ภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ..


จากการศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้ได้ข้อสังเกตว่า เมื่อใดก็ตามที่พระมหากษัตริย์ทรงพระเยาว์ หรือทรงพระประชวร เมื่อนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์จะถูกคุกคามจากกลุ่มอำนาจทางการเมืองทันที หลังจากที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์ ในหลวงรัชกาลปัจจุบันซึ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ถูกคุกคามนา ๆ ประการทั้งการทั้งการใส่ร้ายป้ายสี การคุกคามทางกายภาพ อย่างไม่ยำเกรงพระบารมีจากผู้มีอำนาจทางการเมืองขณะนั้น จนกระทั่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้นครองอำนาจในปี 2501 และรัฐบาลทหารและพลเรือนชุดต่อ ๆ มา ถวายความคุ้มครองดูแลจนถึงที่สุด ทำให้พระองค์ท่านมีเวลาทรงงานเพื่อพสกนิกรชาวไทยอย่างเต็มที่โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเป็นที่ประจักษ์จนไม่ต้องสรรหาคำใดๆมากล่าวอีก


ในช่วงที่ไทยเผชิญกับภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ในประเทศและนอกประเทศอย่างจริงจังนับแต่ปี 2510-25 แม้ พคท.ถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเป้าหมายที่ต้องโค่นล้มในหลักการ แต่ พคท.ก็ไม่เคยแตะพระมหากษัตริย์พระองค์นี้เลย พรรคคอมมิวนิสต์ประเทศเพื่อนบ้านยังให้ข้อคิดว่า พคท. จะปฏิวัติไม่สำเร็จเลยหากโจมตีกษัตริย์พระองค์นี้เนื่องจากพระองค์ท่านทรงเป็นที่รักของคนไทยทั่วประเทศ ชาวนาชาวไร่ที่เข้าร่วมก็เพราะความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาลเป็นสำคัญ ไม่ใช่ไม่พอใจพระมหากษัตริย์

อาจมีนักศึกษาบางกลุ่มที่หลงเชื่อการใส่ร้ายป้ายสีในกรณี 6 ตุลาคม 2519 ที่คอยและเล็มบ้าง อาทิ การทำหนังสือปกเหลืองโจมตีสถาบันกษัตริย์ในโอกาสครบรอบ 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ หรือทำสิ่งพิมพ์ส่งมาจากอเมริกาแต่ก็ไม่มีใครสนใจ อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า ยังมีอดีตนักศึกษาหลายคนยังหลงเชื่อกับการใส่ร้ายป้ายสีกรณี 6 ตุลาคม

การท้าทายต่อพระมหากษัตริย์เกิดขึ้นอีกครั้งอย่างเห็นประจักษ์ชัดนับแต่ปี 2549 เป็นต้นมาหลังการยึดอำนาจ โดยเฉพาะนับแต่พระองค์ท่านทรงพระประชวร ทั้งนี้มีการปล่อยข่าว


กระพือข่าว ปลุกระดมบนสมมติฐานว่า ผู้ครองอำนาจทางการเมืองขณะนั้นมีอำนาจทางการเมืองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากตนถูกโค่นล้มก็มีเพียงอำนาจเดียวเท่านั้น โดยพยายามป้ายความผิดไปให้สถาบันสูงสุดแต่หาได้ดูตัวเองและประวัติศาสตร์ไม่ว่า นักการเมืองที่บ้าคลั่งอำนาจนั้น แม้ว่าจะมีอำนาจใหญ่ค้บฟ้าเพียงใดก็ตามหากบริหารประเทศไม่อยู่บนหลักของคุณธรรมแล้ว วันหนึ่งอำนาจนั้นก็จะสูญสิ้นไปโดยพลังประชาชน

จากประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันอาจกล่าวโดยสรุปสั้นที่สุดได้ว่า อำนาจที่คุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาจากแหล่งหลัก ๆ คือ หนึ่ง ?แนวคิดสาธารณะรัฐ? นับแต่กลุ่มที่เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ที่ข่มขู่คุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดตั้งแต่สมัยในหลวงรัชกาลที่ 7 จนต้องสละราชสมบัติ ในหลวงรัชกาลที่ 8 จนถูกลอบปลงพระชนม์ และในหลวงรัชกาลที่ 9 ขณะทรงพระเยาว์ แนวคิดนี้ถูกนำมาเผยแพร่ในกลุ่มอีกครั้งตั้งแต่ปี 2549 ทั้งโมเดล ?ปฏิวัติฝรั่งเศส? ?ปฏิวัติโรมานอฟ? ของรัสเซีย ?ปฏิวัติเนปาล? ที่คอมมิวนิสต์ล้มสถาบันกษัตริย์ได้ ?โมเดลสีหมุนี? ของกัมพูชา ที่กษัตริย์กัมพูชาอยู่ใต้อิทธิพลและเป็นหุ่นของรัฐบาลฮุนเซน บางทีก็พูดถึงระบบกษัตริย์ในสแกนดิเนเวีย ญี่ปุ่น เป็นต้น

