ข่าวใหม่จากเจ้าหญิง Nakamaru of Japan อธิบายทำไมไม่มี 3 วันแห่งความมืด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย PShinex, 9 มกราคม 2013.

  1. PShinex

    PShinex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +382
    เพิ่งไปพบมาเลยเอามาแชร์กัน

    ฟังไม่ถนัดเพราะสำเนียงญี่ปุ่น สรุปเท่าที่จับใจความได้
    เจ้าหญิงสามารถติดต่อกับ alien ได้หลายคน และบอกว่า ปี 2013 จะเป็นปีแห่ง
    การคัดแยกผู้คน พวกชอบสงครามตายแล้วไปแล้วไปเลยจะไม่กลับมาเกิดบนโลก
    มนุษย์นี้อีก ตั้งแต่ปี 2014 จะเริ่มดีขึ้น แต่คาดว่าจะมีการลดประกรโลกอยู่
    จากภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำ จนถึงปี 2016 ให้ LOVE เป็นหลัก ไม่เห็นมีอธิบาย
    ว่าทำไมไม่เกิดการมืด 3 วัน เพียงบอกว่าไม่เกิดก็ดีแล้วควรจะระวังไว้บ้าง จับได้เท่านี้
    ลองชมจาก video กันเองครับ

    HRH PRINCESS NAKAMARU OF JAPAN ALCHEMY EVENT NOV 2012 COSMIC ACTIVATION - YouTube
     
  2. kwansao

    kwansao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +619
    .

    เราชักสงสัยใน มตด.แล้วซิ มันยังไงๆอยู่นะ!! คุณๆว่ามั๊ย?
    ทำไม เขาไม่ไปเล่นกับ ตาสี ตาสา ยายมา เหล่านั้นล่ะ?
    นี่กลับมาเล่นกับ บุคคล ที่น่าเชื่อถือทั้งนั้น เช่น ดร.นายแพทย์นี้!
    พระนี้! เจ้าหญิงนี้! แล้วบุคคลเหล่านี้ เคยออกมาเตือน แนวๆเดียวกันด้วยนะ!!
    แล้วไง!?.................... ผลก็อย่างที่เราๆ รู้กัน (ไม่มีอะไรในกอไผ่)

    มตด.เขาคิดเล่นอะไร กับมนุษย์โลกเรา ก็ไม่รู้นะ?

    ถ้าเขามาดีและรู้จริง คราวก่อน ทำไม ไม่บอก
    ให้เจ้าหญิงญี่ปุ่น ได้เตือน หรือ อพยพคน ก่อนเกิด ซึนามิล่ะ?
    เพราะคราวนั้น ร้ายแรงมากสำหรับประเทศญี่ปุ่น
    (คงไม่ใช่คิดว่าคนที่ตายไปเหล่านั้น เพราะเขาเป็นคนบาปหรอกนะ?) มันเกินไป

    แต่ มตด.กลับมาเตือนอะไร ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง อย่างที่ผ่านๆมา

    หรือ มตด.เห็นว่ามนุษย์โลกเราเป็นพวก............... เลยคิดเล่นตลก :boo:
    ดีกว่าบินไปบินมาเฉยๆ hello8

    เรามาตั้งข้อสงสัย กันดีกว่ามั๊ย?ว่า มตด.กำลังวางแผน ปูทางไปยัง
    จุดมุ่งหมายอะไร? ทำไม? เพื่ออะไร?

    คิดเล่นๆหนุกๆนะคุณ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ
    อืม!! หรืออยู่เปล่าๆดีกว่า อิ อิ
     
  3. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    เจ้าหญิงอาจจะมีธุรกิจทำเทียนหรือไม่ก็... อาจจะเป็นถ่านไฟฉายก็ได้นะ
     
  4. shesun

    shesun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +1,327
    เตือนแล้วไม่เกิดเหตุ...ต่อไปคงไม่มีคนเชื่อ ...
    พอคนประมาท...ระวังให้้ดี...อาจมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
     
  5. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    สรุปว่า อนาคต ก็ยังคดไปคดมาอยู่นั้นเอง!

    สู้ปัจจุบันไม่ได้ ดำเนินชีวิตให้มันตรงๆทางธรรมนั้นแหละ ดีที่สุด!
     
