ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    เอามาจากเวปสันยาสี สำหรับท่านที่ต้องการติดตาม
    พระกับชาวบ้าน
    ศูนย์พัฒนาศาสนา  มีหมู่บ้านอยู่ห่าง ๆ  ที่ใกล้สุดก็หมู่บ้านปากทางเข้าศูนย์ ซึ่งส่วนมากมาจากวังทอง พิษณุโลก และบางอำเภอของจังหวัดพิจิตร   และที่ห่างออกไปก็ตามรายทางเชิงเขาแก้ว  ตั้งอยู่เป็นหย่อม ๆ  ห่าง ๆ กัน ทั้งหมดคือทางเดินบิณฑบาตของพระที่ศูนย์  อีกทางหนึ่งก็ไปทางหมู่บ้านขอนหาด ซึ่งตั้งอยู่เส้นทางที่ไปเขาค้อเดี๋ยวนี้  ต้องเดินทางลัด  พระซ้ายกับพระใหม่บ้านขอนหาดเดินเส้นทางนั้น  ทราบว่าไปถึงสวนผลไม้ของกำนันเจิด ซึ่งอยู่บนเนินเขาที่เห็นได้ชัดจากศูนย์    ตัวผมตั้งแต่ไปอยู่ใหม่ ๆ ก็เดินรับบาตรที่หมู่บ้านปากทางกับท่านอาจารย์มหาบรรจบ   พระอีกส่วนหนึ่งขึ้นรถไปที่หมู่บ้านรายทางที่ห่างออกไป   ท่านอาจารย์พรมีรถสองแถวใหญ่ให้คนงานใช้ที่แค้มป์ 1 คัน  ไว้รับส่งพระบิณฑบาต และไปทำธุระที่นั่นที่นี่  ตลอดจนรับส่งคนงานตัดหญ้าถางหญ้าในศูนย์   มีคนงานหญิง 3 คน ชาย 1 คน จากหมู่บ้านปากทางที่คอยตัดหญ้าถางพงอยู่ที่ศูนย์   พวกพระเราช่วยงานในกาลบางครั้ง เช่นคราวปลูกต้นสนครั้งใหญ่ก็ระดมกำลังกันทั้งศูนย์  นอกนั้นท่านก็ไม่ได้ให้ทำอะไร
    อาหารการกินของคนที่นั่นก็เหมือนคนไทยภาคกลางทั่ว ๆ ไป  คือกินข้าวจ้าว  ไม่ใช่ลูกข้าวเหนียว   คนทางอีสานที่อยู่ที่นั่นมีส่วนหนึ่งมาจากอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย  พูดสำเนียงผสมระหว่างไทยเหนือและไทยอีสาน  ประเพณีนิยมและอุปนิสัยใจคอโน้มเอียงไปทางไทยเหนือมากกว่าอีสาน  ดังนั้นเวลาบิณฑบาตก็จะได้ข้าวเหนียวมาส่วนหนึ่งเสมอ   และเวลาถึงวันทำบุญใหญ่ประจำปีเช่นวันเข้าพรรษา ออกพรรษา ทอดกฐิน วันสงกรานต์ ชาวบ้านปากทางและเชิงเขาแก้วจะพากันมาทำบุญที่ศูนย์ 
    ชาวบ้านที่คุ้นเคยกับพระที่ศูนย์คือบ้านปากทาง เพราะอยู่ใกล้ศูนย์มากที่สุด  จึงมาวัดบ่อย  ที่ผมจำได้มีคนเดียวคือโยมแถม พ่อของพระแห้ว  แกมาได้ทุกวัน  นอกนั้นก็คุ้นหน้าตอนไปบิณฑบาตเท่านั้น   และสาว ๆ ที่มาทำงานตัดหญ้าถางพง  ก็คุ้นหน้าจำชื่อได้  เพราะหญิงสาวที่พูดภาษาไทยกลางส่วนมากคุ้นเคยกับพระง่าย ไม่เหมือนสาวเหนือที่พยายามห่างพระให้ไกลที่สุด เพราะกลัวบาป  ดังนั้นเวลาว่าง ๆ หรือเหนื่อยจากตัดหญ้าแล้วสาวบางนางก็มาชวนพระคุยนั่นคุยนี่ตามประสาคนบ้านนอกที่คุ้นกันง่าย  ตัวผมเองบางวันก็นั่งอยู่หน้าห้อง  สาวเขามาตัดหญ้าอยู่ใกล้ ๆ  ก็มานั่งพักเหนื่อยชวนคุยเช่นเดียวกัน  บางถ้อยคำก็มีเงื่อนงำให้คิดถึง “ พวกชายหนุ่มทั่ว ๆ ไปนะหาดียาก  ที่ดีก็พากันมาบวชเสียหมด  หนูก็เลยอยู่เป็นโสดอย่างนี้แหละดี  หนูก็มีสองสาวพี่น้อง  ที่บ้านวังทองก็มีที่ทำกินร่วมร้อยไร่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปใครจะมาช่วยทำ  คงเหนื่อยน่าดู”   ฮั่นแน่  ถ้ารูปร่างเธอสะสวยก็คงเล่นเอาหลวงพี่ปั่นป่วนเหมือนกัน   แต่เธอก็สาวบ้านนอกเนอะ  ไม่ได้แต่งตัวให้ดูเลอเลิศเหมือนสาวนักเรียนนักศึกษาในกรุงเทพ ฯ มันก็เลยไม่มีพิษภัยต่อจิตใจที่จะมาชวนปรุงแต่งยามนั่งภาวนา
     
  2. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    โดดเดี่ยวที่แก่งน้ำดั้น


     

    เมื่อเรามองจากแค้มป์สนไปด้านหน้าเราก็เห็นเขาแก้วอันสูงตระหง่าน เป็นกำแพงธรรมชาติที่ทอดยาวจนสุดสายตา  มันเป็นภูเขาหินที่สูงสุดในบริเวณนั้น ส่วนที่ต่ำกว่ามันก็เหมือนระลอกคลื่นของทะเลภูเขาที่เรียงรายไปตามถนนอันคดเคี้ยวจนถึงหล่มสัก 

    แต่ด้านหลังของแค้มป์สนนั้นก็เป็นเทือกเขาทุ่งแสลงหลวงที่สลับซับซ้อนที่มองเห็นอยู่ไม่ไกลนัก โดยมีผืนนาอันกว้างใหญ่คั่นอยู่ระหว่าง  เทือกเขาที่เห็นนี้มันกว้างใหญ่ไพศาลกินอาณาบริเวณหลายจังหวัด มีผู้ก่อการร้ายหลบอาศัยอยู่  ผมก็อยากไปสำรวจใจจะขาด  แต่กลางพรรษาฝนก็ลงพรำ ๆ  หนทางก็เป็นหล่มเฉอะแฉะ และมีพงหญ้าสูงปกคลุมทางเดิน  เคยลองไปสำรวจได้ไม่ไกลก็ต้องเดินกลับ  ต่อมาก็ติดตามคณะของท่านอาจารย์พรเข้าไปเที่ยวถึงแก่งศรีเพ็ญ ซึ่งเป็นแก่งหินในลำห้วยขนาดใหญ่ที่ไหลมาจากทุ่งแสลงหลวงผ่านท้องทุ่งนามาทางหมู่บ้านขอนหาดโน่น  ก็ทำให้อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
     

    พอออกพรรษาแล้ว ฝนหยุด หนทางแห้งพอหมาด ๆ  ผมก็เดินเดี่ยวเข้าไปสำรวจเรื่อยไปด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็น  เห็นเป็นทางเดินก็ลุยเข้าไปตามนั้น จนมุดเข้าป่าไผ่ขนาดใหญ่  แต่เป็นต้นไผ่พันธุ์ขนาดเล็ก มีทางเดินเล็ดลอดไป เป็นทางหาของป่าของชาวบ้าน ทางเดินค่อนข้างมืดเพราะความหนาแน่นของกอไผ่ ารนั้นราว 300 เมตร  หินบางก้อนโตขนาดช้างตัวงตรงนั้นก็ไหลลงไปใต้ก้อนหินส่งเสียงหลากหลาเข้าไปราว 6 กิโลเมตร (เดินชั่วโมงครึ่ง)  ก็พบแก่งหินขนาดใหญ่เต็มลำธาร  เมื่อน้ำไหลมาถึงตรงนั้นก็ไหลลงไปใต้ก้อนหินส่งเสียงหลากหลายเหมือนเสียงดนตรี  และธารหินนั้นก็ยาวตามลำธารนั้นราว 300 เมตร  หินบางก้อนโตขนาดช้างตัวใหญ่ ๆ โผล่อยู่กลางลำธาร  สามารถขึ้นไปนั่งได้อย่างสบาย ๆ   มีเงื้อมหินยื่นจากริมฝั่งมาหาลำธาร มีแท่นหินที่สามารถนั่งและนอนได้  และความยาวของพื้นที่ใต้เงื้อมหินนั้นสามารถเดินจงกรมได้สบาย เพียงแต่มีก้อนหิน 2-3 ก้อนเขื่อง ๆ ขวางทางอยู่  ถ้าเอาค้อนเหล็กมาทุบเอาเศษหินถมตามร่องตามรูก็ทำให้เกิดที่เดินจงกรมได้อย่างงาม ๆ 

    วันที่เข้าไปสำรวจนั้นเป็นวันธรรมดา  อาจารย์พรและคุณศรีเพ็ญยังอยู่กรุงเทพ ฯ  จึงตัดสินใจว่าจะเข้าไปอยู่ที่แก่งนั้น  เมื่อกลับมาถึงศูนย์ก็เล่าให้เพื่อนพระฟัง  วันต่อมาก็ชวนท่านมหาสมชัย และพระแห้วเข้าไปดู  ชวนเขาไปช่วยทุบหิน เขาก็ตกลงใจว่าจะไปช่วย   ต่อมาอีกวันก็หาค้อนเหล็ก 8 ปอนด์ ได้ 2 อัน  ก็ 3 องค์เช่นเดิม พากันไปทุบหินที่ขวางทางเดินจนกลายเป็นทางเดินจริง ๆ  ก็ทำกันอยู่ 2-3 วัน จึงปรับเป็นพื้นที่ที่น่าอยู่   อีกฟากพระแห้วและท่านมหามนัสก็พากันสร้างกระโจมที่พักง่าย ๆ  เพื่อจะเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนด้วย   จนถึงวันเสาร์คณะท่านอาจารย์พรมาจากกรุงเทพ ฯ ก็เล่าให้ฟัง  ขออนุญาตเข้าไปอยู่ภาวนาที่แก่งนั้น    จนมาถึงวันพระขึ้น ๘ ค่ำ หลังเที่ยงแล้ว ก็ได้ฤกษ์งามยามสะดวกเข้าไปอยู่ข้างในแก่งนั้น  ทั้งอาจารย์พร  คุณศรีเพ็ญ  โยมอื่น ๆ  และพระอีกหลายรูปก็ตามเข้าไปด้วย   จนบ่ายคล้อยแล้วพวกเขาก็ลากลับ  คุณศรีเพ็ญสั่งว่า “ท่านมหา กลางคืนอย่าได้มองออกไปไกลนะ  เดี๋ยวก็เห็นสุมทุมพุ่มไม้กลายเป็นผีปีศาจมาหลอกหลอน   อยู่คนเดียวไม่มีใครช่วยเหลือนะ”   ก็รับฟัง   และวันนั้นก็อยู่คนเดียวจริง ๆ  พวกเพื่อน ๆ ยังไม่มีใครตัดสินใจมาผจญภัยด้วยกันในคืนนั้น
     
  3. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    ใครมีประสบการณ์ลี้ลับอะไรมาลงได้ครับ จะได้แชร์ประสบการณ์กัน
     
  4. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    ผจญกับความกลัว
     
    ตอนกลางวันก็ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวอะไร  เพราะชีวิตก็ผ่านความกลัวมาพอสมควรแล้ว  แค่นี้ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว  นั่นคือความรู้สึกตอนกลางวัน   พอตะวันตกดินความมืดก็เข้ามาเยือน   ยามค่ำของวันพระขึ้น ๘ ค่ำ พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยอยู่กลางฟ้าพอดี  พอมีแสงเลือนลางให้อาศัย  ก็อยู่ท่ามกลางความมืดเลือนรางนั่นแหละ  อาศัยทางเดินจงกรมใต้เงื้อมนั้นเดินกลับไปกลับมา   แต่มันก็แปลก  ยิ่งย่างเข้าสู่ความมืดมากเท่าไรก็เกิดอาการกลัวขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล 
     
    เสียงน้ำที่ไหลลอดแก่งหินมันคอยหลอกหลอนเป็นเสียงต่าง ๆ  เหมือนคนคุยกัน  เหมือนคนร้องเพลง  กบป่าร้องหากันก็ดังเหมือนคนตะโกนร้องเรียกกันโหวกเหวก  ขนหัวขนตัวลุกซู่ตั้งแล้วตั้งอีก  คุณศรีเพ็ญกำชับนักว่าอย่ามองไปไกลเดียวโดนต้นไม้หลอกหลอน ก็ยิ่งอยากมอง  ก็มองจริง ๆ  ต้นไม้ตามริมห้วยสูงโด่เด่  มันแข่งความสูงกับขุนเขาเพื่อแย่งชิงแสงอาทิตย์  แต่มันก็ยังเป็นต้นไม้ เป็นเงาดำ แต่ก็ไม่เห็นน่ากลัวเหมือนผีหลอก 
     
    แล้วความกลัวลึก ๆ มันกลัวอะไร    กลัวผีหรือ  ก็คิดจนตกมาหลายครั้งแล้วว่าผีมันไม่มี  หรือมีมันก็ไม่น่ากลัว  ผีคือคนตายหรือ  เรากลัวส่วนไหนของมัน   ถ้ากลัวส่วนร่างกายคนตายก็ถูกเผาหรือฝังอยู่ใต้ดิน มีอะไรมาหลอกหลอนได้   กลัวส่วนวิญญาณของคนตาย  วิญญาณมันยิ่งกว่าเงาอีก  เงายังมองเห็นว่าเป็นเงา  วิญญาณไม่เห็นตัวตน  แม้ตัวตนยังไม่ปรากฏ วิญญาณจะมาทำอะไรเราได้   ถ้ามีวิญญาณของใครมายืนขนาบข้างเราอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับความว่าง  มันไม่แตกต่างกับสายลมที่พัดโบกไปมา แล้วทำไมเราไม่กลัวสายลม   ถ้าวิญญาณก็กลัว ร่างคนตายก็กลัว  เมื่อทั้งสองส่วนมันรวมกันอยู่มันไม่น่ากลัวกว่าหรือ   ถ้ามันเป็นคนเจ้าอารมณ์ขี้โมโหโทโส เราทำอะไรผิดใจมันนิดมันก็คงด่าเรา***ป่น  ถ้ามันโหดร้ายมันก็จะเอาไม้ทุบตีเรา  เอามีดแทงเรา เอาปืนยิงเรา   ตนเป็น ๆ นี่แหละน่ากลัวกว่าผีอีกแล้วใยไม่กลัวกัน
     
