ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพิมพ์สมเด็จสกุลสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า พระพิมพ์นอกมาตรฐานวงการพระเครื่องยอดนิยมหรือพาณิชย์ นิยมเก็บสะสมเฉพาะกลุ่ม นำมาลงให้จดจำไว้ เผื่อสะดุดตาในกระบะแผงพระ จะได้นำมาเทียบเคียงกันได้ โดยขอให้ดูเนื้อหา คราบรารัก ผงตะไบทอง เป็นหลักก่อน โดยในภาพแยกเป็นแต่ละทรงพิมพ์ดังนี้

    1.พิมพ์ประธาน พิมพ์ A (ไม่ใช่พระประธาน เนื่องจากไม่มีพระเนตร พระนาสิกฯ)
    2.พิมพ์เกศชฎาพรหม
    3.พิมพ์ทรงเจดีย์
    4.พิมพ์ฐานแซม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2012
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่องานบุญของทุนนิธิฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้มีการสอนให้ดูพระพิมพ์สกุลนี้กันไปบ้างแล้ว หลายคนถูกใจ เมื่อได้เห็นองค์จริงๆ อย่างนี้ช่วยไม่ได้ ต้องไปขวนขวายหาเอาเองครับ แต่หากสนใจ ก็จะแนะนำร้านให้เป็นร้านที่รู้จักกันสนิทจริงๆ แถวท่าพระจันทร์ ถามมาก็แล้วกันครับเพราะไม่มีอะไรจะปิดบัง แต่บอกนิดนึง พระทุกองค์ที่แขวนเพื่อป้องกันชีวิตเรา ควรจะต้องมีการตรวจสอบทางจิตกันให้ดีก่อนเน้อ....เผื่อบางองค์เนื้อใช่ พิมพ์ใช่ แต่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ (โต) ไม่รับนิมนต์มาเสกให้ครับผม

    พันวฤทธิ์
    6/10/55
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    นั่งคิดดูแล้ว พระพิมพ์องค์นึงไม่กี่บาท เดี่ยวผมไปตามเก็บให้หมดก็แล้วกัน แล้วก็จะนำมาแจกกันตอนปีใหม่ที่จะถึงนี่ละ เอาซักหลังวันที่ 15 ธันวาฯ ก็แล้วกัน ใครขอมาก็จะให้เพียงคนละองค์เท่านั้นครับ แต่ต้องขอมาทาง pm.เท่านั้น เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว และก็ขอรับรองเลยว่า จะให้ครูอาจารย์ท่านตรวจทางจิตให้ทุกองค์ก่อนแจก เอาเป็น 100% ไปเลยว่าแท้แน่นอน แต่อาจจะหย่อนงามไปนิดนึง เพราะสวยๆ เค้าว่ากันหลักหมื่นแร่ว แต่โทดที บ่ฮู้บ่หัน ว่าสมเด็จฯ ท่านรับนิมนต์มารึเปล่าก็ไม่รู้ครับ


     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ธรรมะเป็นของละเอียดและลึกซึ้ง การรักษาใจก็เช่นกัน นำมาให้อ่าน เผื่อฝึกเป็นนิสสัยกันได้ ใช้เป็นเสบียงเลี้ยงตัวกันไปในภพหน้่า เหรียญหลวงปู่หลวงพ่อต่างๆ ที่ เช่าหากันมา โน่น เขาถอดไว้ตั้งแต่อยู่บนเตียงของโรงพยาบาลแล้ว จิตดวงเดียวนี่ละตามเราไป ลองรักษาดูครับ พรหมวิหาร 4 เส้นทางแห่งพรหมนี่ละ ของดีที่ควรเสาะหาและฝึกปฏิบัติกัน

    พรหมวิหาร 4


    [​IMG]

    พรหมวิหาร ๔ นี้เป็นกรรมฐานเลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งสมาธิ เลี้ยงทั้งปัญญา เพราะว่ามีพรหมวิหารสี่เสียอย่างเดียว อารมณ์จิตก็สบาย มีความเยือกเย็น เราจะเห็นว่าเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร สองอย่างนี้ก็สามารถจะคุ้มศีลให้บริบูรณ์ทุกอย่าง เพราะศีลทุกข้อคำจะทรงอยู่ได้ก็ต้องอาศัยเมตตาและกรุณาทั้งสองอย่าง

    เมตตาแปลว่าความรัก กรุณาแปลว่าความสงสาร ถ้าเรามีความรักเรามีความสงสารเสียแล้ว เราก็ทำลายชีวิตสัตว์ไม่ได้ ลักขโมยของเขาไม่ได้ ยื้อแย่งความรักเขาไม่ได้ พูดโกหกมดเท็จไม่ได้ ดื่มสุราเมรัยไม่ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อดื่มสุราเมรัย ถ้าเรามีความรักความสงสารคนทางบ้าน เพื่อน บิดามารดา เราก็ไม่สามารถจะทำความชั่วโดยขาดสติสัมปชัญญะ

    เป็นอันว่าใน พรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะสองประการ คือ เมตตา กรุณาทั้งสองประการนี้ สร้างความเยือกเย็นให้เกิดกับจิตสามารถทำศีลให้บริสุทธิ์ เมื่อศีลบริสุทธิ์สมาธิก็ตั้งมั่น ความเร่าร้อนของจิตไม่มี จิตไม่มีความกระวนกระวายก็เป็นสมาธิ มีข้อหนึ่งสำหรับด้านสมาธิจะใช้เฉพาะเมตตากรุณาทั้งสองประการก็ไม่พอ ต้องมีมุทิตา อุเบกขา อารมณ์จิตจึงจะทรงสมาธิได้มั่นคง

    มุทิตา ความมีจิตอ่อนโยน ตัดความอิจฉาริษยาออกจากจิต พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดีแล้ว อารมณ์อิจฉาริษยาตัวนี้เป็นอารมณ์ที่มีความร้ายแรงมาก เมื่อเห็นใครเขาได้ดีก็ทนไม่ได้เกรงเขาจะเกินหน้าเกินตาตัวไป หากมีมุทิตาคือตัดอิจฉาริษยาออก มันพ้นไปจากจิต ความเร่าร้อนมันก็ไม่มี เห็นใครเขาได้ดีแทนที่เราจะคิดว่าเขาเกินหน้าเกินตาไป กลับพลอยยินดีกับความดีที่เขาจะพึงได้ เพราะอาศัยความสามารถและบุญวาสนาบารมีของเขาเป็นสำคัญ อารมณ์มุทิตาจิตนี้สร้างความดีให้เกิด ในเมื่อใครเขาทำความดีได้ เราพลอยยินดีกับเขาด้วยเป็นอันช่วยให้เราดีขึ้น แทนที่จะทำลายเราให้เสื่อมไป คนที่เขาได้ดีมีความชอบก็เกิดมีความรักในเรามีความเมตตาในเรา แทนที่เขาจะเหยียดหยามกลับจะคบเป็นมิตรที่ดี เราก็มีความสุข

    สำหรับอุเบกขาในด้านสมถภาวนามีอารมณ์วางเฉย คือ เฉยแต่เฉพาะอารมณ์ที่เข้ามายุ่งกับจิตที่ไม่เนื่องกับอารมณ์ที่เราต้องการ อย่างเรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก จิตมันหยุดอยู่เฉพาะลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ไม่ไปยุ่งกับอารมณ์ภายนอกทั้งหมด คือไม่สนใจกับแสงสีใดๆ อย่างนี้เป็นต้น จะเห็นผลว่าอุเบกขาคือความวางเฉยในด้านสมถภาวนา มีอารมณ์ทำจิตให้ทรงตัว มีอารมณ์จิตเป็นฌาน