  6. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    ป่าว ครับ

    ท่านเป็นเจ้าของแฟรนไชน์ ICY happy ครับ
    มีโรงงานผลิตน้ำแข็งอยู่ทั่วโลก.....อิอิอิอิอิ
    :cool:
     
  7. พนัสปราการ

    พนัสปราการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2011
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +191
    ข่าวแบบนี้อีกแล้ว สงสัยต้องไปอ่านกาลามาสูตร มากๆ โลกอินเตอร์เน็ตอาจน่ากลัวกว่าภัยธรรมชาติ พิจารณาดีๆ ด้วยสติเถิด
     
  8. Nonimage

    Nonimage Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +49
    พอคนประมาท...ระวังให้้ดี...อาจมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว>>>>สติแตกน่ากลัวกว่ามากครับ อาจบ้าได้ บ้าตายตั้งแต่ตอนมันยังไม่เกิด
     
  9. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ส่วนใหญ่ คนที่รับข้อมูลภัยพิบัติอะไรทำนองนี้แล้ว จะรู้สึกตระหนกตกตื่น มากกว่าแค่ตระหนัก พูดง่ายๆ คือ จะมีอาการปัสสาวะเหนียว เต้าเจี้ยวเหลือง ตาขาวมากกว่าตาดำ

    ถ้าบังเอิญหมดลมหายใจกระทันหัน (เพราะสังขารมันเป็นของไม่เที่ยง) ในภาวะจิตตกแบบนี้ ถึงจะทำบุญมากแค่ไหน ก็จะไปอบายภูมิก่อน

    ถามว่า แล้วมันคุ้มกันไหม ที่จะมานั่งหวาดผวากับเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แถมไม่แน่นอนอีก ชนิดที่เรียกว่า วิตกกันเป็นรายปักษ์ รายสัปดาห์ และรายวัน แทนที่จะตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2013
  10. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    สิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ
    พระไพศาล วิสาโล



    บทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือ อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี

    [​IMG]

    ในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติมากมายทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อต้นปีที่ผ่านมาภัยพิบัติเกิดขึ้นใกล้บ้านเรามาก เริ่มจากญี่ปุ่นแล้วก็พม่า แม้ตอนนั้นอุทกภัยครั้งใหญ่ในเมืองไทยยังไม่เกิดขึ้น แต่เหตุการณ์ดังกล่าว ก็ทำให้ผู้คนทั่วทั้งประเทศตื่นตระหนกกันมาก นั่นเป็นเพราะ มีความกลัวตายเป็นพื้นฐาน แต่เรามักจะลืมไปว่าถึงแม้ไม่เกิดภัยพิบัติเลย เราก็ต้องตายทุกคน

    และหลายคน ก็จะต้องตายก่อนเกิดภัยพิบัติครั้งหน้าด้วยซ้ำ

    ดังนั้น แทนที่จะมัวตื่นตระหนกถึงภัยพิบัติครั้งต่อไป ซึ่งจะเกิดที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ เราควรมาใส่ใจกับความจริงที่ตามติดเราไปทุกหนทุกแห่ง นั่นก็คือ ความจริงที่ว่า สักวันหนึ่งเราทุกคนต้องตาย ถึงจะไม่มีภัยพิบัติใด ๆ เกิดขึ้นในอีกร้อยปีข้างหน้า เราทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น

    ดังนั้น เราจึงควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับความตายที่จะมาถึงดีกว่า เช่น หมั่นทำความดี หลีกหนีความชั่ว ปฏิบัติต่อคนรอบข้างด้วยความใส่ใจ ฝึกจิตให้ตระหนักรู้ ถึงความไม่จีรังยั่งยืนของทุกสิ่ง และพร้อมปล่อยวางเมื่อเกิดความพลัดพรากสูญเสีย ถ้าทำเช่นนี้ได้ครบถ้วน ความกลัวตายก็จะลดลง และไม่ตื่นกลัวภัยพิบัติ

    กลับมองว่า ภัยพิบัติเหล่านี้ มีข้อดีด้วยซ้ำ ตรงที่ช่วยเตือนไม่ให้ประมาท เราควรมองภัยพิบัติทั้งหลายในแง่นี้บ้าง ไม่เช่นนั้น ก็จะมัวตื่นตระหนกตกใจ จนไม่เป็นอันทำอะไร และพลาดโอกาสที่จะทำสิ่งดี ๆ ให้แก่ตนเอง และผู้อื่น

    พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ควรเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติ เช่น มีการวางแผนบรรเทาสาธารณภัยที่รัดกุม เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ในยามฉุกเฉิน เป็นต้น การเตรียมการดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ

    แต่เราไม่ควรมองข้ามความจริงข้อหนึ่งก็คือ ภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ฝนแล้ง หรือคลื่นสึนามิ แม้จะรุนแรงเพียงใด ก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจวิบัติ ถ้าใจวิบัติแล้ว ความเสียหายจะตามมามากมาย

    [​IMG]

