*~ เรียนแพทย์แผนไทย ใครว่าเชย ~*

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ~:*พนมวัน*:~, 30 มกราคม 2013.

  1. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    [​IMG]

    สมัยหนึ่ง พระเทวทัตเมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้วได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้เปนที่ประจักษ์แก่พระราชกุมารอชาตศรัตรู ยังผลให้พระราชกุมารมีศรัทธาเลื่อมใสพระเทวทัตเป็นอันมาก จึงทรงส่งอาหารดี ๆ ไปให้พระเทวทัตและพรรคพวก

    ต่อมา พระเทวทัตเกิดความทะเยอทยานมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการปกครองภิกษุสงฆ์เพื่อครอบครองพุทธจักร จึงทูลยุยงให้พระราชกุมารปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารเพื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินครอบครองอาณาจักร พระเทวทัตวางแผนปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายวิธี วิธีหนึ่งคือ ตัดสินใจขึ้นบนภูเขาคิชฌกูฏแต่เช้าตรู่ รอเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จจงกรมก็กลิ้งหินใส่ แต่ก้อนหินปะทะเข้ากับยอดเขา ๒ ยอดก่อน จึงมีเพียงสะเก็ดหินแตกกระเด็นใส่พระบาทพระพุทธเจ้าจนเกิดพระโลหิตห้อขึ้น ทรงมีทุกขเวทนากล้า ภิกษุทั้งหลายนำพระองค์ไปพักที่สวนมัททกุจฉิ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตพระตถาคต ด้วยความพยายามของผู้อื่นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส เพราะพระตถาคต ทั้งหลาย ย่อมไม่ปรินิพพาน ด้วยความพยายามของผู้อื่น" (วินย.จูฬ.ข้อ๓๗๒)
     
  2. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    [​IMG]

    ภิกษุทั้งหลาย นำพระศาสดาไปยังสวนมัททกุจฉิ พระศาสดามีพระประสงค์จะเสด็จ แม้จากสวนมัททกุจฉินั้น ไปยังสวนมะม่วงของหมอชีวก จึงตรัสว่า

    “เธอทั้งหลาย จงนำเราไปในสวนมะม่วงของหมอชีวกนั้น”

    พวกภิกษุได้พาพระผู้มีพระภาคเจ้าไปยังสวนมะม่วงแล้ว หมอชีวกทราบเรื่องนั้นจึงไปสู่สำนักพระศาสดา ถวายเภสัชแล้วผ่าแผลนำเลือดที่คั่งอยู่ออก แล้วใส่ยาขนานที่ชะงัก เพื่อประโยชน์กำชับแผล พันแผลเสร็จแล้ว ได้กราบทูลพระศาสดาว่าตนเองต้องขอตัวไปรักษาคนป่วยในพระนครก่อน เสร็จแล้วจักกลับมา ขอให้พระองค์ทรงรอจนกว่าตนจะกลับมา

    เมื่อหมอชีวกไปรักษาคนป่วยนั้นแล้ว กลับออกจากพระนครไม่ทัน ประตูเมืองปิดเสียก่อน ทำให้หมอชีวกมีความปริวิตกว่า

    “แย่จริง เราทำกรรมหนักเสียแล้ว ที่เราถวายเภสัชอย่างชะงัด พันแผลที่พระบาทของพระตถาคตเจ้า ดุจคนสามัญ เวลานี้ เป็นเวลาแก้แผลนั้น เมื่อแผลนั้นอันเรายังไม่แก้ ความเร่าร้อนในพระสรีระของ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักเกิดตลอดคืนยังรุ่ง"

    ขณะนั้น พระพุทธองค์ทรงทราบความปริวิตกของหมอชีวก จึงตรัสเรียกพระอานนท์เถระมาเฝ้า รับสั่งว่า “อานนท์ หมอชีวกมาในเวลาเย็นไม่ทัน ประตูปิดเสียแล้ว เวลานี้เป็นเวลาแก้แผล เธอจงแก้ผ้าพันแผลนั้นออก" พระอานนท์แก้แล้วแผลได้หายสนิท ดุจสะเก็ดไม้หลุดออกจากต้นไม้

    หมอชีวกมายังสำนักพระศาสดาโดยเร็ว ภายในอรุณนั่นแล ทูลถามว่า “ความเร่าร้อนเกิดขึ้นในพระสรีระของพระองค์หรือไม่?” พระศาสดาตรัสว่า “ชีวก ความเร่าร้อนทั้งปวงของตถาคต สงบราบคาบแล้ว ที่โคนไม้โพธิพฤกษ์นั่นแล” ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

    “ความเร่าร้อน ย่อมไม่มีแก่ท่านผู้มีทางไกลอันถึงแล้ว หาความเศร้าโศกมิได้ หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ผู้ละกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวงได้แล้ว” (ขุ.ธ.ข้อ๑๗,ธ.อ.๒/๓๖๕-๗,ชาดก.อ.๓/๗/๑๓๑)
     
  3. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    [​IMG]