    รวมความว่าพรหมวิหาร ๔ มีประโยชน์ทั้งในด้านศีลและด้านสมาธิทั้งสองประการ ขอให้ท่านนักปฏิบัติผู้มีความปรารถนาในการทรงฌานให้เป็นปกติ ถ้าเราสามารถทรงพรหมวิหาร ๔ จิตก็ประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา คืออารมณ์เบาตลอดวัน ทั้งวันมีความรู้สึกรักในคนและสัตว์เสมอด้วยเรา ไม่คิดประทุษร้ายสัตว์ ไม่คิดจะทำลายสัตว์ เพราะมีความรักและมีความสงสาร จิตใจก็จะมีแต่ความเยือกเย็นเพราะอารมณ์ไม่เกิดเป็นศัตรูกับใคร อย่างนี้ใจสบาย ศีลไม่ขาด สมาธิก็ทรงตัว

    ต่อมาข้อมุทิตาเราก็ไม่มี ความอิจฉาริษยา เมื่อบุคคลอื่นได้ดีกลับมีจิตปรานีพลอยยินดีกับบุคคลที่เขามีความดี แสดงความยินดีร่วมกับเขา อันนี้ก็มีความสบายใจ

    ถ้ามีอุเบกขาเข้ามา ควบคุมใจเข้าไว้ไม่ยอมให้อารมณ์อื่นใดเข้ามายุ่งกับจิตไม่ทำอารมณ์ให้กระสับ กระส่าย อุเบกขาแปลว่าความวางเฉย ในเมื่อจับกรรมฐานกองใดกองหนึ่งขึ้นพิจารณาหรือภาวนา ก็ให้จิตทรงอยู่ในอารมณ์นั้น แสดงว่าจิตของเราจิตของบุคคลใดที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ จิตของบุคคลนั้นก็จะเป็นผู้ทรงฌานตลอดเวลาจำไว้ให้ดีนะ

    การที่เราทำอะไรไม่ได้ดีในด้านสมาธิจิตหรือวิปัสสนาญาณ เริ่มแต่การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ได้ก็แสดงว่าเราขาดพรหมวิหาร ๔ ถ้าอารมณ์จิตของเราตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา เรื่องฌานสมาบัติเป็นเรื่องเล็กจริงๆ เพราะฌานสมาบัติจะทรงขึ้นมาได้และศีลบริสุทธิ์ได้เพราะความเยือกเย็นของจิต ไม่มีความเร่าร้อนของจิต เมื่อจิตมีความเยือกเย็นไม่กระวนกระวายไม่กระสับกระส่าย ไม่มีความโหดร้าย ไม่คิดอิจฉาริษยา ทำร้ายใคร ใจก็เป็นสุข อารมณ์ก็เป็นกุศล เราจะทรงจิตในพระกรรมฐาน ๔๐ กอง แยกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ทรงไว้ได้ดี นี่เป็นอารมณ์ของฌาน

    มาว่ากันถึงวิปัสสนาญาณพรหมวิหาร ๔ เลี้ยงวิปัสสนาญาณให้มีการทรงตัวด้วย การที่มีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์จึงเป็นพระอริยะเจ้าได้ง่าย เราจะเห็นว่าการเป็นพระอริยะเจ้าอย่างพระโสดาบันจะต้องทรงศีลห้าบริสุทธิ์ แล้วเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เรียกว่าสรณาคมน์ครบถ้วนบริบูรณ์ คนที่มีพรหมวิหาร ๔ มีอารมณ์เมตตากรุณาทั้ง ๒ ประการแสดงว่าศีลไม่ขาดสักตัว เป็นอันว่าข้อที่เรียกว่า สีลัพพตปรามาส ย่อมไม่ปรากฏขึ้นกับจิต ถ้าทำลายสีลัพพตปรามาสเสียได้ มีศีลบริสุทธิ์ เข้าเป็นจุดพระโสดาบันข้อที่หนึ่ง

    สำหรับการเคารพในไตรสรณาคมน์ การที่เราทรงศีลบริสุทธิ์ก็แสดงว่าเรามีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อเราสมาทานว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เมื่อพระสงฆ์ให้ที่พึ่งคือ ศีลห้าประการและศีลแปดประการศีลอุโบสถก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีลห้าประการให้ปฏิบัติเป็นปกติ ให้เป็นประจำทุกวัน ในเมื่อเรามีพรหมวิหาร ๔ ศีลไม่ขาดทรงได้ ก็เป็นอันว่าเราเป็นพระโสดาบันได้อย่างง่ายดาย มีพรหมวิหาร ๔ เป็นของดีแบบนี้

    และประการที่ ๒ นอกจากความเป็นพระโสดาบัน เราจะเป็นพระอนาคามีเห็นว่าไม่ยากอีกเพราะเหตุว่าพรหมวิหาร ๔ เป็นเหตุทำลายความโกรธความพยาบาท ที่นี้มาเหลือแต่กามฉันทะ ในเมื่ออาศัยอารมณ์จิตทรงฌาน พิจารณาอสุภกรรมฐานประกอบอีกเพียงเล็กน้อยจิตก็จะเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี

    พูดถึงความเป็นพระอรหันต์ ถ้าจิตเที่ยงจริงถึงขนาดนี้แล้วก็เป็นของไม่ยาก เพราะพระอรหันต์ตัดเหตุที่เป็นอนุสัย คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา นี้เป็นของไม่ยาก แต่เป็นของละเอียด ความจริงก้าวเข้าสู่การเป็นพระอนาคามีนั้นก็มีความสุข เพราะว่าการจากชาตินี้ไปแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็ตาม เราก็ไม่กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เราก้าวเข้าไปสู่พระนิพพานเลยโดยไม่ถอยหลังลงมา

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำให้บรรดาพุทธบริษัทผู้ปรารถนาจะเข้า ถึงฌานสมาบัติและทรงมรรคผล ให้บรรดาพุทธศาสนิกชนทุกคนแผ่เมตตาจิตไปในทิศทั้งปวงเสียก่อน ในอันดับแรกก่อนที่เราจะทรงจิตเป็นสมาธิ ก็ตั้งใจแผ่เมตตาจิตและกรุณาความสงสารไปในทิศที่ครอบจักรวาลทั้งหมด โดยกำหนดจิตไว้เสมอว่าเราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งหมด เราจะสงเคราะห์คนและสัตว์ที่ได้รับความทุกข์ยากให้มีความสุขตามฐานะของกำลัง ที่เราพอจะช่วยได้ เราเปล่งวาจาและคิดออกไปแบบนี้ด้วยความจริงใจเป็นปกติทุกวัน ต่อไปก็จะเกิดอาการชิน อารมณ์จิตของเราจะไม่มีความโกรธไม่มีความพยาบาท ไม่มีความเคียดแค้นมุ่งประทุษร้ายใคร ขึ้นชื่อว่าศีล ๕ ประการที่จะละเมิดมันจะขาดไปได้ก็เพราะอาศัยความชั่ว ความเลวทรามของจิต ความโหดร้ายของจิต เมื่อจิตมีความโหดร้าย เราก็ฆ่าสัตว์ได้ ฆ่าคนได้ ลักขโมยเขาได้ ยื้อแย่งความรักเขาได้ พูดโกหกมดเท็จได้ ทั้งนี้จิตประกอบไปด้วยความรักความสงสารมันก็ทำอะไรไม่ได้ทุกอย่างที่ชื่อ ว่าความชั่ว อารมณ์แบบนี้ถ้าเรานึกอยู่ตลอดวันว่าเราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งหมด เราจะมีความรักและเกื้อกูลให้ทุกคนมีความสุข

