามราว ปรกติ ของสังคมศาสนา

    มันมีแบบนี้ทุกศาสนา ลัทธิ ................. เหมือน สมัยพุทธกาล ที่ ลัทธินิครณฑ์
    นาฏบุตร ศาสดาของเขาสิ้นชีพพิตักไสย ศิษยานุศิษย์ก็ออกโรงเต้นแร้งเต้นกาตัก
    เตือนกันและกันอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู สุดท้าย ศาสนานิครณฑ์อันตรธานภายใน 7 วัน
    แตกเป็นเสี่ยงๆ

    พระสารีบุตรก็ถามพระพุทธองค์ว่า เป็นเพราะ เหตุไร ศาสนาจึงอันตรธานได้รวดเร็ว
    ปานนั้น

    พระพุทธองค์ก็ตรัสเป็น ฏีกาลงมาว่า เป็นเพราะ ไม่รวบรวม ร้อยเรียง คำสอน ที่
    ตถาคตได้ประธานเอาไว้ ปล่อยให้ต่างคนต่างจำ ไม่มีการยกเป็นองค์ปริยัติธรรม
    กำกับ กรอบของธรรมเอาไว้

    พอสิ้นฏีกา พระสารีบุตร ก็บันลือสีหนารถ ว่า บัดดนี้ เราจะเป็นผู้ สังคยานา ร้อยเรียง
    คำสอนของตถาคตให้อยู่ในรูป ปริยัติธรรม ให้ท่องจำกันให้ดี ..... แล้ว พระสารีบุตร
    ก็กล่าวหมวดหมู่ของ ธรรมเป็น คำศัพท์จำยากๆ ให้จดจำกันเป็นข้อๆ ทีละข้อ ตรงไหน
    มีความปริเฉทมากอย่าง พระสารีบุตรก็แจกแจงลงรายละเอียดประกอบ

    ก็สรุปว่า

    มันเป็น ลักษณะปรกติ ที่จะต้อง เอาปริยัติธรรมมาใช้ ในบางเวลา เพื่อให้อยู่ในกรอบ
    มีการร้อยเรียงอย่างดี เสมือนการ ร้อยมาลัยดอกไม้ ถ้าไม่ร้อยเอาไว้ ลมพัดบางเบา
    ก็ปลิว เคว้งคว้างล่องลอยตามสายลมโวหาร ของคนเรื่อยไป แค่เธอพอใจ
    ปลิวไปไม่มีพักเลย หัวใจไม่มีรับเลย ฮู๊ ฮู..

    แต่ คนที่ไม่เข้าใจ วิธีการถกเถียงของธรรมในศาสนาเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นสิ่งที่
    พระพุทธองค์ตรัสยกย่อง ก็หลงประเด็น ย่ำยี ลักษณะการสนทนาที่ใช้ ปริยัติ
    ธรรมเข้ามาร้อยเรียงกำกับ คิดว่า เป็นเรื่องของพวกฝุ้งซ่าน อวดรู้ อวดดี

    ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับ พระพุทธองค์ตรัสชมเชยยกย่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  6. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    ต้องเป็นสาวกวัดพระธรรมกายเท่านั้นเหรอถึงจะดีไปซะทุกเรื่อง นะจ๊ะ นะจ๊ะ
    ลองทำวิชชาขั้นสูงที่ร่ำลือว่าทำกันอยู่ในวัดของท่าน ให้ศาสดาของท่านหายจากโรคที่เป็นอยู่ให้ดูหน่อยสิ ได้ไหม..นะจ๊ะ

    ถ้าทำไม่ได้ ก็กรุณาเลิกโมเมเอาหลวงพ่อสดมาหากินซะที นะจ๊ะ

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม นะจ๊ะ..นี่สิแน่กว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ยังไงก็ ฝากเจ้าของกระทู้สังเกตใหม่

    เวลา คนมาถามคำถาม หากเขาเอา คำถาม ที่ สร้างศัพท์ขึ้นมาเอง เป็นคำ
    ที่มีแนวโน้มเข้าใจอยู่คนเดียว มัน สมควรไหมที่จะเอา ปริยัติ มาให้อ่าน

    ทีนี้

    หาก เกิดใครบางคน เขาร่ำสิ่งที่เป็นเนื้อหาปริยัติ ทำแล้วตรงเป๊ะ ไปหมด
    ลมหายใจหาย เหลือจิตดวงเดียวกัน ตะพึดตะพือ มันก็ไม่แปลกเลยที่เวลา
    นั้น จะมีคนมาโพสด้วยศัพท์แปลกๆ เฉพาะตัว