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับ ณ สวนอัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ใกล้พระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำเป็นวันครบ ๔ เดือน ฤดูดอกโกมุทบาน ในราตรีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่า อชาตศัตรูเวเทหิบุตร แวดล้อมด้วยราชอำมาตย์ประทับนั่ง ณ พระมหาปราสาทชั้นบนขณะนั้น พระองค์ทรงเปล่งพระอุทานว่า

    “ดูกรอำมาตย์ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่ารื่นรมย์หนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง ช่างงามจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่าชมจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่าเบิกบานจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง เข้าลักษณะ จริงหนอ วันนี้เราควรจะเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดดีหนอ ซึ่งจิตของเราผู้เข้าไปหาพึงเลื่อมใสได้”

    ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว อำมาตย์ผู้หนึ่งจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านปูรณะกัสสป ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ...” กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระองค์ท่านก็ยังทรงนิ่งอยู่

    อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านมักขลิโคศาล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ...” กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ยังทรงนิ่งอยู่

    อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านอชิต เกสกัมพล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ...” กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่

    อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านปกุธะ กัจจายนะ ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ..”. กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่

    อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ...” กราบทูลอย่างนี้แล้วก็ทรงนิ่งอยู่

    อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านนิครนถ์ นาฏบุตร ปรากฏว่าเป็น เจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ..”. กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่

    สมัยนั้น หมอชีวกโกมารภัจจ์ นั่งนิ่งอยู่ในที่ไม่ไกลจากพระเจ้าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร จึงมีพระราชดำรัสกะหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า

    "ชีวกผู้สหาย เธอทำไมจึงนิ่งเสียเล่า”

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ สวนอัมพวันของข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป พระเกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า

    แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมดังนี้ เชิญพระองค์ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระฤทัยพึงเลื่อมใส “

    จึงมีพระราชดำรัสว่า “ชีวกผู้สหาย ถ้าอย่างนั้น ท่านจงสั่งให้จัดเตรียมช้างพาหนะไว้.”

    หมอชีวกรับพระราชโองการแล้ว สั่งให้กองพลเตรียมช้างพังประมาณ ๕๐๐ เชือก และช้างพระที่นั่ง พร้อมแล้วได้ราบทูลเชิญเสด็จออกจากพระนครราชคฤห์ ด้วยพระราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เสด็จไปสวนอัมพวันของหมอชีวก โกมารภัจจ์.

    พอใกล้จะถึง พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดทรงหวาดหวั่นครั่นคร้าม และ ทรงมีความสยดสยองขึ้น ครั้นทรงกลัว ทรงหวาดหวั่น มีพระโลมชาตชูชันแล้ว จึงตรัส กับหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า

    “ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ลวงเราหรือ”

    “ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้หลอกเราหรือ”

    “ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ล่อเรามาให้ศัตรูหรือ เหตุไฉนเล่า ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ตั้ง ๑,๒๕๐ รูป จึงไม่มีเสียงจาม เสียงกระแอม เสียงพึมพำเลย “

    หมอชีวก โกมารภัจจ์กราบทูลว่า “ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดหวั่นเกรงกลัวเลยพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ลวงพระองค์ ไม่ได้หลอกพระองค์ ไม่ได้ล่อพระองค์มาให้ศัตรูเลย พระเจ้าข้า ขอเดชะ เชิญพระองค์เสด็จ เข้าไปเถิด ๆ นั่นประทีปที่โรงกลมยังตามอยู่. “

    ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนช้างพระที่นั่งไปจนสุดทาง เสด็จลงทรงพระดำเนินเข้าประตูโรงกลมแล้วจึงรับสั่งกะหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า

    “ชีวกผู้สหาย ไหนพระผู้มีพระภาค”.

    หมอชีวก โกมารภัจจ์ กราบทูลว่า “ขอเดชะ นั่นพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งพิงเสากลาง ผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา ภิกษุสงฆ์แวดล้อมอยู่”

    ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์นิ่งสงบเหมือนห้วงน้ำใส ทรงเปล่งพระอุทานว่า

    “ขอให้อุทยภัทท์กุมาร ของเราจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้”

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกร มหาบพิตร พระองค์ เสด็จมาทั้งความรัก”

    พระองค์ทูลรับว่า “พระเจ้าข้า อุทยภัทท์กุมารเป็นที่รักของหม่อมฉัน ขอให้อุทยภัทท์กุมารของหม่อมฉันจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้เถิด.”

    ลำดับนั้น ทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วทรงประนมอัญชลีแก่ภิกษุสงฆ์ ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะขอทูลถามปัญหาบางเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าพระองค์จะประทานพระวโรกาสพยากรณ์ปัญหาแก่หม่อมฉัน”

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เชิญถามเถิด มหาบพิตร ถ้าทรงพระประสงค์”

    หลังจากนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถาม และพระพุทธองค์ทรงแสดง สามัญผลสูตร พระเจ้าอชาตศัตรูแสดงพระองค์เป็นอุบาสก เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาอย่างนี้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ได้กราบทูลพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำหม่อมฉันว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โทษได้ครอบงำหม่อมฉัน ซึ่งเป็นคนเขลา คนหลง ไม่ฉลาด หม่อมฉันได้ปลงพระชนมชีพ พระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมเพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงรับทราบความผิดของหม่อมฉันโดยเป็นความผิดจริง เพื่อสำรวมต่อไป”