    ใจวิบัติหมายถึงอะไร หมายถึงใจที่วิปริตผิดเพี้ยน คลาดเคลื่อนจากธรรม หรือถูกกัดกร่อนเผาลนด้วยความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความเห็นแก่ตัว

    ใจที่วิบัติ สามารถทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมไม่ต่างจากสัตว์ และสามารถทำร้ายซึ่งกันและกัน จนทุกหนทุกแห่ง กลายสภาพเป็นนรกได้ฉับพลัน

    แต่ถ้าใจไม่วิบัติแล้ว แม้จะเจอภัยพิบัติแค่ไหน ก็ยังพอจะประคับประคองกันไปได้ อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น หลังจากเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิแล้ว ความเดือดร้อนแพร่กระจายไปทั่ว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ ที่ผู้คนกล่าวขานด้วยความชื่นชมว่า คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังมีวินัย มีน้ำใจต่อกัน ขนาดเกิดภัยพิบัติร้ายแรง ก็ยังไม่มีการปล้นสะดม ไม่มีการฉวยโอกาสที่กระหน่ำซ้ำเติมผู้เดือดร้อน


    เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองไทยแล้ว จะเห็นว่าตรงกันข้าม ดังปรากฏเป็นข่าวเสมอว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันบนทางหลวง ผู้โดยสารบาดเจ็บติดอยู่ในรถ ช่วยตัวเองไม่ได้ ผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้น แทนที่จะมาช่วยเหลือ กลับมารุมทึ้ง แย่งเอานาฬิกา สร้อยคอ เงินทองของผู้ประสบเหตุ คงคิดว่าเจ้าของทรัพย์เหล่านั้นเสียชีวิตแล้ว ก็เลยถือเอามาเป็นของตัวเสียเลย

    แต่ผู้โดยสารบางคนแม้ยังไม่ตาย ก็ยังมีคนมายื้อยุดนาฬิกาจากมือของเขา ทั้ง ๆ ที่เขาวิงวอนขอร้องว่าอย่าทำ นี้คือตัวอย่างของใจวิบัติ ที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นยักษ์มาร ไร้เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หากใจวิบัติเกิดขึ้นกับคนทั้งประเทศ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบ้านเมืองจะร้อนรุ่มปานนรกสักเพียงใด ภาพเหล่านี้เห็นยากในประเทศญี่ปุ่น

    แม้กระทั่ง เวลามีการแจกข้าวแจกน้ำ ผู้คนก็เข้าคิวกันเป็นระเบียบ ไม่มีการแย่งแซงคิวกัน มีคนเล่าว่า วันแรกที่เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ คนนับหมื่นนับแสนสูญเสียบ้านเรือน ปรากฏร้านค้าต่างๆ ที่ไม่ประสบภัยพิบัติ พากันเปิดร้าน และเอาอาหารมาแจกคนที่เดือดร้อน

    ถ้าเป็นที่อื่น หรือที่เมืองไทย ร้านค้าก็อาจจะขึ้นราคา เพราะถือว่าได้โอกาสแล้ว ถึงจะแพงอย่างไรคนก็ต้องซื้อ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหรืออาหาร แต่ที่ญี่ปุ่นเหตุการณ์ดังกล่าวแทบไม่เกิดขึ้นเลย ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง สินค้าตกมากองระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่ลูกค้าก็ช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบของที่ตนต้องการซื้อ ไปต่อคิวจ่ายเงิน

    ในโตเกียวมีคนมากมายกลับบ้านไม่ได้ เพราะรถไฟฟ้าหยุดวิ่ง หลายคนนอนข้างทาง เพราะโรงแรมเต็ม ก็มีคนจรจัดซึ่งเป็นคนยากจนไม่มีบ้าน เขามีน้ำใจเจียดเอากระดาษแข็งที่ใช้ก่อเป็นเพิง มาแบ่งให้คนเหล่านั้นมีที่นอน เพราะช่วงเดือนมีนาคม ที่ญี่ปุ่นนั้น อากาศหนาวมาก ขณะเดียวกัน เจ้าของร้านยังเอาขนมปังมาแจกฟรี แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านเพราะหารถไม่ได้

    มีพนักงานรถไฟคนหนึ่ง ประทับใจเด็กนักเรียนมาก เพราะเด็กนักเรียนมาพูดกับเขาว่า

    "ขอบคุณครับ ที่เมื่อวานคุณลุงพยายามอย่างสุดชีวิต ทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง"