    อ้อ ผีไม่น่ากลัว  แล้วมึงกลัวอะไร   กลัวความมืดนะสิ   ตอนกลางวันไม่เห็นกลัวอะไร  พอตะวันลับฟ้า ความมืดเข้ามาเยือนความกลัวก็เกิดขึ้น   แล้วความมืดมันคืออะไร  มันก็คือเงาของโลก  เมื่อตะวันอยู่ทางนี้ อีกด้านก็กลายเป็นกลางคืน ถูกความมืดปกคลุม   พอตะวันอยู่ด้านโน้นด้านนี้ก็ถูกเงามืดปกคลุม  กลายเป็นกลางคืน   มันก็แค่กลางวันและกลางคืน  ก็แค่เงามืดกับความสว่าง  มีอะไรน่ากลัว  
     
    กลัวสัตว์ร้าย  กลัวงูพิษ  กลัวตะขาบ  กลางวันเจอตะขาบตัวใหญ่ยาวขนาดไม้บรรทัดมันไต่อยู่ที่ผนังหิน  ดูน่ากลัว  ถ้าโดนมันกัดจงเจ็บปวดทรมานน่าดู    อ้อ..ตะขาบมันคงกลัวเรามากกว่าที่เราไปกลัวมัน  ธรรมดาสัตว์ทุกชนิดล้วนกลัวคน  เมื่อมันได้ยินเสียงคน  ได้กลิ่นคน มันก็รีบหนีให้ห่างไกล  เพราะสัตว์ก็กลัวตายยิ่งกว่าคนอีก   ตอนนี้ตะขาบตัวนั้นคงหนีหายไปไกลตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว   ยิ่งงูทั้งมีพิษและไม่มีพิษมันยิ่งไม่เข้ามาใกล้  มันรีบหนีไปตั้งแต่วันที่เรามาทุบหินแล้ว  
     
    กลัวตาย  เรากลัวตาย   ตายมีอะไรน่ากลัว   ชีวิตนี้ วิญญาณนี้ เกิด ๆ ตาย ๆ มากี่แสนกี่ล้านชาติแล้ว  มันจะตายอีกสักชาติใยกลัวตาย  กลัวเกิดสิน่ากลัว  ตราบใดที่จิตวิญญาณของเจ้ายังมากไปด้วยกิเลสตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ  อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ยังโง่เขลาอยู่เช่นนี้ เจ้าก็ต้องเกิดอีก  เจ้าก็ต้องตายอีก  เกิด ๆ ตาย ๆ อีกกี่ร้อยกี่พันชาติ  เจ้ามาแสวงหาหนทางพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดใยเจ้ามากลัวตาย
     
    ความกลัวของที่สุดคือกลัวตาย  ถ้าคนเราไม่กลัวตายก็ไม่กลัวอะไรเลย   ถ้าคิดเสียให้ปลงให้ปล่อยวางในเรื่องของความตายดูแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว  
     
    ทันใดนั้นเขียดป่าที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ ก็ร้องขึ้นดังอ๊อบ...ผมสะดุ้งเฮือก  โอ้..นี่เสียงเขียดนี่   เขียดตัวนี้เกิดที่นี่  โตที่นี่  มันมีอันตรายอยู่รอบด้านจากสัตว์ที่กินมันได้  งูทุกชนิดผ่านมาพบมันเข้าก็จะพยายามกินมัน  แต่มันไม่เห็นกลัว  ก็ยังคงอยู่ที่นี่และกล้าหาญชาญชัยร้องให้เราได้ยินอีก  เราซะอีกเป็นคนเป็นพระที่คนเขายังกราบไหว้ กลับมากลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง  น่าอายเขียดมันจัง
      

    นึกได้ดังนั้นความกลัวก็หายไป   เมื่อเดินเหนื่อยแล้วก็เข้าไปนั่งอยู่ในมุ้งบนแท่นหิน  ซึ่งได้หาไม้แผ่นมาวางเป็นเตียง  เอาไม้ไผ่ดันมุ้งให้ติดกับเพดานเงื้อม ก็กลายเป็นที่นอนอย่างดี   นั่งก็พอดี ไม่ต่องก้มหัวหดหลัง  ดูอะไรมันก็ลงตัวไปหมด    นั่งไปนานร่วม 2 ชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากกอไผ่  เหมือนเสียงสัตว์บางชนิดมันกำลังเดินหากินมาตามกอไผ่  จะเป็นสัตว์ชนิดไหนหนอ  ช้างคงไม่มี  หรือเป็นหมี เป็นเสือ ที่ยังหลงเหลือหลบซ่อนอยู่ตามถ้ำแถว ๆ นี้   ก็นั่งจ้องคอยดูอยู่  และแล้วก็มีแสงเป็นดวงกลม ๆ สองโผล่ออกมาจากกอไผ่  เป็นแสงสีส้ม มันแล่นไปแล่นมา  โอ้..มันเป็นผีชนิดไหนนี่  ผีกะสือ ผีกะหัง ผีปอบ ผีโป่ง ผีป่า   ขณะนั้นขนก็ลุกชูชันขึ้นมาอีก  มีอาการเหมือนมีอะไรแล่นขึ้นมาจุกที่อก ใจจะขาดเสียให้ได้   โอ้  เมื่อเรากลัวถึงที่สุดมันก็มีอาการแบบนี้นี่เอง   ผีมีจริง  ตอนนี้เรากำลังผจญกับผีป่าผีโป่ง มันกำลังมุ่งมาที่เรา  มันจะมาทำอะไรเราหรือ  แสงกลม ๆ นั้นมันพุ่งขึ้นมาตรงที่เราอยู่จริง ๆ  แล้วผมก็ได้ยินเสียงผู้ชาย 2 คนดังขึ้น  “เฮ้ย..พระเหวย ๆ มีพระมาอยู่ที่นี่เหวย”  แล้วเขาก็ดับไฟ เพราะไม่อยากรบกวนพระ  แล้วรีบหลีกไปทันที
     
     
     ผมถึงบางอ้อ   ชาวบ้านหาส่องสัตว์ป่าตอนกลางคืนนี่เอง   ผมก็ได้ข้อคิดขึ้นมาทันใด “  คนเขาเที่ยวทำบาปเข้ามาถึงป่าลึกเช่นนี้เขาก็ยังไม่หวั่นไหวต่อความกลัว   ถ้าอันตรายจากผี จากสัตว์ร้าย มันมีจริง ผู้ที่จะโดนก็น่าจะเป็นชาวบ้านที่เที่ยวทำบาปเช่นนี้แหละ   ถ้าผีมีจริงคนพวกนี้ต้องถูกผีช้างผีเสือผีสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่โดนคนฆ่าตายในป่านี้แก้แค้นคืน  และเขาก็ไม่มีอะไรปกป้องแน่นอน  เราเสียอีกมีเทวดาปกป้องคุ้มครองยังจะมากลัวนั่นกลัวนี่  แย่จริง ๆ 
      
    ความกลัวทั้งหลายแหล่ประดามีก็อันตรธานหายไปจากใจตั้งแต่บัดนั้นจนมาถึงทุกวันนี้   นับว่าแก่งน้ำดั้นสร้างปัญญาให้ต่อสู้กับความกลัวจนเอาชนะมันได้เด็ดขาด
     
  5. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    มิติไหนคือชีวิตจริง
     
    เช้ามืดวันหนึ่ง เมื่อนั่งมานานก็เกิดอาการปวดหลัง  ก็เอนกายลงนอนท่านอนหงาย  หลังยังไม่ทันแตะพื้นดีก็มีอีกร่างหนึ่งลุกขึ้นนั่ง  แต่รู้สึกตัวว่าลุกขึ้นจากเตียงในห้องที่วัดบ้านนอกที่เคยอยู่มาหลายปี  เห็นพวกเณรและศิษย์วัดล้อมวงเล่นหมากฮอร์สกันอยู่  ในความจริงทั้งเด็กวัดและเณรมันโตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว  เด็กวัดบางคนก็บวชเณรแล้วเอาไปอยู่เฝ้ากุฏิที่กรุงเทพ ฯ  แต่ทำไมมันยังเป็นเด็กวัดอยู่ที่นี่   เกิความงุนงงสงสัย  เราฝันไปหรือ ก็ไม่ใช่  เรายังรู้สึกร้อน  หยิกเนื้อก็ยังเจ็บ  มองไปรอบข้างทุกอย่างคือความจริงแท้  แล้วนี่มันอะไรกัน  ก็เรานอนอยู่ใต้เงื้อมหินในป่า  แล้วลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงในวัดบ้านนอกนี้  นั่นหมายถึงเราย้อนกลับมาในอดีต  ทุกอย่างที่เรากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นจริงทั้งหมด  ก็เลยถามพวกเขาว่า
     
    “นี่พวกมึงหยุดเล่นก่อน ขอถามอะไรหน่อย”  ได้ผล พวกเขาหยุดเล่นแล้วหันมามอง  จึงถามว่า  “พวกมึงรู้ไหมว่าเรากำลังย้อนกลับมาสู่อดีต”
     

    “หลวงพี่เป็นบ้าไปแล้ว” เด็กวัดคนหนึ่งพูดขึ้น
     
    “ไม่ได้บ้านะ  กูรู้ว่าตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่  กูนั่งภาวนาอยู่ในป่า  แล้วกูล้มตัวลงนอน  แล้วก็ก็ลุกขึ้นมาบนเตียงที่นี่   แล้วเดี๋ยวนี้พวกมึงทุกคนนี่เป็นหนุ่มกันหมดแล้ว   แต่ดูสิพวกมึงกลับมาเป็นเด็กกันอีก   มึงไม่รู้กันหรือว่ามันไม่ใช่ชีวิตจริงของเรา”
     
     

     

    ทั้งเด็กวัด ทั้งสามเณรพากันหัวเราะ  บอกว่าหลวงพี่กลายเป็นบ้าไปแล้ว   แล้วพวกเขาก็ชวนกันเล่นหมากฮอร์สกันต่อไป   ผมจึงถามว่า “เอางี้ บอกมาสิว่าวันนี้เป็นที่ เดือน และ พ.ศ.อะไร”   เด็กคนหนึ่งบอกว่า “วันที่ ๘  มิถุนายน “  แต่เขาไม่บอก พ.ศ.  และแล้วผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น  ยังนอนหงายอยู่ใต้เงื้อมหินที่แก่งน้ำดั้นนั่นแหละ  ความรู้สึกชัดเจนแจ่มแจ้ง  เหมือนความจริงที่เราประสบกับเหตุการณ์  ไม่เหมือนความฝัน  รู้สึกงุนงงสงสัยว่า  “แท้จริงแล้วชีวิตเรามีทั้งอดีตและอนาคต  อดีตเราผ่านมาแล้วก็จริง  เมื่อเราย้อนกลับไปมันก็คือชีวิตจริง ๆ นี่แหละ  ส่วนปัจจุบันก็เป็นอนาคตของอดีต  เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในปัจจุบัน  มันก็เป็นจริงทุกอย่าง   แล้วชีวิตไหนคือชีวิตจริง   หรือทั้งสองชีวิตต่างก็ดำรงอยู่  ดำเนินไปอยู่ เหมือนเงาที่เดินตามหลัง 

     
     

     

     

    เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านในเว็บบอร์ดพลังจิตที่กลุ่มคุณชยุต (Chayutt) ได้แปลจากเว็บต่างประเทศ เขากล่าวถึงชีวิตคู่ขนาน  โอ้ มันคล้ายกันมากเลย  ฝรั่งเขาก็มีแนวคิดเช่นนี้ว่าเรามีชีวิตคู่ขนาน  เราสามารถกลับไปหาอดีตได้  สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้  เหมือนภาพยนตร์เรื่อง “แบ็คทูเดอะฟิวเจอร์”   แต่เมื่อแกไขแล้วมันก็จะเกิดชีวิตดำเนินไปอีกแนวหนึ่ง  ส่วนชีวิตนี้ก็ดำเนินไปตามปกติอีกแนวหนึ่ง   โอ้...ความคิดแบบนี้ชวนให้เป็นบ้าจริง ๆ    เหมือนหนังเรื่องคนเหล็กไง  มีคนกลับมาจากอนาคตเพื่อมาแก้ไขอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและดำเนินชีวิตผิดพลาดอันส่งผลให้ชีวิตของคนในโลกอนาคตเกิดความเสียหาย จนมีกลุ่มคนร้ายครองโลก   แล้วจึงเกิดนักวิทยาศาสตร์สร้างเครื่องย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีตซึ่งก็คือปัจจุบัน    ความคิดแบบนี้มันบ้าดีเดือด   แต่พอเป็นภาพยนตร์ก็ดูสนุกดี
     
     ความจริงคืออะไร
     เมื่อจิตของเราได้รับการฝึกฝนจนละเอียด มีสมาธิดี  มันสามารถสร้างภาพทุกอย่างได้ชัดเจนเหมือนจริง เหมือนเราดูภาพยนตร์  เหมือนเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ   มันเป็นภาพเดียวกับวิชามโนมยิทธิที่เราสร้างภาพขึ้นมา จะไปเที่ยวสวรรค์ก็เห็นสวรรค์  จะไปเที่ยวนรกก็เห็นนรก  ในภาพนั้นทุกอย่างคือความจริงหมด  เราเห็นจริง ๆ  ไม่รู้สึกแปลกปลอมเลย 
     
    เพราะเหตุนี้เอง เมื่อมีคนไปถามหลวงปู่ดูลย์ว่าที่เขาพาไปเที่ยวนรกสวรรค์ คนไปก็เห็นจริง ๆ  มันเกิดขึ้นได้อย่างไร   หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “ที่เขาเห็นนะเขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่ของจริง”
     
  6. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    เทพจำแลงหรือไร

     