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จริง จริง ความผิดได้ครอบงำมหาบพิตรซึ่งเป็นคนเขลา คนหลงไม่ฉลาด มหาบพิตรได้ปลงพระชนมชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ แต่เพราะมหาบพิตรทรงเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริงแล้ว ทรงสารภาพ ตามเป็นจริง ฉะนั้น อาตมภาพ ขอรับทราบความผิดของมหาบพิตร ก็การที่บุคคล เห็นความผิด โดยเป็นความผิดจริงแล้วสารภาพตามเป็นจริงรับสังวรต่อไป นี้เป็นความชอบในวินัย ของพระอริยเจ้าแล”

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูได้กราบทูลลาว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาไปในบัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก”

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ขอมหาบพิตร ทรงสำคัญเวลา ณ บัดนี้เถิด”

    เมื่อเสด็จจากไปไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า

    “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว พระราชาพระองค์นี้ถูกขจัดเสียแล้ว หากท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมไซร้ ธรรมจักษุ ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักเกิดขึ้นแก่ท้าวเธอ ณ ที่ประทับนี้ทีเดียว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล”
     
  4. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    [​IMG]

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น หมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้มาว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่านั้นชื่อว่า กล่าวตรงกับที่พระผู้มีพระภาคตรัส ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่ พระผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่เป็นจริง ชื่อว่ายืนยันธรรมอันสมควรแก่ธรรม การกล่าวและกล่าวตาม ที่ชอบธรรม จะไม่ถึงข้อติเตียนละหรือ?"

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ดูกร ชีวก ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจง พระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังเสวยเนื้อสัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ชนเหล่านั้นจะชื่อว่า กล่าวตรงกับที่เรากล่าวหามิได้ ชื่อว่า กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง

    ดูกร ชีวก เรากล่าวเนื้อว่า ไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ นี้แล ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล"

    ทรงแสดงเหตุที่ตรัสตอบปฏิเสธว่า คนเหล่านั้นกล่าวไม่ตรงกับที่พระองค์ตรัสไว้เรียกว่า เขากล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง เพราะได้ตรัสไว้ว่า เนื้อที่ไม่ควรบริโภคต้องประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการ (เรียกว่าเนื้อเป็นอกัปปิยะ) คือ

    ๑. เนื้อที่ตนเห็น คือ มีการเห็นด้วยตาว่าผู้อื่นฆ่ามาเพื่อทำเป็นอาหารถวายเรา

    ๒. เนื้อที่ตนได้ยิน คือ มีการฟังเสียงด้วยหูว่าผู้อื่นฆ่า และนำเนื้อนั้นทำอาหารมาถวายเรา

    ๓. เนื้อที่ตนรังเกียจ คือ มิได้เห็นด้วยตาหรือได้ยินด้วยหู แต่เกิดความสงสัยว่า เขาอาจจะฆ่าแล้วทำเป็นอาหารมาถวาย

    ส่วนเนื้อที่ควรบริโภคต้องประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการ (เรียกว่าเนื้อเป็นกัปปิยะ) คือ

    ๑. เนื้อที่ตนไม่เห็น คือ ไม่เห็นด้วยตาว่าผู้อื่นฆ่ามาเพื่อทำเป็นอาหารถวายเรา

    ๒. เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน คือ ไม่ได้ฟังเสียงด้วยหูว่าผู้อื่นฆ่า และนำเนื้อนั้นทำอาหารมาถวายเรา

    ๓. เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ คือ มิได้เห็นด้วยตาหรือได้ยินด้วยหู มิได้เกิดความสงสัยว่า เขาอาจจะฆ่าแล้วทำเป็นอาหารมาถวาย

    มูลเหตุเมื่อพระภิกษุเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน มีคนรับบาตรไปแล้วใส่อาหารมีเนื้อปลามา ภิกษุเกิดสงสัยในขณะนั้นว่า เขาทำเพื่อภิกษุทั้งหลายโดยเฉพาะล่ะหรือ? สงสัยอย่างนี้แล้วภิกษุจะรับอาหารนั้นมาก็ไม่ควร ถ้าคนเขาถามว่า ทำไมไม่รับ? ตอบไปว่า สงสัย หากเขาชี้แจงฟังได้ก็พึงรับได้ แต่ถ้าชาวบ้านปรุงเนื้อด้วยตั้งใจถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดรู้ อาหารนั้นก็ไม่ควรแก่ภิกษุที่รู้ว่าเขาทำเจาะจง ส่วนภิกษุผู้ไม่รู้จะรับแล้วฉันก็ควร (ดู ม.อ.๒/๑/๑๐๖-๑๑๑)

    ลักษณะการฉันอาหารที่ไม่มีโทษ

    แล้วทรงแสดงวิธีแผ่เมตตา (เมตตาอัปมัญญา) ของภิกษุทั้งหลาย เพื่อความไม่เบียดเบียน ไม่ได้รับโทษจากการฉันเนื้อว่า