    ใหม่ๆมันก็ลืมบ้าง เหมือนกัน อาจจะมีอาการเผลอ เมื่อทำนานๆ จะเกิดอาการเคยชินมันก็เป็นปกติของจิต เรียกว่าไม่ต้องระมัดระวังเรื่องความโกรธจริงๆ ความคิดประทุษร้ายพยาบาทจองล้างจองผลาญบุคคลอื่นก็ไม่มี ถ้าเราจะสงสัยว่ามันจะชินได้อย่างไร ก็ดูตัวอย่างบทสวดมนต์ที่พวกเราท่องกัน ท่องกันเกือบล้มเกือบตายกว่าจะได้แต่ละบท และต่อมาก็ได้ตั้งหลายๆ บททั้ง ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน เราก็ได้กัน ปาฏิโมกข์เราก็สามารถจะสวดได้ภายหลังที่สวดได้คล่องแคล่วโดยมากเราสวดอย่าง ชนิดไม่ต้องนึก ใครเขาขึ้นต้นบทมาเราก็ว่าไปได้โดยไม่ต้องคิด เพราะว่าอาการชินของจิตที่มีความจดจำเป็นปกติ พอขึ้นนะโมก็ว่าไปได้เรื่อยๆ ทุกบท ใครเขาขึ้นบทไหนก็ว่าบทนั้นได้โดยไม่ต้องนึกถึงตัวหนังสือ ข้อนี้เป็นข้อเปรียบเทียบให้เห็นว่า แม้ แต่การใช้พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ใหม่ๆ เราก็มีการอดลืมไม่ได้อาการเคยชินจิตที่เป็นพรหมวิหาร ๔ ก็เกิดเป็นสภาวะปกติ มีความรักเป็นปกติ มีความสงสารเป็นปกติ มีจิตใจอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร พลอยยินดีกับบุคคลอื่นที่ได้ดีเป็นปกติ

    สำหรับ อุเบกขาความวางเฉยในด้านวิปัสสนาญาณไม่ช้ามันก็ปกติคือ วางเฉยในสังขารที่เรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ ร่างกายมันจะแก่มันจะเสื่อม มันจะป่วยไข้ไม่สบาย จะมีอาการพลัดพรากจากของรักของชอบใจหรือความตายจะเข้ามาถึงตัว อารมณ์มันก็เฉย อุเบกขานี่เฉย เฉยตอนไหน เฉยตอนคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดมาและสัตว์ที่เกิดมา มันมีสภาพความไม่เที่ยงเป็นปกติ เมื่อไม่เที่ยงแล้วมีความเปลี่ยนแปลงไปเราก็กลับไม่ทุกข์ เพราะถือว่าปกติของมันเป็นอย่างนั้น เมื่อความตายจะเข้ามาถึงจริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

    เมื่อจิตยอมรับนับถือว่ามันเป็นธรรมดา ความหวั่นไหวก็ไม่เกิดขึ้น จิตมีความวางเฉยมีอารมณ์สบาย ทางด้านวิปัสสนาญาณถ้าวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งหลายได้มี โลภะความโลภ ราคะความรัก โทสะความโกรธ โมหะความหลง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันยั่วยวนจิตให้เกิดอารมณ์เยือกเย็นและความเร่าร้อน แปลว่าจิตของเรา ถ้าวางเฉยจากอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ได้ถือว่ามันไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีความสำคัญก็ชื่อว่าเราใช้พรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะอุเบกขาได้ครบถ้วน อยู่ในขั้นที่เรียกว่าสังขารุเบกขาญาณ คือวางเฉยในขันธ์ห้า

    โดยยึด ถือว่า ขันธ์ห้า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่มีในเราเพีนงแค่นี้ก็จะเห็นว่าความเยือกเย็นของจิตเมื่อเกิดขึ้น เต็มที่ โดยเฉพาะวิปัสสนาญาณที่เราเจริญมาก็ไม่เสื่อมคลาย ในเมื่อการทรงวิปัสสนาญาณ คือสังขารุเบกขาญาณได้ เพราะอาศัยอุเบกขาจิตเป็นสำคัญ นี่ความเป็นพระอริยะเจ้าก็เข้ามาใกล้ เรียกว่าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าได้ทันทีทันใด เพราะอะไรล่ะ เพราะเราปลดร่างกายเสียได้แล้ว ปลดสักกายทิฏฐิ คือความเห็นว่าสภาพร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ยึดถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จิตสบายเป็นสังขารุเบกขาญาณ ในเมื่อวางขันธ์ห้าเสียได้แล้วอย่างนี้ก็ชื่อว่าการปฏิบัติจิตของเราเข้า ขั้นถึงความเป็นอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา



    [​IMG]

     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    [​IMG] หลวงปู่เสาร์ ปรารถนาปัจเจกภูมิ
    [​IMG] หลวงปู่มั่น ปรารถนาพุทธภูมิ

    โดย
    พระธรรมวิสุทธิมงคล
    (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
    วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

    [​IMG] [​IMG]

    พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม ได้ทรงทำนายใครแล้วนั้น
    เรียกว่าลบไม่สูญเลย เช่นคนนี้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า
    กำลังเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนา
    พุทธภูมิจะเป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้า
    พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูแล้วยืนยันแล้วว่าในกัปกัลป์นั้น
    เธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอย่างนั้น
    แล้วสาวกข้างซ้ายชื่อว่าอย่างนั้น ข้างขวาชื่อว่าอย่างนั้น
    นี่ยังไงก็ลบไม่สูญเลยแน่แล้วนั่น จะต้องถึงจุดนั้นเลย

    ถ้ายังไม่ได้ทรงทำนายแล้วพลิกได้นะ คือจะไปนี้ยังไม่ถึงไหนเลย
    ปลีกออกเสียจากพุทธภูมิไปเป็นสาวกภูมิเสียก็ได้
    อันนี้ก็ยกตัวอย่างเช่น หลวงปู่มั่น เรา
    ท่านเคยเล่าให้ฟัง ทีแรกท่านปรารถนาเป็นพุทธภุมิ
    ท่านว่างั้นนะ เพราะฉะนั้นลวดลายของท่านจึงมี
    ความรู้ความฉลาดนี้เป็นลวดลายของพุทธภูมิยังติดอยู่ในนั้นนะ
    ทีนี้เวลาท่านพิจารณา พอจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร
    มันจะพุ่งทีไร พุทธภูมิจะผ่านเข้ามาๆ
    ก็ทำให้เสียดายพุทธภูมิถอยเสีย ท่านว่าเป็นงั้นนะ
    พอกำหนดเข้าไปที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร เรื่องพุทธภูมิจะสวนกันเข้ามาเลย
    เสียดายพุทธภูมิ ก็ถอยเสีย