      ตามปกติแล้วผมต้องเดินออกจากแก่งประมาณตี 5  ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งจึงไปถึงศูนย์  6.30 น. ก็ไปบิณฑบาตที่หมู่บ้านปากทางกับท่านอาจารย์มหาบรรจบ  ก็ทำเป็นกิจวัตรทุก ๆ วัน  ไฟฉายก็ไม่มี  ก็เดินมุดป่าไผ่ออกมาตามทางหากินของชาวบ้าน  บางจุดก็มีร่องน้ำขวางอยู่ ก็กระโดดข้าม  อาศัยความเคยชิน  เมื่อความหวาดกลัวแม้กระทั่งกลัวตายก็ไม่มีในหัวใจ มันก็ไปได้ทุกหนทุกแห่ง  เพราะสละเสียแล้วซึ่งชีวิตเพื่อแลกกับนิพพาน
     
     
    เมื่อกลับจากบิณฑบาตก็ฉันที่ศูนย์  ล้างบาตรตากแห้งดีแล้วก็เก็บไว้ในห้องที่เคยอยู่  แล้วเดินเข้าแก่งพร้อมกับกาน้ำดื่ม   เดินไปทำกรรมฐานไป  จิตสงบบ้าง ฟุ้งบ้าง ตามประสาคนกำลังฝึกฝน  หรือตามประสาปุถุชนก็แล้วกัน  เพราะถึงจะฝึกฝนมาหลายวันหลายเดือนมันก็เหมือนคนโง่เรียนหนังสือ  สอบตกแล้วตกอีก ซ้ำชั้นอยู่งั้นแหละจนอายุ 15 ปีก็ได้รับการปลดปล่อยออกไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย นั่นคือสมัยหลายสิบปีมาแล้วนะ  การศึกษาของไทยเป็นเช่นนั้น  ถ้าสอบไม่ผ่านก็อย่าหวังว่าได้ขึ้นชั้น  เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ชั้นป.1-2 นั่นแหละ
     
    การฝึกจิตนี้มันขึ้นอยู่กับบุญเก่าบารมีเดิมจริง ๆ    ถ้าฝึกมามาก หรือเคยบรรลุอะไรมาก่อนแต่ชาติปางก่อน มาชาตินี้ก็บรรลุได้ง่าย ๆ  แต่ถ้ามันไม่เคยบรรลุมาก่อนมันช่างยากเย็นแสนเข็ญจริง ๆ  แต่ความรู้สึกที่เต็มอิ่มในเรื่องโลก ๆ จนเบื่อจนหน่ายมันก็คงเกิดมาแต่ชาติปางก่อนแล้วมั้ง มาชาตินี้มันจึงรู้สึกได้ง่าย  ก็ลองคิดดูเด็กหนุ่มอายุ 20 ปี แต่มองเห็นความทุกข์เกิดขึ้นเพราะความอยาก แล้วลาออกจากมหาวิทยาลัยมาเอาดีทางกรรมฐาน มันก็หายากนะ   มันต้องเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว  และเกิดมาเพื่อประสานต่อที่ตั้งปณิธานเอาไว้  
     
    ศูนย์พัฒนาศาสนา ตั้งอยู่บนเนินเขา  ด้านหลังเป็นที่ราบกว้างใหญ่ เป็นทุ่งนาของชาวบ้านขอนหาด  มีหนทางเกวียนหรือรถอีแต๋นอีต๊อกของชาวบ้านผ่านหลังเนินเขาของศูนย์ ไปตามไร่นาจนเข้าป่าภูเขาที่เห็นลิบ ๆ โน่นแหละ   ผมลงจากศูนย์ก็เดินไปตามทางนั้น  ประมาณ 1 กิโลเมตรก็พบลำห้วย  แต่ก่อนที่จะลงห้วยผมก็พบพังพอนตัวอ้วนใหญ่ตั้งท่าวิ่งอยู่บนหนทาง  ผมเดินเข้าใกล้มันก็ไม่ไปไหน  ที่แท้มันตายแล้ว มีคนเอามาวางไว้ในท่ากำลังวิ่ง  มันเริ่มบวมแล้วก็เลยดูอ้วน  ผมก็แปลกใจอยู่  ชาวบ้านขอนหาดเป็นชาวลาว  ไม่ว่าลาวอีสานหรือลาวเหนือล้วนกินพังพอน  ไม่ว่าจะเอาไปปิ้งย่าง แกงคั่ว แกงอ่อม  ก็อร่อยเขาทั้งนั้น  ไม่มีหรอกที่จะเอามาทิ้งไว้อย่างนี้ 
     
    ยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็เดินข้ามห้วย  จากนั้นก็เป็นถนนทางเดินเกวียนและรถอีแต๋นขนข้าวเหมือนเดิม  แต่สองข้างทางมีกอหญ้าสูงท่วมหัวปกคลุมอยู่  ตรงกลางทางก็มีกอหญ้าสูงขนาดเข่า  เหลือสองข้างทางที่คนเดินได้   บางช่วงก็มีน้ำขังอยู่เฉอะแฉะ  เพราะเพิ่งผ่านฤดูฝนมาไม่นาน  หนาวก็เพิ่งย่างเข้ามา  ชาวนายังไม่ได้ใช้ถนนสายนี้มาก   ผมเดินไปอีกประมาณ 1-2 กิโลเมตรก็ต้องหยุดชะงัก  เพราะมีงูขวางทางอยู่  ที่แปลกมาคือมันมีสีเหลือง นัยน์ตาสีแดง ลิ้นสีแดง  มันทอดตัวขวางทางเดิน แต่ก็พอเว้นส่วนหางไว้หน่อยเท่านั้น  ผมจะเดินผ่านทันทีก็ยังเสี่ยงด้วยไม่รู้ว่ามันมีพิษหรือไม่  มันจะเอี้ยวตัวมากัดหรือไม่  ก็ยืนรออยู่สักครู่  มันก็แลบลิ้นแผล็บ ๆ  ไม่มีท่าทีกลัวเราเอาเสียเลย   ดูแล้วมันไม่น่าจะดุร้ายจนเอี้ยวตัวมากัดหรอกนะ   คิดดังนั้นผมก็ย่องเดินผ่านหางมันไปด้วยหัวใจระทึก  นี่ว่าไม่กลัวตายแล้วนะ หัวใจยังเต้นโครมครามเลย    พอผ่านได้ก็หายใจโล่ง   มองออกไปไม่ห่างจากตรงนั้นไกลนักเห็นชาวบ้านเกี่ยวข้าวกันอยู่กลุ่มหนึ่ง  ถ้าตะโกนเรียกเขาก็คงได้ยิน   นึกอยากเรียกเขามาดูเพราะอยากรู้ว่ามันเป็นงูอะไร  แต่มานึกดูก็ไร้ประโยชน์ มันมีแต่จะเรียกเขามาฆ่างูตัวนี้เท่านั้น  จะได้บาปกรรมเสียเปล่า   คิดดังนั้นก็เดินผ่านไป
     
    เดินอีกประมาณ 1-2 กิโลเมตรเช่นกันก็ถึงชะง่อนเขาซ้ายมือ  มีลำห้วยไหลผ่านมาตรงนั้น  ชาวบ้านเอาไม้มาพาดเป็นสะพานเดินข้าม   แต่วันนี้นอกจากมีสะพานตรงนั้นแล้วยังมีงูตัวสีดำขนาดแขนยาววากว่า ๆ นอนทอดขวางอยู่  หัวมันอยู่ติดชะง่อนหินด้านขวา  หางมันทอดลงห้วยด้านซ้าย  หมดหนทางเดินพอดี   โอ้นี่  ผีสางเทวดาจะมากลั่นแกล้งกันด้วยเรื่องอะไร   ผมยืนครุ่นคิดหาทางอยู่นานว่าจะข้ามไปได้อย่างไร   แต่ไม่มีหนทางอื่นเลย เพราะมันเป็นเหวและห้วย เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ ทั้งกอไผ่และป่าหนาม  มีเถาวัลย์พันเกี่ยว  ด้านขวาหัวของมันจรดอยู่ริมก้อนหินสูงเป็นชะง่อนที่ลาดลงมาจากเนินเขาหินเล็ก ๆ  
     
    ผมลองกระทืบเท้า เผื่อมันกลัวจะรีบเลื้อยหนีไป  แต่มันก็ทำไม่รู้ไม่ชี้  ส่วนหางก็กระดิกเคลื่อนไหวไปมา  ผมคิดแผ่เมตตาดังที่พวกเราท่องกันนั่นแหละ  “สัพเพสัตตา อเวราโหนตุ...”  มันก็ยังนอนอย่างไม่อนาทรร้อนใจ  มีแต่ผมที่ยืนร้อนรุ่มอยู่    ในที่สุดผมก็ลองพูดออกมาเป็นเสียงดังให้มันได้ยินว่า “งูเอ๊ย  เองกับข้านี่มันไม่น่าจะมีเวรมีกรรมด้วยกันมาก่อนนะ  เราต่างคนต่างอยู่เถอะ  ข้าจะไปอยู่ภาวนาของข้า  เองก็ควรไปหากินตามทางของเอง  อย่ามากลั่นแกล้งเบียดเบียนกันเช่นนี้”
     
    เชื่อมั้ยครับ  มันรีบเลื้อยปรู๊ดออกไปทันที   เหมือนโกหกนะ 
     
     

    เรื่องนี้ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ไม่ว่าจะเป็นพระแต่ละรูปในศูนย์ และอาจารย์พร คุณศรีเพ็ญ  เพราะไม่มีใครจะเชื่อนอกจากผมจะเจอข้อกล่าวหาว่าโกหกแต่งเรื่องให้ดูอัศจรรย์  อยากให้คนเลื่อมใส  มันจะเป็นข้อกล่าวหาที่ผมหวาดกลัวที่สุด  เพราะตลอดชีวิตที่ครองจีวร ถึงบางครั้งจะคร่ำเคร่งกับข้อวัตรปฏิบัติหนักหนาก็กลัวที่สุดกับคำกล่าวหาว่า”โอ้อวด”  ไม่ว่าเรื่องจะจริงหรือเท็จล้วนน่ากลัวทั้งสิ้น   ผมจึงค่อนข้างเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ในความทรงจำมากกว่าที่จะเล่าให้ใครฟัง  แม้จะเปลี่ยนเพศมานุ่งห่มแบบชาวบ้านผมก็ไม่นิยมการโอ้อวด  และที่เล่านี่ผมก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เหลือชื่อเสียงของผมไว้นอกจากเรื่องราวที่เล่าให้ทราบกันเท่านั้น 
     
     
    ผมคิดไปต่าง ๆ นานา สิ่งกีดขวางทางวันนี้เป็นเทพยดาบันดาลให้เป็นไปเพื่อเตือนว่าข้างในมีอันตรายอย่าเข้าไปหรืออย่างไร   แต่ผมก็ฮึดขึ้นมา  อะไรจะเกิดก็ปล่อยมันเกิด  ถ้าถึงที่ตายอยู่ที่ไหนมันก็ตาย  ถ้าถึงที่เจ็บอยู่ที่ไหนมันก็เจ็บ แล้วจะกลัวอะไร     คิดดังนั้นผมก็เดินฝ่ากอไผ่เข้าไปจนถึงแก่งน้ำดั้น   ไม่มีอะไรครับ  ทุกอย่างปกติ  ผมก็อยู่ได้ทั้งวันและคืนโดยไม่มีอันตรายใด ๆ
     
  7. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    เทวดาไม่ให้อด


     อยู่มาถึงวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ  ผมก็นึกจะทำอะไรให้มันพิเศษเสียหน่อย  อยากลองอดข้าวดูอีกสักครั้ง   นึกสมัยไปอยู่สวนโมกข์ อดข้าววันเกิดหลวงพ่อพุทธทาส หิวแทบตาย  แต่มันก็ผ่านมานาน  อะไรมันก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว  กำลังจิตกำลังใจก็เข้มแข็งขึ้น  ลองอดอีกสักทีดูพอจะสู้ไหวไหม   วันนี้ไม่ต้องออกไปบิณฑบาต 
     ปกติทุกวันผมจะไปปล่อยทุกข์ทางหัวแก่ง  วันนี้เปลี่ยนใจไปท้ายแก่ง   ก็หาดูว่าตรงไหนมันนั่งสะดวก  มันห่างไกลจากที่อยู่พอสมควร  เพราะแก่งหินนี้มันยาวร่วม 300 เมตรทีเดียว  ก่อนมาถึงแก่งหินมันก็เป็นลำธารกว้างพอสมควร  เมื่อน้ำมาถึงจุดที่มีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่เต็มลำธารมันก็หายไปเลย  คงได้ยินแต่เสียงที่มันไหลกระทบและลัดเลาะผ่านก้อนหินแต่ละก้อนอยู่ข้างใต้  แล้วไปโผล่เป็นลำธารเหมือนเดิมที่ปลายแก่ง  ไหลจากนี้ไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรมันก็จะเป็นแก่งหินเล็ก ๆ อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งทางอาจารย์พรและคุณศรีเพ็ญพร้อมคณะได้ไปพบและตั้งชื่อว่าแก่งศรีเพ็ญ
     

     หลังจากทำกิจส่วนตัวจนหายทุกข์แล้วก็เดินกลับมาที่อยู่ ก็ตกใจระคนแปลกใจ  เพราะมีเด็กหนุ่มอายุยังไม่ถึงยี่สิบในชุดชาวเขาเผ่าแม้วนั่งอยู่คนเดียว เสื้อผ้าที่นุ่งมานั้นเปียกน้ำ นั่งตัวสั่นอยู่บนก้อนหินหน้าเงื้อม มีขันโลหะขนาดย่อมวางอยู่ข้างหน้า   เมื่อเห็นผมก็ยกมือไหว้  แถวใกล้ ๆ นี้ไม่มีหมู่บ้านแน่นอน  แล้วไอ้หนุ่มคนนี้มาจากไหน  หรือเทพจำแลงมาทำบุญกับพระป่าเหมือนที่เราเคยอ่านพบในประวัติหลวงปู่สายหลวงปู่มั่นหลาย ๆ ท่าน  เมื่อเข้าใกล้กันผมจึงถามว่า “มาจากไหนหรือ” 

