เอาเวทนาส่วนกายเป็นที่ตั้งของสติ แยกเวทนาเป็นส่วน ออกจากใจ ใครทำเป็นมั่ง ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 9 มกราคม 2013.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    [​IMG]

    เอาเวทนาส่วนกายเป็นที่ตั้งของสติ แยกเวทนาเป็นส่วน ออกจากใจ !?

    - ใคร มีประสบการณ์ เล่าให้ฟัง และแนะนำหน่อย ครับ
    - แยกส่วนเวทนา ออกจากกาย จากจิต ทำได้ ไม๊ครับ
    - มีผลปฏิบัติ เป็น อย่างไร

    ? ? ? :cool:
     
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ทำได้โดยการเจริญสติไปเรื่อยๆ จนเกิดปัญญาในส่วนนี้ ครับ

    ผัสสะที่กระทบนั้น รับรู้ แต่ใจนั้นนิ่งสนิท รู้ว่าเจ็บ คือ เจ็บทางร่างกาย แต่ไม่มีผลของการกระเพื่อมของอารมณ์ที่ใจครับ

    ผลในชั้นต้นๆ
    1. ง่วงนอนมาก แต่ถ้าสติตั้งได้แล้ว จะรู้สึกเหมือนไม่ง่วงนอน (การทำงานของสมองจะช้าลง คิดช้า นึกอะไรไม่ค่อยออก แต่ใจจะรู้สึกเหมือนตื่นตัว)
    2. เป็นไข้ แต่ถ้าแยกเวทนาของการปวดหัวออกไปได้ จะไม่รู้สึกทรมานอะไรเลย (ลุกขึ้นเดินแล้วเซทันที)
    3. ใช้กำลังทางร่างกายมากๆ แล้วเหนื่อยหอบ หายใจเหมือนไม่ทัน แต่ใจไม่รู้สึกร่างกายเหนื่อย รู้สึกเหมือนแค่หายใจเร็วขึ้นมากเฉยๆ รู้สึกเหมือนสามารถใช้งานมันไปได้เรื่อยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เอามาจากไหนหรอครับ จขกท

    ใครเป็นคนสอน

    หรือว่า คิดเอาเองครับ กับ ประโยคนี้ ขึ้นมา
     
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    การกระทำเช่นนี้ได้มันไม่ง่ายหรอกครับ ของเด็กๆก็จริงอยู่ การที่จะแยกกายกับใจออกจากกันมันต้องได้ ระดับฌาณ ๔ ขึ้นไปครับ ถึงจะแยกออกจากกันได้ แต่แค่ อุปจารสมาธิ ยังรงับเวทนา ได้ชั่วขณะเลย รดับขั้นไปถึง ฌาณ ๑-๒-๓ ก็คงรงับได้มากเทียวแหละครับ ถ้าถึงฌาณ ๔ ไม่ต้องพูดถึงถ้าผู้ใดทำได้คล่อง มันก็เรื่องเล็ก สำหรับท่านเหล่านั้น เรื่องแยกกายกับจิต ผมทำไม่ถึง จึงพูดได้แค่ งูๆปลาๆ แค่นี้แหละครับ

    แต่ถ้าเรายังไม่ได้อะไร แม้แต่เราป่วยไข้ไม่สบาย เจ้บป่วยตรงไหน ถ้าเราพิจรณากาย ธรรม และนึกถึงความตาย มันจะรงับเวทนา ได้ชั่วขณะหนึ่ง หรือที่เคยสนทนาธรรมกันกับบุคคลอื่น มันก็จะลืม ความเจ้บปวด ลงได้ ถึงแม้จะไม่ได้ถึงรดับ ฌาณ ๔ ก็ตาม ผลมันเกิดแน่นอนอยู่แล้วครับ ถ้าทำถึง ก้แค่อุปจารสมาธิ ยังพอรงับได้ ชั่วขณะหนึ่ง แล้ว คนที่เขาทำถึงฌาณ จะขนาดไหน ก้คิดเอาก้แล้วกันครับ
     
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..เดี๋ยวๆครับ..ผมรู้จักมือปราบขี้โม้อยู่2-4 คน เป็นโรโบคอร์ป จะตามมาให้ข้อมูลครับ อิอิ
    อย่างไรก็ตาม..พี่เสขะ..ต้องยังก่อน รอก่อน รอผมด้วย ครับ สาธุ อิอิ(k)
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 6 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    บุคคลทั่วไป 3 คน*, เวทนาขัน, gewgaw33, jittinon, akiraako
     