    ทีนี้หลายต่อหลายครั้ง เอ๊ ว่าเป็นพุทธภูมิ ก็ไม่ได้ประมาทพระพุทธเจ้า
    ความสิ้นกิเลสสิ้นด้วยกัน
    เป็นแต่เพียงทำประโยชน์ให้โลกได้มากน้อยต่างกันกับสาวกเท่านั้นเอง
    เราได้แค่นี้เราก็เอาละ
    เราไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม
    ขอให้จิตบริสุทธิ์อย่างเดียวแค่นี้ก็เอาละ
    พออย่างนั้นท่านก็ขอหยุดอธิษฐานเป็นพุทธภูมินะ
    จากนั้นจิตก็พุ่งเลยท่านว่า อย่างนั้นแล้วอารมณ์อันนี้ไม่ครอบ
    นี้คือยังไม่ได้รับลัทธิพยากรณ์
    พระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งยังไม่พยากรณ์
    ถ้าลงได้พยากรณ์แล้วยังไงก็ลบไม่สูญเลย พุ่งถึงนั้น ถึงจุดนั้นเลย
    เรียกว่าลบไม่สูญ ลงเป็นอย่างนั้นแน่นอน
    ถ้ายังไม่ทำนายนี้มันเอียงได้ เอียงนั้นเอียงนี้ไปได้

    อย่างหลวงปู่มั่นท่านเล่าให้ฟัง เพราะฉะนั้นนิสัยพุทธภูมิของท่านยังมีอยู่
    ลวดลายของพุทธภูมิยังมี ความรู้ภายนอกภายในอะไรนี้คล่องแคล่วทุกอย่าง
    เรื่องจิตรวมฟาดนี้เหาะเหินเดินฟ้า
    ใครจะเก่งยิ่งไปกว่าท่านอาจารย์มั่นวะ
    พรึบนี้ลงพื้นปฐพี พรึบไปเลย ผึงนี้ก็ขึ้นเลย
    อันนี้ท่านเล่าให้ฟัง
    จนกระทั่งท่านอาจารย์เสาร์ท่านว่า
    ท่านมั่นนี้มันผาดโผนเกินไป

    [​IMG] [​IMG]

    ท่านอาจารย์เสาร์ ท่านไม่ค่อยชอบพูด
    ท่านปรารถนาปัจเจกภูมิ แต่ท่านก็พลิกอย่างเดียวกัน
    เพราะฉะนั้นนิสัยท่านจึงไม่ชอบพูด นั่งที่ไหนเหมือนหัวตอ
    ไม่พูดไม่คุยกับใครเลย
    ถ้าจะพูดก็ เออ พากันทำบุญนะ บาปมันเผาหัวเด้ เท่านั้นแหละไม่มาก
    บาปมันเผาหัวทั้งนั้นแหละ บุญเป็นความสุขเท่านั้น ท่านไม่พูดมากเป็นพระปัจเจก

    ทีนี้เวลาท่านอาจารย์หลวงปู่มั่นเรานี้เล่าเรื่องภาวนาสู่ท่านฟัง
    เล่าภาวนาทีไรก็ฟาดไปแต่เรื่องปิติเรื่องตัวลอย
    สำหรับท่านอาจารย์เสาร์นี้ พอนั่งภาวนานี้ตัวลอยขึ้นๆ ลอยทีแรกขึ้นไปได้เมตรหนึ่ง
    พอรู้สึก เอ๊ นี่เหมือนตัวลอย ลืมตาขึ้นมา จิตมันปล่อยหมด มันก็หนัก ตูมลงเลย เจ็บเอว
    โหย ตั้งหลายวัน ท่านว่า คือมันเป็นทีแรกท่านสงสัย
    เอ๊ นี่ทำไมเหมือนตัวลอยน้าท่านว่างั้น
    เหมือนว่าตัวลอยขึ้นๆ เลยลืมตาขึ้น มันไม่มีกำลังพยุงใช่ไหมล่ะ

    ตั้งแต่นั้นมาท่านเลยทดลองใหม่ เอาใหม่
    ทีนี้ท่านเอาเช่นอย่างท่านเอาเศษไม้หรืออะไรไปเหน็บไว้
    เพื่อความแน่นอนท่านว่า
    พอมันลอยขึ้นไป คือพยุงจิตไว้นะ นี่ละถ้ามันเจ็บแล้วต้องเข็ดเข้าใจไหม ต้องพยุง
    ทีนี้พยายามดู พอขึ้นไปๆ ถึงหญ้า พอถึงหญ้าแล้ว ท่านก็เอามือคลำจับเอาอันนี้ออกมา
    แล้วท่านก็ค่อยลืมตา จิตท่านก็ยับยั้งเอาไว้นะไม่ปล่อย
    ถ้าปล่อยก็ตูมเลย ค่อยพยุงๆ แล้วค่อยลงๆ กี๊กถึงพื้นๆ
    นี่พลังของจิตพยุงไว้
    ถ้าปล่อยอย่างที่ท่านตกใจนั่นนะ พอขึ้น โอ๊ย มันตก
    พอว่างั้น จิตมันออกหมดทั้งตัวมันก็ตูมเลย จากนั้นมา ท่านก็พยุง

    นี่ท่านพูดถึงเรื่องจิตของท่าน
    จิตของท่านเป็นอย่างนี้นะ
    จิตของผมมันไม่เป็นอย่างนั้น ว่างั้นนะ
    ทีนี่ มันเป็นยังไงท่านว่า
    โอ๊ย เวลามันลงนี้ฟาดนี้ทะลุแผ่นดินนี้ไม่มีเหลือพุ่งลงเลยพื้นพิภพพิเภ็พ
    ทีไหนก็ไม่ทราบ เวลามันขึ้นก็พุ่งเลย
    โอ๊ย มันพิลึกท่าน ท่านไม่พูดมากละ พิลึกท่าน พูดอย่างนั้น
    จิตของผมยังไม่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แหละ
    จิตของท่านมันพิลึก ท่านว่านี่คือความผาดโผนของจิต
    หลวงปู่มั่นเรานี้ไปแบบหนึ่ง
    ส่วนหลวงปู่เสาร์ก็ไปอย่างนี้แหละ ไปเรียบๆ
    นี่ก็อัฐิเป็นพระธาตุเหมือนกันนะ
    หลวงปู่เสาร์ เป็นพระธาตุ
    หลวงปู่มั่นก็เรียกว่าเป็นมาแล้ว
    นั่นก็เป็นตั้งแต่ นู้นแหละ ตั้งแต่มรณภาพแล้วทีแรก

    หลวงปู่เสาร์ก็เป็นเหมือนกัน
    ท่านเป็นคู่กัน ไปที่ไหนไปด้วยกัน ท่านติดกันมาตั้งแต่นู้นแหละ
    นี่ละสององค์นี้เบิกกรรมฐานเรานะ
    จากนั้นก็หลวงปู่มั่นเป็นผู้เบิกจริงๆ เบิกกรรมฐาน
    จึงได้มีร่องรอยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ มาจากหลวงปู่มั่นเรา

    [​IMG] [​IMG]

    ที่มา : พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน).
    ชาติสุดท้าย, หน้า ๑๔-๑๗.
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เห็นวางขายแบกระดินข้างทางเดินแถว ท่าพระจันทร์นี่ล่ะ เจอของจริง ที่เรียกว่าพระวังหน้า กลุ่มพระอภิญญาสมัยนั้นเช่นท่านหลวงพ่อเงินฯ ขรัวตาต่างๆ เสก ความแรงละพระสมัยนี้เทียบยากจริงๆ แต่สมัยนี้เห็นที่วางขายดันผ่าติดแผ่นทองซะด้วยไม่อยากมอง แผ่นทองใหม่มาก เอาตามแบบนี่ดีกว่าต้นตำรับ ไม่ต้องมีแผ่นทอง ดูแต่ความเก่าของชาดและทองก็พอ ใช้ได้ทีเดียว ราคาอย่างนี้ ร้อยเดียวก็ถือว่าแพงแล้ว ต่อให้ต่ำกว่าหน่อยก็แล้วกันสัก 50 ยังพอไหว