     ไอ้หนุ่มยกมือไหว้ตอบว่า “ผมมาจากภูเขาลูกโน้น  ห่างจากนี้อีก 3 ลูก”
    “แล้วรู้ได้อย่างไรว่าอาตมาอยู่ที่นี่”
    “เมื่อวานผมมาหาปลาแถวนี้ เห็นท่านนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่กลางแก่งก็แน่ใจว่าท่านอยู่ที่นี่  วันนี้จึงรีบตื่นแต่เช้านึ่งข้าวและคั่วถั่วจึงรีบมาหาท่าน เดินจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดเลยครับ กลัวท่านออกไปบิณฑบาตเสียก่อน”
     ผมจึงถามว่า “แล้วทำไมตัวเปียกปอนไปหมด”
    “บนเขาแต่ละลูกมีหญ้าคาหุ้มทางเดินตลอดทาง   กว่าผมจะเดินมาถึงนี่ก็แหวกกอหญ้ามาตลอด ก็เลยเปียกน้ำค้างมาครับ”
     ผมจึงเชิญเขาขึ้นไปที่เงื้อมที่ผมอยู่   ด้านหน้าเงื้อมมันมีพานหินพอนั่งได้  ผมก็นั่งรับประเคนอาหารตรงนั้น  บาตรก็ไม่ได้เอาเข้ามา  ก็กินข้างในขันนั่นแหละ  มีข้างเหนียวและถั่วลิสงคั่ว  ผมก็ตั้งใจนั่งฉันจนอิ่ม  ดูเขามีความสุขมากที่ผมฉันของเขา   เสร็จแล้วผมก็กล่าวคำให้พรเป็นภาษาไทยตามด้วยบาลี  จากนั้นก็ชวนเขาคุยต่อ   “ที่นั่นเป็นหมู่บ้านหรือ”
    “ครับ  พวกเราอยู่กันทั้งหมด 10 หลังคาเรือน”
    “เป็นชาวเขาเผ่าอะไร”
    “เปล่าครับ  ผมเป็นคนเมืองเหนือ เป็นคนน่าน  พ่อแม่พามาอยู่ทำไร่ข้าวโพดที่นี่ได้สิบกว่าปีแล้ว”
    “แล้วครอบครัวอื่น ๆ ล่ะมาจากน่านเหมือนกันหมดหรือ”
    “ครับ  เราชวนกันมา ทยอยกันมา  เป็นพุทธก็มี คริสต์ก็มี    ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ไม่เคยเห็นพระเลย จึงไม่มีโอกาสทำบุญให้ทานอะไรเลย   มาพบท่านที่นี่ผมดีใจมากจึงตั้งใจมาแต่เช้า   นอนิมนต์ท่านอยู่รับอาหารของผมทุกวันนะครับ”
    “เอางั้นเลยหรือ  เดินทางลำบากมากเลยนะ  ไม่อยากให้ลำบากเลย”
    “ไม่เป็นไรครับ  ผมเกิดมาชาตินี้ลำบากยากจนเพราะไม่ได้ทำบุญให้ทานมาก่อน  เมื่อพบโอกาสเช่นนี้ผมก็อยากทำให้มาก  ขอท่านโปรดเมตตาด้วยครับ”
     ฟังดูสิครับ  นี่ไม่น่าใช่คำพูดของเด็กชาวเขาบ้านนอกที่ไม่ได้รับการศึกษาเลย   โปรดทราบนะครับว่านี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นวนิยายที่คิดเขียนขึ้นนะครับ  มีบุคคลตัวตนจริง ๆ  และเขาก็พูดกับผมอย่างนี้จริง ๆ  มันเหลือเชื่อ  ทำให้ผมคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องเป็นเทพจำแลงแน่นอนจึงพูดจาได้อย่างนี้  และผมก็รับนิมนต์
     
    ก็เป็นอันว่าผมไม่ได้อดข้าวดังที่ได้ตั้งใจไว้   อาจจะเป็นเพราะเทพยดาไม่ยินยอมให้ผมทรมานตัวเองก็ได้
     
  8. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    โอ้ว่าใจหนอใจ
     
    วันต่อมาเขาก็มาอีกคนเดียว   หลังจากเขากลับไปแล้วก็มีโยมบ้านปากทางหิ้วปิ่นโตเข้ามา 2-3 คน  มีโยมแถมพ่อของพระแห้วเป็นคนนำ  มีโยมภรรยาของผู้ใหญ่บ้านพร้อมลูกสาวหน้าตาสะสวยอายุราว 14-15 ปีคนหนึ่ง ซึ่งเรียนอยู่ราว ม.2-3 ตามเข้ามาด้วย
       โยมแถมถามว่า “ท่านมหาป่วยเป็นอะไรหรือเปล่าถึงไม่ออกไปบิณฑบาต”
     
    “ไม่ได้เป็นอะไรหรอก  มีไอ้หนุ่มชาวเขามาจากภูเขาลูกโน้นเขามาทำบุญและนิมนต์ไว้ไม่ให้ออกไปบิณฑบาต  เขาอยากมาทำบุญทุกวัน ก็เลยต้องฉลองศรัทธาเขา  ไหน ๆ โยมก็มาแล้ว  มันมีหมู่บ้านอยู่ทางโน้นจริงหรือเปล่า”
     
    “ผมก็ไม่รู้นะ เพราะไม่เคยเข้าไปทางโน้นสักที” โยมแถมว่าแล้วหันไปถามภรรยาผู้ใหญ่บ้าน”เองรู้บ้างมั้ย”   โยมภรรยาผู้ใหญ่ก็บอกว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน  เดี๋ยวจะลองถามคนอื่นดู”
    โยมแถมว่า “ท่านมหาไม่ออกไปบิณฑบาตอย่างนี้พวกโยมห่วงแย่เลย  อยู่คนเดียวไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร  ออกไปบิณฑบาตโปรดญาติโยมที่หมู่บ้านเถอะ  ได้เห็นกันทุกวันก็จะได้เบาใจว่าปลอดภัยดี”
     
     

    ผมว่า“ยังไงก็รอบอกไอ้หนุ่มคนนั้นก่อน เดี๋ยวเขาตั้งใจมาแล้วไม่พบก็ไม่ดีแน่” 

     
    “อยู่ที่นี่ฝันดีมั้ยท่าน   มีเลขอะไรดี ๆ ก็บอกกันบ้างนะ”
     

    “หมโยมก็  มันจะไปรู้อะไร  นั่งก็เห็นแต่ใจตัวเอง  นอนก็เห็นแต่ใจตนเอง  เดินก็เห็นแต่ใจตนเอง  ไม่เห็นอย่างอื่นเลย   โยมอยากได้เลขก็  1-0  ไปกลับเอาสิ  ตั้งแต่รางวัลที่ 1 ถึงเลขท้าย 2 ตัว อยู่ที่นั่นโม้ด “  แล้วทั้งพระและโยมก็หัวเราะกัน

     
    โยมอยู่ไม่นานก็พากันกลับไป  ผมก็อยู่คนเดียวต่อไปตามปกติ   แต่มันก็ไม่ปกติ   โอ้ว่าใจหนอใจ  ใบหน้าของสาวน้อยมันลอยไปลอยมาให้เห็นอยู่ทั้งวัน   ปัดทิ้งไปแป๊บเดียวมันก็กลับมาอีก   เวลามันอยู่ในห้วงความคิดเธอก็สวยไม่ใช่เล่น  ถึงแม้จะดำขำนิด ๆ  แต่ใบหน้าเธอคม หน้ารูปไข่ทรงแหลม ตาคม ขนตางอน  ริมฝีปากอิ่ม  มีไฝดำเม็ดขนาดเขื่องอยู่ริมคาง  ยามเธออมยิ้มแทบทำให้คนเห็นหัวใจจะแตกสลาย   ปกติเธอก็ใส่บาตรอยู่ทุกวันทำไมไม่ทำให้คิด  ไหงวันนี้มันคิดถึงเธอเข้า เธอก็ยังผ่านวัยเด็กมาไม่กี่วัน  ใยไปคิดถึงเธอ  อะไรกันหนอเป็นต้นเหตุ
     
    เมื่อคิดค้นก็พบว่า จิตนี้มีสภาพปรุงแต่งคือคิดเป็นธรรมชาติ  เราอยู่ในแก่งคนเดียว ทั้งวันทั้งคืนเห็นแต่ต้นไผ่ สายน้ำ ก้อนหิน  หูก็ได้ยินแต่เสียงน้ำเซาะแก่งหิน  เสียงลมตีกอไผ่  เสียงกอไผ่เสียดสีกันเกิดเสียงอิ๊ดอ๊อด ๆ  เสียงนกร่ำร้องอยู่บ้าง   นอกนั้นก็ไม่มีอะไร   แต่เมื่อมีอาหารอันโอชะเข้ามาให้มันถึงที่  ใบหน้าหวาน ๆ  เสียงใส ๆ  มันก็เกาะกินใจ  เสียงผู้ชายแก่ ๆ อย่างโยมแถม  เสียงแม่ของเขา มันก็ไร้ความเสน่หาให้คิดถึง   นี่แหละหนอพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “เสียงที่ย้อมใจบุรุษไม่มีเสียงใดเกินเสียงสตรี   เสียงที่ย้อมใจสตรีก็ไม่มีเสียงใดเกินเสียงบุรุษ   แม้รูปร่างที่ย้อมใจให้บุรุษคิดถึงก็ไม่มีร่างใดเกินร่างสตรี   แม้ร่างที่ย้อมใจสตรีก็ไม่มีรูปใดเกินร่างบุรุษ “
     
    เมื่อรู้ดังนั้นก็ทำใจให้ปกติได้  รู้ว่ามันเป็นธรรมชาติของจิต  มันก็คิดของมันไป  ตาเห็นรูปมันก็คิดนั่นคิดนี่   เมื่อมันชอบมันก็คิดไปทางชอบ  เมื่อมันไม่ถูกใจมันก็คิดไปทางชัง  แต่ไม่ว่าจะชอบหรือชังมันก็เป็นความเคยชินของจิต   จะไปหักห้ามมันทันทีมันก็ไม่ฟัง  เพราะมันเคยมาอย่างนั้น  ถ้ารู้ไม่ทันมันก็ตกหล่มลงไปในทางหลง  คือหลงรัก หรือหลงชัง   ถ้าหลงรักมันก็อยากได้ครอบครองเป็นเจ้าของ  ถ้าหลงชังมันก็อยากทำลาย  อยากขจัดให้พ้นหูพ้นตา  
     
    ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับคนเราก็เพราะมันไม่ได้ดังใจนี่เอง   เห็นแล้วชอบ  อยากได้มาครอง  ไม่ได้ก็เป็นทุกข์ เพราะไม่สมดังใจ   พอเกลียดก็อยากให้หนีออกห่าง ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น  เมื่อมันไม่หนีไปดังใจคิดก็เป็นทุกข์   แม้เรื่องทุกข์อื่น ๆ ก็รวมลงในความ “ไม่ได้ดังใจ”นี้ทั้งนั้น    รัก  โลภ  โกรธ  หลง  ราคะ  โทสะ  โมหะ  มันรวมลงใน “ความไม่สมดังใจ  ไม่ได้ดังใจ”ทั้งนั้น
     
  9. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    เจ้ากรรมนายเวรฉุดรั้ง



    หลังจากกลับจากป่ามาอยู่ในเมืองหลวง  ผมก็ใช้ชีวิตเหมือนพระในเมือง  ถอดทิ้งลักษณะเคร่ง ๆ ขรึม ๆ ของพระป่าทิ้งหมด  ผมกลัวที่สุดคือกลัวคนจะเข้ามาเคารพนับถือ  แล้วจิตของผมก็จะตกต่ำลงอย่างรวดเร็วเหมือนเรือที่บรรทุกเกินน้ำหนัก  จึงมีหลาย ๆ คนพูดว่า “หลวงพี่กรรมฐานแตก”  ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ  มันดีกว่าที่เขามาพินอบพิเทาผมในฐานะผู้วิเศษที่อยากเข้าใกล้เพื่อหวังพึ่งพิงเอาเป็นเนื้อนาบุญ

    แต่ถึงอย่างไรผมก็ตั้งใจจะไปอยู่ป่าอีก  ไปคราวนี้คงไม่กลับเข้าเมืองอีก  ผมจึงพยายามที่จะสะสางความรับผิดชอบทั้งหลาย   น้องชายที่เอามาอยู่ด้วยเพื่อร่ำเรียน ดู ๆ แล้วเขาคงไม่เอาดีทางนี้  เมื่อเขาจบการศึกษาผู้ใหญ่ระดับ ๔ แล้วก็ควรกลับไปอยู่บ้านนอก  ส่วนกุฏิก็ให้สามเณรที่เอามาเฝ้าอยู่ดูแลแทนต่อไป   แต่ก็เกิดปัญหาอีก  เพราะเมื่อเอาไปฝากเจ้าอาวาสท่านไม่ยอมรับ  เพราะท่านโกรธให้พระมหาที่มาจากจังหวัดเดียวกันหัวแข็ง ไม่เชื่อฟังท่าน  และไปฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียง  ท่านจึงปฏิเสธไม่ยอมรับ  ผมจึงส่งสามเณรไปอยู่วัดพระพุทธบาทตากผ้า เพื่อศึกษาบาลีที่นั่น   แต่ก็พอแก้ไขได้  ยังมีสามเณรอีกรูปหนึ่งจากหมู่บ้านเดียวกันที่ไปเรียนบาลีวัดพระบาทตากผ้า สามารถสอบบาลีประโยค 1-2 ผ่าน จึงเอาสามเณรองค์นั้นมาอยู่แทนในนามวัดพระบาทตากผ้า โดยให้หลวงปู่วัดพระบาทตากผ้าเป็นผู้ฝาก  เจ้าอาวาสเคารพหลวงปู่วัดพระบาทตากผ้าก็ไม่กลาปฏิเสธ   การแก้ปัญหาของผมก็ลงตัว  ยังเหลือแต่กำหนดว่าจะไปอยู่แค้มป์สนอีกวันไหน
    แต่แล้วก็เกิดปัญหาซ้ำซ้อนเข้ามาอีก 2 ปัญหา  พระที่มาจากจังหวัดเดียวกันและอยู่กุฏิใหญ่ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ วัดบวรนิเวศน์  ต้องไปเรียนต่อปริญญาโทที่อินเดีย  พระอีกรูปที่อยู่กุฏิหลังนั้นและมีอธิกรณ์กับเจ้าอาวาสถูกไล่ไปอยู่วัดอื่น  จึงขาดพระดูแลกุฏิ  จะทอดทิ้งไม่แยแสก็ดูเหมือนเป็นคนใจดำ  ไม่รู้จักเสียสละ  เพราะเป็นเรื่องของจังหวัด  ถ้าไม่มีพระดูแลสืบทอดก็ต้องมีพระจากจังหวัดอื่นเข้ามาอยู่แทน  อันนี้เป็นปัญหาที่ต้องทำให้อยู่ต่อเพื่อดูแลกุฏิ    อีกปัญหาหนึ่งคือ พระที่มีความรู้ความสามารถดูแลงานโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสงฆ์วัดมหาธาตุ  ต้องไปเรียนต่อปริญญาโทที่อินเดีย  หาผู้ดูแลกิจกรรมโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ไม่ได้  จึงมีพระหลายรูปขอร้องให้อยู่รับหน้าที่ดูแลกิจกรรมด้านนี้แทน   (เลขานุการโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์) และเมื่อมีการประชุมกันเขาก็โหวตให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้  ก็เลยจำใจต้องทำหน้าที่นี้  
    ทำให้ความตั้งใจที่จะไปสืบต่อการปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพานเสียชาตินี้ต้องหยุดชะงัก  จะเป็นด้วยเจ้ากรรมนายเวรหรือเหตุประการใดก็สุดที่จะรู้ได้
     