    พนักงานรถไฟได้ยินถึงกับน้ำตาคลอ เรื่องเหล่านี้ทำให้ผู้คนมีกำลังใจ ทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่า แม้เกิดภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ก็ยังสามารถพบสุขท่ามกลางความทุกข์ แม้จะมีความทุกข์แค่ไหนผู้คนก็ไม่หมดหวัง

    [​IMG]

    เรามักเป็นห่วงกังวลกับอันตรายที่อยู่นอกตัว เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม แต่กลับไม่ตระหนักว่า อันตรายที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง เพราะถ้าใจของเราวิบัติเสียแล้ว ย่อมหาความสุขไม่ได้เลย แม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น มีความสะดวกสบายทุกอย่าง ก็ยังรู้สึกร้อนรุ่มจิตใจไม่เป็นสุข เพราะผู้คนต่างเบียดเบียนเอาเปรียบกัน

    คนเราใจวิบัติได้ ด้วยหลายสาเหตุ นอกจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่แล้ว ความโกรธก็ยังทำให้ใจวิบัติได้ เพราะว่าเมื่อเกิดความโกรธเกลียดกันแล้ว เราก็สามารถทำร้ายคนรักหรือคนใกล้ชิดได้ เช่น สามีทำร้ายภรรยา ลูกทำร้ายพ่อ พี่ฆ่าน้อง เป็นต้น อย่าว่าแต่ทำร้ายคนอื่นแล้ว แม้แต่ตัวเอง หากใจวิบัติแล้ว ก็ยังสามารถทำร้ายตัวเองได้

    เช่น ฆ่าตัวตายเพราะน้อยเนื้อต่ำใจในคนรัก หรือต้องการประชดพ่อแม่ด้วยอำนาจของความโกรธ หลายคนฆ่าตัวตายทั้ง ๆ ที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ มีชีวิตที่สะดวกสบาย ไกลจากภัยพิบัติใด ๆ แต่ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่าตัวตาย ก็สามารถล้มป่วย เพราะความโกรธได้ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก จนเป็นอัมพาต ก็เพราะโกรธจัดจนคุมไม่ได้

    ความกลัว ก็สามารถทำให้ใจเราวิบัติได้ เพราะเมื่อกลัวแล้ว ย่อมเกิดความตื่นตระหนกได้ง่าย ปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา ๆ จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ

    คนไข้บางคน พอรู้ความจริงจากหมอว่า ตนเองเป็นมะเร็ง อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน ก็ตกใจ ทำใจไม่ได้ เมื่อรู้ว่าจะต้องตาย วิตกกังวลสารพัด จนเศร้าซึม ไม่เป็นอันกินอันนอน ปรากฏว่าอยู่ได้แค่ ๑๒ วันก็ตาย และไม่ได้ตายสงบด้วย แต่ตายด้วยความทุรนทุราย

    ทั้งหมดนี้ กล่าวอย่างสรุปก็คือ ใจวิบัติเพราะลืมตัว จึงปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความกลัวทำร้ายจิตใจ พอลืมตัวแล้ว ก็สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น รวมทั้งทำร้ายตนเอง บางคนเกิดอารมณ์ชั่ววูบจนลืมตัว กระโดดลงจากตึกบ้าง ลงจากสะพานบ้าง วิ่งไปให้รถชนบ้าง บางทีก็ไปซื้อปืนมายิงตัวเองบ้าง ทำร้ายคนอื่นบ้าง

    [​IMG]

    ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุด ที่ควรทำในตอนนี้ก็คือ ตั้งสติให้ดี อย่ากลัวหรือตื่นตระหนกกับภัยพิบัติจนลืมตัว หรือมองข้ามอันตรายที่ยิ่งกว่านั้นคือ ใจวิบัติ อันตรายชนิดนี้ ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจเรานี่แหละ ใจที่ควรจะสร้างสุขให้เรา แต่กลับกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเรา

    อย่าลืมว่า ไม่มีอะไรที่จะทำร้ายเราได้มากกว่าจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “จิตที่ฝึกฝนผิดทาง ย่อมทำความเสียหายให้ ยิ่งกว่าศัตรูต่อศัตรู หรือคนจองเวรต่อคนจองเวร จะพึงทำให้กันเสียอีก”

    ศัตรูทำร้ายศัตรูด้วยกัน หรือคนจองเวรกัน ก็ยังไม่ก่อความเสียหายเท่ากับใจที่ตั้งไว้ผิด ใจที่คลาดเคลื่อนจากธรรม หรือที่อาตมาเรียกว่า ใจวิบัตินี้แหละ สามารถทำร้ายหรือสร้างความฉิบหาย ได้ยิ่งกว่าที่ศัตรูทำร้ายกัน

