จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลักแท้ๆ ของการปฏิบัติธรรม มีจุดเริ่มต้นที่ ปัจจุบัน.

    ทุกขณะของปัจจุบันที่เรารู้สึกตัว คือจุดเริ่มต้นทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้เรากำลังอ่าน

    หนังสือธรรมะอยู่ เราอ่านด้วยความสนใจและเข้าใจในเรื่องที่เราอ่านเราก็อยากอ่านต่อ.

    นั่นก็คือจุดเริ่มต้น การปฏิบัติก็เหมือนกันเราต้องมีความตั้งใจ คือตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ระหว่าง

    ที่เราปฏิบัติ เราต้องเข้าใจว่า ธรรมแท้ๆ เราต้องมีสติรู้ภายในกายของเรา และภายในใจ

    ของเราเท่านั้นจึงจะใช่การปฏิบัติที่ถูกต้อง ถ้าเรามีสติรู้ รู้นั้นจะต้องเป็นรู้ว่าปัจจุบันขณะ

    นั้นด้วย เช่น อย่างเวลาเรานอนหลับ พอเช้าขึ้นมาเราตื่นเรารู้สึกตัวก็ให้มีสติ สติ คือความรู้

    สึกตัวย้ำความรู้สึกลงไปอีกที ด้วยความรู้สึกด้วยการรู้การกระทำที่เกิดขึ้นภายในกาย ภาย

    ในใจของตน หรือตามดูกายดูใจตน ดูการเคลื่อนไหวของกายเราว่า ปัจจุบันนั้นกายเกิด

    อะไรขึ้น มันเป็นอย่างไร มันเจ็บ มันปวด มันสุข หรือทุกข์ มันเกิดอะไรขึ้นก็ให้ตามรู้

    อาการอันที่เป็นการเคลื่อนไหวของมันตามมันไปเรื่อยๆ ดูซิว่าเมื่อเราตามดูมันแล้วภายใน

    จิตใจเกิดอาการอย่างไร เรายินดียินร้าย ก็ให้เรารู้ทันปัจจุบันของอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจเรา

    ด้วยการดูใจและ อารมณ์ของใจ ที่เกิดขึ้นด้วย สติ จึงจะเป็นผู้ดู ผู้รู้ผู้เห็น นี่แหละคือหลัก

    ที่แท้จริงของการปฏิบัติ. เราต้องจับปัจจุบันทั้งกายและใจให้ทันจริงๆ คอยสั่งเกตดูว่าเหตุ

    เกิดนั้นเกิดจากไหน จากกายสู่ใจ หรือจากใจสู่กาย ดูว่ามันสัมผัสสัมพันธ์ด้วยกันอย่างไร

    แล้วก็ถามมันดูว่า ทำไมมันจึงเป็นเช่นนี้ เราก็พยายามดูมัน เฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าเห็น แล้วมา

    พิจารณาหาสาเหตุอันเป็นจุดเริ่มต้น คือเหตุที่แท้จริงของมันให้ได้ เพราะว่าธรรมะเป็นเรื่อง

    โอปนยิโก คือต้องรู้ตนเห็นตน และทำตน การเฝ้าดูรู้กายรู้ใจภายในของตนอยู่เสมอในทุก

    อิิิริยาบถรู้ทุกการกระทำ พูดคิด ในขณะในปัจจุบันที่ตนรู้ตนอยู่เสมอนั่นแหละ คือการปฏิ

    บัติธรรมที่แท้จริง.คือต้องรู้ด้วยตนเองถึงจะเรียกว่า โอปนยิโก.ขอฝากไว้กับผู้ที่กำลังเริ่ม

    ปฏิบัติและก็พยายามทำความเข้าใจกับกายและใจของตนเองอยู่เสมอแล้วท่านถึงจะเข้าใจ

    ในการปฏิบัติของท่านและก็เข้าใจในการปฏิบัติยิ่งๆขึ้น. ขออนุโมทนาค่ะสาธุ.





     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    วันนี้เราคิดถึงพ่อและแม่กันหรือยัง?

    “เมื่อฉันแก่ตัวลง..ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น
    ขอโปรดเข้าใจฉัน
    มีความอดทนต่อฉัน..เพิ่มขึ้นอีกสักนิด
    ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง
    ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า
    ขอให้คิดถึง..ตอนแรกๆ
    ที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง

    ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆ..ที่เธอรู้สึกเบื่อ
    ขอให้อดทนสักนิด..อย่าเพิ่งขัดฉัน
    ตอนเธอยังเล็กๆ
    ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆ ซากๆ..จนเธอหลับเลย

    ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้
    อย่าตำหนิฉันเลยนะ
    ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ
    ฉันต้องทั้งออด ทั้งปลอบ..เพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม

    ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ..อย่าหัวเราะเยาะฉัน
    จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม ‘ทำไม ทำไม’
    ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม

    ตอนฉันเหนื่อยล้า..จนเดินต่อไม่ไหว
    ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอ..ออกมาช่วยพยุงฉัน
    เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดิน..ในตอนที่เธอยังเล็กๆ

    หากฉันเผอิญลืมหัวข้อ..ที่กำลังสนทนากันอยู่
    ให้เวลาฉันคิดสักนิด
    ที่จริงสำหรับฉันแล้ว..กำลังพูดเรื่องอะไร..ไม่สำคัญหรอก
    ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน..ฉันก็พอใจแล้ว

    ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง..ไม่ต้องเสียใจ
    ขอให้เข้าใจฉัน..สนับสนุนฉัน
    ให้เหมือนตอนที่..ฉันสนับสนุนเธอ
    ตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ

    ตอนนั้น..ฉันนำพาเธอ..เข้าสู่เส้นทางชีวิต
    ตอนนี้..ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉัน..เดินไปให้สุดเส้นทาง
    ให้ความรัก..และอดทนต่อฉัน
    ฉันจะยิ้ม..ด้วยความขอบใจ
    ในรอยยิ้มของฉัน
    มีแต่ความรัก..อันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉัน
    ที่มีให้กับเธอ” :

    ********************************
     
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตินำส่วนหนึ่งของการบ้านลูกศิษย์ขึ้นกระทู้ เพื่อเป็นธรรมทานให้ทุกท่าน และชาวเกาะขอบกระทู้ได้โมทนาบุญกันอีกรอบค่ะ สาธุ๊:cool:

    วันที่10 แฟนปลุกตอนประมาณ 10 โมงกว่าๆ ก็อุ่นกับข้าว 2 อย่าง แต่แฟนก็ไม่อยากกิน ก็เลยต้องมาทอดหมูให้อีกรอบ(ในใจตอนนี้ แอบเคืองอยู่ ผมก็ดูอารมณ์ เคืองนี้ นึกว่าเราจะเคืองทำไม มันก็ค่อยๆหายไป) กินเสร็จก็อาบน้ำ แล้วก็มานอนฟังธรรมะที่โหลดไว้เมื่อคืน จำได้ว่า จิตกำลังพิจารณาตาม แล้วก็หลับไป สะดุ้งตื่นอีก ก็ปิดก็นอนต่อ พอตื่นมาประมาณ 4 โมงเย็น ก็ลุกกินน้ำ ตื่นแล้วก็เลยมานั่งฟังธรรมะต่อ พอเริ่มฟังจิตก็พิจารณาตามได้สักพัก ก็นิ่ง ผมสังเกตุดูร่างกายตัวเอง มันไม่มีความรู้สึกเลย เหมือนร่างก็อยู่กับร่าง จิตก็อยู่กับจิต (อ๋อผมลืมเล่าไป วันที่ 9 ภาพพระเปลี่ยนไป คือ มองไม่เห็นภาพพระนะครับ แต่เป็นเหมือนดวงแก้ว ที่มีพลังงานวิ่งรอบอยู่ตลอดเวลา อันนี้อยู่ตรงหน้าท้อง และอีกภาพเป็นภาพที่ท่านพ่อ ท่านั่ง แบบเดียวกับภาพของพี่เกษ อยู่ที่ระหว่างคิว ตอนดูภาพจะสลับไปมา ตรงสองที่ ) ต่อตรง จิตอยู่กับจิต ครับ คือผมพยายาม เพ่งดูดวงจิตนั้นอยู่พักนึง ก็เห็นภาพพระขึ้นใหม่ ท่านสง่างามมาก องค์ใส บริเวณรอบข้าง ขาวเหมือนเฆข แต่ไม่มีแสงสว่างจากองค์ท่าน จนมี ดวงจิตดวงหนึ่งลอยขึ้นมา แล้วก็ลอยเข้าไปในองค์ท่าน ประมาณ ฐานจิตของผม แล้วองค์ท่านก็มีแสงสว่าง (อ๋อ ลืมไป ตอนที่จิตยังไม่มีในองค์ท่าน ผมอธิฐานจิตฝากให้ท่านช่วยดูแล ดวงจิตก็ลอยมา) หลังจากดวงจิตอยู่ในองค์แล้ว ก็มีฐานเป็นดอกบัว ลอยขึ้นมาแล้วบานเป็นฐานที่นั่ง ทั้งหมดเป็นแก้วใส ทั้งองค์พระและดอกบัว ส่วนดวงจิตมีแสงสว่างจ้า ออกมา ตลอด ผมสังเกตุดูดีๆ บางครั้งก็เป็นแสงสีรุ้ง ที่ปลายแสง ถ้าไม่สังเกตุจะมองไม่เห็น ตั้งแต่นั้น จิตก็จับภาพนี้แทน จิตผมยิ้มและปลื้มมาก จนผมออกสมาธิ ผมดูกายผม เหน็บกินอยู่ ทั้งมือแล้วเท้า ตอนที่ทำสมาธิอยู่ ไม่รู้สึกเลย พอประมาณ 1730 น.ก็อาบน้ำ แต่งตัว ก่อนออกจากห้องก็ขอบารมีท่านพ่อ และอุทิศเปิดบุญ จิตก็อยู่กับภาพพระใหม่ตอนที่ขอบารมี แล้วก็ออกมาร้านอาหารใกล้ๆบ้าน พอดีทางบริษัทมาเลี้ยง คณะกรรมการปีใหม่ มีผมด้วย ก็เลยมานั่งกินด้วย ในขณะที่คนอื่นร้อง คาราโอเกะ ผมก็เช็คภาพพระอยู่เรื่อยๆ จนทุ่มครึ่งก็มาทำงาน วันนี้งานไม่เยอะมาก เลยมีเวลาพิมพ์การบ้านส่งได้ทั้งหมด ขณะพิมพ์ก็ยังเช็คภาพพระได้ตลอด และถี่ วันนี้อารมณ์มากระทบไม่มี อารมณ์สบาย อารมณ์ดูภาพพระ สงบนิ่ง ครับ
     
  4. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตินำมาอีกสักฉบับน่ะค่ะ เป็นส่วนหนึ่งการบ้านของลูกศิษย์ ขอทุกท่านได้ร่วมโมทนาบุญกันถ้วนหน้าด้วยเถิด สาธุ๊:cool:

    พอตอนเย็นประมาณ 3 ทุ่มได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์จากแฟนที่กำลังฝึกจิตเกาะพระ เพราะปกติเราก็ไม่ได้แลกการบ้านกันอ่านหรอกค่ะ เพราะต่างคนต่างฝึก เวลาคุยโทรศัพท์ก็ถามว่าฝึกเป็นไงบ้าง พี่เค้าก็ไม่ได้เล่าละเอียดเหมือนกับส่งการบ้านครู จนได้อ่านการบ้านพี่เค้าแล้วปุ้ยรู้สึกปลาบปลื้ม ตื้นตันมากๆๆๆเหมือนจะร้องไห้เลยค่ะ ที่เห็นคนที่เรารักก้าวหน้ามาก และพี่เค้าก็พูด เป็นเพราะปุ้ยที่ทำให้เค้าได้ฝึกจิตเกาะพระ และเห็นแก่นธรรมมะที่แท้จริง ดูพี่เค้ามีความสุขมาก และในเมล์พี่เค้าก็เขียนข้อความว่า “รู้สึกว่าสิ่งที่เราปฏิบัติไป ด้วยความเห็นชอบในธรรม ได้ผลกลับมาเป็นการรู้แจ้งเห็นธรรมด้วยจิต ยิ่งมีกำลังใจและอิ่มเอมกับความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ
    แต่นี่คือบันไดสู่นิพพานโดยแท้ ขอเป็นกำลังใจให้หนูเช่นกันครับยึดถือนิพพานเป็นบ้านของเรานะครับ”