    [​IMG]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2012
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพิมพ์สมเด็จสกุลเจ้าคุณกรมท่า พระนอกมาตรฐานวงการพระเครื่องนิยม
    1.พิมพ์ปรกโพธ์
    2.พิมพ์ฐานแซม
    3.พิมพ์พระประธานฐานแซม

    งดงามแค่ไหนดูกันเอาเองครับ อยากรู้ประวัติท่าน ถามกูเกิลเอา แต่อยากรู้ลึกๆ ต้องมาร่วมกิจกรรมกันทุกเดือน มีคนเล่าให้ฟังแบบถึงเนื้อถึงกระดูกทีเดียวตอนนี้ศึกษาจากรูปไปก่อน ขยายใหญ่ให้เรียบร้อย เชิญทัศนาตามอัธยาศัยได้เลย มีรูปอีกเพียบครับ

    ลงเพิ่ม พระพิมพ์สมเด็จ สกุลปัญจสิริ (พระพิมพ์สกุลนี้ที่มาของชื่อตามที่ ท่าน อ.ประถม อาจสาคร ท่านค้นคว้า และรจนาไว้ครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ProkPho 3.JPG
      ProkPho 3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      485.7 KB
      เปิดดู:
      53
    • ProkPho 4.JPG
      ProkPho 4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      560.4 KB
      เปิดดู:
      67
    • Thansam 1.JPG
      Thansam 1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      567.3 KB
      เปิดดู:
      54
    • Thansam 3.JPG
      Thansam 3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      624.7 KB
      เปิดดู:
      48
    • Thansam 2.JPG
      Thansam 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      623.6 KB
      เปิดดู:
      79
    • Thansam 4.JPG
      Thansam 4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      657.3 KB
      เปิดดู:
      57
    • Thansam PraPrathan 1.JPG
      Thansam PraPrathan 1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      636.5 KB
      เปิดดู:
      46
    • Thansam PraPrathan 2.JPG
      Thansam PraPrathan 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      540 KB
      เปิดดู:
      49
    • Thansam PraPrathan 3.JPG
      Thansam PraPrathan 3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      566.9 KB
      เปิดดู:
      45
    • DSC_0180.jpg
      DSC_0180.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.9 KB
      เปิดดู:
      44
    • DSC_0182.jpg
      DSC_0182.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.5 KB
      เปิดดู:
      40
    • DSC_0184.jpg
      DSC_0184.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.5 KB
      เปิดดู:
      42
    • DSC_0185.jpg
      DSC_0185.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.8 KB
      เปิดดู:
      47
    • DSC_0186.jpg
      DSC_0186.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.6 KB
      เปิดดู:
      31
    • DSC_0188.jpg
      DSC_0188.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.8 KB
      เปิดดู:
      41
    • DSC_0190.jpg
      DSC_0190.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.8 KB
      เปิดดู:
      43
    • DSC_0191.jpg
      DSC_0191.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.4 KB
      เปิดดู:
      50
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2012
  8. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2012
  9. พิช

    พิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +596
    ร่วมทำบุญเดือนตุลาคมครับ 500 บาท โอนแล้วเมื่อวานนี้จากบช.ธนาคารกรุงไทย ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้วันศุกร์ มาแนะนำพระเครื่องดีเหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้แนะนำพระเครื่องและท่านผู้เสก ซึ่งในขณะนี้ยังดำรงขัีนธ์อยู่มาให้ด้วย ซึ่งกระทู้ที่เกี่ยวกับท่านนี้ ก็อยู่ในเวบพลังจิตด้วยเหมือนกัน สำหรับตัวท่านนั้น ผมหายสงสัย เพราะเคยลูบคลำพระของท่านรวมถึงได้กราบ ได้อาบน้ำมนต์ ได้ดูวัตรปฏิบัติของท่านมาแล้ว ถือได้ว่าเป็นพระสงฆ์ระดับพลังจิตที่ไร้เทียมทานจริงๆ ไม่แนะนำมากแระ ลองเข้าไปดู ไปตามเก็บ ตามจีบ รวมถึงหากมีโอกาสก็ไปกราบท่านซะดีๆ ครับ เค้ามีกระทู้เรื่องเล่าประสบการณ์ของท่านอยู่ ลองเข้าไปอ่านทีละหน้าๆ รับรอง ถ้าไม่อยากกราบท่าน ผมว่าอย่ามาหาเช่าพระเครื่องเลย ศุกร์นี้แนะนำแค่นี้ล่ะ...เกือบลืม ใครไปกราบท่าน ๆ ก็จะแจกพระกลับบ้านให้ฟรีทุกคนเช่นกันครับ

    พันวฤทธิ์
    12/10/55

    เข้ากระทู้ตามนี้ครับ

    http://palungjit.org/หลวงพ่อสิริ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พรหมวิหาร กับการวางใจไว้ให้ถูกที่ ให้สวยงาม

    การใช้พรหมวิหารธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในที่นี้ย่อมเหมาะสมยิ่ง ผู้ได้รับกรรมถึงเป็นถึงตาย หรือได้รับความทรมานบาดเจ็บมากน้อยหนักเบา สูญเสียต่างๆ ก็ตาม ในฐานะผู้ดูเราต้องปลงใจลงว่า นั่นเขาได้รับผลแห่งกรรมที่เขาเองต้องเคยทำมาแล้ว

    ส่วนผู้ทำกรรม ก่อความทุกข์ความทรมานเสียชีวิตเสียเลือดเนื้อ หรือทรัพย์สินเงินทองแก่ผู้อื่นนั้น ในฐานะผู้ดูเราต้องพยายามคิดให้พอเข้าใจว่า เขาตามกันมาเพื่อทวงหนี้กรรม จิตใจของทั้งสองฝ่ายทุกข์ร้อนด้วยกัน ไม่มีฝ่ายใดเป็นสุขได้เลย

    เราต้องไม่เข้าไป ร่วมความร้อนรนนั้นด้วย ถ้าเราไปมองผู้ทำกรรมอย่างโกรธแค้นเกลียดชังในความร้ายกาจโหดเหี้ยมอำมหิต ของเขา เราก็จะทำร้ายตนเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนทำ พึงใช้เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในคู่กรณีทั้งสองฝ่าย เมตตาที่เขาต้องทุกข์ด้วยกัน

    เราทำบุญกุศลใดไว้ ก็ตั้งความกรุณาอุทิศให้ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขาทั้งสองฝ่าย ให้ตัวของเขาด้วย เพื่อให้พอมีความสงบเย็นแม้เท่าที่กำลังจิตของเราสามารถช่วยได้ ขณะเดียวกันมีมุทิตายินดีกับตัวเองกับใครทั้งหลายอื่น ที่ไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นคู่กรณี

    ไม่ต้องมีจิตใจที่เร่าร้อนทนทุกข์ทรมาน และมีอุเบกขาคือ พยายามวางใจเป็นกลาง ไม่เอียงไปเมตตากรุณาฝ่ายหนึ่งจนทำให้คิดไม่ดีในอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ใจตั้งอยู่ในเมตตาทั้งสองฝ่าย