    แม้แต่โจรก็ทำร้ายเรา ได้ไม่เท่ากับใจของเราเองด้วยซ้ำ อย่างมาก ที่โจรแย่งชิงไปได้ก็คือทรัพย์สินเงินทองหรือเพชรนิลจินดาไป แต่เขาไม่สามารถแย่งชิง หรือขโมยความสุขไปจากใจเราได้

    ในทำนองเดียวกัน ศัตรูด่าว่าเรา ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้หรอก ไม่ว่าเขาจะพูดเสียงดังหรือสรรหาคำรุนแรงมาด่าเราเพียงใดก็ตาม ถ้าหากว่า ใจเราไม่เปิดใจรับคำด่านั้น เราก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะเราวางใจไม่ถูก คำพูดเพียงเล็กน้อยๆ ก็สามารถจะทำให้เราคลุ้มคลั่งเป็นบ้าหรือกลุ้มอกกลุ้มใจ จนทำร้ายตัวเองได้

    มีหลายคนที่ฆ่าตัวตาย เป็นเพราะเขาได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกใจเพียงไม่กี่ประโยค ซึ่งอาจจะไม่ใช่คำพูดที่รุนแรง เช่นคำพูดว่า

    “แม่ไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์มือถือให้นะ”

    หรือ “ถ้าแกสอบตก พ่อจะตัดหางปล่อยวัดแล้ว”

    คำพูดแค่นี้ สามารถทำให้คนบางคน ทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ ถามว่า มันเป็นคำพูดที่รุนแรงหรือเปล่า มันไม่รุนแรงเลย แต่เป็นเพราะผู้ฟังวางใจไว้ผิด พอฟังแล้ว ใจก็เลยวิบัติ พอใจวิบัติแล้ว ก็สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น รวมทั้งทำร้ายตัวเอง

    แต่ถ้าวางใจไว้ดี ใจไม่วิบัติ แม้เจอภัยพิบัติจมอยู่ในกองอิฐ ก็ยังเป็นปกติได้ ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น มีหลานกับยายสองคนถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังนานถึง ๙ วัน ไม่มีใครคิดว่าจะรอด แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไปพบ และช่วยไว้ได้ คนที่ถูกช่วยออกมาจากซากปรักหักพังก่อนคือ หลานอายุ ๑๖ ปี

    พอหลานรู้ว่า มีคนมาช่วยก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่พอออกจากซากตึกได้ ก็หมดแรง จนต้องนอนเปลขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ตรงกันข้ามกับยายอายุ ๘๐ ปีเดินออกมาสบายๆ ไม่มีอาการฟูมฟาย ไม่ต้องให้ใครพยุงหรือนอนเปล

    พูดถึงสภาพร่างกายแล้ว สองคนนี้แตกต่างกันมาก หลานแข็งแรงกว่ายายมาก แต่ทำไมหลานหมดสภาพทันที ที่ออกมาจากซากตึก ตรงข้ามกับยาย ที่เดินออกมาอย่างปกติ เป็นเพราะอะไร คำตอบอยู่ที่ใจนั่นเอง

    ใจของยายนั้น สงบตั้งแต่อยู่ในซากตึกแล้ว อาจเป็นเพราะมีความหวังว่า จะมีคนช่วยออกมาได้ หรือไม่ก็เพราะ ใจพร้อมจะตายตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เวลายายเจอเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็เลยไม่ได้ดีอกดีใจอะไรมาก และเมื่อใจสงบ ไม่วิตกกังวลร่างกายก็เลยเข้มแข็ง ไม่ทรุดหรือหมดสภาพ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีอาหารกิน

    [​IMG]

    นี้ก็เช่นเดียวกับ กรณีเหมืองถล่มที่ชิลีเมื่อปีที่แล้ว มีคนงาน ๓๓ คน ถูกขังอยู่ใต้ดินลึกถึง ๖๐๐ เมตร นานถึง ๗๐ วัน ไม่มีใครรู้ว่า จะรอดหรือเปล่า ที่จริง โอกาสตายมีสูงมาก เพราะการช่วยเหลือทำได้ยากมาก แต่ว่า ทุกคนก็รอดมาได้ ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่กู้ภัยเก่งอย่างเดียว แต่เป็นเพรา ะคนที่ถูกขังใต้ดินนั้น เขาดูแลจิตใจของตนเองดี

    ส่วนหนึ่ง เพราะต่างช่วยกันดูแลจิตใจของกันและกัน ทำให้ไม่ตื่นตระหนก เสียขวัญ หรือท้อแท้ เห็นได้ชัดว่า แม้เจอภัยพิบัติ แต่ถ้าใจไม่วิบัติ ใจเป็นปกติ สามารถพบกับความสุข หรืออย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ทรมาน แม้จะอยู่ใกล้ชิดความตายอย่างยิ่งก็ตาม


    การรักษาใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาใจ รู้จักประคับประคองใจไม่ให้วิบัติ เราจะไม่กลัวภัยพิบัติ และไม่กังวลด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะอยู่นิ่งเฉย ไม่ทำอะไรเลย ในสภาพอย่างนี้ เราต้องไม่ประมาท ควรเตรียมการป้องกันเต็มที่ แต่ก็ไม่ควร ทำด้วยความตื่นตระหนก

    ขณะเดียวกันก็รู้ว่า อันตรายเหล่านี้ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ แม้แต่พยากรณ์ก็ยังทำได้ยาก โดยเฉพาะ แผ่นดินไหว ไม่มีทางพยากรณ์ได้เลย

    ดังนั้น จึงพร้อมเผชิญกับมันตลอดเวลา มิใช่แต่ ภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น แม้ภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่น ไฟไหม้ ก็ยังสามารถรักษาใจ ให้ปกติไม่อกสั่นขวัญแขวน

    หรือถึงจะไม่มีภัยพิบัติใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมดา ที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนเช่น ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย แม้กระทั่ง ความตาย เมื่อเกิดขึ้น เราก็ยังสามารถรักษาใจได้ให้ปกติได้

    เราควรดูแลรักษาใจอย่างไรเพื่อไม่ให้ใจวิบัติ ขอกล่าวอย่างย่อ ๆ ดังนี้

    [​IMG]

    ๑.มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ความตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธ หรือความโลภ ครอบงำใจ เวลาได้ยินข่าวคราวหรือเสียงร่ำลือเกี่ยวกับภัยพิบัติ รวมทั้ง คำพยากรณ์ต่าง ๆให้ตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งตื่นตระหนก หรือทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม สืบสาวหาความจริงก่อนว่า ความจริงเป็นอย่างไร

    หาไม่ เราจะตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ หรือทำให้ข่าวลือแพร่กระจาย พร้อมกันนั้น ก็หมั่นเจริญสติอยู่เป็นประจำ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เพื่อจะได้มีสติ รักษาใจไม่ให้หวั่นไหว ไปตามสิ่งที่มากระทบ

    ๒.อยู่กับปัจจุบัน อย่ามัวห่วงกังวลกับอนาคตหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การเตรียมตัวป้องกันเหตุร้ายเป็นสิ่งที่ดี แสดงถึงการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่หากหมกมุ่นกับภัยพิบัติที่ยังไม่เกิด จนไม่รู้จักปล่อยวางเลย เราจะเป็นทุกข์โดยใช่เหตุ หรือกลายเป็นคนตีตนไปก่อนไข้ เมื่อเตรียมการเต็มที่แล้ว ก็ควรหันมาใส่ใจกับการอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

    รวมทั้ง มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย อย่ากังวลกับอนาคตภัย จนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเคร่งเครียด เพราะการกระทำเช่นนั้น นอกจากเป็นการนำความทุกข์มาทับถมตนหรือซ้ำเติมตนเองแล้ว ยังเป็นการละทิ้งความสุข ที่มีอยู่โดยชอบธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญ

    ๓.พร้อมยอมรับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น อะไรก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ ป่วยการที่เราจะตีโพยตีพาย โวยวาย หรือปฏิเสธผลักไส เพราะนอกจาก จะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ เราเป็นทุกข์เพิ่มขึ้น สิ่งที่ควรทำคือยอมรับความจริง แล้วใคร่ครวญว่า ควรจะทำอะไรต่อไป

    เช่น จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร เราจะทำใจพร้อมยอมรับ เหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ ก็ด้วยการหมั่นฝึกใจให้พร้อมยอมรับ สิ่งที่ไม่ถูกใจในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เช่น รถติด ฝนตก เงินหาย ถูกตำหนิ ฯ หากทำใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ ด้วยใจที่เป็นกลางได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับภัยพิบัติได้ ด้วยใจสงบไม่ตื่นตระหนกหรือเสียขวัญ

    ๔.เจริญมรณสติอยู่เสมอ นั่นคือ ตระหนักถึงความจริงว่า ความตายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ความตายจึงอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าภัยพิบัติใด ๆ ทั้งสิ้น และถึงแม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นเลย เราก็หนีความตายไม่พ้น แต่ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่รู้ อาจเกิดขึ้นกับเรา วันนี้คืนนี้ก็ได้