    อ่านจบก็ปลาบปลื้มตื้นตันเหมือนน้ำตาจะไหลค่ะ รู้สึกอนุโมทนากับพี่เค้า มันทำให้ตัวเองรู้สึกมีกำลังใจมากๆ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะเพียรทำตามที่ครูเคยแนะนำมากขึ้น ตื่นนอนรู้สึกตัวนึกถึงภาพพระ มีสติทุกอริยาบท แต่รู้สึกคราวนี้ปุ้ยรู้สึกจิตตั้งมั่นมากขึ้น ในระหว่างวัน เจ้านายปุ้ยก็มาพูด มาเม้าท์ เรื่องสารพัด ตอนที่ปุ้ยฟังนั้นปุ้ยก็ฟังเป็นปรกติ แต่ฟังแบบสบายๆ ใจผ่อนคลาย ปราศจากอคติใดๆ คำพูดต่างๆ มันมากระทบ กระแทกเหมือนวันที่ผ่านๆมา แต่มันรู้สึกว่ามันไม่กระเทือนที่จิตใจเลยค่ะ ไม่มีอะไรปรุงแต่งในใจตัวเองเลยว่ารำคาญ ไม่ชอบ ไม่อยากฟัง ตอนนั้นปุ้ยรู้สึกใจเบา สบาย แล้วปุ้ยก็มีสตินึกระลึกถึงภาพพระและมีสติในการยืน เดิน เคลื่อนไหว ดื่มน้ำ ทานข้าว พอบ่ายๆได้นั่งสมาธิ ตอนที่ปุ้ยนั่งได้สักพักแบบสบายๆ รู้สึกใจเป็นกลาง จิตว่าง จิตผ่องใส เหมือนปราศจากความฟุ้งซ่าน การปรุงแต่ง ปราศจากกิเลสต่างๆ ที่เคยมีมา เหมือนกิเลสมันไม่ได้เกาะที่จิต เหมือนสติมันรู้จักจิตอ่ะค่ะ มันไม่ใช่ความคิด หรือสิ่งที่เราเคยอ่าน เคยฟังมาเลย นี่หรือที่พระพุทธเจ้าบอกว่ารู้ด้วยตนเอง ตอนนั้นระลึกรู้ สติระลึกรู้และถามตัวเองว่าภาวะนิพพานมันเป็นแบบนี้เองเหรอ หรือสภาวะที่ปราศจากกิเลสต่างๆมาห่อหุ้ม มาเกาะที่จิต
     
  5. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ...จริงไหม ที่โลกกำลังจะแตก...

    โยมถาม "จริงไหม ที่โลกกำลังจะแตก และจะทำยังไงดี"

    พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต ตอบ

    "จะไปกังวลทำไม พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมไว้แล้ว ตั้งแต่กัณฑ์แรกเป็นปฐมบทเลย ว่าด้วยการเกิดดับ ทุกอย่างมีเกิดก็มีดับ มีเกิดมีดับกันตลอดเวลา ทุกวันทุกวินาที แต่เราไม่รู้ตัว เราไม่ระลึกถึงมัน ทุกคนมีความตายแปะอยู่ที่หน้าผากทุกคน แต่ไม่มีใครสนใจหรือเห็นมัน

    ดับความทุกข์ในแต่ละวันให้ได้ก่อนเถอะ ความทุกข์ก็เกิดทุกวัน ดับมันให้ได้ จะไปรอทำไมโลกแตก คนเราก็นะ จะย้ายไปอยู่ดาวไหน ก็ไปทุกข์ที่ดาวนั้นอยู่ดี ก็ไปตายก็ไปดับที่ดาวนั้นอยู่ดีนั้นล่ะ จะคิดทำไมโลกแตก..แตกไม่แตกก็ดับ แตกเมื่อไหร่ก็ทุกข์ทุกวันอยู่ดี ถ้าตอนนี้เราดับทุกข์ได้แล้ว เราก็สบาย โลกจะแตกก็แตกเลย เราพร้อมแล้ว พร้อมที่จะดับ"

    ที่มา fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ถ้าพูดให้สั้นเข้ามา ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มันเป็นอันเดียวกัน ศีลก็คือสมาธิ สมาธิก็คือศีล สมาธิก็คือปัญญา ปัญญาก็คือสมาธิ ก็เหมือนมะม่วงใบเดียวกันนั่นแหละเมื่อมันเป็นดอกขึ้นมามันก็ดอกมะม่วง เมื่อเป็นลูกเล็กๆก็เรียกว่าผลมะม่วง เมื่อมันโตขึ้นมามันก็เรียกว่า มะม่วงลูกโต มันโตขึ้นไปอีกก็เป็นมะม่วงห่าม เมื่อมันสุกก็คือมะม่วงสุก มันก็มะม่วงลูกเดียวกันนั่นแหละ มันเปลี่ยนๆๆๆไป มันจะโตมันก็โตจากเล็ก เมื่อมันเล็กมันก็เล็กไปหาโต จะว่ามะม่วงคนละใบก็ได้ จะว่าใบเดียวกันก็ถูก

    หลวงพ่อชา สุภัทโท
    ที่มา fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    (ภาพประกอบธรรมะ)

    ไอ้หนูน้อยเอ๊ย..รู้มั๊ยว่า น๊อตมันตัวใหญ่แค่ไหน
    คุณก็เหมือนกัน จะไปเอาสติเล็กน้อย(เด็กน้อยๆ)แค่นี้ ไปสู้กับมัน..นี่นะ
    แล้วมันจะไหวหรือ?????