    ที่สำคัญการวางใจนี้ต้องให้เป็นไปอย่างจริงใจ เมตตาอย่างจริงใจ กรุณาอย่างจริงใจอุเบกขาอย่างจริงใจ นั่นแหละจึงจะเป็นกรรมดีที่สมบูรณ์จริง อันจักให้ผลดีได้จริง

    : ธรรมเพื่อความสวัสดี
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    http://www.dhammajak.net
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ผู้แผ่เมตตา จะได้รับคุณแห่งเมตตาด้วยตนเองก่อน

    เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก นี้เป็นธรรม นี้เป็นสัจจะ นี้เป็นสิ่งที่แทบทุกคนเคยได้ยินได้ฟัง และน่าจะเคยพูดออกจากปากตนเองมาแล้วเป็นส่วนมาก แต่จะมีความเข้าใจในความหมายลึกซึ้งเพียงไหน ก็ย่อมไม่เหมือนกัน และที่จะถึงใจในสัจจะนี้เพียงไหนก็ไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องเฉพาะจิตของแต่ละคน

    อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่า ทุกคนปรารถนาจะได้รับเมตตา ไม่มีผู้ใดปรารถนาจะให้ผู้อื่นขาดความเมตตาในตน ถ้าทุกคนระลึกถึงความจริงว่า เมตตาเป็นสิ่งที่สวยงามมีค่าสำหรับตนเป็นที่ปรารถนาของตน เมตตาก็เป็นสิ่งสวยงามมีค่าสำหรับผู้อื่นและเป็นที่ปรารถนาสำหรับผู้อื่น เช่นเดียวกัน

    ถ้าทุกคนระลึกถึงความจริงว่าดังกล่าวนี้ไว้เสมอ จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจ ก็จะเป็นที่ประจักษ์ชัดจริง ๆ ว่า เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลกแน่นอน โลกก็มิได้หมายถึงอะไรที่ไหน ก็หมายถึงตัวเรานี้แหละป็นสำคัญ ตัวเราของทุกคนนี้แหละคือโลก เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนตัวเราทุกคนนี้แหละ

    อันเครื่องค้ำจุนทั้งหลายก็เช่นเดียวกับเมตตา เช่นไม้ค้ำ แม้เป็นไม้เล็กๆ เพียงอันเดียว ก็จะมีกำลังค้ำเพียงนิดเดียว ให้ความปลอดภัยมั่นคงแก่สิ่งที่ค้ำได้เพียงนิดเดียว แม้เป็นไม้ใหญ่หลายอันก็จะมีกำลังค้ำจุนมาก ให้ความปลอดภัยแก่สิ่งที่ค้ำได้มาก

    เมตตาก็เช่นเดียวกัน เมตตาเพียงเล็กน้อยก็ให้ความค้ำจุนอบอุ่นปลอดภัยแก่โลก คือตัวเราทุกคนนี้แหละเพียงเล็กน้อย เมตตาอย่างยิ่งก็ให้ความค้ำจุนอบอุ่นปลอดภัยแก่โลก คือตัวเราทุกคนนี้แหละได้มากมาย อันแรงค้ำจุนของเมตตาที่จะให้ความอบอุ่นปลอดภัยร่มเย็นเป็นสุขแก่โลก คือตัวเรานี้นั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยากจะเข้าใจได้ง่ายๆ

    และการค้ำจุนของเมตตาก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก ไม่เหมือนกับการค้ำจุนของเครื่องค้ำจุนอันเป็นวัตถุทั้งหลาย อันวัตถุเครื่องค้ำจุนทั้งหลายนั้น เราไปจัดวาง เพื่อค้ำจุนสิ่งใดก็จะค้ำจุนเพียงเฉพาะสิ่งนั้นให้มั่นคงดำรงอยู่ แต่เมตตาเครื่องค้ำจุนนั้นมิได้เป็นแบบเดียวกับวัตถุเครื่องค้ำจุน

    เราแผ่เมตตาไปในผู้อื่นสัตว์อื่น ผู้ที่ได้รับผลจากเมตตาเครื่องค้ำจุนก่อนผู้อื่นสัตว์อื่น คือตัวเราผู้แผ่เมตตานั้นเอง แม้ผู้อื่นสัตว์อื่นจะได้รับความค้ำจุนจากเมตตาของเรา แต่ก็จะได้รับที่หลัง จะไม่ได้รับก่อนผู้แผ่เมตตาเป็นอันขาด ฟังแล้วไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นจริงเช่นนี้


    : พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    http://www.dhammajak.net
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    <hr>
    [​IMG]

    รักษาใจให้ดีที่สุด รักษาความคิดที่จะเกิดขึ้นในใจให้ดีที่สุด

    อย่าให้เป็นความคิดที่จะนำให้ทำบาปอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น มีสติอย่าให้ความคิดไม่ดีเกิดได้ในจิตใจ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้พูดไม่ดีได้ สามารถป้องกันไม่ให้ทำไม่ดีได้ และการไม่พูดไม่ดีก็ตาม การไม่ทำไม่ดีก็ตาม เป็นคุณสมบัติวุดวิเศษของความเป็นมนุษย์

    ดังนั้น การรักษาใจให้งดงามด้วยความคิดที่งดงาม จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่งของเราท่านทั้งหลายผู้เกิดแล้วเป็นมนุษย์ด้วย อำนาจของบุญ เพราะการรักษาใจให้งดงาม มีความคิดที่งดงาม ก็เท่ากับเป็นการควบคุมกายวาจาให้งดงามด้วย

    ใคร่ขอให้เข้าใจความหมายของคำงดงาม ที่นำมาใช้ในที่นี้ ว่ามิได้มีความหมายธรรมดาๆ เหมือนความสวยงาม อะไรทำนองนั้น แต่มีความหมายที่ลึก กว้าง มิใช่งดงามธรรมดา

    ซึ่งความถูกต้องเป็นเช่นนั้น ใจที่พ้นจากความคิดที่จะนำให้เกิดบาปอกุศล คือเกิดการพูดชั่วทำชั่ว ต้องเป็นใจที่งามพิเศษอย่างแท้จริง ควรที่ผู้ใฝ่ดีมีปัญญาทั้งหลายจะพากันพยายามรักษาใจของตนให้มีความงามนั้น เพื่อได้เป็นผู้งามพร้อมในวันหนึ่ง ได้มีตนเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ที่ไม่มีที่พึ่งอื่นใดเปรียบได้

    : แสงส่องใจ มาฆบูชา พ.ศ. ๒๕๔๕
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    http://www.dhammajak.net
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระสมเด็จปีระกาป่วงใหญ่ หรือพระพิมพ์สมเด็จกรุวัดบางน้ำชน เจริญกรุง พระพิมพ์สมเด็จที่ลือลั่นในอดีต ลงไว้ให้ดูเผื่อเจอในแผงพระต่างๆ (4 องค์แรก)