    พูดง่ายๆ

    การสนทนา มันมีทั้ง ดึงให้เข้ากรอบ และ ลองดึงออกนอกกรอบ อุปมา
    ก็เหมือนกับ การเลื่อยท่อนซุง ที่ไม่ใช่แค่ ชักไปชักมา มันต้องมีโยก
    ซ้ายโยกขวา กดฟันเลื่อยให้มันมีน้ำหนัก หนักเบา ปัญหามันก็จะตัด และ
    จำแนกออกได้

    ความฉันทะ ในการประกอบ ในการประพฤติ มันจะออกหัวออกก้อย เขาก็
    ตามดูกันตรงนั้น

    แต่ถ้าทักแล้ว ด้วยปริยัติก็ดี ด้วยจินตมัยปัญญาจากการปฏิบัติก็ดี หาก
    คนๆนั้น เขามี ความพอใจแอบแฝง ไปทางอื่น ไม่ใช่เพื่อธรรม มันก็
    จะเผย

    บางคนมากล่าวรู้นั่นรู้นี่ แต่พอเอา ปริยัติให้ รับ ก็ดิ้น เผยความต้อง
    การส่วนตัวออกมา นี่เราก็ได้ประโยชน์ตรงที่ทำให้ ความต้องการส่วน
    ตัวมันเผย

    แต่ เผยแล้ว ใครมีอุบายถอดถอนอย่างไร เขาก็คงไม่บอก คนๆนั้นหรอก
    ว่า เฮ้ย เดี๋ยวกูจะพูดไปทางนี้นะ เพื่อเป็นอุบายช่วยถอดถอนอัตตา หรือ
    ให้ระลึกเห็น ................ แล้วมันจะเป็น อุบายไหม

    ดังนั้น

    ถ้าไม่เข้าใจว่า ใครกำลังใช้อุบาย อะไรหรือเปล่า ก็ นั่งนิ่งๆ ไปก่อน

    และ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้อง ไปเต้นแร้งเต้นกาอะไร หาก อุบาย ที่คนเขา
    ใช้กันมันยังไม่ส่งผล

    ความเสียหายยังไม่เกิดเลย นู้นวิ่งไปในอนาคตนู้น ไปวาดภาพความลำบาก
    เอาเอง

    ทั้งๆที่ ปัจจุบัน มันก็ ทุกข์อยู่ด้วยตัวของคนแต่ละคนอยู่แล้ว

    สู้มาเป็น เพื่อนทุกข์เพื่อนสุข ไปก่อน ดีกว่า ( ถกเถียง กันบ้าง จะเป็นไรไป
    ไม่ได้ทำไปตลอดปี ตลอดชาติ นี่นะ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เฉพาะอันนี้ อยากกด โมทนา x 10
     
  9. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    มาทางนี้ๆๆ ใครขุ่นเคืองใจมาทางนี้

    เชิญด่าฟรีเราไม่คิดตัง อิอิ
     
  10. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    แล้วคุณเจ้าของกระทู้เป็นพวกส่วนมากหรือส่วนน้อยครับ[​IMG]
     
  11. jintanakarn

    jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +236
    อันที่จริงถึงศึกษาหรือไม่ศึกษาธรรมะตัวตนมันก็มีของมันอยู่แล้ว แต่พอได้มาศึกษาธรรมะที่ถูกต้อง ตัวตนก็เริ่มเบาบางลงได้จริงๆ แต่ที่ทุกๆท่านได้เห็นและเข้าใจว่านั่นคืออัตตาตัวตนของแต่ละท่าน โดยการอ่านข้อความของผู้ที่แสดงกันนั้นว่ามีตัวตนอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นคือตัวตนของเราเอง ท่านใดจะแสดงความเห็นยังไงก็แล้วแต่ความเห็นของทุกท่าน การแสดงความคิดเห็นเป็นแค่เพียงการบอกกล่าวความรู้ที่ตนมี ไช่ว่าจะถูกต้องทั้งหมดไม่ ผู้มีปัญญาที่แท้จริงย่อมรู้ได้เองและเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็ไม่ตำหนิผู้ใดให้ต้องเกิดการกระทำกรรมใหม่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มีปัญญาที่แท้จริงย่อมรู้ชัดว่าการกระทำใดๆไม่ว่าทางกาย วาจาและใจ นั้นย่อมมีเจตนาก่อให้เกิดกรรมได้ จึงเกิดความกลัวต่อการกระทำทางกาย วาจาและก็ใจในทางอกุศล แต่ด้วยความไม่รู้ก็กระทำอย่างที่เห็น เราเองจึงไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรให้ใครยังไง จะทำได้แค่เพียงเตือนสติเท่านั้นเอง แต่ในการเตือนสติก็ต้องใช้ปัญญาด้วยว่าควรใช้คำวาจายังไง ที่จะไม่ก่อให้เกิดกรรมที่เป็นอกุศลต่อตนเอง เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า หวังดีแต่ได้โทษมาแทน ฉนั้นข้อความต่างๆในที่นี้ ย่อมต้องมีประโยชน์เสมอต่อผู้ที่ต้องการศึกษาธรรมะจริงๆ การที่จะละตัวตนให้ได้จริงๆ ต้องยอมรับความเป็นตัวตนของผู้อื่นให้ได้ก่อน เมื่อยอมรับตัวตนของผู้อื่นได้แล้ว ตัวตนของเราก็จะเบาบางลงไปด้วย แต่ถ้ายังมีสิ่งที่คิดว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้อยู่ในจิตของเรา หาได้ละตัวตนที่แท้จริงได้ไม่ ซ้ำร้ายกลับเพิ่มตัวตนจนแยกไม่ออก ถ้าจะศึกษาธรรมะให้ได้ผล ก็ต้องศึกษาจากตำราและปฏิบัติควบคู่กันไปเสมอ ส่วนผลของการปฏิบัตินั้น จะแสดงออกมาอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง เมื่อเราเห็นตัวตนของตัวเองเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราเริ่มเข้าถึงธรรมะที่แท้จริงได้ ขออนุโมทนา
     