    "ดูกร ชีวก ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยบ้านหรือนิคมแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ เธอมีใจประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่ง อยู่ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าโดยความมีตนทั่วไปในทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวรไม่มีความ เบียดเบียนอยู่ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี เข้าไปหาเธอแล้วนิมนต์ด้วยภัต เพื่อให้ฉันในวันรุ่งขึ้น

    ดูกร ชีวก เมื่อภิกษุหวังอยู่ ก็รับนิมนต์ พอล่วงราตรีนั้นไป เวลาเช้า ภิกษุนั้นนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี แล้วนั่งลงบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ คฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดีนั้น อังคาสเธอด้วยบิณฑบาตอันประณีต ความดำริว่า ดีหนอ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้นี้ อังคาสเราอยู่ด้วยบิณฑบาตอันประณีต ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เธอ"

    แม้ความดำริว่า

    "โอหนอ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้นี้ พึงอังคาสเราด้วยบิณฑบาตอันประณีตเช่นนี้ แม้ต่อไป ดังนี้ ก็ไม่มีแก่เธอ เธอไม่กำหนด ไม่สยบ ไม่รีบกลืนบิณฑบาตนั้นมีปกติเห็นโทษ มีปัญญา เครื่องถอนตน บริโภคอยู่"

    "ดูกร ชีวก ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนว่า ในสมัยนั้น ภิกษุนั้นย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น หรือเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้างหรือ?”

    "ไม่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

    “ดูกร ชีวก สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าฉันอาหารอันไม่มีโทษมิใช่หรือ?”

    “อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมาว่า พรหมมีปกติอยู่ด้วยเมตตา คำนั้นเป็นแต่ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมา คำนี้พระผู้มีพระภาคเป็นองค์พยาน ปรากฏแล้ว ด้วยว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีปกติอยู่ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”

    "ดูกร ชีวก บุคคลมีความพยาบาท เพราะยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ ราคะ โทสะ โมหะนั้น ตถาคตละแล้ว มีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา”

    “ดูกร ชีวก ถ้าแลท่านกล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้นนี้เราอนุญาตการกล่าวเช่นนั้นแก่ท่าน”

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ และโมหะเป็นต้นนี้”

    แม้ภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยกรุณา..มุทิตา..อุเบกขา ก็มีการแผ่ไปเหมือนกับการแผ่เมตตานั้น ก็ชื่อว่าผู้ไม่คิดเบียดเบียนตนหรือเบียดเบียนผู้อื่นเช่นกัน

    ทรงแสดงโทษของการฆ่าสัตว์ ๕ ประการ

    จากนั้น ตรัสโทษของการฆ่าสัตว์เพื่อถวายพระตถาคต หรือจะถวายใครก็ตามย่อมประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมากเช่นเดียวกัน คือ

    ๑. ประสบบาปตั้งแต่วาจาสั่งให้เขาไปนำสัตว์นั้นมา

    ๒. สัตว์ที่ถูกผูกคอนำมา ย่อมประสบทุกข์โทมนัส

    ๓. ประสบบาปเมื่อสั่งด้วยวาจาให้ฆ่า (หรือฆ่าด้วยตัวเองก็บาป)

    ๔. เมื่อสัตว์กำลับถูกฆ่า สัตว์ย่อมเป็นทุกข์เจ็บปวดทรมาน

    ๕. เมื่อถวายหมายให้พระตถาคต หรือสาวกของตถาคตยินดีในเนื้ออันเป็นอกัปปิยะนั้น ก็ย่อมประสบบาปไม่ใช่บุญ

    เมื่อตรัสจบแล้ว หมอชีวกกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ไม่เคยมี ภิกษุทั้งหลายย่อมฉันอาหารอันไม่มีโทษหนอ" แล้วชื่นชมพระธรรมเทศนา และประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต (ม.ม.ข้อ๕๖-๖๑)

    ทูลถามถึงคุณสมบัติของอุบาสก

    ครั้งเมื่อหมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่สวนอัมพวัน กราบทูลถามถึงเหตุที่ทำให้ได้เป็นอุบาสก พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า "เมื่อใดบุคคลถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ก็ชื่อว่าเป็นอุบาสก"

    และทูลถามว่า ด้วยเหตุเพียงเท่าไหร่อุบาสกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้มีศีล? ทรงตรัสตอบว่า "เพราะเว้นจากปาณาติบาต เป็นต้น"

    ต่อมา พระพุทธองค์ทรงยกย่อง ชีวกโกมารภัจจ์ ว่าเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล

    คัดลอกจากสารานุกรม พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน

    (วินย. ๕/๑๒๘-๑๓๘;วินย. ๔/๑๐๑; ธ.อ. ๑/๒/๒/๓๖๕-๓๖๘;วินย. ๗/๗๘-๗๙;องฺ.อ. ๑/๗๗-๗๙; ม.ม. ๑๓/๕๖-๕๙)

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ และนางสิริมา - พุทธะดอทคอม
     
  5. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    สูตรยาสะเดารักษาโรคเบาหวานค่ะ