    ผู้ที่มีสติปัญญาน้อย ขอให้ตั้งใจฝึกสติให้บ่อยๆถี่ๆ
    พอสติเกิดมาก สมาธิหรือฌานก็เกิด แถมตัวปัญญาอีกหนึ่งตัว ก็พอให้ให้คุณชนะกิเลสได้บ้าง
    จะไม่ต้องเป็นทุกข์ หรือ เป็นทาสกิเลสตนเองและผู้อื่นอีกต่อไป
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บททบทวน
    อริยสัจ
    อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ ๔ เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

    ทุกข์ ในทางศาสนาพุทธคือ ไตรลักษณ์ เป็นลักษณะสภาพพื้นฐานธรรมชาติอย่างหนึ่ง จากทั้งหมด 3 ลักษณะ ที่พุทธศาสนาได้สอนให้เข้าใจถึงเหตุลักษณะแห่งสรรพสิ่งที่เป็นไปภายใต้กฎไตรลักษณ์ อันได้แก่

    อนิจจัง (ความไม่เที่ยงแท้)
    ทุกขัง (ความทนอยู่อย่างเดิมได้ยาก)
    อนัตตา (ความไม่มีแก่นสาระ)

    เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย)
    ได้แก่ ปฏิจจสมุปบาท (หลักศรัทธาของพุทธศาสนา) พุทธศาสนา สอนว่า ความทุกข์ ไม่ได้เกิดจากสิ่งใดดลบันดาล หากเกิดแต่เหตุและปัจจัยต่างๆ มาประชุมพร้อมกัน โดยมีรากเหง้ามาจากความไม่รู้หรือ อวิชชา ทำให้กระบวนการต่างๆ ไม่ขาดตอน เพราะนามธาตุที่เป็นไปตามกฎนิยาม ตามกระบวนการที่เรียกว่ามหาปัฏฐาน ทำให้เกิดสังขารเจตสิกกฎเกณฑ์การปรุงแต่งซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นดุจพันธุกรรมของจิต วิวัฒนาการเป็นธรรมธาตุอันเป็นระบบการทำงานของนามขันธ์ที่ประกอบกันเป็นจิต ( อันเป็นสภาวะที่รับรู้และเป็นไปตามเจตสิกของนามธาตุ) และเป็นวิญญาณขันธ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นธาตุแสง (รังสิโยธาตุ) อันเกิดจากการทำงานของนามธาตุอย่างเป็นระบบ จนสามารถประสานหรือกำหนดกฎเกณฑ์รูปขันธ์ ของชีวิตินทรีย์ (เช่นไวรัส แบคทีเรีย ต้นไม้ เซลล์ ที่มีชีวิตขึ้นมาเพราะกฎพีชนิยาม) ทำให้เหตุผลของรูปขันธ์เป็นไปตามเหตุผลของนามขันธ์ด้วย (จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว) ทำให้รูปขันธ์ที่เป็นชีวิตินทรีย์พัฒนามีร่างกายที่สลับซับซ้อนมีระบบการทำงานจนเกิดมีปสาทรูป 5 รวมการรับรู้ทางมโนทวารอีก 1 เป็นอายตนะทั้ง 6 และเกิดเป็นปัจจยาการ9 คือ

    1.เมื่ออายตนะกระทบกับสรรพสิ่งที่มากระทบจนเกิดผัสสะ
    2.จนเกิดเวทนา คือ ความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง
    3.เมื่อได้สุขมาเสพก็ติดใจ
    4.อยากเสพอีก ทำให้เกิดความทะยานอยาก (ตัณหา)
    5.จึงเกิดการแสวงหาความสุขมาเสพ
    6.จนเกิดการสะสม
    7.นำมาซึ่งความตระหนี่
    8.หวงแหน
    9.จนในที่สุดก็ออกมา ปกป้องแย่งชิงจนเกิดการสร้างกรรม และยึดว่าสิ่งนั้นๆเป็นตัวกู (อหังการ) ของกู (มมังการ)

    ทำให้มีอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) และจิตเมื่อประสบทุกข์ ก็สร้างสัญญาอันเป็นภูมิคุ้มกันทางจิตขึ้นมาเพื่อให้พ้นทุกข์ (สมตา) เพราะมีสัญญาการสมมุติว่าเป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้จึงมี เช่น คนตาบอดแต่เกิด เมื่อมองเห็นภาพตอนโตย่อมต้องอาศัยสมมุติว่าภาพที่เห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เกิดการสำคัญผิดในมายาการของสัญญาเพราะจิตมีอวิชชา จึงมีความคิดเห็นเปรียบเทียบแบ่งสรรพสิ่งออกเป็นคู่ว่าเป็นโลกและบัญญัติว่าตนเองเป็นนั้นเป็นนี้ จึงเกิดจิตใต้สำนึก (ภพ) และสร้างกรรมขึ้นมา เพราะจิตต้องการพ้นทุกข์พบสุข ตามสติปัญญาที่มีของตน นั่นเอง

    สู่การเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณทั้งหลายนับชาติไม่ถ้วน ผ่านไประหว่าง ภพภูมิทั้ง 31 ภูมิ (มิติต่างๆ ตั้งแต่เลวร้ายที่สุด (นรก) ไปจนถึงสุขสบายที่สุด (สวรรค์)) ในโลกธาตุที่เหมาะสมในเวลานั้นที่สมควรแก่กรรม นี้เรียกว่า สังสารวัฏ

    สำหรับการเวียนว่ายของจิตวิญญาณมีเหตุมาจาก "อวิชชา" คือความที่จิตไม่รู้ถึงความเป็นจริง ไปหลงผิดในสิ่งสมมุติต่างๆซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งหลาย เมื่อจิตยังมีอวิชชาสัตว์โลกย่อมเวียนว่ายตายเกิด และประสบพบเจอพระไตรลักษณ์อันเป็นเหตุให้ประสบทุกข์มีความแก่และความตาย เป็นต้น ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะทำลายที่ต้นเหตุคืออวิชชาลงได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    (ต่อ)​

    ความดับทุกข์ (นิโรธ)
    คือ นิพพาน ( เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ) อันเป็น แก่นของศาสนาพุทธ เป็นความสุขสูงสุด หรือเรียกอีกอย่างว่า

    วิราคะ ปราศจากกิเลส
    วิโมกข์ พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
    อนาลโย ไม่มีความอาลัย
    ปฏินิสสัคคายะ การปล่อยวาง
    วิมุตติ การไม่ปรุงแต่ง
    อตัมมยตา ไม่หวั่นไหว
    และสุญญตา ความว่าง