    ดังนั้น จึงควรถามตัวเองว่า หากวันนี้ต้องตาย เราพร้อมหรือไม่ที่จะจากโลกนี้ไป เราทำความดีสร้างบุญกุศลมาพอหรือยัง กิจธุระที่สำคัญ ทำเสร็จสิ้นหรือยัง และพร้อมปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ รวมทั้ง ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ตลอดจนร่างกายนี้หรือยัง

    หากไม่พร้อม ก็ควรเร่งทำ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป โดยเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความใส่ใจ โดยตระหนักว่า เขาอาจอยู่กับเราวันนี้ เป็นวันสุดท้ายก็ได้ อย่าละเลยโอกาส ที่จะทำดีกับทุกคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย

    ๕.มีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ ยิ่งนึกถึงตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์ง่ายมากเท่านั้น ตรงกันข้าม การนึกถึงผู้อื่นที่ทุกข์มากกว่าเรา จะช่วยให้เราทุกข์น้อยลง เห็นความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็กกว่าเดิม สามารถทนกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้

    ตอนที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเมืองไทยเมื่อเร็ว ๆนี้ ผู้สื่อข่าวผู้หนึ่ง ซึ่งไปทำข่าวที่ปทุมธานีเล่าว่า ได้พบคุณลุงคนหนึ่ง กำลังลุยน้ำอยู่จึงรับขึ้นรถ คุณลุงเล่าว่า ก่อนหน้านี้ได้ต่อเรือและรถหลายทอด มายังตัวเมืองปทุมธานี เพื่อหาซื้ออาหาร เพราะที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๒๐ กิโลเมตรนั้น น้ำท่วมสูงมาก จนหาซื้ออะไรไม่ได้

    กว่าจะมาถึงตัวเมือง ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๔ ชั่วโมง ปรากฏว่าฟ้ามืดแล้ว ไม่สามารถหารถหรือเรือกลับบ้านได้ จึงต้องนอนค้างที่ตัวเมือง และกลับวันรุ่งขึ้น โชคดีที่เจอรถผู้สื่อข่าวกลางทาง

    คุณลุงเล่าว่า ที่บ้านนั้น มีคนอาศัยอยู่หลายคน ต่างขาดแคลนอาหารกันทั้งนั้น เมื่อรถของผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงจุดที่รถกระบะ ไม่สามารถลุยต่อไปได้ ก็ให้คุณลุงลุยต่อ หรือหาเรือกลับบ้านเอาเอง ก่อนจากกัน ผู้สื่อข่าวซึ่งนำถุงยังชีพไป แจกจ่ายระหว่างทำข่าวด้วย ได้มอบถุงยังชีพให้คุณลุงหลายถุง เพราะทราบว่ามีคนอยู่ด้วยกันหลายคน

    แต่คุณลุงกลับขอรับไปเพียงถุงเดียว ด้วยเหตุผลว่า “ยังมีคนอื่นที่เขาต้องการอีกมาก” คุณลุงรู้ดีว่า ถุงยังชีพเพียงถุงเดีย วคงพอใช้ได้แค่วันสองวันเท่านั้น แต่คุณลุงเห็นว่า ปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัวนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อนึกถึงความทุกข์ของผู้อื่นที่หนักหนากว่า

    [​IMG]

    ใจของเรานั้น หากปล่อยให้วิบัติ สามารถทำอันตรายแก่เรา ได้ยิ่งกว่าที่โจรผู้ร้าย จะทำได้ ในทางตรงข้ามหากดูแลรักษาใจให้ดี ใจก็จะกลายเป็นมิตร ที่ประเสริฐที่สุดของเราได้ ไม่ว่าจะเจออันตรายร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่หวั่นไหว หาสุขพบได้ ท่ามกลางเหตุร้ายที่เกิดขึ้น หรือสามารถเปลี่ยนร้าย ให้กลายเป็นดีได้

    ไม่มีใครหรืออะไร สามารถให้สิ่งประเสริฐแก่เรา ได้มากเท่ากับใจที่วางไว้ถูก ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ทำให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบ ย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย” ถ้าเราตั้งจิตไว้ถูก มีธรรมรักษาใจ ก็จะได้พบสิ่งที่ประเสริฐสูงสุด ที่แม้แต่พ่อแม่ ก็ไม่สามารถให้ได้

    ดังนั้น หากกลัวภัยพิบัติ ก็ต้องเร่งฝึกฝนจิตใจ เพื่อป้องกันไม่ให้ใจวิบัติ หมั่นใส่ใจดูแล เพื่อให้ใจ กลายเป็นสมบัติอันประเสริฐสุดของเรา ถ้าหากวางใจได้อย่างนี้ ภัยพิบัติ จะกลับกลายเป็นคุณต่อเรา มิใช่เป็นโทษสถานเดียวอย่างที่ใครต่อใคร กำลังหวาดกลัวอยู่ในเวลานี้