  7. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    ก็ได้นะจ๊

    แต่สมาธิ ต้องให้มั่นคงก่อนจ้าา

    จึงจะเห็นภาพเวทนาชัดเจน

    สมาธตั้งมั่น สติมั่นคง

    ก็จะเห็นชัดจ้าา

    แต่ถ้าจะแยกให้ละเอียด

    ต้องมีวิปัสนานะจ๊ นะจ๊
     
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool: การเห็นมันเห็นที่ทุกข์เกิดแล้วครับ แต่จะละเอียด ได้ระดับไหนก้กำลัง ของใจ ละเอียด หยาบ กลาง ก็อยู่ที่ กำลังปัญญา ของแต่ละท่านแหละครับ เรื่องสมาธินั้น มันอยู่ที่ บุคคลนั้นๆ ทำได้แค่ไหน ปัญญามีแค่ไหน สมถะและวิปัสนา มันต้องควบคู่กันไปครับผม จะใช้กำลัง สมถะ หรือวิปัสนา มากกว่าก็อยู่ที่ผู้ปฏิบัติ ครับผม ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เอง กินเองชงเอง ถ้าไม่ทำ จะไปรู้ได้อย่างไร :cool:
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    [COLOR="Navy"[COLOR="Navy"]]การที่เรานั่งภาวนา เจริญสมาธิ นั้น เมื่อเรา รวมสติและสมาธิได้แล้ว สมาธิเกิดขึ้นแล้ว สติก็รักษาไว้ดีแล้ว อาการเวทนาแห่งกาย ย่อมเกิดเป็นธรรมดา เมื่อเวทนาเกิดแล้ว สติก็ตามรู้ว่าเวทนาเกิด เวทนาเมื่อเกิดแล้ว อันทุกข์เวทนาทั้งหลาย ความปวดเมื่อยทั้งหลายย่อมส่งไปกระทบกับจิต จิตเมื่อได้รับทุกขเวทนาทางกายนั้น ย่อมทนอยู่ไม่ได้สำหรับผู้ที่ยังไม่ผ่านการฝึกดับเวทนาทางกาย ดังนั้นเราจะกล่าวเรื่องการดับเวทนาทางกายดังนี้

    1 ดับเวทนาทางกายอย่างหยาบ คือการดับด้วยการอาศัยการนำสติและจิต ไปจับอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งของกาย อันไม่ใช้จุดที่เกิดเวทนา อย่างเช่นหากเราปวดขาในขณะนั้น ก็ให้มีสติรู้ว่าปวดเมื่อย แต่ให้ใช้สติ ควบคุมให้จิตไม่รับเวทนาการปวดนั้น โดยให้นำจิตไปจดจ่อรับอารมณ์อื่นแทน เช่นให้ไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก ให้จิตรับรู้เฉพาะลมหายใจเข้าออกแทน เมื่อจิตจดจ่อรับรู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก เวทนาทางกายที่ปวดขาก็จะไม่รู้สึกปวด เพราะสมาธิจิตรับความรู้สึกได้ทีละอย่างเท่านั้น แต่ต้องมีสมาธิดีแน่วแน่จริงๆคือสามารถรวบจิตได้ เคลื่อนย้ายฐานของจิตได้จนชำนาญครับ เวทนาก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

    2การดับอย่างปานกลาง คือการพัตนาสมาธิจาากข้อ1ให้ก้าวหน้าไปสู่การเข้าฌาณ อันเป็นจิตที่เสวยอามรณ์แห่งฌาณ ละเอียดยิ่งขึ้น สงบนิ่งอยู่ภายในไม่รับอารมณ์ใดๆ ตั้งอยู่ในอุเบกขาญาณ นำสติมาควบคุมให้จิต จดจ่อ อยู่กับ สังขาระวิญญาณที่ประกอบอยู่กับจิต ไม่ไปเกาะที่กายหรือเกาะอยู่กับอย่างอื่น คือนำจิตเกาะอยู่กับเจตสิก
    หากเข้าสู่ฌาณ8 วิธีนี้จะจิตจะสงบนิ่งมากอันเวทนาทั้งหมดดับ แม้กิเลสทั้งหลายก็ตกตะตอนไม่ฟุ้งกระจาย

    3ดับอย่างละเอียด อันนี้ต่อเนื่องจากข้อ2ต่อให้นำสติ ควบคุมจิต โดยดึงจิต ออกจากฌาณ 8 ดึงขึ้นมาที่ฌาณ4 แล้วเดินวิปัสสนา เดินปัญญา ดับเวทนา ทั้งหลาย อันเวทนาทั้งหลายก็ดับสิ้นไม่มีเหลือเชื้อใดๆ ที่ฌาณ4นี้ด้วยปัญญาครับ เป็นการดับจริงๆ
    ส่วน2ข้อที่กล่าวมาเป็นการดับแบบข่มจิตไว้ อันเป็นการข่มจิตแบบหยาบ ปานกลางและละเอียดครับ ส่วนข้อ3นี้ไม่ได้ข่มแต่ดับเวทนาด้วยปัญญาญาณ ครับ[/COLOR]