    เนื่องจากธรรมดาของสัตว์โลกมีปกติทำความชั่วมากโดยบริสุทธิ์ใจในความเห็นแก่ตัว ทำดีน้อยซึ่งไม่บริสุทธิ์ใจ ซ้ำหวังผลตอบแทน จึงมีปกติรับทุกข์มากกว่าสุข ดังนั้น ถ้าเป็นผู้มีปัญญาหรือเป็นพ่อค้าที่ฉลาดยอมรู้ว่าขาดทุนมากกว่าได้กำไร และ สุขที่ได้เป็นเพียงมายา ย่อมปรารถนาในพระนิพพาน เมื่อ ขันธ์5 แตกสลาย เจตสิกที่ประกอบกันให้เกิดเป็นจิตนั้นก็แตกสลายตามเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีเหตุปัจจัยจะประกอบกันให้เกิดเป็นจิตนั้น กรรมย่อมไม่อาจให้ผลได้อีก (อโหสิกรรม) เหลือเพียงแต่พระคุณความดี เมื่อมีผู้บูชาย่อมส่งผลกรรมดีให้แก่ผู้บูชาเหมือนคนตีกลอง กลองไม่รับรู้เสียง แต่ผู้ตีได้รับอานิสงส์เสียงจากกลอง

    วิถีทางดับทุกข์ (มรรค)
    คือ มัชฌิมาปฏิปทา (หลักการดำเนินชีวิตของพุทธศาสนา) ทางออกไปจากสังสารวัฏมีทางเดียว โดยยึดหลักทางสายกลาง อันเป็นอริยมรรค คือ การฝึกสติ (การทำหน้าที่ของจิตคือตัวรู้ให้สมบูรณ์) เป็นวิธีฝึกฝนจิตเพื่อให้ถึงซึ่งความดับทุกข์หรือมหาสติปัฏฐาน โดยการปฏิบัติหน้าที่ทุกชนิดอย่างมีสติด้วยจิตว่างตามครรลองแห่งธรรมชาติ มีสติอยู่กับตัวเองในเวลาปัจจุบัน สิ่งที่กำลังกระทำอยู่เป็นสิ่งสำคัญกว่าทุกสรรพสิ่ง ทำสติอย่างมีศิลปะคือรู้ว่าเวลาและสถานการณ์เช่นนี้ ควรทำสติกำหนดรู้กิจใดเช่นไรจึงเหมาะสม จนบรรลุญานตลอดจน มรรคผล เมื่อจำแนกตามลำดับขั้นตอนของการบำเพ็ญเพียรฝึกฝนทางจิต คือ

    1.ศีล (ฝึกกายและวาจาให้ละเว้นจากการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น รวมถึงการควบคุมจิตใจไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำด้วยการเลี้ยงชีวิตอย่างพอเพียง)
    2.สมาธิ (ฝึกความตั้งใจมั่นจนเกิดความสงบ (สมถะ) และทำสติให้รับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง) (วิปัสสนา) ด้วยความพยายาม
    3.ปัญญา (ให้จิตพิจารณาธรรมชาติจนรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) และตื่นจากมายาที่หลอกลวงจิตเดิมแท้ (ฐิติภูตัง))


    ศาสนาพุทธ - วิกิพีเดีย
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ปรมัตถธรรม
    คือ สภาพของรูปนามที่เป็นองค์ธรรมอันประเสริฐ ไม่มีการผิดแปลกผันแปรอย่างไร และเป็นธรรมที่เป็นประธานในอัตถบัญญัติและนามบัญญัติ ชื่อว่า ปรมัตถ์ สภาวะระดับพื้นฐานที่สุดที่มีอยู่จริง หรืออาจกล่าวว่าเป็นสภาวะอันประเสริฐก็ได้
    เพราะหากใคร่ครวญในสภาวะเหล่านี้แล้ว ก็สามารถบรรลุอริยธรรมได้

    ปรมัตถธรรม สรุปแล้วมี 4 อย่าง คือ

    1.จิต มี 89 หรือ 121 ดวง
    2.เจตสิก มี 52 ดวง
    3.รูป มี 28 รูป
    4.นิพพาน มีเพียง 1 เท่านั้น

    ในทางพุทธศาสนา สิ่งที่มีอยู่แท้จริงในสรรพสิ่งนี้ มีอยู่จริงๆ 4 อย่างเท่านั้น ไม่มากกว่านี้ หรือน้อยกว่านี้ เรียกว่าปรมัตถธรรม 4 คือ

    1.รูป ได้แก่ รูปธาตุทั้งหลาย คือ ดิน น้ำ ไฟ และลม
    2.เจตสิกได้แก่ นามธรรมแท้ๆ ได้แก่ ความรู้สึก นึก คิด ต่างๆ
    3.จิต ได้แก่สภาวะที่สามารถเชื่อมต่อนามธรรมให้มีผลต่อรูปธาตุ เช่นการเครื่อนไหวของกาย จนเป็นเหตุให้เกิดเจตนาและสร้างกรรมได้
    4.นิพพาน การหมดเหตุปัจจัยของรูปและนาม ก็เป็นความจริงแท้ที่มีอยู่จริงอย่างหนึ่ง

    ปรมัตถธรรม - วิกิพีเดีย

    ปล.พยายามทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ
    ขอให้ปฎิบัติมากๆ แต่ถ้าได้ผล แล้วค่อยๆนำมาเปรียบเทียบกับปริยัติในภายหลัง เพื่อกันหลง
    การปฎิบัตินำหน้าปริยัติมีข้อดี ก็คือ ทำจิตให้ละเอียดก่อน แล้วไปอ่านหรือทำความเข้าใจเรื่องปริยัติ
    แล้วจะทำให้เราเข้าใจสภาวธรรมได้ดีกว่า
    แต่ถ้าเอาแต่อ่านปริยัติ โดยที่ไม่ลงมือปฎิบัติ จิตมันหยาบเกินไป และทำให้เรารู้แค่ความจำมาจากสมอง เท่านั้น
    อย่าลืมนะ สองคนเรานั้น เสื่อมทุกวันๆ ถ้าอายุมากขึ้นๆ
    แต่ถ้าเราเอาจิตจำและจะจำได้นานกว่า สมารถจำข้ามภพ ข้ามชาติเลยทีเดียว เช่น กฎแห่งกรรมของทุกคน เป็นต้น
    แต่ถ้าปฎิบัติอย่างเดียว โดยไม่เอาปริยัติก็ไม่ได้ เช่นกัน
    เพราะเราอาจจะรู้แค่สภาวธรรมเพียงคนเดียว แต่เรียกไม่ถูก ใครถามก็ตอบได้ แต่จะเรียก ภาษาสมมุติไม่ถูก(คำบัญญัติ)เท่านั้นเอง
    เพราะพูดได้แต่ภาษาจิต(ปรมัตถธรรม) นั่นเอง
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บอกว่า..เจริญสติภาวนาๆ
    เดี๋ยวก็ดีเอง เดี๋ยวรู้เอง ฉลาดเอง หรือ สติมา ปัญญาเกิด ที่เราท่องมาจนหัวจะงอกแร๊ะ!