    [​IMG]

    http://www.visalo.org
     
  11. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    กราบขอบคุณข้อเขียนที่เตือนสติ เตือนปัญญา จากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

    [​IMG]

    คุณอุรุเวลา เอามาโพสเป็นภาวะฉุกคิด ไว้ที่บอร์ดภัยพิบัติ

    http://palungjit.org/threads/สิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ-อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก.411732/
     
  12. kasarus

    kasarus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +114
    ดูเพิ่มเติมได้ที่คลิปนี้ครับ

    [ame=http://m.youtube.com/watch?v=stuXGQ1cFew]PRINCESS NAKAMARU OF JAPAN DEC 26TH 2012 ALCHEMY EVENT COSMIC INITIATION - YouTube[/ame]
     
  13. Nipora

    Nipora Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +65
    ข้อมูลในเน็ตส่วนใหญ่มันเป็นของปลอม อย่าไปยึดติดอะไรมากกับโลกไซเบอร์เดี่ยวจะสมาธิจะสั้น เป็นโรคซึมเศร้าเอา คนเราเดี่ยวนี้รู้ข่าวสารแต่เปลือกแบบกว้างๆไม่รู้แบบเชิงลึกจึงเชื่ออะไรได้ง่ายๆ นี่แหละคือผลเสียอินเตอร์เน็ต ในโลกแห่งความเป็นจริงอยู่ที่หนังสือเท่านั้น

    ไปหามาอ่านบ้างเผื่อจะเข้าใจอะไรดีขึ้น
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  14. PShinex

    PShinex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +382
    ขอบคุณมากครับ แสดงว่าโลกเรามี star seed มากพอที่จะช่วยยับยั้งพวก
    ภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ สบายใจกันได้ คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแรง ๆ แล้วละครับ:cool::cool::cool:
     
  15. โบ๊ต

    โบ๊ต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +847
    ตื่นขึ้นมาบนโลกความจริงได้เเล้ว พวกสตาร์ซี๊ดซ๊าดทั้งหลาย

    ออกไปหาการหางานทำได้เเล้ว วันๆนั่งฝึกพลังอยู่ได้
     
  16. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    อยากจะหัวเราะเป็นภาษายูโกสลาเวีย (ถ้าทำได้) :d

    เคยเขียนในกระทู้หนึ่ง ว่าผู้วิเศษวิโสก็ดี ผู้มียานต่องแต่งก็ดี ถ้าเป็นของจริง ต้องเหาะเหิรเดินอากาศให้ดูได้อย่างจะๆ ท่ามกลางกล้อง ท่ามกลางสายตาประชาชนนับพันนับหมื่นได้ โดยไม่ต้องใช้สลิง รึเทคนิคพิเศษ
     
  17. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    ถูกต้องที่สุด ตรงใจกดไลท์ให้เลย ข้อมูลในเน็ตเก้าสิบเก้าจุดเก้า เปอร์เซ็นส์ เป็นขยะ อย่างไม่ต้องสงสัย...........................นี่ผมไม่ได้พูดเองนะ ศ.สตีเฟ่น ฮอว์คิงแกพูดประชดประชันไว้นะ ในพลังจิตมีสักเท่าไหร่เดากันเอาเองนะครับ
    ใครรู้จักบ้างครับ ก็จะรู้ว่า ดร.สตีเฟ่น นะนักท่องเน็ตตัวจริง.......จัดเป็นกูรูได้เลย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแกเล่นมากกว่าคนปกติๆๆๆหลายเท่า ก็แกเล่นมีคอมติดกับรถเข็นตลอดเวลา
    เลยนี่ครับ..........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  18. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
    10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

    ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
    สูตร นี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ


    ตัวอย่าง

    1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
    2. อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
    3. อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
    4. อย่า ได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
    5. อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
    6. อย่า ได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
    7. อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
    8. อย่า ได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
    9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
    10. อย่า ได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้
     
  19. jibakun

    jibakun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +204
    ในโลกของเขาความรู้สึกของเขา คงจะจริง แต่สำหรับเรา แค่เสียงบ่นลอยลมจับไม่ได้ใจความ
    ฟังแล้วชวนให้หิวข้าวซะอย่างนั้น ไม่ต้องแช่ง ทุกคนก็ต้องตายแน่แท้ เพราะเป็นปลายทาง
    :boo:
     

แชร์หน้านี้

Loading...