    [/COLOR]อธิบายอาจจะเข้าใจยากสำหรับบุคคลที่ไม่ชำนาญในการปฏิบัติ ิแต่สำหรับนักปฏิบัติน่าจะเข้าใจง่ายนะครับ ขอกล่าวกว้างๆแค่นี้ครับสาธุ


     
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..เมื่อวานเห็นหงอยๆ..วันนี้ไหงกลายเป็นไดนาโมปั่นไฟไปได้ล่ะครับ พี่เสขะ..ฮึดจั้มบึ๊ด อิอิ:'(
     
  11. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..หากทำแบบพี่เสขะนะครับ..มันทนยากส์ เพราะ เวทนามันกระจายไปทั่ว..ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย ตรงนั้นนั่น..เห็นไหมครับ
    จับ..ความรู้สึก..เลยครับ..พี่เสขะอย่าจับเวทนาทีละจุด คิดนึกว่ายกตัวเองออกไปนอกกาย นั่งบนหัวแล้วนั่งดูกายแทนเวทนาหรือเพิกเฉยเวทนาไป..ยกธรรมวิจารณ์ไปเลย กายเจ็บมิใช่เราโอ๊ยๆๆ..อิอิ(สร้อย..ต้องร้องคลอเคลีย)
    ไม่สนเวทนาหากกำลังสมาธิดี จะอยู่ได้นาน หากไล่ธรรมวิจารณ์ไปด้วยก็จะอยู่ได้นาน ดินเจ็บไม่ช่น้ำเจ็บเอ๊ยลมก็เจ็บ โอ๊ยๆๆ..(สร้อย)
    ร้องจนความเจ็บปวดจะหายไป 1ครั้ง สักพัก..เขาจะย่องเข้ามาเยี่ยมอีก พี่เสขะเคยนั่งจนเวทนาหายไปไหมครั้งแรกนะครับ อิอิ
    ..แค่นี้ก็ทนเจ็บช้ำ..ระกำชอกใจ แล้วยังอาลัยใฝ่หา..เพลงนี้เพราะน๊าา..โอ๊ยๆ..อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    สับสน!, ปราบเทวดา, จ๊ะเอ๋ อิอิ
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    หากท่านดับเวทนาได้จะด้วยวิธีใดก็ตาม ย่อมเป็นการฝึกจิต ที่ดีประการหนึ่ง ทางแห่งปัญญา ย่อมอยู่ใกล้แล้ว ทำให้ถึงที่สุดนะครับ อย่ายอมแพ้ อย่างที่ผมเคยฝึก จะชอบไปนั่งสมาธิในถ้ำ หรือในป่า ปลีกวิเวกคนเดียวที่ไหนก็ได้ สงบมาก เคยไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ในวัดแห่งหนึ่ง นั่งสวดมนต์ และทำสมาธิต่อตั้งแต่2ทุ่ม ถึง6โมงเช้า นั่งจนไม่มีความรู้สึกทางกาย แต่ว่าพอออกจากสมาธิ กลับขยับขาทั้งสองข้างไม่ได้ ต้องใช้มือจับวางคลายออก ตอนนั้นเข้าใจเลยว่า คนที่เป็นอัมพาตขยับขาไม่ได้เป็นอย่างไร พอสักพักหนึ่ง การไหลเวียนของเลือดและลมเริ่มกลับมาก จะรู้สึกร้อนแสบขาและปวดทรมานคล้ายตะคิวกินแล้วคลายตัว ก็เริ่มขยับและเดินได้ตามปกติครับ

    การปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิยังมีอะไรที่พิสดารแปลกใหม่อีกมาก ทำแล้วผู้มีปัญญาย่อมรู้ว่าจะได้อะไร เกิดประโยชน์อย่างไรนะครับ สาธุครับ
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    อานิสงค์แห่งอานาปานสติสมาธิ----พระวจนะ"ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอยู่อย่างนี้...ถ้าภิกษุนั้นเสวยเวทนาอันเป็นสุข เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้นไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้วดังนี้................ถ้าภิกษุนั้น เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ เธอย่อมรู้ตัวว่า เวทนานั้นไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้นอันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้วดังนี้..............ถ้าภิกษุนั้นเสวยเวทนาอันเป็นอทุกขมสุข เธอย่อมรู้ตัวว่า เวทนานั้นไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้วดังนี้............ภิกษุนั้น ถ้าเสวยเวทนาอันเป็นสุข ก็เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันเสวยเวทนานั้น ถ้าเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ ก็เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันเสวยเวทนานั้น ถ้าเสวยเวทนาอันเป็นอทุกขมสุข ก้เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันเสวยเวทนานั้น ภิกษุนั้น เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดรอบแห่งกาย เธอย่อมรู้ตัวว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดรอบแห่งกายดังนี้ เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดรอบแห่งชีวิต เธอย่อมรู้ตัวว่าเราเสวยเวทนา อันเป้นที่สุดรอบแห่งชีวิต ดังนี้ จนกระทั่งการทำลายแห่งกาย ในที่สุดแห่งการถือเอารอบซึ่งชีวิต เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนาทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของดับเย็นในที่นี่นั้นเทียวดังนี้...............ภิกษุทั้งหลาย ประทีปน้ำมันลุกอยู่ได้เพราะอาศัยน้ำมันด้วย เพราะอาศัยไส้ด้วย เมื่อหมดน้ำมันหมดไส้ ก็เป็นประทีปที่หมดเชื้อดับไป ข้อนี้ฉันใด ภิกษุนั้น ก็ฉันนั้น กล่าวคือเมื่อเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดรอบแห่งกาย เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดรอบแห่งชีวิต ย่อมรู้ตัวว่าเราเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดรอบแห่งชีวิต จนกระทั่งการทำลายแห่งกาย ในที่สุดแห่งการถือเอารอบซึ่งชีวิต เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนาทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของดับเย็นในที่นี่นั้นเทียวดังนี้----มหาวาร.สํ.19/404/1346-1347....:cool:
     
  15. ทศมาร

    ทศมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +237
    ทำได้เป็นคราวๆกำหนดไม่ได้ จะแยกออกเป็นส่วนๆ
    เป็นผลพลอยได้จากการขยับมือเคลื่อนไหว มีสติรู้ทันจิตที่ไหลออกจากมือ พอสะสมมากๆเข้า บางทีกายเวทนาจิตก็หลุดจากกัน เป็นผู้รู้ผู้ดูได้ ระยะที่ดูได้ นานบ้าง สั้นบ้าง
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ลักษณะของสัมมาทิฎฐิ--พระวจนะ" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำที่กล่าวกันว่า สัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐิดังนี้ สัมมาทิฎฐิ ย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่าไร พระเจ้าข้า.....กัจจานะ สัตว์โลกนี้ อาศัยแล้วซึ่งส่วนสุดทั้งสอง โดยมาก คือ ส่วนสุดว่าสิ่งทั้งปวงมี(อตถิตา) และส่วนสุดว่าสิ่งทั้งปวงไม่มี(นตถิตา) กัจจานะ เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นแดนเกิดขึ้นแห่งโลก(โลกสมุทัย)อยู่ ทิฎฐิที่ว่าสิ่งทั้งปวงไม่มีในโลกย่อมไม่มี................กัจจานะ เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งโลก(โลกนิโรธ)อยู่ ทิฎฐิที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีในโลก ย่อมไม่มี...กัจจานะ สัตว์โลกนี้โดยมาก มีอุปายะ อุปทานะ และอภินิเวส เป็นเครื่องผูกพัน ส่วนสัมมาทิฎฐินี้ ย่อมไม่เข้าไปหา ย่อมไม่ยึดมั่น ย่อมไม่ตั้งทับ ซึ่งอุปายะและอุปาทานทั้งสองนั้น ในฐานะเป็นที่ตั้งทับเป็นที่ตามนอนแห่งอภินิเวส ของจิตว่า อัตตาของเราดังนี้ ทุกข์นั้นแหละ เมื่อเกิดย่อมเกิด ทุกขืนั้นแหละเมื่อดับย่อมดับดังนี้ เป็นสัจจะที่ผู้มีสัมมาทิฎฐิไม่สงสัยไม่ลังเล ญานดังนี้นั้น ย่อมมีแก่เขา ในกรณีนี้ โดยไม่มีผู้อื่นเป้นปัจจัยเพื่อความเชื่อ...กัจจานะสัมมาทิฎฐิย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล--นิทาน.สํ.16/20-21/42-43...:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ"ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมเหล่าใด เป็นปุพพันตกัปปิกวาท(ปรารภขันธิ์ที่มีในกาลก่อน)ก็ดี เป็นอปรันตกัปปิวาท(ปรารภขันธิ์ที่มีในกาลเบื้องหน้า)ก็ดี เป็นปุพพันตาปรันตกัปปิกวาท ก็ดี ล้วนแต่เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฎฐิ(มีทิฎฐิไปตามขันธิืที่มีในกาลก่อนและในอนาคต) เขาปรารภขันธิ์ที่เป็นปุพพันตะและอปรันตะแล้ว กล่าวอธิมุติบท มีอย่างต่างต่างกันเป็นเอนก ด้วยวัตถุ(ที่ตั้งแห่งทิฎฐิ)62ประการ สมณพราห์มเหล่านั้นทั้งหมด รู้สึกเสวยเวทนาตามทิฎฐิเฉพาะอย่าง ของตน ตามที่ถูกต้องแล้วถูกต้องแล้ว ด้วยผัสสะ 6ประการ เพราะเวทนา ของสมรพราห์มเหล่านั้นเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทนัสอุปายาสทั้งหลาย............ภิกษุทั้งหลายในกาลใดแล ภิกษุย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งความเกิดขึ้น(สมุทัย) ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้(อัตถังคมะ)ซึ่งรสอร่อย(อัสสาทะ) ซึ่งโทษอันต่ำทราม(อาทีนวะ) ซึ่งอุบยเครื่องออกไปพ้น(นิสรณะ)แห่งผัสสายตนะ6ประการภิกษุนี้ ชื่อว่า ย่อมรู้ชัด(ซึ่งเรื่องเกี่ยวพันกับอายตนะ6ประการ)ยิ่งกว่าสมณพราห์มทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดนั้นเทียว--สิ.ที.9/57/90...:cool:(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  18. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419