    เมื่อเราเจริญสติ ฝึก สติจนมีความช่ำชอง มีความคมกล้า สตินี้มันก็จะสามารถไปจับความไวของรูปนามนั้นได้ พอไปจับได้ มันก็จะเห็นขาดตอน พอเห็นขาดตอน คือเห็นความเกิดดับ มันก็จะเกิดความรู้สึกไม่เที่ยงขึ้นมาใช่มั้ย มันเป็นหลักธรรมชาติ ถ้าเห็นความเกิดดับเมื่อไหร่ มันก็จะเกิดความรู้สึกไม่เที่ยง ต้องเห็นความดับไป เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปไวที่สุด ก็จะมีการกระชากความรู้สึกในใจ เป็นปัญญาที่ว่า ภาวนาปัญญา เกิดขึ้นในใจว่า อ๋อไม่เที่ยง ซึ่งปัญญาชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากความคิด เอาอดีตมาคิด เอาอนาคตมาคิด แต่มันเกิดความแจ้งขึ้นมา มันรู้แจ้ง ไม่ต้องคิดอะไรเลย

    เป็นหลักการอย่างหนึ่งว่า การปฏิบัติอย่าหลงไปคิด ที่เราเรียนศึกษาวิชาการต่างๆ แม้แต่ปริยัติที่เราเรียนมา เวลานำมาปฏิบัติจริงๆ มันก็เป็นแต่เอามาสรุป แล้วก็ทำเฉพาะเรื่องที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น จะมัวไปคิดหลักการ เช่น กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอะไรบ้าง เวทนามีอะไรบ้าง มันไม่ใช่นึกอย่างนั้น สิ่งที่เป็นปัจจุบันกำลังเกิดขึ้นจะไม่รู้เลย
    ฉะนั้นเราเรียนเพื่อประกอบความเข้าใจ เวลามาปฏิบัติ ก็เจริญสติ กำหนดรูปนาม ที่กำลังปรากฏจริงๆ เราก็ได้ความแล้วว่า ต้องเจริญสติ สติคือระลึกได้ ระลึกที่ไหน ระลึกที่รูปนาม รูปนามที่ไหน รูปนามที่เป็นปัจจุบัน บัญญัติไม่เอา เอาแต่ปรมัตถ์ คือ รูปนาม


    เมื่อเราปฏิบัติไปเห็นรูป เห็นนาม ก็เท่ากับเห็นของจริง และถ้าเราเห็นลักษณะของรูปของนาม ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เรียกว่ารู้ตามความเป็นจริง นั่นคือ เรียกว่า "วิปัสสนาญาณ" เกิดขึ้น
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=2A4AGTwqP9E]หยดน้ำ - YouTube[/ame]​

    หยดน้ำ สไตล์เบิร์ดๆ
    ก็เหมือนที่กำลังบอกให้พวกเราเจริญสติภาวนา(สร้างสติ)กันนี่ไง...
    พักฟังเพลงกันก่อน...ช่วงพักเบรค
    วันนี้วันศุกร์
    ขอให้พวกเรามีแต่..ความสุข สมหวังและคิดสิ่งใด ก็ขอให้สมใจปรารถนาทุกประการและทุกท่านๆด้วยเทอญ
    (ยิ้มก่อนๆๆ)
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มารู้จักคำว่า "ธาตุ"
    นอกจากพวกเราเรียนรู้เรื่องขันธ์๕ และ อายตนะ๑๒ ไปแล้ว แต่จะขอกล่าวถึงเรื่องธาตุบ้าง
    ธาตุ แปลว่า ทรงไว้ เป็นธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน
    ฉะนั้น ธรรมชาติอันใดที่ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน มีเนื้อหาไม่ใช่สัตว์ บุคคล ไม่ใช่ชีวะ เป็นสภาวะแท้ๆ ก็เรียกว่าธาตุ
    สัตว์ที่ว่าเกิด ที่ว่าตาย มันก็เป็นเพียงธาตุ คือวิญญาณธาตุ จักขุธาตุ ธัมมธาตุ ที่เกิดจากกรรมมันดับลง ที่ว่าเป็นสัตว์เกิดนั้นก็คือ วิญญาณธาตุ จักขุธาตุ ธัมมธาตุ เป็นต้น มันประชุมกันเกิดขึ้นมา
    บุคคลก็หลงเข้าใจผิดว่าเป็นคนเกิด เป็นสัตว์เกิด สัตว์ตาย แต่ที่จริงแล้วก็ไม่มีสัตว์ บุคคล เป็นสภาวธรรมที่เรียกว่าธาตุ คือธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสภาวลักษณะของตน

    คำว่า "ธาตุ" มี 18 ธาตุด้วยกัน
    ซึ่งรวมอยู่ในชีวิตนี้ ก็แบ่งออกเป็นธาตุรับ 6 เป็นธาตุกระทบ 6 แล้วเป็นธาตุรู้ 6
    ได้แก่...


    1.ธาตุรับ ก็ได้แก่ จักขุธาตุ(ประสาทตา)ธาตุที่มากระทบ ก็คือ รูปธาตุ(สีต่างๆ)ส่วนธาตุรู้ ก็คือ จักขุวิญญาณธาตุทรงไว้ซึ่งการเห็น สภาพที่เห็นนั้นก็เป็นธาตุรู้ เป็นธาตุรู้ทางตา ถ้าจัดเป็นรูปเป็นนามแล้ว จักขุธาตุรูปธาตุ เป็นรูปธรรม จักขุวิญญาณธาตุเป็นนามธรรม คือตากับสีเป็นรูป การเห็นเป็นนาม เป็นธาตุธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ที่เห็นไม่ใช่เรา ตานั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคล เป็นธาตุธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะอย่างนั้นๆ
    2.ธาตุรับ คือ โสตธาตุ ได้แก่ประสาทหู ธาตุกระทบ ก็คือ สัททธาตุ ได้แก่ เสียงต่างๆ ส่วนธาตุรู้ ก็คือ โสตวิญญาณธาตุ เป็นสภาพรู้ทางหู
    3.ธาตุรับ ได้แก่ ฆานธาตุ ประสาทจมูก ธาตุกระทบ ก็คือ คันธธาตุ ได้แก่กลิ่นต่างๆ ธาตุรู้ ก็คือ ฆานวิญญาณธาตุ(รู้กลิ่น)
    4.ธาตุรับ ก็คือ ชิวหาธาตุ ได้แก่ ประสาทลิ้น ธาตุกระทบ ก็คือ รสธาตุ ได้แก่รสต่างๆ ธาตุรู้ ก็คือ ชิวหาวิญญาณธาตุ ได้แก่ ตัวรู้รส เป็นจิตเรา เรียกว่าวิญญาณ
    5.ธาตุรับ ได้แก่ กายธาตุ ได้แก่ประสาทกาย ธาตุกระทบ ก็คือ โผฏฐัพพารมณ์ ธาตุรู้ทางกาย ก็คือ กายวิญญาณธาตุ ได้แก่ตัวรู้สึกเย็น รู้สึกร้อน รู้สึกอ่อน รู้สึกแข็ง เป็นต้น
    6.ธาตุรับ ก็คือ มโนธาตุ(เป็นธรรมชาติที่ทรงไว้) ธาตุกระทบ ก็คือ ธัมมธาตุ(ทรงไว้ซึ่งการกระทบทางใจ)