แนวคิดที่ลอกเลียนต้นแบบต่างๆ นั้น ผู้เสนอหาได้นำมาเปรียบเทียบกับสภาพการณ์ในประเทศไทยไม่ การปฏิวัติฝรั่งเศสและรัสเซียเกิดขึ้นเพราะราชสำนักขณะนั้นเต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย หรูหรา ในขณะที่ประชาชนอดอยากยากแค้นไม่มีขนมปังกิน เช่นเดียวกับกษัตริย์เนปาลองค์ที่ถูกโค่นล้ม ทำให้คอมมิวนิสต์มีอิทธิพลเหนือคนยากจนจนยึดอำนาจได้ ในขณะโมเดลสีหมุนีนั้น ผู้เสนอมองว่าหากจะล้มสถาบันกษัตริย์เลยคงถูกต่อต้านจากประชาชน จึงให้คงสถาบันไว้แต่ทำหน้าที่แบบกษัตริย์เขมรบ้าง กษัตริย์สวีเดน ฯลฯ บ้าง

"คนพวกนี้ลืมคิดไปว่า"

กษัตริย์ไทยพระองค์นี้เป็นกษัตริย์ทรงงานหนักเพื่อพสกนิกร ทรงห่วงใยทุกข์สุขของประชาชน กษัตริย์ไม่เคยมีความสบาย มีแต่ห่วงใยทุกข์ร้อนแทนประชาชนสารพัด กษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขสูงสุดของประเทศแต่ทรงแบกประเทศคล้ายกับปิรามิดกลับหัว ประชาชนไทยอยู่อย่างพอมีพอกิน ไม่ได้เดือดร้อนอดหยากสาหัสจนลุกขึ้นปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์แบบปฏิวัติฝรั่งเศสหรือรัสเซีย



สอง เกิดจากลัทธิ ?อำนาจนิยมเด็ดขาด? ซึ่งความคิดนี้มักเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำประเภทนี้พออยู่ในอำนาจนาน ๆ จนกระชับอำนาจได้เด็ดขาดก็เริ่มบ้าคลั่งอำนาจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นพระมหากษัตริย์ทรงพระเยาว์หรือทรงพระประชวร มีเรื่องเล่ากันว่า

ผู้นำบางคนเพ้อฝันจนถึงพล่ามกับผู้ใกล้ชิดว่า ?ผมนี่แหละจะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเมืองไทย?

บางคนมีอำนาจล้นฟ้าแต่ยังทำอะไรไม่ได้ดังใจทุกอย่าง

ก็มีเรื่องเล่ากันว่า แม่ยายผู้นำคนหนึ่งเกิดป่วยหนักแต่ยังมีสติดีพอที่จะพูดสะท้อนจิตใต้สำนึกออกมาว่า ? ฉันยังตายไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อจะดูลูกเขยเป็นประธานาธิบดีให้ได้? ในที่สุด คนทั้งสองก็หมดอำนาจและระหกระเหินยิ่งกว่าผู้นำคนอื่น ๆ


สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ในแผ่นดินไทยนี้ ใครที่คิดอะไร ?เกินบุญวาสนาของตนเอง? จะได้รับวิบัติทุกราย เวลานี้เราคอยดูคนที่กำลังเปลี่ยน ?ประเทศไทยใหม่? หรือ นิวไทยแลนด์อีกราย


สาม สองแนวคิดบวกกัน เมื่อบ้าอำนาจก็เริ่มคิดเปลี่ยนระบอบ หรือมีแนวคิดแล้วสร้างอำนาจขึ้นมา เช่น พวกคอมมิวนิสต์หลงยุคหรือคอมมิวนิสต์อกหัก หรืออดีตกลุ่ม 6 ตุลาเข้าป่าบางคน ที่ใช้ประโยชน์จากกลุ่มอำนาจซึ่งเป็นกลุ่มทุนเพื่อล้มสถาบันกษัตริย์ แล้วค่อยมาล้มทุนทีหลัง