    สูตร 1 ใบสะเดา นำมาต้มกินทุกวัน โดยใช้ใบ 1 กำมือ ใส่น้ำ 3-4 แก้ว ต้มให้เดือด 5-10 นาที กินวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร

    สูตร 2 ใบสะเดาสด 1 กิโลกรัม ใบมะกรูด 1 กิโลกรัม บอระเพ็ด 1 กิโลกรัม ใส่น้ำท่วมยา ต้มให้เดือดนาน 10-15 นาที กินต่างน้ำ หรือกินครั้งละ 1 แก้ว ทุก 4 ชั่วโมง

    http://www.ku.ac.th/e-magazine/jul49/agri/nim.htm
     
  6. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    [​IMG]

    สมัยก่อน ชาวบ้านดงบัง ปลูกไม้ดอกไม้ประดับส่งขาย ซึ่งหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ทำให้ดกษตรกรสุขภาพไม่ดี ผู้นำชุมชนเลยคิดจะเปลี่ยน ประกอบกับ กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศให้ใช้สมุนไพร เพิ่มเข้าไปในบัญชียาหลัก เพื่อใช้ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน มีสมุนไพรหลายชนิด ที่เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว

    พอดีกับในเวลาต่อมา โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อยากหาพื้นที่ปลูกสมุนไพรแบบไม่ใช้สารเคมี เพื่อเอาไปใช้ในโรงพยาบาล ได้ส่งตัวแทนมาคุยกับชุมชน

    โดยมีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เข้ามาให้การสนับสนุน ชาวบ้านจึงเปลี่ยนแนว มาเป็นสมุนไพรที่ใช้ทำยา ซึ่งทางกลุ่มใช้เวลา 2 ปีเต็ม ในการล้างสารเคมีที่สะสมอยู่ในดินบน พื้นที่ทำการเกษตร รวม 101 ไร่ 3 งาน ขณะนั้น รายได้ลดลงมาก จากกลุ่มตอนเริ่มแรก ที่สมาชิกหลายสิบคน แต่บางคนทนความลำบากไม่ไหว ก็ลาออกจากการเป็นสมาชิก จนเหลือเพียงสิบกว่าคน ซึ่งตัดสินใจแล้วว่า ในอนาคต การหันมาปลูกสมุนไพรแบบอินทรีย์ร้อยเปอร์เซนต์ จะดีกับสุขภาพของผู้ปลูกเอง

    ปลูกแบบผสมผสาน ใช้หลักการของธรรมชาติที่จะดูแลกัน มีไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ให้ผลบ้าง ไม้ระดับกลางให้ดอก และไม้พุ่มเตี้ย ไม่ใช้สารเคมีใดๆ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ไม่มียาฆ่าแมลง แม้จะมีแมลงบางชนิดมากินพืชบ้าง ก็ใช้แรงงานคนเก็บออกจากต้น หรือปล่อยให้กิน ซึ่งสมุนไพร ไม่ค่อยมีแมลงรบกวน

    [​IMG]

    สมุนไพรของบ้านดงบัง จะถูกเก็บทุกวัน เพื่อนำไปทล้าง หั่น ตากแห้ง เข้าโรงอบ บรรจุห่อ เก็บใส่โรงเก็บ รอส่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ทุกอย่างอยู่ในการดูแลด้านคุณภาพ ไม่มีขั้นตอนใด ที่มีสารเคมีเจือปน นอกจากนี้ สมุนไพรบางส่วน ถูกนำมาขายในศูนย์เรียนรู้ ถึงวันนี้ กลุ่มสมุนไพรบ้านดงบัง สามารถเลี้ยงตนเองได้เป็นอย่างดี สร้างรายได้ให้สมาชิกในกลุ่มอย่างเป็นกอบเป็นกำ

    [​IMG]

    ปัจจุบัน โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มียอดสั่งซื้อสมุนไพร เดือนละ 20 ล้านบาท แต่ชุมชนบ้านดงบัง สามารถผลิตสมุนไพรป้อนได้ เดือนละ 4-5 ล้านบาท เฉลี่ยใน 11 ครอบครัว ที่เป็นสมาชิก มีรายได้เดือนละ 30,000 บาท

    โดยเฉพาะ ฟ้าทลายโจร มีความต้องการจำนวนมาก ทางโรงพยาบาลรับซื้อกิโลกรัมละ 150 บาท แต่ละเดือน มียอดสั่งซื้อเดือนละ 400-500 กิโลกรัม

    นอกจากนี้ ยังมีดอกอัญชัน ที่เก็บดอกขายได้ทั้งปี เฉลี่ยแล้ว 9 กิโลกรัมสด จะได้อัญชันแห้ง 1 กิโลกรัม ปลูก 3 เดือนแรก ก็สามารถเก็บดอกขายได้

    [​IMG]
     
  7. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร แม่หมอสมุนไพร “อภัยภูเบศร”

    [​IMG]