    ฉะนั้น ก็ต้องอาศัยการปฏิบัติเจริญสติ คือ การระลึกรู้ขณะเห็น ขณะได้ยิน ขณะรู้กลิ่น ขณะรู้รส ขณะรู้สัมผัส ขณะคิดนึก ทุกอิริยาบถไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน ก็พยายามที่จะพิจารณา พยายามที่จะสังเกตให้ตรงสภาวะของ ธาตุธรรมชาติต่างๆเหล่านี้
    แต่ถ้าหากไม่ได้พิจารณา สมมุติบัญญัติมันก็เข้ามาครอบงำ ให้เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นผู้หญิง ผู้ชาย เป็นเรา เป็นเขา เป็นตัวเป็นตนขึ้น เวลาเห็นครั้งหนึ่ง จิตก็แล่นไปสู่ สมมุติบัญญัติ

    ฉะนั้นในปุถุชนก็มีการหลงผิดยึดผิดอยู่ ก่อให้เกิดกิเลส เกิดความรัก เกิดความชัง แล้วทำกรรมต่างๆทำกุศลก็ได้ ทำอกุศลก็ได้ ด้วยความ ยึดมั่นถือมั่น ทำกุศลด้วยอำนาจของอุปาทานก็ได้ ยึดอยากจะให้มันไปเกิดที่ดีๆ อยากรวย อยากสวย อยากเกิดบนสวรรค์ ก็ทำกุศลกรรมต่างๆ นั่นก็เพราะ มีความยึดถือความเป็นสัตว์เป็นบุคคล ก็มีอำนาจของโลภะเข้าไป

    ส่วนอกุศลกรรมนั้นย่อมจะเกิดขึ้นแน่นอน ลองมีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็ทำบาปอกุศลกรรมต่างๆ ก็ทำให้มีผลต่อไป คือปัจจุบันนี้ก็มีธาตุธรรมชาติ ที่มันเกิด มาจากเหตุปัจจัยในอดีต ส่งมาแล้ว มาอุบัติบังเกิดขึ้น เป็นธาตุธรรมชาติประชุมกัน แต่ว่าก็ยังมีความยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นเหตุให้ทำกรรมต่างๆ ลงไปอีก ที่จะส่งผลให้มีธาตุธรรมชาติอุบัติบังเกิดขึ้นต่อไปอีก ในภพภูมิต่างๆ ไม่จบสิ้น
    มันก็กลายเป็นเสวยความทุกข์ ตัวที่ได้รับความทุกข์ต่างๆ คือธาตุนี่แหละที่เป็นทุกข์ นี่เป็นธาตุธรรมชาติ แต่อุปาทานเข้าไปยึดว่า เป็นเราทุกข์ เราสุข ไม่พ้นจากทุกข์

    ฉะนั้นถ้าหากมีปัญญาญาณ เจริญวิปัสสนาเข้าไปเห็นแจ้งตามความเป็นจริง เห็นเป็นธาตุธรรมชาติ ละสมมุติบัญญัติออกไป มันก็ไม่ก่อ เหตุปัจจัยต่อไป พอหมดเหตุปัจจัยในอดีต ธาตุธรรมชาติเหล่านี้ก็สลายตัวไปไม่ก่อตัวขึ้นมาอีก

    เมื่อเข้าถึงธัมมธาตุที่เป็นนิพพาน มีลักษณะที่สงบ ไม่มีความเกิด-ดับ นิพพานเป็นธรรมที่ไม่เกิด-ไม่ดับ เป็นธรรมชาติที่พ้นทุกข์
    ถ้าหากว่ายังมีการเกิดของธาตุธรรมชาตินี้มันก็ต้องทุกข์ต่อไป

    ถ้าเราพูดตามสมมุติบัญญัติ เช่น บุคคลทำบาปก็ต้องไปเกิดในนรก ในอบายภูมิ เมื่อทำกุศลก็ไปเกิดบนสวรรค์เป็นเทวดา อันนี้มันพูดตามสมมุติ บุคคลาธิษฐาน ความเป็นคน เป็นสัตว์
    ถ้าพูดตามสภาวปรมัตถ์ มันไม่มีความเป็นคน มนุษย์ไม่มี สัตว์เดรัจฉานไม่มี เทวดา สัตว์นรกต่างๆ ไม่มี มันเป็นแค่ธาตุธรรมชาติ ที่ไหลไป ตามเหตุตามปัจจัย

    พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ถึงธาตุแท้ของชีวิต คือธาตุต่างๆ บุคคลที่อยากจะรู้ตามความเป็นจริง ก็เจริญวิปัสสนา เมื่อรู้จริงเห็นจริงแล้ว ก็จะพ้นทุกข์...
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=0x6bmom1M0o]ทำดีที่สุดแล้ว หินเหล็กไฟ เดอะซัน - YouTube[/ame]​
    ทำดีที่สุดแล้ว
    ถึงไม่มีใครเห็น ถึงไม่มีใครเข้าใจ หรือบางครั้งมีคนไม่เห็นด้วย
    แต่ไม่เป็นไร
    เพราะพวกเราทำให้ลูกหลานของสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และครูบาอาจารย์ทุกท่าน
    อันได้แก่ พระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นต้น
    ท่านพ่อ/หลวงพ่อรับรู้แล้ว ทำเต็มที่แล้ว พยายามทำทุกอย่างตามที่ท่านพ่อ/หลวงพ่อสั่งแล้ว ว่า...
    หน้าที่ของลูกในชีวิตที่เหลืออยู่คือ "ตามพี่น้องกลับบ้าน"