ภัยคุกคามที่ผ่านมา มีเพียง 2 ระยะที่ถือว่าเป็นอันตรายร้ายแรงต่อพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน คือ ช่วงขึ้นครองราชย์จนถึงปี 2500 ซึ่งยังไม่แข็งแรงมั่นคงเพียงพอ กับช่วงหลังปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ที่ทรงพระประชวร กลุ่มผู้สูญเสียอำนาจได้เร่งปลุกปั่น

ปลุกระดมให้บรรดาสาวกหลงเชื่อ และพุ่งเป้าโจมตีไปที่สถาบันกษัตริย์โดยตรง มีการดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นคู่ขัดแย้งกับกลุ่มการเมืองที่สูญเสียอำนาจ มีการบ่อนทำลายผ่านสื่อประเภทต่างๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมทั้งดูหมิ่น ลบหลู่ จาบจ้วง ล่วงเกิน ตั้งแต่กล่าวเสียดสีจนกระทั่งสาปแช่ง ด่าว่าอย่างหยาบคาย เผยแพร่จากปากต่อปาก ยุแหย่ให้ปลดพระบรมฉายาลักษณ์และเอารูปผู้นำทางการเมืองของพวกเขาแขวนไว้แทน พยายามแบ่งแยกพระราชอาณาจักรโดยนัย ฯลฯ


ขบวนการทางการเมืองนี้เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่โผล่เหนือน้ำเพียงส่วนเดียว แต่ส่วนใหญ่อยู่ใต้น้ำ และเป็นปฏิบัติการ ?ล้างสมอง? ในสงครามข่าวสารให้บรรดาสาวกเกลียดชังสถาบันสูงสุด นับว่าเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันกษัตริย์ อย่างรุนแรงยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ในประวัติศาสตร์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการก้าวหน้าของเครื่องมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำให้การโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกระดมได้กว้างขวาง รวดเร็ว กล่าวโดยสรุป คนพวกนี้เปิดหน้าชนสถาบันกษัตริย์อย่างไม่เกรงกลัว

พลังที่จะตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่ประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ ส่วนภาครัฐคอยเสริม ดังนั้น ประชาชนคนไทยที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนอื่นต้องตระหนักถึงภัยคุกคามต่อสถาบันสูงสุดที่เกิดขึ้นก่อน เมื่อตระหนักแล้ว อย่าวางเฉย อย่าปล่อยให้คนที่เนรคุณอกกตัญญูต่อแผ่นดินเหิมเกริมรังแกพระองค์ท่าน เราต้องรวมพลัง รวมใจ รวมจิตวิญญาณที่จะลุกขึ้นมาปกป้องภัยคุกคามต่อสถาบันกษัตริย์

ผู้ส่ง สมบูรณ์ฯ ส่งเมื่อ 21 ธ.ค.54 เวลา 16:28

 

พวกนี้ เดี๋ยวมันก็บรรลัยล้างกันจนหมดพงษ์วงศากันเอง ตายโหง ตายห่า กันไปเรื่อยๆ ศพก็ไม่มีแผ่นดินจะฝัง กระดูกก็ไม่ได้มาเมืองไทย สกุลทั้งหลายที่เกี่ยวพัน ถ้ายังไม่สำนึกจะป่นปี้ดับสูญไปด้วยเช่นกัน ตามคำทำนาย

 

ไอ้พวกจัญไรพวกนี้มีจริงๆ คนใกล้ตัวผมนี่แหละโดนล้างสมอง
หลงเชื่อหัวปัก หัวปำไปแล้ว ขืนแตะต้องพระองค์ท่านสิ ผมจะไม่เป็น
พลังเงียบอีกต่อไป

 

หนักใจกับพวกสิ้นคิด พวกเนรคุณต่อแผ่นดินและต่อพระองค์ทาน พวกนี้ จะไม่ตามดีสักคนพวกเราต้องคอยดูที่พวกนี้จะรับกรรมที่ตามมา ขอให้ถึงเร็วๆๆๆๆด้วยเถอะ ที่ทำงานของเราก็มีอยู่คนหนึ่ง ถูกล้างสมองเหมือนกัน เวลามันพูดถึงสิ่งที่ไม่ดี พวกเราจะช่วยกัน(ด่า)ประจำแต่มันก็ไม่จำ หนักใจจริงๆๆ

 

แล้วจะได้รู้กันว่า พลังเงียบที่เคยเงียบ
จะไม่เงียบอีกต่อไป พลังเงียบเป็นล้านๆๆๆ
จะออกมาปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย พลังศิลธรรมย่อมชนะพวกมารหนักแผ่นดินพวกนี้....