    การเรียนรู้เรื่องสมุนไพรจากหมอยาพื้นบ้านของหมอต้อม หรือ เภสัชกรหญิง ดอกเตอร์สุภาภรณ์ ปิติพร ไม่ได้ทำเพียงแค่เก็บข้อมูลเชิงเอกสาร อย่างการวิจัยของนักวิชาการโดยทั่วไป แต่เธอทำโดยลงไปคลุกคลี สร้างความสัมพันธ์ และเรียนรู้โดยการสัมผัสจริง ทั้งการเดินป่าเก็บตัวอย่าง ดม ชม ชิม เพื่อทำความรู้จักกับตัวยาดัวยตนเองด้วย

    [​IMG]

    หมอต้อม ได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นของชาติ ด้านการแพทย์แผนไทย เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๓

    เมื่อถูกถามว่า ทำอย่างไร ในช่วงเวลาเพียงไม่ถึง ๑๐ ปี ผลิตภัณฑ์ตราอภัยภูเบศร ก็ก้าวมาอยู่แถวหน้าสุดของประเทศในด้านสมุนไพร มียอดขายปีละ 200 ล้านบาท

    หมอต้อมตอบว่า ไม่รู้

    ในวัยใกล้ ๕๐ ปี หมอต้อม ยังคงทำงานหนักเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน ยังพร้อมสำหรับการลงพื้นที่ ไม่ว่าจะกันดารหรือเสี่ยงภัยแค่ไหน–หากรู้ว่าที่นั่น มีหมอยาพื้นบ้านให้ขอความรู้-ฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาสมุนไพร

    หมอต้อม เคยดั้นด้นเข้าไปถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยง ที่อยู่ลึกที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เสี่ยงภัยความไม่สงบลงไปถึงแถบ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ตระเวนไปในหมู่บ้านตามแนวชายแดน

    กระทั่ง ล่วงลึกเข้าไปถึงหมู่บ้านคนไทยในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย

    [​IMG]

    ทางภาคอีสาน ปีนขึ้นยอดภูหลวง จังหวัดเลย และตามตะเข็บชายแดนภาคเหนือจนถึงดอยไตแลง พื้นที่สู้รบของกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่

    ต่อมา หมอต้อมเดินทางเข้าไปถึงใจกลางรัฐฉาน ประเทศพม่า หลังจากนั้น ยังเข้าไปเก็บความรู้จากหมอยาไทใหญ่ในแคว้นไต้คง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ยังไม่นับรวม ที่บินข้ามน้ำข้ามฟ้าไปร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการสัมมนา หมอยาพื้นบ้านจากทั่วโลก ที่จัดขึ้นที่ประเทศอินเดีย

    การทุ่มเทอย่างน่าเหนื่อยหนักนี้ หมอต้อมบอกว่า เพื่อจะเก็บความรู้เอาไว้ อาจยังไม่ได้ใช้ทันทีในวันนี้ แต่เมื่อถึงเวลาที่คนรุ่นหลังต้องใช้ ก็มีข้อมูลที่จะหันกลับมาใช้ได้

    เมื่อก่อน หมอต้อมเป็นหมอยาแผนใหม่อยู่ดีๆ แล้วทำไมถึงได้หันเหมาหายาสมุนไพร

    คำตอบของคำถามนี้ ต้องย้อนกลับไปถึงบ้านเกิดที่จังหวัดนครนายก ว่าตัวเองเป็นลูกชาวนา เชื้อสายบรรพบุรุษมาจากเวียงจันทน์ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ด้วยความเป็นเด็กขยันและเรียนหนังสือเก่ง ต่อมา สอบเรียนต่อได้ ในคณะเภสัช-ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และในการทำกิจกรรมสังคมในรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้รู้จักการลงไปสู่ชุมชน กระทั่งเป็นความสืบเนื่อง มาจนถึงเมื่ออยู่ในวัยทำงาน

    [​IMG]

    แรงบันดาลใจเรื่องนี้ มาจากรุ่นพี่ร่วมสถาบันคนหนึ่ง ที่สนใจและเชื่อมั่นต่อยาสมุนไพร ถึงขั้นยอมไปอยู่วัดในชุมชนทางภาคเหนือ เพื่อได้เรียนรู้เรื่องยาสมุนไพรจากหมอยา

    ความรู้เรื่องตัวยาสมุนไพร ที่หมอต้อมจดรวบรวมไว้ มีโอกาสได้นำมาใช้จริงครั้งแรก ในปี ๒๕๒๙ เมื่อ

    “แพทย์หญิงอุไรวรรณ โชติเกียรติ กุมารแพทย์โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มาปรึกษาว่า โรคเริมในปากเด็ก ไม่มียาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาได้โดยเฉพาะ เด็กที่เป็นจะทรมานมาก ทานอาหารไม่ได้ ร้องโยเย เราพอจะหายาสมุนไพรได้ไหม”

    จึงค้นจากบันทึกที่จดบันทึกไว้ พบว่าชาวบ้านเขาใช้ เสลดพังพอนตัวเมีย รักษาโรคเริมและงูสวัด แต่สรรพคุณตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ มีเพียงว่า ลดการอักเสบ และหน่วยงานสาธารณสุขส่งเสริมให้ใช้รักษาอาการแมลงสัตว์กัดต่อยเท่านั้น แต่มีข้อมูลการวิจัยว่า เสลดพังพอนตัวเมียไม่มีความเป็นพิษ