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ลาก่อนปีเก่า555น่าขำนัก สวัสดีปีใหม่56จะตลกอีกหรือเปล่า
    ดีใจที่โลกไม่เกิดภัยพิบัติเหมือนที่เขาทำนายกัน
    ดีใจที่คนในเว็บนี้อีกมากมายที่สติไม่แตกไปพร้อมกับคำทำนาย(ก็เกือบแตกเนอะ)
    แต่ปี 56 เขาก็ส่งท้ายตามมาอีกนะ ตั้งแต่ 3 มกรา ถึง 14 กุมภาพันธ์ คนจะเดินสี่ขา
    ก็ไม่รู้จะหน้าแตกกันไปถึงไหน

    เปิดศักราชปีใหม่ด้วยการให้ดูดวงแก้ปัญหาชีวิตฟรี ไม่มีเก็บแม้แต่สลึงเดียว ใครอยากดูก็ต้องเข้าในเว็บ sanyasi.org ส่วนเว็บบอร์ด ไม่ได้วางลิ๊งค์นะครับ ใครกล่าวโทษและแบนอีกขอให้เป็นโรคต่อมลูกโตตลอดชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2012
  11. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    รอดตายเพราะอานาปานสติ
     
    งานโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์นั้นได้แบ่งออกเป็นหลายตำแหน่งแบ่งกันทำ  แต่ส่วนที่หนักที่สุดคือตำแหน่งเลขานุการ  เพราะต้องทำการแทนประธานด้วย อันเป็นที่รู้กัน  เพราะเจ้านายทุกตำแหน่งไม่ว่ากรมกองไหนในทางโลกมีหน้าที่เซ็นหนังสืออย่างเดียว  เลขาส่วนมากจึงต้องพยายามให้เก่งกว่าเจ้านาย  คนเก่าย้ายไปกรมกองอื่น แต่เลขาก็ยังอยู่  จึงสามารถเสนองานป้อนเจ้านายได้   แต่เลขานุการพุทธศาสนาวันอาทิตย์คนนี้กลับมือใหม่ แถมยังทำงานหนัก  และชอบคิดค้นอะไรใหม่ ๆ  ทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ  ทำให้เป็นคนกินน้อยนอนน้อย  ร่างกายผ่ายผอมไม่เคยถึง 50 กิโลกรัมกับเขาสักที  กระดูกเดินได้ เบ้าตาลึกโบ๋  คือลักษณะที่ชินตาคน
     
    แต่ผมกลับโชคดีอย่างที่ได้ประธานนักเรียนที่เก่งงานเก่งเรียนเป็นผู้ช่วยงานที่ดีที่สุด  และเขาเป็นผู้คว้ารางวัลที่ 1 ได้มากที่สุดจากการตอบปัญหาชิงรางวัลจากงานประจำปีของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่เชิญเราเข้าร่วม  จนถ้วยรางวัลวางอยู่ระเกะระกะ ไม่มีที่จะวาง  ผมก็ต้องไปขอเมตตาจากญาติโยมจากจังหวัดเดียวกันซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ทำตู้และโต๊ะจำหน่าย ให้เขาบริจาคตู้โชว์ให้สักหลัง  เขาก็บริจาคด้วยความยินดี โดยใส่รถบรรทุกของเขาส่งถึงวัด  ตั้งแต่นั้นถ้วยรางวัลต่าง ๆ ก็ได้ที่เก็บอย่างสวยงาม   นอกจากนั้นลูกศิษย์คนนี้ก็เป็นมือพิมพ์ดีดที่เก่งที่สุด  งานทำนิตยสารโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ซึ่งต้องทำทุกเดือนจึงผ่านฝีมือพิมพ์ของศิษย์คนนี้  ผมก็กลายเป็นนักเขียนบทความตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  และต้องขอบทความจากพระอาจารย์รูปอื่น ๆ มาลงร่วมด้วย  เด็กนักเรียนคนไหนมีอุปนิสัยในการขีด ๆ เขียน ๆ ก็ให้เขาได้ฝึกเขียนลงด้วย  ทำให้โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เป็นที่ฝึกฝนความสามารถของเด็กนักเรียนหลาย ๆ ด้าน  ทั้งนาฏศิลป์  ร้องเพลง ฝึกพูด ดนตรีไทย วาดเขียน  ซึ่งแต่ละแผนกก็มีครูมาช่วยสอน เด็กก็กระตือรือร้น สนุกสนานในการฝึกฝน ทำให้โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ของเรามีชื่ออยู่อันดับต้น ๆ ของประเทศ
     
    จากการกรำงานหนัก  กินน้อยนอนน้อย  ทำให้ร่างกายอ่อนแอมาก  จนถึงเดือนสิงหาคม 2524 เมื่อดาวราหูจรอยู่ราศีกรกฎ  ดาวอาทิตย์จรเข้ามาร่วมอีกดวง ผมก็อาการหนัก  วันนั้นผมอุ้มบาตรออกไปยืนอยู่หน้าวัดแต่เช้าตามปกติ (วัดของเราไม่ต้องเดินไปบิณฑบาตไกลเพราะมีชาวบ้านเอาอาหารมาถวายที่หน้าวัดทุกวัน  และเรามีโอกาสได้รับอาหารจากคนดังแทบทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง นักการเมือง)   ผมก็รู้สึกตัวก่อนแล้วว่ามีอาการอ่อนเพลียมากจนไม่อยากลุกจากที่นอน  แต่ก็จำต้องอุ้มบาตรเดินไปในลักษณะเหมือนฝัน คือโหวงเหวง สายตาก็มัว ๆ  ไปยืนอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกหนัก  คลำดูชีพจรก็ไม่พบ  หายใจมีอาการติดขัดเหมือนลมหายใจอยากหยุดพัก  จึงแน่ใจว่าคงเป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้ว  ควรกลับไปตายให้มันสง่างามที่กุฏิดีกว่ามาล้มตายในขณะอุ้มบาตร 
     
     

    ผมตั้งสติให้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบันอย่างเต็มที่ โดยการอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกตลอด  ต้องบังคับให้มันเข้า-ออก  หาไม่มันจะหยุดอยู่ทุกขณะจิต   เมื่อมาถึงกุฏิลูกศิษย์คนเก่งก็มารอรับบาตรซึ่งมีแต่บาตรเปล่า  จึงบอกให้เขาไปบอกพระรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานในวัด ให้ท่านพาส่งโรงพยาบาล(เผื่อทัน)  ส่วนผมขึ้นกุฏิก็หาปากกากับกระดาษเปล่ามาเขียนสั่งงานต่าง ๆ ที่ยังค้างอยู่   เขียนไป ๆ มือก็สั่นแขนขาสั่น ไร้การควบคุมแล้ว  จึงวางปากกานั่งบังคับลมหายใจเข้า-ออก ยังไม่ยอมให้มันขาดลง  จนพระอาจารย์สอนกรรมฐานของวัดมาถึงก็พากันเดินออกไปหาแท็กซี่ ผมก็เดินสั่นไป พอขึ้นนั่งบนรถผมก็นั่งหลับตาบังคับลมหายใจไปตลอดทาง  เมื่อลืมตาตื่นก็ถึงตึกฉุกเฉินโรงพยาบาลจุฬา ฯ พอดี  ก็ไปนั่งรอเพื่อทำบัตร   ขณะที่นั่งก็บังคับลมไปเรื่อย ๆ  จนกระทั่งเกิดจิตรวมวูบ มีแสงสว่างจ้าขึ้น เกิดอาการซ่าแผ่ไปทั่วร่างกาย  ก็ตามดูตามรู้ตลอด  จนเสียงพยาบาลเรียกชื่อก็ลืมตาตื่น  อาการป่วยที่มีอยู่ก็หายไปสิ้น  ไปนั่งอยู่ต่อหน้าหมอเป็นคนปกติ ไม่ใช่คนป่วย  ก็ได้แต่เล่าให้หมอฟังถึงอาการป่วย  หมอลงความเห็นว่าเป็นลม  มีแก๊สในกระเพาะมาก  มีความวิตกกังวลสูง  หมอว่า “ฝึกกรรมฐานซะบ้างจะได้หายเครียด”  

     
    ไม่ได้บอกหมอหรอกว่าที่รอดตายมานี่ก็เพราะกรรมฐานนี่แหละ  แต่จิตจอมอวดมันก็ร่ำ ๆ จะอวดกับเขานั่นแหละ  เจ้ากิเลสอวดดีนี่มันช่างแก่กล้าเหลือเกิน
     
  12. มะลิทอง

    มะลิทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +133
    รออ่านต่อครับ
     
  13. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    เป็นประสบการณ์และเรื่องเล่าที่มีคุณค่ามากค่ะ
     
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ หมู่นี้ยังไม่ได้อารมณ์ขุดอดีตมาเขียน ยังไตร่ตรองอยู่ว่าจะนำเอาส่วนไหนมาเขียน เพราะอดีตอันยาวนานมันก็มีมากมายหลายเรื่อง เขาว่าคนชอบเล่าเรื่องเก่า ๆ บ่งถึงอายุเริ่มเข้าสู่วัยชะรา น่าจะจริงแฮะ

    ระยะนี้ชอบฟังและอ่านเรื่องของหลวงพ่อชา ผมศึกษาคำสอนของพระป่าทุกรูป ประทับใจหลวงพ่อชาที่สุด ทุกอย่างที่ท่านพูดนั้นมันออกมาจากใจท่าน และท่านเข้าใจพูด เอาอดีตของท่านมาเล่าแทรก บางเรื่องก็ขบขันอยู่ในที แต่ก็ล้วนมีสาระ

    ความโดดเด่นของท่านคือการหาเรื่องมาเล่าเทียบเคียง หรือคำอุปมาอุปมัยนั่นเอง เดี๋ยวผมจะเอามาให้ฟังสักเรื่อง
     
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    หลวงพ่อชาต่อสู้กับผีในป่าช้า ลองฟังดูครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=E07Lx8Y7ZsY]ต่อสู้ความกลัว - YouTube[/ame]
     
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ใจอ่านธรรมชาติ

    หลวงพ่อชา สุภัทโท


    การภาวนาหมายความว่า ให้คิดดูให้ชัดๆ พยายามอย่ารีบร้อนเกินไป อย่าช้าเกินไป ค่อยทำค่อยไป แต่ให้มีวิธีการและจุดหมายในการปฏิบัติภาวนานั้น ทุกคนที่ออกมาปฏิบัตินั้น ก็ออกมาด้วย "ความอยาก"กันทั้งนั้น มันมีความอยาก แต่ความอยากนี้ บางทีมันก็ปนกับความหลง ถ้าอยากแล้วไม่หลง มันก็อยากด้วยปัญญา ความอยากอย่างนี้ท่านเรียกว่า เป็นบารมีของตน แต่ไม่ใช่ทุกคนนะที่มีปัญญา


    บางคนไม่อยากจะให้มันอยาก เพราะเข้าใจว่า การมาปฏิบัติก็เพื่อระงับความอยาก ความจริงน่ะ ถ้าหากว่าไม่มีความอยาก ก็ไม่มีข้อปฏิบัติ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ลองพิจารณาดูก็ได้ ทุกคน แม้องค์พระพุทธเจ้าของเราก็ตาม ที่ท่านออกมาปฏิบัติ ก็เพื่อจะให้บรรเทากิเลสทั้งหลายนั้น แต่ว่ามันต้องอยากทำ อยากปฏิบัติ อยากให้มันสงบ และก็ไม่อยากให้มันวุ่นวาย ทั้งสองอย่างนี้ มันเป็นอุปสรรคทั้งนั้น ถ้าเราไม่มีปัญญา ไม่มีความฉลาดในการกระทำอย่างนั้น เพราะว่ามันปนกันอยู่ อยากทั้งสองอย่างนี้มันมีราคาเท่าๆกัน


    อยากจะพ้นทุกข์มันเป็นกิเลส สำหรับคนไม่มีปัญญาอยากด้วยความโง่ ไม่อยากมันก็เป็นกิเลส เพราะไม่อยากอันนั้นมันประกอบด้วยความโง่เหมือนกันคือ ทั้งอยาก ไม่อยาก ปัญญาก็ไม่มี ทั้งสองอย่างนี้ มันเป็นกามสุขัลลิกานุโยโค กับอัตตกิลมถานุโยโค ซึ่งพระพุทธองค์ของเรา ขณะที่พระองค์กำลังทรงปฏิบัติอยู่นั้น ท่านก็หลงใหลในอย่างนี้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ท่านหาอุบายหลายประการ กว่าจะพบของสองสิ่งนี้

    ทุกวันนี้เราทั้งหลายก็เหมือนกัน ทุกสิ่งทั้งสองอย่างนี้มันกวนอยู่ เราจึงเข้าสู่ทางไม่ได้ก็เพราะอันนี้ ความเป็นจริงนี้ทุกคนที่มาปฏิบัติ ก็เป็นปุถุชนมาทั้งนั้น ปุถุชนก็เต็มไปด้วยความอยาก ความอยากที่ไม่มีปัญญา อยากด้วยความหลงไม่อยากมันก็มีโทษเหมือนกัน
    "ไม่อยาก" มันก็เป็นตัณหา "อยาก" มันก็เป็นตัณหาอีกเหมือนกัน


    ทีนี้นักปฏิบัติยังไม่รู้เรื่องว่า จะเอายังไงกัน เดินไปข้างหน้าก็ไม่ถูก เดินกลับไปข้างหลังก็ไม่ถูก จะหยุดก็หยุดไม่ได้เพราะมันยังอยากอยู่ มันยังหลงอยู่ มีแต่ความอยาก แต่ปัญญาไม่มี
    มันอยากด้วยความหลง มันก็เป็นตัณหา ถึงแม้ไม่อยาก มันก็เป็นความหลง มันก็เป็นตัณหาเหมือนกันเพราะอะไร? เพราะมันขาดปัญญา


    ความเป็นจริงนั้น ธรรมะมันอยู่ตรงนั้นแหละ ตรงความอยากกับความไม่อยากนั่นแหละ
    แต่เราไม่มีปัญญา ก็พยายามไม่ให้อยากบ้าง เดี๋ยวก็อยากบ้าง อยากให้เป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ ความจริงทั้งสองอย่างนี้ หรือทั้งคู่นี้มันตัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ใช่คนละตัว แต่เราไม่รู้เรื่องของมัน