    ส่วนอีก 3 องค์หลัง เป็นพระพิมพ์สมเด็จ สกุลเจ้าคุณกรมท่า นำมาลงเืพื่อเปรียบเทียบให้ดูเนื้อหากันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_0170.jpg
      DSC_0170.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.6 KB
      เปิดดู:
      82
    • DSC_0174.jpg
      DSC_0174.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.3 KB
      เปิดดู:
      57
    • DSC_0175.jpg
      DSC_0175.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.9 KB
      เปิดดู:
      46
    • DSC_0178.jpg
      DSC_0178.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.2 KB
      เปิดดู:
      46
    • PB010412.JPG
      PB010412.JPG
      ขนาดไฟล์:
      546 KB
      เปิดดู:
      73
    • ProkPho 2.JPG
      ProkPho 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      541.4 KB
      เปิดดู:
      205
    • ProkPho 4.JPG
      ProkPho 4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      560.4 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2012
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ในเวบนี้ เห็นมีการนำมาให้เช่าอยู่หลายกระทู้ แนะนำให้เลยก็ได้ หลวงปู่คำบุ จ.อุบลฯ นี่ละ อย่านึกว่าโนเนมเชียว นี่ละพระอภิญญาจารย์สายบู๊เต็มกำลังเลยทีเดียว ใครชอบบู๊แบบสำเร็จลุน นิมนต์ท่านได้เลย รับรองไม่ผิดหวังครับ
     
  16. taroball

    taroball ทีม ธรรมทาน ทีม ธรรมทาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    858
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,355
    อนุโมทนาครับ

    ร่วมโอนเงินทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธจำนวน 501 บาท โอนเงินไปแล้ววันที่ 17/10/12 เวลา 11:00 ครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    ปฏิบัติบูชา
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต



    พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ปฏิบัติบูชาเป็นบูชาอย่างเลิศสูงสุด”
    คือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ เป็นการบูชาอย่างถูกพระทัย
    และเป็นการสนองพระคุณพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุด


    คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักหัวใจสำคัญที่สุด
    ก็คือ ทางกาย วาจา ใจ ทิฏฐิ ความเห็นด้วยปัญญา

    (๑) ศีล
    คือ การฝึกกาย วาจา ให้สุภาพ อ่อนโยน
    นิ่มนวล ละมุนละไม ไม่มีเวร ไม่มีภัยกับใครๆ

    เป็นเหตุให้ผู้ประสบพบเห็นเกิดความรัก ความเอ็นดู
    ความเมตตา กรุณาปรานี และเกรงใจ
    ศีลเป็นเสน่ห์สำคัญ ให้เกิดความรัก ความเอ็นดู กรุณาปรานี
    ช่วยอนุเคราห์-สงเคราะห์ ให้สำเร็จกิจที่ประสงค์ได้อย่างนี้

    (๒) สมาธิ
    คือ การฝึกหัดใจให้อ่อนโยน สุภาพ นิ่มนวล ละมุนละไม
    ไม่อยู่ใต้อำนาจของความอาฆาต พยาบาท โลภ อิจฉาริษยา

    ความลุ่มหลงมัวเมา ความหดหู่ ซบเซามึนซึม ท้อแท้อ่อนแอ
    เกียจคร้าน สะดุ้งหวาดกลัว ตื่นเต้น ประหม่า ฟุ้งซ่านรำคาญใจ
    และความสงสัยลังเลเงอะๆ งะๆ ไม่แน่ใจเหล่านี้
    เมื่อจิตมีอำนาจอยู่เหนืออารมณ์ฝ่ายต่ำที่กล่าวมานี้แล้ว
    เป็นเหตุให้จิตใจสดชื่น แจ่มใส ปลอดโปร่ง เข้มแข็ง กล้าหาญเด็ดขาด
    เป็นเหตุให้เกิดอำนาจทางจิต
    เป็นเสน่ห์ที่จะดึงดูดใจผู้ที่ได้ประสบพบเห็น
    ให้เกิดความรัก ความเมตตาเอ็นดู กรุณาปรานี และเกรงใจ
    ช่วยสงเคราะห์-อนุเคราะห์ เป็นเหตุให้ประสบความสำเร็จกิจที่มุ่งหมาย

    (๓) ปัญญา
    คือ การพิจารณาให้เห็นคนทุกชั้นเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย
    รักสุขเกลียดทุกข์ ร่วมสุขร่วมทุกข์ หัวอกอันเดียวกันทั้งนั้น

    เป็นเหตุให้เกิดความรักความเอ็นดู ความเมตตา กรุณาปรานี
    ซึ่งจะแสดงออกมาทางจิตใจ และกาย วาจา
    เป็นเหตุให้ผู้ประสบพบเห็นทุกชั้นวรรณะที่่เกี่ยวข้องติดต่อในสังคม
    เกิดความรัก ความเอ็นดู ความเมตตา กรุณาปรานี
    ยินดีช่วยสงเคราะห์ให้สำเร็จกิจที่สมประสงค์


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    [​IMG] คัดลอกบางตอนมาจากกระทู้โพสต์โดย คุณลูกโป่ง
    หนังสือ เรียนธรรมะ บูชาพระสุปฏิปันโน
    •• ธรรมะใส่กระปุก (ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต) ••
    ::
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สืบหาพระเครื่องดีวันนี้กลายเป็นวันเสาร์แทน เนื่องจากเมื่อคืนนี้เดินทางกว่าจะกลับมาจากระยองก็ดึกโขอยู่ วันนี้ก็เลยขอเอาเรื่องที่มีอยู่ในซีรีย์ของผมเองนั้น เอามาลงแทนก่อน ซึ่งคราวนี้เรื่องที่จะลงเป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ครูอาจารย์สายทางใต้ซึ่งเป็นสายอาคมขมังเวทย์ แต่เป็นสายอาคมที่ดี มีไว้สำหรับป้องกันตัว ที่สำคัญก็คือขลังมากซะด้วย ท่านเด่นมากในเรื่องตระกรุดครับ ตอนแรกที่นำมาดูกัน ผมก็ไม่ค่อยสนใจซะเท่าไร เพราะส่วนใหญ่ชอบพระสายทางด้านปฏิบัติทางเหนือรึว่าทางอีสานซะมากกว่า แต่พอคลำดูตระกรุดของท่าน ได้สอบถามเรื่องการปฏิบัติของท่านรวมถึงบารมีธรรมแล้ว เลยอดที่จะขอเก็บของๆ ท่านไม่ได้ พ่อแม่ครูอาจารย์องค์ที่ว่านี้ก็คือ พ่อท่านเอื้อม กตกปุญโญ แห่งวัดบางเนียน แห่งเมืองนครฯ นั่นเองครับ ผมเองมีตระกรุดของท่านอยู่สองดอก เรียกว่ารุ่นแรก กับรุ่น 108 ปี ถามครูอาจารย์ที่มี "ตาใน" ดีแล้ว ท่านบอกว่า "เฮ้ย ท่านเก่งว่ะ เก็บได้ๆ" เพราะของๆ ท่านนั้น มีไว้กันคุณไสย์รวมถึงเมตตา และความขลัง แบบครบเครื่องครับ