    [​IMG]

    นั่นเป็นเหตุให้เลือกใช้ เสลดพังพอนตัวเมีย หรือ พญายอ นำมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ระเหยแอลกอฮอล์ เติมกลีเซอรีน เป็น เสลดพังพอนไนกลีเซอรีน ใช้เป็นยารักษาโรคเริมในปากเด็ก

    เกิดประสบการณ์ร่วมกันอย่างกว้างขวาง ทำให้ เสลดพังพอน เป็นกระแสต่อ องค์การเภสัชกรรมนำไปผลิตเป็นยารักษาเริมและงูสวัด ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากโรงพยาบาลของเรานี่เอง และท้ายสุดเราก็ผลักดันจนกลายเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ

    จากการที่ใบไม้กลายเป็นยาได้ จากนั้น งานผลิตยาสมุนไพรของหมอต้อม ก็ขยายไปสู่ชนิดอื่นๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน บอระเพ็ด เถาวัลย์เปรียง ฯลฯ บางชนิด มีที่มาจากความจำเป็นสำหรับคนใกล้ตัว บางชนิด ก็อาศัยข้อมูลจากที่มีผู้วิจัยไว้ก่อนแล้ว

    ตั้งแต่คราวที่ประเทศไทย ประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ หมอต้อม ก็คิดที่จะเอาสมุนไพรเป็นหนทางในการพึ่งตัวเองของเรา เอาของเก่าๆ ที่เคยพบเห็น ให้กลับมาอยู่ในยุคสมัย เป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่โลกทางตะวันตกก็หันกลับมาสนใจผลิตภัณฑ์และการดูแลสุขภาพในแนวธรรมชาติ

    “ตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ เป็นต้นมา สมุนไพรได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วโลก มีการวิจัยอย่างกว้างขวางในญี่ปุ่น อเมริกา”

    โดยมีปัจจัยที่หนุนส่งคือ อาจมาจากลักษณะของโรคภัยที่เปลี่ยนไป คนทุกวันนี้ เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากภาวะสังคมและมลภาวะกันมากขึ้น สมุนไพรกลุ่มที่ช่วยคลายความเครียด ต้านมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ ได้กลายเป็นทางออก

    [​IMG]

    ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ คนไม่อยากอยู่ภายใต้เครื่องมือแพทย์ และอยากถอยห่างออกจากสารเคมี เช่น เมลามีนที่ทำให้เด็กๆ ในจีนเสียชีวิต เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก นั่นคือ ภาพขยายเรื่องพิษภัยของสารเคมีต่อร่างกาย

    เมลามีน ปนเปื้อนในอาหารกระป๋องมานานแล้ว มีการใส่เพื่อเพิ่มปริมาณโปรตีนให้สูงถึงมาตรฐาน แต่ไตของคนเรา ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อกำจัดสารเคมีในปริมาณที่สูง เด็กจึงเสียชีวิตเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง

    รวมถึง การดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง เป็นแนวคิดที่กำลังแพร่หลายอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ผู้คนในประเทศที่เจริญแล้ว จนถึงในหมู่ชนชั้นกลางของไทย ซึ่งผลิตภัณฑ์สมุนไพรอภัยภูเบศรได้เข้ามาสนองความต้องการของผู้บริโภคได้พอดี

    แม้คนทำงาน จะไม่ได้คาดหมายมาก่อนว่า จะมาถึงทุกวันนี้ อภัยภูเบศรก็เติบโตก้าวหน้ามาจนมีผลิตภัณฑ์สมุนไพร ทั้งยา เครื่องสำอาง และเครื่องดื่มสมุนไพรร่วม ๑๐๐ รายการ มีกำลังการผลิตต่อวันบางส่วน เช่น ยาเม็ด ๕ แสนแคปซูล ชาชงประเภทต่างๆ ๒,๐๐๐ ซอง เครื่องสำอาง ๓,๐๐๐ ชิ้น

    [​IMG]

    ยาสมุนไพรทุกชนิดที่อภัยภูเบศรผลิตได้ ถูกนำไปใช้ในโรงพยาบาลตามระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข ที่ให้โรงพยาบาลศูนย์ ซื้อยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ๕ เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่ายา

    ในหมู่ผู้ซื้อทั่วไป อภัยภูเบศร เป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ มีร้านขายอยู่ในทุกจังหวัด และมีเป้าหมายต่อว่าจะกระจายไปตามอำเภอ สำหรับในกลุ่มเครื่องสำอางนั้น มีผู้นำไปเปิดตลาดถึงในญี่ปุ่น อังกฤษ ยุโรป อเมริกา

    นี้เป็นเรื่องที่คนไทยควรภูมิใจ ไม่ใช่ในแง่ยอดขาย-ผลกำไร แต่การแพทย์แผนไทย ควรถือเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งในชาติพันธุ์ของเรา เฉกเช่นมวยไทย อาหารไทยฯ