    พระพุทธเจ้าของเรา และสาวกทั้งหลายของพระองค์นั้นท่านก็อยากเหมือนกันแต่ "อยาก" ของท่านนั้น เป็นเพียงอาการของจิตเฉยๆ หรือ "ไม่อยาก" ของท่าน ก็เป็นเพียงอาการของจิตเฉยๆอีกเหมือนกัน มันวูบเดียวเท่านั้น ก็หายไปแล้ว


    ดังนั้นความอยากหรือไม่อยากนี้ มันมีอยู่ตลอดเวลาแต่สำหรับผู้มีปัญญานั้น "อยาก" ก็ไม่มีอุปาทาน "ไม่อยาก" ก็ไม่มีอุปาทาน เป็น "สักแต่ว่า" อยากหรือไม่อยากเท่านั้น ถ้าพูดตามความจริงแล้ว มันก็เป็นแต่อาการของจิต อาการของจิตมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ถ้าเรามาตะครุบมันอยู่ใกล้ๆนี่มันก็เห็นชัด


    ดังนั้นจึงว่าการพิจารณานั้น ไม่ใช่รู้ไปที่อื่น มันรู้ตรงนี้แหละเหมือนชาวประมงที่ออกไปทอดแหนั่นแหละ ทอดแหออกไปถูกปลาตัวใหญ่ เจ้าของผู้ทอดแหจะคิดอย่างไร?
    ก็กลัว กลัวปลาจะออกจากแหไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนั้น ใจมันก็ดิ้นรนขึ้นระวังมาก บังคับมาก
    ตะครุบไปตะครุบมาอยู่นั่นแหละ ประเดี๋ยวปลามันก็ออกจากแหไปเสีย เพราะไปตะครุบมันแรงเกินไป อย่างนั้นโบราณท่านพูดถึงเรื่องอันนี้ ท่านว่าค่อยๆทำมัน แต่อย่าไปห่างจากมัน
    นี่คือ ปฏิปทาของเราค่อยๆคลำมันไปเรื่อยๆ อย่างนั้นแหละ อย่าปล่อยมัน หรือไม่อยากรู้มัน ต้องรู้ ต้องรู้เรื่องของมัน พยายามทำมันไปเรื่อยๆ ให้เป็นปฏิปทา ขี้เกียจเราก็ทำไม่ขี้เกียจเราก็ทำเรียกว่า การทำการปฏิบัติ ต้องทำไปเรื่อยๆอย่างนี้


    ถ้าหากว่าเราขยัน ขยันเพราะความเชื่อ มันมีศรัทธาแต่ปัญญาไม่มี ถ้าเป็นอย่างนี้ ขยันไปๆ แล้วมันก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมากมาย ขยันไปนานๆเข้า แต่มันไม่ถูกทาง มันก็ไม่สงบระงับ
    ทีนี้ก็จะเกิดความคิดว่า เรานี้บุญน้อยหรือวาสนาน้อยหรือคิดไปว่า มนุษย์ในโลกนี้คงทำไม่ได้หรอก แล้วก็เลยหยุดเลิกทำเลิกปฏิบัติ ถ้าเกิดความคิดอย่างนี้เมื่อใด ขอให้ระวังให้มาก ให้มีขันติ ความอดทน ให้ทำไปเรื่อยๆ เหมือนกับเราจับปลาตัวใหญ่ ก็ให้ค่อยๆคลำมันไปเรื่อยๆ ปลามันก็จะไม่ดิ้นแรงค่อยๆทำไปเรื่อยๆไม่หยุดไม่ช้าปลาก็จะหมดกำลัง มันก็จับง่าย จับให้ถนัดมือเลย ถ้าเรารีบจนเกินไป ปลามันก็จะหนีดิ้นออกจากแหเท่านั้น


    ดังนั้นการปฏิบัตินี้ ถ้าเราพิจารณาตามพื้นเหตุของเราเช่นว่า เราไม่มีความรู้ในปริยัติ ไม่มีความรู้ในอะไรอื่น ที่จะให้การปฏิบัติมันเกิดผลขึ้นก็ดูความรู้ที่เป็นพื้นเพเดิมของเรานั่นแหละ
    อันนั้นก็คือ "ธรรมชาติของจิต" นี่เอง มันมีของมันอยู่แล้ว เราจะไปเรียนรู้มัน มันก็มีอยู่
    หรือเราจะไม่ไปเรียนรู้มัน มันก็มีอยู่ อย่างที่ท่านพูดว่า พระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นก็ตาม หรือไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
    ธรรมะก็คงมีอยู่อย่างนั้น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ไม่พลิกแพลงไปไหน มันเป็นสัจจธรรม เราไม่เข้าใจสัจจธรรม ก็ไม่รู้ว่าสัจจธรรมเป็นอย่างไร นี้เรียกว่า การพิจารณาในความรู้ของผู้ปฏิบัติที่ไม่มีพื้นปริยัติ


    ขอให้ดูจิต พยายามอ่านจิตของเจ้าของ พยายามพูดกับจิตของเจ้าของ มันจึงจะรู้เรื่องของจิต ค่อยๆทำไป ถ้ายังไม่ถึงที่ของมัน มันก็ไปอยู่อย่างนั้น ครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่า ทำไปเรื่อยๆ อย่าหยุดบางทีเรามาคิด "เออ ทำไปเรื่อยๆ ถ้าไม่รู้เรื่องของมัน ถ้าทำไม่ถูกที่มัน มันจะรู้อะไร" อย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องไปเรื่อยๆก่อนแล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นในสิ่งที่เราพากเพียรทำนั้น


    มันเหมือนกันกับบุรุษที่ไปสีไฟ ได้ฟังท่านบอกว่า เอาไม้ไผ่สองอันมาสีกันเข้าไปเถอะ แล้วจะมีไฟเกิดขึ้น บุรุษนั้นก็จับไม้ไผ่เข้าสองอัน สีกันเข้า แต่ใจร้อน สีไปได้หน่อย ก็อยากให้มันเป็นไฟ ใจก็เร่งอยู่เรื่อย ให้เป็นไฟเร็วๆ แต่ไฟก็ไม่เกิดสักที บุรุษนั้นก็เกิดความขี้เกียจ แล้วก็หยุดพัก แล้วจึงลองสีอีกนิด แล้วก็หยุดพัก ความร้อนที่พอมีอยู่บ้าง ก็หายไปล่ะซิ เพราะความร้อนมันไม่ติดต่อกัน
    ถ้าทำไปเรื่อยๆอย่างนี้ เหนื่อยก็หยุด มีแต่เหนื่อยอย่างเดียวก็พอได้ แต่มีขี้เกียจปนเข้าด้วย เลยไปกันใหญ่ แล้วบุรุษนั้นก็หาว่าไฟไม่มี ไม่เอาไฟ ก็ทิ้ง เลิก ไม่สีอีก แล้วก็ไปเที่ยวประกาศว่า ไฟไม่มี ทำอย่างนี้ไม่ได้ ไม่มีไฟหรอก เขาได้ลองทำแล้ว


    ก็จริงเหมือนกันที่ได้ทำแล้ว แต่ทำยังไม่ถึงจุดของมันคือ ความร้อนยังไม่สมดุลกัน ไฟมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งที่ความจริงไฟมันก็มีอยู่ อย่างนี้ก็เกิดความท้อแท้ขึ้นในใจของผู้ปฏิบัตินั้น ก็ละอันนี้ไปทำอันโน้นเรื่อยไป อันนี้ฉันใดก็ฉันนั้นการปฏิบัตินั้น ปฏิบัติทางกายทางใจทั้งสองอย่าง มันต้องพร้อมกัน เพราะอะไร? เพราะพื้นเพมันเป็นคนมีกิเลสทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
    ท่านก็มีกิเลสแต่ท่านมีปัญญามากหลาย พระอรหันต์ก็เหมือนกัน เมื่อยังเป็นปุถุชนอยู่ก็เหมือนกับเรา เมื่อความอยากเกิดขึ้นมา เราก็ไม่รู้จัก เมื่อความไม่อยากเกิดขึ้นมาเราก็ไม่รู้จัก บางทีก็ร้อนใจ บางทีก็ดีใจ ถ้าใจเราไม่อยาก ก็ดีใจแบบหนึ่ง และวุ่นวายอีกแบบหนึ่ง ถ้าใจเราอยาก มันก็วุ่นวายอย่างหนึ่ง และดีใจอย่างหนึ่ง มันประสมประเสกันอยู่อย่างนี้


    อันนี้คือปฏิปทาของผู้ปฏิบัติ เหมือนอย่างที่พระวินัยที่เราฟังๆกันไปนี้ ดูแล้วมันเป็นของยาก จะต้องรักษาสิกขาบททุกอย่าง ให้ไปท่องทุกอย่าง เมื่อจะตรวจดูศีลของเจ้าของก็ต้องไปตรวจดูทุกสิกขาบท ก็คิดหนักใจว่า "โอ อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว"


    ความจริงเมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนให้พิจารณากายอย่าง เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ
    มันก็มีแต่กายทั้งนั้น อย่างที่ท่านให้กรรมฐานครั้งแรก ก็มีแต่เรื่องกายทั้งนั้น ท่านให้พิจารณาอยู่ตรงนี้ ให้ดูตรงนี้ ถ้าเราพิจารณาแล้วเห็นไม่ชัดมันก็จะเห็นคนไม่ชัดสักคน คนอื่นก็ไม่ชัด ตัวเราเองก็ไม่ชัด เห็นตัวเราก็สงสัย เห็นคนอื่นก็สงสัย มันสงสัยอยู่ตลอดไปแต่ถ้าเราสามารถเห็นตัวเราได้ชัดเท่านั้น มันก็หมดสงสัย เพราะอะไร? เพราะรูปนามมันเหมือนกันทั้งนั้น
    ถ้าหากเราเห็นชัดในตัวเราคนเดียว ก็เหมือนเห็นคนทั้งโลก ไม่ต้องตามไปดูทุกคน ก็รู้ว่าคนอื่นก็เหมือนกับเรา เราก็เหมือนกับเขา ถ้าเราคิดได้เช่นนี้ ภาระของเขาก็น้อยลง ถ้าเราไม่คิดเช่นนั้น ภาระของเราก็มาก เพราะจะต้องตามไปดูทุกคนในจักรวาลนี้ จึงจะรู้จักคนทุกคน
    ภาระมันก็มากน่ะซิ ถ้าคิดอย่างนี้มันก็ทำให้ท้อแท้


    อย่างพระวินัยของเรานี้ก็เหมือนกัน มีสิกขาบทอยู่มากมายเหลือเกิน ไม่รู้จักเท่าไหร่แล้ว ถ้าเพียงนึกว่าจะต้องอ่านให้ครบทุกสิกขาบท ก็แย่แล้ว ไม่ไหวแล้ว เห็นว่าเหลือวิสัยเสียแล้ว เห็นจะไม่มีทางไปตรวจดูศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ได้นี่ความเข้าใจของเรามันเป็นอย่างนั้น เหมือนอย่างว่าท่านให้รู้แจ้งซึ่งมนุษย์ทั้งหลาย ก็คิดว่าจะต้องไปดูคนให้ทุกคนมันถึงจะรู้ทุกคน อย่างนี้มันก็มากเท่านั้นแหละนี่ก็เพราะว่าเรามันตรงเกินไป ตรงตามตำรา ตรงตามคำของครูบาอาจารย์เกินไป เพราะถ้าเราเรียนปริยัติขนาดนั้นมันก็ไปไม่ไหวเหมือนกัน มันทำให้หมดศรัทธาเหมือนกัน เรียกว่า เรายังไม่เกิดปัญญา
    ถ้าปัญญามันเกิดแล้ว ก็จะเห็นว่าคนทั้งหมดก็คือ คนคนเดียว ถ้ามันคือคนคนเดียว เราก็พิจารณาแต่เราคนเดียว ก็เพียงพอ เพราะเราก็มีรูป มีนามลักษณะของรูปนามมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ คนอื่นก็เป็นอยู่อย่างนี้เหมือนกัน ปัญญาจะทำให้เห็นได้เช่นนั้น ทีนี้ภาระที่จะต้องคิดก็น้อยลง เพราะเห็นเสียแล้วว่า มันของอย่างเดียวกัน


    ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงว่า "อัตตะนา โจทะยัตตานัง"จงเตือนตนด้วยตนเอง ให้เตือนตัวเจ้าของเองนี้ ไม่มีที่อื่น ถ้าเราเห็นตัวเราเองแล้ว มันก็เหมือนกันหมดทุกคน เพราะอันเดียวกัน
    บริษัทเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน เพียงแต่ต่างสีสัณฐานกันเท่านั้น เหมือนอย่างยาทัมใจกับยาบวดหาย มันก็ยารักษาโรคปวดเหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนรูปห่อเสียหน่อยเท่านั้น
    แท้จริงมันก็ยารักษาโรคเดียวกัน ถ้าเราเห็นได้เช่นนี้ มันก็จะง่ายขึ้น ค่อยๆทำมันไปเรื่อยๆอย่างนั้นแหละ แล้วมันก็จะเกิดความฉลาดขึ้นในการกระทำ ทำไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะเกิดความเห็น แล้วจะเห็นความจริงของมันจริงๆ

    ถ้าจะพูดเรื่องปริยัติแล้ว ทุกอย่างมันเป็นปริยัติได้ทั้งนั้นตาก็เป็นปริยัติ หูก็เป็นปริยัติ จมูกก็เป็นปริยัติ ปากก็เป็นปริยัติ ลิ้นก็เป็นปริยัติ กายก็เป็นปริยัติ เป็นปริยัติหมดทุกอย่าง รูปเป็นอย่างนั้น ก็รู้ว่ารูปเป็นอย่างนั้นแต่ว่าเรามันมัวไปติดอยู่ในรูป ไม่รู้จักหาทางออก เสียงเป็นอย่างนั้น ก็รู้ว่าเสียงเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไปติดอยู่ในเสียง ไม่รู้จักหาทางออก ดังนั้น รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นี้ มันจึงเป็นห่วงที่เกาะเกี่ยวให้มนุษย์สัตว์ทั้งหลายติดอยู่ในตัวของมัน ฉะนั้นก็ให้เราปฏิบัติไป คลำไปอย่างนั้นแหละ แล้ววันหนึ่งก็จะต้องได้ความรู้ เกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา ที่จะได้ความรู้เกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาได้นี้
    มันจะเกิดได้จากการปฏิบัติที่ไม่หยุด ไม่ท้อถอย ปฏิบัติไปทำไปนานเข้าๆ พอสมควรกับนิสัยปัจจัยของตน มันก็จะเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า "ธรรมวิจยะ" มันจะเกิดโพชฌงค์ของมันเอง โพชฌงค์ทั้งหมด มันจะเกิดอยู่อย่างนี้ สอดส่องธรรมไป