    ที่จริงเวทนามันเเยกของมันอยู่เเล้วนะ ตรัสว่า สมัยใด เสวยสุขเวทนาอยู่ สมัยนั้น ไม่ได้เสวยเวทนาอื่น นอกจากเสวยสุขเวทนาอย่างเดียว อย่างนี้ก็เห็นว่า มันมีการเเยกกันออกมา ไม่ได้เกิดทีละ3พร้อมๆกันใช่มั้ย ทีนี้ถ้าดูในความหมายที่ถามเกียวกับเวทนา ทางกายเเละใจ ต้องการจะเเยกออกจากกัน ตรงนี้คงเเยกไม่ได้ เพราะพระองค์จัดรวมกันอยู่ สุขเวทนา นี้ก็เป็นทั้งทางกายเเละใจของมันอยู่ หรือ ทุกข์เวทนา ก็จัดเป็นทางกายกับใจ อย่างเช้น ถ้าเกิดเราได้เสวยทุกขเวทนาทางกายขึ้นมาทางใจก็โดนไปด้วย เเต่ความผิดแผกเเตกต่างระหว่างปุถุชนกับอริยสาวกจะต่างกันตรงที่ ปุถุชนย่อมไม่รู้ชัดอุบายปลดเปลืองเว้นเเต่ กามสุข ทำให้ทางมาเเห่งอนุสสัย3ดำเนิดต่อไปเเละไม่ล่วงทุกข์ได้ เสวยเวทนา ทางกายเเละใจ อยู่ ส่วนอริยสาวกผู้สดับโดนเเบบเดียวกัน เเต่รู้ชัดอุบายเครื่องปลดนอกจากกามสุข อนุสัย3ย่อมไม่เกิด เเต่ว่าเวทนาทางกายเกิดอย่างเดียว ส่วนทางใจนั้นไม่มีเพราะรู้ชัดตามเป็นจริง(คือไม่เดือดร้อนตามว่าขันธ์เป็นเรา) ฉนั้นถ้าจะเเยกเเบบนี้ก็เเค่ปฏิบัติตามมรรค8. เเต่ถ้าจะเเยกไม่รับรู้ คง เป็นไปไม่ได้อยู่เเล้ว นอกจากจะดับมันลงไปในฌาน4
     
  19. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    คิด สงสัย มั่วซั่วไปเรื่อย น่ะครับ ผิดพลาดตรงไหน แนะนำได้ครับ :'(
     
  20. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    ยังสงสัย กับการเอาเวทนากายเป็นที่ตั้งของสติ...เป็นสนามประลองกับกิเลส ความยินดียินร้าย แยกแยะ แตกกัน กับจิตเข้าสมาธิไม่รับรู้เวทนา มันไม่เหมือนกันทั้งวิธีการและผลใช่มั๊ยครับ...เลยมาถามคลำทางดู

    ส่วนตัวแยกแยะไม่ค่อยออกครับ โอ๊ยๆๆ ปวด โอ๊ยๆๆ เจ็บ แบบนี้เลยครับ:mad::'(
     

แชร์หน้านี้

Loading...