    จนบางครั้งลืมเหนื่อยไปเลย
    คิดว่าเราไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่เราทำเพื่อคนอื่น
    ถึงจะมีคนด่าบ้าง..ก็ช่างมัน
    เราอยู่เหนือขันธ์๕ อยู่เหนืออารมณ์หรือความรู้สึกของตน
    แต่มิใช่ เราไปอยู่เหนือผู้อื่น

    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงยิ่ง
    โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องจิตเกาะพระ ที่ทำด้วยจิต ด้วยใจแทบทั้งสิ้น​
     
  16. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <object width="420" height="315"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/uti2eYkFIag?version=3&amp;hl=th_TH&amp;rel=0"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/uti2eYkFIag?version=3&amp;hl=th_TH&amp;rel=0" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>
     
  17. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    รู้เท่าทันความคิดที่เกิดขึ้น

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kyqBr-pRohU&feature=share&list=UU-4i-rpoHASDOmIlNyEQcNQ]เราทุกข์เพราะความคิดของเราเอง.wmv - YouTube[/ame]
    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช _/|\_


    หน้าที่ของเราคือ "ต้องรู้สึกตัว"
    ตื่นขึ้นมาจากโลกของความคิดให้ได้
     
  18. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=RlFklM7626Q]อย่าเพิ่งท้อ - ไม้เมือง - YouTube[/ame]

    ผมขอส่งเพลงนี้ให้แก่ทุกๆท่าน ไม่ว่าท่านจะมาแบบใดก็ตาม ทั้งทางโลกทางธรรมนะครับ โดยเฉพาะท่านที่กำลังเดินมรรคอยู่ ขอส่งกำลังใจให้นะครับ(นึกถึงครูวิทย์จัง )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2013
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    พระโอวาทปาติโมกข์ ที่เป็นหลักหัวใจของ "พระศาสนา" มีอยู่ ๓ อย่าง ที่จะต้องนํามาปฏิบัติ คือ
    ๑.การไม่ทําบาปทั้งปวง ด้วย กาย วาจา ใจ
    ๒.การยังกุศลให้ถึงพร้อม คือ ความเฉลียวฉลาดในธรรม
    ๓.การทําจิตของตนให้ผ่องใส จนถึงความหลุดพ้น และธรรม ๓ อย่างนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านยกเป็นหัวใจ หรือหลักสําคัญของคนผู้ปฏิบัติได้ ดําเนินตาม ซึ้งการที่จะทํา หรือ ละเว้นการไม่ทําบาปนั้นก็เป็นของยาก และการทําจิตตนให้ผ่องใสนั้นก็ทําได้ยาก ไม่ใช้ของง่ายเลย จึงต้องนําธรรมมาปฏิบัติ เพื่อให้มีสติที่ค่อยควบคุ้มอยู่ไม่ให้ทําบาป สติจึงมีความจําเป็นในทุกๆเรื่องของการปฏิบัติจะขาดเสียไม่ได้เลยเว้นแต่เวลาหลับนอนเท่านั้น และพระพุทธเจ้าท่านก็เปรียบเสมือนหมอ ที่ค่อยรักษาโรค แต่เป็นโรคทางใจ คือ "โรคของกิเลส"และ"ธรรม"ของท่านก็คือ "ยารักษาโรค"ที่ใช้ได้ผลมาแล้ว ตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงทุกวันนี้ ก็มีแต่ธรรม ของท่าน เป็นยาโอสถขนานดีเลิศอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะยาอย่างอื่นไม่มีทางรักษาโรคภายใน คือ "กิเลส ตัณหา" ก็มีแต่ธรรมะเท่านั้น เพราะธรรมคือ ของจริง ที่มีอยู่ "ธรรมคือ ธรรมชาติ" ที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น ต้องได้ยิน ได้ฟัง และได้ศึกษา จากพระพุทธเจ้าในสมัยพระพุทธกาล และมาในสมัยนี้ เราก็ได้ยินได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์มาเป็นทอดๆนี้แหละ ธรรมแท้ และผู้ปฏิบัติตามก็จะหลุดพ้น และเข้าถึงมรรคผลนิพพาน.ที่มา จากเทปธรรมะขององค์หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน. ขอกราบองค์หลวงตา ด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2013
  20. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    ด้วย เกรงว่า จะทำความเข้าใจผิด ขอแสดง ความ รู้สึก กับ พระนิพพาน อย่างที่
    เคยบอกไปแล้ว ขอโมทนา ท่าน ทั้งหลาย ที่ ขยัน ( ไม่ได้พูดเล่น นะ )


    " พูดลอยลอย ให้ลมให้ฟ้าได้ฟัง
    ว่าฉันยังคิดถึงเธอมากแค่ไหน
    ผ่านช่วงเวลาเนินนาน แต่ฉันไม่เคยมีใครใหม่
    และไม่คิดดึงเธอกลับมา

    รู้ว่าเธอก็ไปกับเขาได้ดี ก็บางทีก็มีบางครั้งอิจฉา
    ฝากฟ้ายินดีกับเธอ ที่พบบางคนที่ดีกว่า
    โชคชะตาคือสิ่งที่ฉันไม่มี


    ฝากบอกว่าฉันอยู่ไหว บอกให้ฉันหน่อยได้ไหม
    แค่ไม่มีใครถึงไงยังอยู่ได้ดี
    ฝากบอกว่าฉันอยู่ไหว จะมีฝันร้ายก็แค่บางที
    นอกนั้นดีนอกนั้นดีหมดเลย

    พูดลอยลอยผ่านลมและฟ้าอีกครั้ง
    ให้เธอฟัง เผื่อเธอคนนั้นอยากรู้
    ฝากฟ้าและลมบอกเธอ ว่าฉันไม่เคยรอเธออยู่

    รู้แค่ เพียงว่ายังคิดถึงเธอ " (พระนิพพาน )

    Thanks again . ที่ได้อ่าน
    Happy Friday !
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...