  12. ผู้บรรลุ

    ผู้บรรลุ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +41
    ธรรมะหนักๆวันนี้..
    "ถ้าท่านถือสาหาความกับคนบ้า ท่านก็บ้า.."
     
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คิดเอง เออเอง ถามเอง ตอบเอง ชงเอง กินเอง

    แน่ใจได้อย่างไรว่าเค้าจะคิดอย่างนั้น ขนาดจั่วหัวอย่างนี้ ยังไม่ค่อยมีใครมาโต้ตอบ ผมว่าเค้าคงเฉย ๆ กับคุณนะ

    ส่วนเรื่องสมมุติ ถ้ายังไม่พ้นสมมุติ อย่าริไปคิดว่ามันสมมุติ เดี๋ยวจะกลายเป็นสมมุติซ้อนสมมุติ ไปเพิ่มอุปทานซะมาก


    คนที่หมั่นไส้ อาจเป็นคุณก็ได้ เห็นออกมาโพสทำนองนี้ เรื่องเจตนาดีร้าย อยู่ที่การแสดงออกด้วย เจตนาดีแต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ทำเรื่องดีให้เป็นร้ายถมมีไป

    ผมก็ขำคุณนะ ความเห็นเหมือนเด็กเพิ่งจะโตดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  14. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    แล้วจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  15. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    ข้าพเจ้าขออภิวาทพระพุทธ
    ข้าพเจ้าขอนมัสการพระธรรม
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์

    ขออนุญาตท่านผู้รู้ทั้งหลายแสดงความเห็น ด้วยความเคารพ
    ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอออกตัวว่าเป็นผู้น้อย เนื่องจากอ่านสำนวนของท่านทั้งหลายแล้วคิดว่าคงเป็นผู้อาวุโสทางธรรมกันแล้วทั้งสิ้น

    ด้วยข้าพเจ้ามิได้รู้จักมักคุ้นกับท่านผู้ใดในเว็ปนี้เป็นการส่วนตัว จึงมิได้คิดมีอคติกับท่านผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะเจาะจง

    ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ติดตามเว็บนี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้วอย่างเงียบๆ โดยมิได้แสดงตัวออกความเห็น เพราะสนใจว่าเป็นเว็บพระพุทธศาสนาและเป็นที่ๆให้สติปัญญา(พาหลุดพ้น) ให้ข้อมูลหลายๆอย่างที่น่าสนใจ ข้อมูลบางอย่างก็หวือหวาแปลกออกไป ท้าทายความเชื่อ-สติปัญญาตามหลักกาลามสูตรของชาวพุทธ
    (ไม่เชื่อห้ามลบหลู่ หรือ ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ กันแน่นะ.. :d)

    ทุกวันนี้สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือปรากฏการณ์วิวาทะระหว่างเพื่อนสมาชิกชาวพลังจิตบ่อยๆ
    ไม่ต่างจากความเห็นใน youtube หรือเว็บทางโลกอื่นๆ ของคนไทย ซึ่งนั่นก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของชาวโลกที่ไม่มีธรรมะกำกับ เขาจะผรุสวาทออนไลน์กันอย่างใดก็ได้ตามเสรีอำเภอใจ จนบางครั้ง(ด้วยความสังเวชใจ) ข้าพเจ้าจึงได้เสนอตัว (โดยมิได้รับเชิญ)เข้าไปแสดงความเห็นบ้าง (ซึ่งก็มีน้อยจนแทบนับครั้งได้) หวังแก้ไขให้เกิดสัมมาทิฐิกับผู้อ่านท่านอื่นๆที่ได้มาติดตามภายหลัง ซึ่งอาจเป็นเยาวชน...
    แต่บางครั้งความเห็นเหล่านั้นกลับถูกระงับลบทิ้งเสีย แต่ความเห็นประเภท สะใจ เกลียดชัง สบถด่า..สัตว์เดรัจฉาน.. ก็ยังอยู่ดี!
    ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากำลังเกิดอะไขึ้นกับสังคมไทยขณะนี้
    ภายหลังข้าพเจ้าจึงได้นิ่งเฉย วางอุเบกขาเสีย...
    นึกถึงคำสอนของท่านพุทธทาสว่า " เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันก็ไม่เป็นทุกข์ "