    โพชฌังโค สติสังขาโต ธัมมานัง วิจโย ตถา

    วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตถา ปะเร

    สมาธุเปกขโพชฌังคา สัตเต เต สัพพทัสสินา


    เบื้องแรกมันเกิดอย่างนี้ อาการนี้มันจะเกิดขึ้นมา มันก็เป็นโพชฌงค์ เป็นองค์ที่ตรัสรู้ธรรมะทั้งนั้น ถ้าเราได้เรียนรู้มันก็รู้ตามปริยัติเหมือนกัน แต่ไม่มองเห็นที่มันเกิดที่ในใจของเรา
    ไม่เห็นว่ามันเป็นโพชฌงค์ ความเป็นจริงนั้น โพชฌงค์นั้นเกิดมาในลักษณะอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงบัญญัติผู้รู้ทั้งหลายก็บัญญัติ เป็นข้อความออกมาเป็นปริยัติ ปริยัตินี้ก็เกิดจากที่ได้มาจากการปฏิบัติ ปริยัตินี้ก็เกิดจากที่ได้มาจากการปฏิบัติ แต่มันถอนตัวออกมาเป็นปริยัติ เป็นตัวหนังสือแล้วก็ไปเป็นคำพูด แล้วโพชฌงค์ก็เลยหายไปหายไป โดยที่เราไม่รู้
    แต่ความเป็นจริงนั้นมันก็ไม่ได้หายไปไหนมันมีอยู่ในนี้ทั้งหมด มันจะเกิดธัมมวิจยะ การพินิจพิจารณาตามไป เกิดความเพียร เกิดปีติ และอื่นๆขึ้นทั้งหมด ไปตามลำดับของโพชฌงค์
    ถ้ามันเกิดการกระทำขึ้นทั้งหมดดังนี้ มันก็เป็นองค์ที่ตรัสรู้ธรรมะ มันก็ต้องมีอยู่ในนี้


    ดังนั้นท่านจึงว่า ค่อยๆคลำไป ค่อยๆพิจารณาไป อย่านึกว่ามันอยู่ข้างโน้น อย่านึกว่ามันอยู่ข้างนี้ เหมือนอย่างพระภิกษุท่านหนึ่งของเรา ท่านไปเรียนบาลีแปลธรรมบทกับเขา เรียนไม่ได้เพราะไปนึกแต่ว่า ปฏิบัติกรรมฐานนั้น มันแจ้ง มันรู้สะอาด มันเห็น ท่านก็ออกมาปฏิบัติอยู่ที่วัดหนองป่าพง ท่านว่าจะมานั่งปฏิบัติแล้วไปแปลบาลี ท่านนึกว่าจะไปรู้อย่างนั้น ไปเห็นอย่างนั้น ก็เลยอธิบายให้ท่านฟังว่าเห็นอันเกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้นอย่างหนึ่งเห็นจากการเรียนปริยัติธรรมนั้นก็อีกอย่างหนึ่ง มันก็เห็นเหมือนกัน แต่ว่ามันลึกซึ้งกว่ากัน


    ถ้าเห็นจากการปฏิบัติแล้วมันละ มันละไปเลย หรือถ้ายังละไม่หมด ก็พยายามต่อไปเพื่อละให้ได้ มีความโกรธเกิดขึ้นมา มีความโลภเกิดขึ้นมา ท่านไม่วางมัน พิจารณาดูที่มันเกิด แล้วก็พิจารณาโทษ ให้มันเห็นด้วย แล้วก็เห็นโทษในการกระทำนั้น เห็นประโยชน์ในการละสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ความเห็นอันนี้ ไม่ใช่อยู่ที่โน่นที่นี่ มันอยู่ในจิตของตนเอง จิตที่มันไม่ผ่องใส ไม่ใช่อื่นไกล อันนี้นักปริยัติ และนักปฏิบัติ พูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง โดยมากมักจะโทษกันว่า นักปฏิบัติพูดไม่มีรากฐาน พูดไปตามความเห็นของตน ความเป็นจริงมันก็อย่างเดียวกันแหละ
    เหมือนหน้ามือกับหลังมือ เมื่อเราคว่ำมือลง หน้ามือมันก็หายไป แต่มันไม่ได้หายไปไหน มันหายไปอยู่ข้างล่างนั่นแหละแต่มองไม่เห็นเพราะหลังมือมันบังอยู่ แล้วเมื่อเราหงายฝ่ามือขึ้น หลังมือมันก็หายไป แต่มันก็ไม่ได้หายไปไหน มันก็หายไปอยู่ที่ข้างล่างเหมือนกันนั่นแหละ

    ดังนั้น ให้เรารู้ไว้อย่างนี้ เมื่อเกี่ยวกับการปฏิบัติ อย่าไปคิดว่ามันหายไปไหน ถึงจะเรียนรู้ขนาดไหน หาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นก็ไม่รู้จัก คือ ไม่รู้ตามที่เป็นจริง ถ้ารู้ตามความเป็นจริงเมื่อไหร่ก็จะ "ละ" ได้เมื่อนั้น ถอนอุปาทานได้ ไม่มีความยึดหรือถ้ามีความยึดอยู่บ้าง มันก็จะบรรเทาลง


    ผู้ปฏิบัติก็ชอบอย่างนี้ หลงอย่างนี้ พอปฏิบัติก็อยากได้ง่ายๆ อยากให้ได้ตามใจของตน ก็ขอให้ดูอย่างนี้ ดูร่างกายของเรานี่แหละ มันได้อย่างใจของเราไหม จิตก็เหมือนกันมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น จะให้เป็นอย่างที่เราอยากไม่ได้ แล้วคนก็ชอบมองข้ามมันเสีย
    อะไรไม่ถูกใจก็ทิ้ง อะไรไม่ชอบใจก็ทิ้งแต่ก็หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้น อันใดผิด อันใดถูก รู้แต่เพียงว่าอันนั้นไม่ชอบ อันนั้นแหละผิด ไม่ถูกเพราะเราไม่ชอบ อันใดที่เราชอบอันนั้นแหละถูก อย่างนี้มันใช้ไม่ได้

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันก็ล้วนแต่เป็นธรรมะ อย่างเราเรียนปริยัติมา เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างใด มันก็วิ่งไปตามปริยัติ เวลาเราภาวนา ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนี้อะไรต่ออะไรมันก็ต้องวิ่งไปตามนี้ ถ้าเราไม่มีปริยัติ หรือไม่ได้เรียนปริยัติมา เราก็มีธรรมชาติจิตของเราเมื่อมีความรู้สึกนึกคิดไปตามธรรมชาติจิตอันนี้ ถ้าหากว่ามีปัญญาพิจารณามันก็เป็นปริยัติด้วยกันทั้งนั้นธรรมชาติจิตของเรานี่ก็เป็นปริยัติ ที่ว่าธรรมชาติของเราเป็นปริยัตินั้น คือ เมื่อมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาอารมณ์อันนั้นอาศัยอารมณ์อันนั้นเป็นปริยัติ สำหรับผู้ภาวนาที่ไม่มีความรู้ในปริยัติ จำต้องอาศัยความจริงอันนี้ ทุกอย่างมันก็เป็นมาอย่างนี้เหมือนกัน


    ฉะนั้นคนเรียนปริยัติก็ดี คนไม่เรียนปริยัติก็ดี ถ้าหากว่ามีศรัทธา มีความเชื่ออย่างที่ว่ามาแล้ว มาฝึกปฏิบัติให้มีความเพียร มีขันติ ความอดทนให้สม่ำเสมอ มีสติเป็นหลักคือความระลึกได้ว่า เรานั่งอยู่ เรายืนอยู่ เรานอนอยู่ เราเดินอยู่ ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ
    สติสัมปชัญญะสองอย่างนี้ สติความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว มันไม่ห่างกันเลย มันเกิดขึ้นพร้อมกันเร็วที่สุด เราจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความระลึกได้เกิดขึ้น ความรู้ตัวมันก็เกิดขึ้นมาด้วย เมื่อจิตเราตั้งมั่นอยู่อย่างนี้ มันก็รู้สึกง่ายๆ คือ ระลึกได้ว่าเราอยู่อย่างไร เป็นอะไร ทำอะไร มีสติเมื่อใด ก็มีความรู้ตัวอยู่เมื่อนั้น ทีนี้ก็มีปัญญา แต่บางทีปัญญามันน้อย มันมาไม่ค่อยทัน มีสติอยู่ก็จริง มีความรู้สึกอยู่ก็จริง แต่ว่ามันก็ผิดของมันได้เหมือนกัน แต่แล้วตัวปัญญามันจะวิ่งเข้ามาช่วย สติความระลึกได้ และสัมปชัญญะความรู้ตัวนั้น มีเป็นพื้นฐานอยู่แล้วก็ควรอบรมปัญญา ด้วยอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน เช่นว่า มันจะรู้อยู่ระลึกได้ ก็ให้ระลึกได้มันอยู่ อารมณ์เกิดขึ้นมาอย่างไร ก็ให้ระลึกอารมณ์นั้นได้อยู่ แต่ให้เห็นไปพร้อมๆกันว่า มันมีอนิจจังเป็นรากฐาน มีทั้งทุกขัง มันเป็นทุกข์ ทนยากมีทั้งอนัตตา อันไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้นแหละ มัน "สักแต่ว่า" เกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วไม่มีตัวตน แล้วมันก็หายไปเท่านั้นเองคนที่ "หลง" ก็ไปเอาโทษกับมัน จึงไม่รู้จักใช้สิ่งทั้งหลายนี้ให้เกิดประโยชน์


    ถ้าหากว่ามีปัญญาอยู่พร้อมแล้ว ความระลึกได้และความรู้ตัว มันจะติดต่อกันเป็นลำดับ แต่ถ้าปัญญานั้นยังไม่ผ่องใส สติสัมปชัญญะมันก็อาจจะมีผิดบ้าง ถูกบ้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องมีปัญญามาช่วย พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้อารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน มาต้านทานมันเลยว่า สตินี้มันก็ไม่แน่นอน มันลืมได้เหมือนกัน สัมปชัญญะความรู้ตัวนี้ก็ไม่แน่นอน มันล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง อะไรที่มันไม่เที่ยง แล้วเราไม่รู้ทันมัน อยากจะให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์เท่านั้น เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ตามปรารถนาไม่ได้ตามความอยาก ที่จะให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นความอยากที่เกิดจากอำนาจจิตที่สกปรก สกปรกด้วยความไม่รู้จักอันนี้ มันก็เกิดกิเลสตัณหาตรงนี้แหละ พอมีความรู้สึกเกิดขึ้นมา เช่นว่า เราได้กระทบ รูปเสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีความชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง คือ มีความยึดมั่นถือมั่น เต็มอยู่ในใจของเรา ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้คลี่คลายออก เรื่องที่มันเกิดขึ้นมานี่ให้ยกเอาความไม่เที่ยงเป็นหลักวินิจฉัย อะไรที่มันเกิดขึ้นมาให้เห็นว่า ถึงเราจะชอบมันหรือไม่ชอบมัน อันนี้ไม่แน่นอนอันนี้ไม่เที่ยง ถ้าเราไปยึดมั่นมันมันก็พาให้เราเป็นทุกข์ ทำไมเป็นทุกข์ เพราะเราไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้เป็นไปตามใจของเราได้ทุกอย่าง เมื่อได้รับอารมณ์มาแล้ว จิตที่หลง ที่ไม่มีความรู้มันก็ไปอย่างหนึ่ง จิตที่รู้มันก็ไปอีกอย่างหนึ่ง พอมีความรู้สึกเกิดขึ้น จิตที่รู้มันก็เห็นว่า ไม่ควรยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น ถ้าไม่มีปัญญามันหลงตามไปด้วยความโง่ ไม่เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นแต่พอว่า เราชอบใจอันนี้ มันถูกแล้ว มันดีแล้ว อันไหนเราไม่ชอบใจ อันนั้นมันไม่ดี อย่างนั้นจึงไม่เข้าถึงธรรมะ


    ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา พระพุทธเจ้าท่านให้เห็นเป็น "สักแต่ว่า" ให้ยืนอยู่ตรงนี้เสมอ
    ดังนั้นเราจะไปเลือกอารมณ์ไม่ได้ ถ้าอารมณ์มันวิ่งมาหาเรา ทั้งทางดี ทางชั่ว ทางผิด ทางถูกแล้วเราไม่รู้เพราะไม่มีปัญญา เราก็จะวิ่งตามมันไป ตามไปด้วยตัณหาด้วยความอยากแล้วเดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ เพราะอะไร? เพราะเอาใจของเราเป็นหลัก อะไรที่เราชอบใจ ก็เข้าใจว่าอันนั้นดี อะไรที่เราไม่ชอบใจ ก็เข้าใจว่าอันนั้นไม่ดี อย่างนี้เรียกว่ายังห่างไกลธรรมะ ยังไม่รู้ธรรมะ มันก็เดือดร้อนเพราะความหลงมันเต็มอยู่

    ถ้าพูดเรื่องจิต ก็ต้องพูดอย่างนี้ ไม่ต้องออกไปห่างตัวให้เห็นว่าอันนี้มันไม่แน่ อันนี้เป็นทุกข์ อันนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ถ้าเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นี้ก็เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เราควรรู้จักอารมณ์อันนี้ ตามอารมณ์อย่างนี้ มันจะทำให้เกิดปัญญา ท่านจึงเรียกว่า อารมณ์ของวิปัสสนา อารมณ์ของสมถกรรมฐานนั้น ท่านให้กำหนดอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออกนี้เป็นรากฐาน ควบคุมจิตของเรา ให้อยู่ในกระแสของลมนี้ ให้มันแน่วแน่ นิ่งนอนอยู่ เมื่อเราพยายามทำตาม ดังนั้น จิตของเราก็จะสงบ นี่ท่านเรียกว่าอารมณ์ของกรรมฐาน อารมณ์กรรมฐานนี้จะทำจิตให้สงบ เพราะจิตมันวุ่นวายมาไม่รู้กี่ปีกี่ชาติแล้ว ลองนั่งดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ อาการวุ่นวายจะเกิดขึ้นทันที มันจะไม่ยอมให้เราสงบ ฉะนั้นท่านจึงให้หาอารมณ์กรรมฐาน อารมณ์อันใดถูกใจ ถูกจริตของเราท่านให้พิจารณาอันนั้นเช่น เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ท่านให้พิจารณากลับไปกลับมา เมื่อทำอย่างนี้ บางคนพิจารณาตโจ หนังรู้สึกพิจารณาได้สบาย เพราะถูกจริต ถ้าอันใดถูกจริตของเราอันนั้น ก็จะเป็นอารมณ์กรรมฐานของเรา สำหรับปราบกิเลสทั้งหลายให้มันเบาบางลง