    ตระกรุดรุ่นแรกของผมที่เก็บไว้ใส่สายพลาสติกไปเรียบร้อยพร้อมที่จะแขวนคู่กับเบี้่ยแก้ประจำตัวแล้วไม่สะดวกที่จะนำรูปมาลง (ที่พกติดตัวเพราะมั่นใจว่าของท่านดีจริงส่วนอีกดอกนึง ให้แม่บ้านติดตัวไว้เช่นกัน) วันนี้เลยนำของคนอื่นมาลงให้เป็นตัวอย่างกัน ซึ่งราคาของตระกรุดของท่านนั้น ยังไม่แพงครับ เพียงพอที่จะหาเก็บได้อย่างสบายๆ ที่สำคัญก็คือ ไม่น่าจะมีของปลอม เพราะกลุ่มคนที่เล่นหาเป็นกลุ่มคนที่เล่นเฉพาะทางภาคใต้เท่านั้น ส่วนภาคอื่นๆ ผมว่าท่านยังไม่เป็นที่รู้จักมากครับ ทั้งนี้ อาจจะเนื่องมาจาก ไม่มีใครรู้เรื่องจิตตานุภาพของท่าน รึว่าชื่อท่านยังไม่เร้าใจขาบู๊ฯ ยังไงๆ เมื่อรู้ข้อมูลข้างต้นนี้แล้ว หลายท่านที่ไม่เกี่ยงเรื่องข้างต้น สนใจแต่จิตตานุภาพขององค์ผู้เสก ก็ควรหาเก็บไว้ เผื่อไปเข้าป่าเข้าดงยามหนาวนี้ หรือเผื่อใครมีโจทย์เยอะ ก็พกท่านไว้ อุ่นใจดีไว้ใจได้ ไว้เจอกันสัปดาห์หน้าครับ


    พันวฤทธิ์
    20/10/55

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8105-4.jpg
      8105-4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24 KB
      เปิดดู:
      50
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    รอดตายเพราะ...พุทโธ พุทโธ...

    (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)



    [​IMG]

    ผู้มีตนฝึกดีแล้วย่อมได้ที่พึ่งซึ่งได้ยาก
    นี้เป็นพระพุทธภาษิต “พระพุทโธ” เป็นหนึ่งในที่พึ่งที่ได้ยาก
    สำหรับผู้ฝึกตนให้ดีด้วยวิธีง่ายๆ
    ก็คือฝึกตนให้คิดดี พูดดี ทำดี ให้เป็นคุณลักษณะของตน
    ที่สูงที่สะอาดควรแก่การจะอัญเชิญพระพุทโธเป็นที่พึ่ง ที่หาได้ยาก

    เรื่องอานุภาพใหญ่ยิ่งจริงแท้ของพระพุทโธนี้เคยนำลง
    ใน “แสงส่องใจ” นานมาแล้วครั้งหนึ่ง จะขอนำมาเล่าอีกสักครั้ง

    คือเมื่อสิบยี่สิบปีมาแล้ว ญาติโยมผู้หนึ่งเล่าให้ได้ยินได้ฟังกันหลายคนว่า
    เธอมีบุญมากที่มี “พระพุทโธ” เป็นที่พึ่งที่แท้จริงตลอดมา ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเลยทีเดียว
    คือวันหนึ่งลงว่ายน้ำในคลองใหญ่ ซึ่งสมัยก่อนคลองมีในบ้านเมืองไทยเรามาก

    เธอเล่าว่าขณะที่กำลังสนุกสนานกับการเล่นน้ำกัน
    ก็รู้สึกว่ามีมือจับขาเธอดึงจนจมลงใต้น้ำ อย่างที่ไม่มีทางดิ้นรนให้พ้นมือร้ายนั้นได้
    เธอรู้สึกในขณะนั้นว่า กำลังจะจมน้ำตายโดยที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครมาช่วยได้แน่

    แล้วความมีบุญที่คุ้นเคยกับความเป็นเด็กอยู่ในแวดวงของผู้นับถือพระพุทธศาสนา
    ก็ทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่า เมื่อมีผู้ใกล้จะสิ้นใจตาย จะมีการบอกทางแก่ผู้นั้นว่า ให้ท่องพระพุทโธไว้
    และบางคนก็ได้รับการบอกทางว่าพระพุทโธ พระพุทโธ จนสิ้นใจ

    ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจเธอในขณะที่รู้สึกว่ากำลังต้องตายแน่แล้ว
    เด็กหญิงผู้นั้นก็ได้พึ่งพระพุทโธเต็มที่ เรียกว่าพระพุทโธช่วยเธอทั้งชีวิตก็ไม่ผิด
    เพราะเธอรอดชีวิตด้วยนึกถึงคำสอนที่เคยได้ยินคำบอกเล่าดังกล่าว
    คือท่องพระพุทโธเมื่อชีวิตใกล้แตกดับ

    เธอแน่ใจแล้วว่า ชีวิตกำลังออกจากร่าง เธอกำลังจะจมน้ำตาย
    ความมีบุญยิ่งใหญ่แน่นอนที่ทำให้เธอท่อง “พระพุทโธ” ทันที
    แม้จะไม่เป็นเสียงดังออกมา เพราะกำลังจมดิ่งลงในน้ำด้วยแรงฉุดของมือ
    ที่เด็กหญิงไม่รู้ว่าเป็นมือใครและมาแต่ไหน
    ปุบปับก็มาจับขาเธอดึงดิ่งลงใต้น้ำ อย่างไม่เวทนาปราณีแม้สักน้อย

    เธอเล่าอย่างปิติโสมนัสอย่างยิ่งว่า พอ “พระพุทโธ” กึกก้องขึ้นในใจเธอเท่านั้น
    มือพิฆาตก็ปล่อยเธอให้เป็นอิสระทันที ได้โผล่ขึ้นพ้นน้ำ รอดตายยิ่งกว่าปาฏิหาริย์
    ชีวิตของญาติโยมผู้นั้นจึงมี “พระพุทโธ” เป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดมา

    ด้วยใจที่ผูกพันมั่นคงในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระผู้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมครูทั้งของเทพและมนุษย์
    ทรงเป็นที่่พึ่งที่แท้จริงของสัตว์โลกทั้งปวง
    ที่มีบุญมีใจเทิดทูนมั่นคงในพระองค์ท่านเช่นญาติโยมผู้นั้น

    ที่กล่าวว่าตั้งแต่ได้พบพระพุทธปฏิหาริย์ ได้รอดพ้นจากความตายในวันนั้นแล้ว
    ไม่เคยมีใจพ้นจาก “พระพุทโธ” เลย


    : แสงส่องใจ ๒๕๔๙
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    กระทู้บอร์ดเก่า โพสโดยคุณ I am
    ::


    .....................................................
    ...รักษาใจ...


    ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตน
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    ความสงบนี้มี สองประการ คือ

    ความสงบอย่างหยาบอย่างหนึ่งและ
    ความสงบอย่างละเอียดอีกอย่างหนึ่ง


    อย่าง หยาบ นั่นคือ “เกิดจากสมาธิ” ที่เมื่อสงบแล้วก็มีความสุขแล้ว ถือเอาความสุขเป็นความสงบ อีกอย่างหนึ่ง คือ “ความสงบที่เกิดจากปัญญา″ นี้ไม่ได้ถือเอาความสุขเป็นความสงบ

    “แต่ถือเอาจิตที่รู้จักพิจารณา สุขทุกข์เป็นความสงบ” เพราะว่าความสุขทุกข์นี้เป็นภพเป็นชาติเป็นอุปาทานจะไม่พ้นจากวัฏฏสงสาร เพราะติดสุขติดทุกข์ ความสุขจึงไม่ใช่ความสงบ ความสงบจึงไม่ใช่ความสุข


    ฉะนั้น “ความสงบที่เกิดจากปัญญา″ นั้น จึงไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริงของความสุขความทุกข์ แล้วไม่มีอุปาทานมั่นหมายในสุขทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมา ทำจิตให้เหนือสุขเหนือทุกข์นั้น ท่านจึงเรียกว่า เป็นเป้าหมายของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

    : หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ลานธรรมจักร
     

แชร์หน้านี้

Loading...