    แต่ก็ยังแปลกใจว่าในที่นี้ เหตุใดท่านทั้งหลายที่ปวารณาตนเป็นพุทธบริษัทแล้วจึงยังมีความเห็นแตกแยก ทับถมทิ่มแทงกันถึงเพียงนี้
    ทั้งๆที่ทุกท่านก็ต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมวัฏสงสาร ลงนาวาลำเดียวกันทั้งนั้น

    ถ้าวันนี้ยังเป็นอย่างนี้..แล้วเราจะสร้างสังคมคุณภาพกันขึ้นมายังไง [Embarrass
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  16. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    ถอย 1 ก้าว ฟ้าทะเลกว้างไกล 55555+
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ดูอย่างชื่อกระทู้นี้สิ มันตรงกันข้ามกับชื่อกระทู้นี้เลย สรรเสริญเป็นของคู่กับนินทาจริง ๆ ทำใจ (เป็นกุศล) กันเถอะนะ
     
  18. ผู้บรรลุ

    ผู้บรรลุ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +41
    ปฏิบัติธรรมกันยังงัยเนี่ย แค่คนที่ตัวเองคิดว่าบ้า มาทักว่าตัวเองตัวตนเยอะก็โกรธ
    catt3
     
  19. ผู้บรรลุ

    ผู้บรรลุ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +41
    ผู้ที่มีตัวตนน้อย มีปัญญามาก จะไม่ให้น้ำหนักว่าผู้เตือนเป็นใคร ดีแล้วแค่ไหน
    แต่จะรีบพิจารณาว่า สิ่งที่เตือนนั้นมีประโยชน์หรือไม่
     
  20. ผู้บรรลุ

    ผู้บรรลุ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +41
    ตอบกลับท่าน อินทรบุตร

    สิ่งที่อ่านแล้วทำให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจนี้ มันเป็นเครื่องเตือนใจขอรับท่าน(ด้วยความเคารพจริงๆ) เรามักจะชินกับความพอใจที่มันเป็นไปตามสิ่งที่เราปราถนา ความพอใจนี้มันเห็นยากมันคลายความเป็นตัวตนได้ยากเพราะมันพอใจราบเรียบยากต่อการสังเกตุเห็น แต่ความรู้สึกไม่พอใจนี้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่มากระทบจิตใจตนแล้วทำให้จิตเศร้าหมองขุ่นมัว อันนี้เห็นง่าย เห็นได้ชัดเจนง่ายกว่าความพอใจ ว่าเรายังยึดติดกับกายนี้ใจนี้อยู่มาก ผมเป็นคนใหม่สำหรับที่นี่ แน่นอนว่าไม่ได้ศึกษาประวัติของแต่ละท่านหรอกว่ามีความรู้กันแค่ไหน แต่ให้เกียรติไว้ว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่นั้นความรู้ทางธรรมน่าจะเยอะกันอยู่ ผมจึงอยากจะให้โพสของผมนี้เป็นเครื่องเตือนสติว่า ธรรมที่เรารู้เยอะนั้น มันเข้าถึงใจเราแค่ไหน ถ้ามันเข้าถึงใจได้เยอะ เวลาที่ใครมาว่าเราบ้าแทนที่เราจะโกรธ เราก็ต้องพิจารณาตัวเราเองก่อนว่า เอ๊ะ เราบ้าจริงมั๊ย และจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ที่เวลาเราอ่านประโยคที่ทำให้ไม่พอใจแล้ว เกิดว่ามันจะโกรธ มันก็น่าพิจารณาต่อว่าทำไมเราถึงต้องโกรธล่ะ ก็ในเมื่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทุกอย่างนี้มันไม่ใช่ของเรา เราก็รู้กันอยู่แล้ว ก็เห็นมันเกิดดับหรือมีการเปลี่ยนแปลงกันบ่อยแน่ชัดอยู่แล้วว่ามันไม่ได้เป็นตัวเราเป็นของๆเราแน่ๆอย่างนี้ แล้วถ้าเราจะโกรธ มันจะถูกวิสัยหรือ??
    สาระของกระทู้นี้มีประมาณนี้แหละขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...