    เพราะไทยเรามีสมุนไพรหลายอย่าง ที่สู้ยาฝรั่งได้ และใช้ได้อย่างปลอดภัย จึงต้องส่งเสริมให้ประชาชนใช้ และต้องชัดเจนว่า ในอนาคตเราจะมีแนวทางพัฒนาสมุนไพรต่อไปอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้หายไปจนคนไม่มีทางเลือกอื่น

    [​IMG]

    ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร แม่หมอสมุนไพร “อภัยภูเบศร” เรื่องโดย วีระศักร จันทร์ส่งแสง | ⊹⊱✿ What Ankylosing Spondylitis can't do ✿⊰⊹
     
  8. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    เภสัช ม.อ. ค้นพบ ‘ใบชะมวง’ ออกฤทธิ์ต้าน ‘มะเร็ง’ ครั้งแรกของโลก

    [​IMG]

    http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9560000024343

    คณะเภสัชศาสตร์ ม.อ. เผยผลวิจัย พบสารชนิดใหม่ใน “ใบชะมวง” ออกฤทธิ์ต้านมะเร็ง ระบุนับเป็นการค้นพบครั้งแรกของโลก พร้อมตั้งชื่อว่า ‘ชะมวงโอน’ ระบุสามารถใช้เป็นสารต้นแบบที่นำไปพัฒนาโครงสร้างสู่ยาต้านมะเร็งในอนาคต

    รองศาสตราจารย์ ดร.ภก.ภาคภูมิ พาณิชยูปการนันท์ ผู้อำนวยการสถานวิจัยยาสมุนไพรและเทคโนโลยีชีวภาพทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตรมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) (Assoc. Prof. Dr. Pharkphoom Panichayupakaranant, Director of Research in Pharmaceutical Biotechnology, Faculty of Pharmacy, Prince of Songkla University) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ นายอภิรักษ์ สกุลปักษ์ (Mr.Apilak Sakulpak) นักศึกษาทุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์

    ทำการศึกษาวิจัยคุณสมบัติมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและต้านแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหารจาก ‘ใบชะมวง’ ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก หลังจากใช้เวลาศึกษาค้นคว้านานกว่า 2 ปี ซึ่งผลงานดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ Food Chemistry ซึ่งเป็นวารสารที่ได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในวงการวิชาการอย่างกว้างขวาง

    สำหรับการศึกษาวิจัยดังกล่าว ได้เก็บรวบรวมผักพื้นบ้านจำนวน 22 ชนิดมาทำการสกัดและทดสอบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคในทางเดินอาหารหรือไม่ โดยพบว่า ชะมวงเป็นพืชที่ออกฤทธิ์ดีที่สุด จึงนำมาแยกสารที่ต้องการ

    จนสามารถได้สารซึ่งมีฤทธิ์ในระดับดีมาก เป็นสารที่มีค่าความเข้มข้นต่ำที่สามารถยับยั้งเชื้อได้ หรือ MIC ประมาณ 7.8 ไมโครกรัมต่อมิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นสารตัวใหม่ที่ยังไม่มีใครค้นพบมาก่อน โดยตั้งชื่อว่า ‘ชะมวงโอน’ (Chamuangone) เพื่อแสดงให้เห็นว่า เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

    ทั้งนี้ ยังได้ทำการศึกษาต่อถึงความเป็นไปได้ในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโปรโตรซัวร์ ซึ่งเป็นโรคระบาดที่เคยพบในภาคใต้โดยสารชะมวงโอนสามารถยับยั้งโปรโตซัวร์ Leishmania major ได้ดี จึงนำ ชะมวงโอนไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งปอดและเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว จนพบว่า สารชะมวงโอนมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ดี

    “ความสำเร็จจากงานวิจัยที่ได้โครงสร้างใหม่ของสาร ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งจากชะมวงโอนครั้งนี้ สามารถนำไปใช้ดัดแปลงพัฒนายาต้านมะเร็งที่ออกฤทธิ์ดีขึ้น และลดอาการข้างเคียงต่อเซลล์ปกติ แม้ว่าขั้นตอนการนำสารดังกล่าวไปใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ยังต้องมีกระบวนการศึกษาเพิ่มเติมอีกหลายขั้นตอน เพื่อการรักษาที่ได้ผลมากขึ้นหรือลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยา” รองศาสตราจารย์ ดร.ภก.ภาคภูมิ กล่าว

    [​IMG]

    ชะมวง มีชื่อภาษาท้องถิ่นใต้ว่า หมากโมก ส้มมวง และส้มโมง

    มีชื่อภาษาอังกฤษว่า การ์ซิเนีย คาววา (Garcinia Cowa Roxb.)

    จัดอยู่ในวงศ์ กัททิฟี้รี้ (Guttiferae)

    .
    ชะมวง มีคุณค่าทางโภชนาการคือ ประกอบด้วย เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส

    เหล็ก วิตามินเอวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอาซิน และวิตามินซี

    ใบ และยอดอ่อนชะมวงจะมีรสเปรี้ยว จึงมีสรรพคุณในการกัดเสมหะ

    ช่วยระบายท้อง ใช้แก้ไข้ รักษาธาตุพิการ ใช้ผสมกับยาอื่นเป็นยาขับโลหิต

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...