    บางคนมีความโลภ โกรธ หลง อย่างแรงกล้า ก็ไม่มีอะไรจะปราบเจ้ากิเลสนี้ได้ พอพิจารณามรณสติ คือ การระลึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ ก็เกิดความสลดสังเวช เพราะว่าจนมันก็ตาย รวยมันก็ตาย ดีมันก็ตาย ชั่วมันก็ตาย อะไรๆมันก็ตายหมดทั้งนั้น ยิ่งพิจารณาไป จิตใจก็ยิ่งเกิดความสลดสังเวช พอนั่งสมาธิก็สงบได้ง่ายๆ เพราะมันถูกจริตของเรา


    อารมณ์ของสมถกรรมฐานนี้ ถ้าไม่ถูกจริตของเรา มันก็ไม่สลด ไม่สังเวช อันใดที่ถูกกับจริต อันนั้นก็จะประสบบ่อยๆ มีความรู้สึกนึกคิดในอาการนั้นบ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยจะได้สังเกตจึงควรสังเกตเพื่อให้ได้ประโยชน์ เปรียบเหมือนกับอาหารที่เขาจัดมาให้สำรับหนึ่ง มันก็มีหลายอย่าง เราก็ชิมไปทุกถ้วยทุกอย่างนั่นแหละ แล้วก็จะรู้เองว่า อาหารอย่างไหนที่เราชอบ อย่างไหนที่เราไม่ชอบ
    อย่างไหนชอบก็ว่ามีรสชาติอร่อยกว่าอย่างอื่น นี่พูดถึงอาหาร นี่ก็เทียบให้เห็นกับจริตของคนเรา กรรมฐานที่ถูกจริตมันก็สบาย
    อย่างอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก ถ้าถูกจริตแล้วก็สบาย ไม่ต้องไปเอาอย่างอื่น พอนั่งลงก็กำหนดลมหายใจเข้าออกก็เห็นชัด ฉะนั้นก็เอาของใกล้ๆนี่ดีกว่ากำหนดลมหายใจให้มันเข้า มันออก อยู่นั้นแหละ ดูมันอยู่ตรงนั้นแหละ ดูไปนานๆ ทำไปเรื่อยๆ
    จิตมันจะค่อยวางสัญญาอื่นๆมา มันก็จะห่างกันออกไปเรื่อยๆ เหมือนคนเราที่อยู่ห่างไกลกันการติดต่อก็น้อย

    เมื่อเราสนใจอานาปานสติ มันก็จะง่ายขึ้น เราทำบ่อยๆก็จะชำนาญการดูลมขึ้นตามลำดับ ลมยาวเป็นอย่างไร เราก็รู้ลมสั้นเป็นอย่างไร เราก็รู้ แล้วก็จะเห็นว่า ลมที่เข้าออกนี้มันเป็นอาหารอย่างวิเศษมันจะค่อยติดตามไปเองของมันทีละขั้นจะเห็นว่ามันเป็นอาหาร ยิ่งกว่าอาหารทางกายอย่างอื่น จะนั่งอยู่ก็หายใจ จะนอนอยู่ก็หายใจ จะเดินไปก็หายใจ จะนอนหลับก็หายใจ ลืมตาขึ้นก็หายใจ ถ้าขาดลมหายใจนี้ก็ตาย แม้แต่นอนหลับอยู่ก็ต้องกินลมหายใจนี้พิจารณาไปแล้วเลยเกิดศรัทธา เห็นว่าที่เราอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะอันนี้เอง ข้าวปลาอาหารต่างๆก็เป็นอาหารเหมือนกัน แต่เราไม่ได้กินมันทุกเวลานาที เหมือนลมหายใจ ซึ่งจะขาดระยะไม่ได้
    ถ้าขาดก็ตาย ลองดูก็ได้ ถ้าขาดระยะสัก ๕-๑๐ นาที มันจวนจะตายไปแล้ว


    นี่พูดถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้ปฏิบัติ มันจะรู้ขึ้นมาอย่างนี้แปลกไหม? แปลกซิ ซึ่งถ้าหากไม่ได้พิจารณาตามลมหายใจอย่างนี้
    ก็จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นอาหารเหมือนกัน จะเห็นก็แต่คำข้าวเท่านั้นที่เป็นอาหาร ความจริงมันก็เป็น แต่มันไม่อิ่ม เท่ากับอาหารลมหายใจ อันนี้ ถ้าเราทำไปเรื่อยให้เป็นปฏิปทาอย่างสม่ำเสมอความคิดมันจะเกิดอย่างนี้ จะเห็นต่อไปอีกว่า ที่ร่างกายเราเคลื่อนไหวไปได้ ก็เพราะลมอันนี้ ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งเห็นประโยชน์ของลมหายใจยิ่งขึ้น แม้ลมจะขาดจากจมูก เราก็ยังหายใจอยู่ แล้วลมนี้ยังสามารถออกตามสรรพางค์กายก็ได้เราสงบนิ่งอยู่เฉยๆ ปรากฏว่าลมมันไม่ออก ลมมันไม่เข้าแต่ว่าลมละเอียดมันเกิดขึ้นแล้ว


    ฉะนั้น เมื่อจิตของเราละเอียดถึงที่สุดของมันแล้วลมหายใจก็จะขาด ลมหายใจไม่มี เมื่อถึงตรงนี้ ท่านบอกว่าอย่าตกใจแล้วจะทำอะไรต่อไป? ก็ให้กำหนดรู้อยู่ตรงนั้นแหละรู้ว่า ลมไม่มีนั่นแหละ เป็นอารมณ์อยู่ต่อไป พูดถึงเรื่องสมถกรรมฐาน มันก็คือ ความสงบอย่างนี้ถ้ากรรมฐานถูกจริตแล้ว มันเห็นอย่างนี้แหละ ถ้าเราพิจารณาอยู่บ่อยๆ มันก็จะเพิ่มกำลังของเราอยู่เรื่อยๆ
    เหมือนกับน้ำในโอ่งพอจะแห้งก็หาน้ำมาเติมลงไปอยู่เรื่อย


    ถ้าทำสม่ำเสมออยู่อย่างนี้ มันจะกลายเป็นปฏิปทาของเราทีนี้ก็จะได้ความสบาย เรียกว่า สงบ สงบจากอารมณ์ทั้งหลาย คือ มีอารมณ์เดียว คำที่ว่ามีอารมณ์เดียวนั้นพูดยากเหมือนกัน ความเป็นจริง อาจมีอารมณ์อื่นแทรกอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีความสำคัญกับเรา มันเป็นอารมณ์เดียวอยู่อย่างนี้

    แต่ให้ระวัง เมื่อความสงบเกิดขึ้นมา แล้วมีความสบายเกิดขึ้นมาก ระวัง มันจะติดสุข ติดสบาย แล้วเลยยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นถ้าหากเกิดความคิดขึ้นมา ให้พิจารณาว่าความสุขนี้ก็ไม่เที่ยง ความสบายนี้ก็ไม่เที่ยง หรือความทุกข์ก็ไม่เที่ยง ความที่เป็นยังงั้นๆมันก็ไม่เที่ยง จึงอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันเลย ความรู้สึกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นมา เพราะปัญญาเกิดขึ้นมาแล้ว เห็นสภาวะของทั้งหลายเป็นอย่างนั้น เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ ก็เหมือนคลายเกลียวน้อตให้หลวมออก ไม่ให้มันตึงเมื่อก่อนมันตึงมันแน่นความรู้สึกของเราที่มองก็เช่นกันสมัยก่อนมองเห็นอันนั้นก็แน่นอน อันนี้ก็แน่นอนมันเลยตึงมันก็เป็นทุกข์ พอไม่ยึดมั่นถือมั่น เห็นสิ่งทั้งหลายเป็นของไม่แน่นอน มันก็คลายเกลียวออกมา

    เรื่องความเห็นนี้เป็นเรื่องของทิฐิ เรื่องความยึดมั่นถือมั่น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มานะ ท่านจึงสอนว่า ให้ลดทิฐิมานะลงเสีย จะลดได้อย่างไร? จะลดได้ก็เพราะเห็นธรรมเห็นความไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง อะไรๆก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น เมื่อเราเห็นอย่างนั้น
    อารมณ์ทั้งหลายที่เรากระทบอยู่ มันก็จะค่อยๆหมดราคา หมดราคาไปมากเท่าไรก็บรรเทาความเห็นผิดไปได้เท่านั้น
    นี้เรียกว่า มันคลายน้อตให้หลวมออกมา มันก็ไม่ตึง

    อุปาทานก็จะถอนออกมาเรื่อยๆ เพราะเห็นชัดในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสกลร่างกายนี้ หรือในรูปนามนี้ในโลกนี้มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็จะเกิดความเบื่อ คำว่า "เบื่อ" ไม่ใช่เบื่ออย่างที่คนเขาเบื่อกัน คือ เบื่ออย่างที่ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น ไม่อยากพูดด้วย เพราะไม่ชอบมัน ถ้ามันเป็นอะไรไป ก็ยิ่งนึกสมน้ำหน้าไม่ใช่เบื่ออย่างนี้ เบื่ออย่างนี้เป็นอุปาทาน เพราะความรู้ไม่ทั่วถึง แล้วเกิดความอิจฉาพยาบาทเกิดความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่เรียกว่า "เบื่อ" นั่นเอง


    "เบื่อ" ในที่นี้ ต้องเบื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ เบื่อโดยไม่มีความเกลียด ไม่มีความรัก หากมีอารมณ์ชอบใจหรือไม่ชอบใจอันใดเกิดขึ้นมา ก็เห็นทันทีว่า มันไม่เที่ยง "เบื่อ"อย่างนี้ จึงเรียกว่า "นิพพิทา" คือ ความเบื่อหน่ายคลายจากกำหนัดรักใคร่ในอารมณ์อันนั้น ไม่ไปสำคัญมั่นหมายในอารมณ์เหล่านั้น ทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นและไม่ไปสำคัญมั่นหมายในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จนเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด


    พระพุทธเจ้าท่านสอนต่อไปอีกว่า ให้รู้จักทุกข์ ให้รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ให้รู้ความดับทุกข์ ให้รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ท่านให้รู้ของสี่อย่างนี้เท่านั้น ทุกข์เกิดขึ้นมาก็ให้รู้ว่านี่ตัวทุกข์ แล้วทุกข์นี้มาจากไหน มันมีพ่อแม่เหมือนที่เราเกิดมาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นมาลอยๆ เมื่ออยากจะให้ทุกข์ดับก็ไปตัดเหตุของมันเสีย ที่ทุกข์มันเกิด ก็เพราะไปยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง ฉะนั้นจึงให้ตัดเหตุของมันเสีย การรู้จักดับความทุกข์ ก็ให้คลายเกลียวที่แน่นนั้นออกเสีย ให้เห็นโทษของอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ถอนตัวออกมาเสีย รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็คือ มรรคให้ปฏิบัติให้ตลอด ตั้งแต่สัมมาทิฐิ ไปจนถึงสัมมาสมาธิnnให้มีความเห็นให้ถูกต้องในมรรคทั้งแปดข้อนี้ ถ้ามีความรู้ ความเข้าใจ และความเห็นชอบ ในสิ่งทั้งหลายนี้แล้ว ก็จะเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราก็จะพ้นจากความทุกข์ ข้อปฏิบัตินั้นคือ สมาธิ ปัญญา


    เรื่องของจิตใจหรือธรรมชาติของจิต จะต้องเป็นอย่างนี้จะต้องรู้และเห็นสิ่งทั้งสี่ประการ (อริยสัจจ์ ๔) นี้ ให้ชัดเจนตามความเป็นจริงของมัน เพราะมันเป็นสัจจธรรม จะมองไปข้างหลัง ข้างหน้า ข้างขวา ข้างซ้าย มันก็เป็นสัจจธรรมทั้งนั้น
    ดังนั้นผู้บรรลุธรรม จะไปนั่งที่ไหนหรือไปอยู่ที่ใด ก็จะมองเห็นธรรมอยู่ตลอดเวลา
     
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ระยะนี้ไม่ค่อยได้เขียนอะไร ชมหมาพูดได้ไปก่อนนะครับ เป็นหมาของผมเอง ก็ 2 หนุ่มน้อยที่เห็นนั่นแหละ แต่เดี๋ยวนี้โตแล้ว
    https://www.youtube.com/watch?v=1q6iz7g8DSM
     
  18. HONDA_FEENO

    HONDA_FEENO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +1,395
    ปูเสือมานอนรอฟังครับ
     
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เต้นรอไปก่อนนะครับ ชอบจังหวะไหนก็เลือกเอา วันนี้คิงคองมีอารมณ์เต้น ๆ ๆ
    Kingkong is doing The Ugly Dance. Don't miss it!
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เปรียบชีวิตกับการเดินทาง เปรียบจิตกับรถ

    ถ้าชีวิตคือการเดินทาง จุดเริ่มต้นอยู่ที่กรุงเทพ ฯจุดหมายปลายทางอยู่ที่เหนือสุดของประเทศ
    แต่ละคนเดินทางด้วยรถคันหนึ่ง แต่คนเดินทางแต่ละคนมีความแตกต่างกัน

    คนเดินทางประเภทที่ 1.
    รถก็ไม่ได้เช็คความพร้อม ยางก็ไม่ได้เติมลม น้ำมันก็ไม่ได้เติม แบตเตอรี่ก็ไม่ได้ชาร์ตและ เดินทางโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง กินเหล้าเมาตลอดทาง(ไร้สติ) ลองคิดดูว่าการเดินทางของเขาจะเป็นอย่างไร เขาคงขับรถปัดซ้ายปัดขวาไปตลอดทาง ถูกคนด่าแช่งไปตลอดทางต้องพบอุบัติเหตุตลอดทาง พบเห็นอะไรแปลก ๆ ก็แวะไปตลอดทาง เขาก็คงวนอยู่ในกรุงเทพ ฯ นี่แหละ ทั้งนี้เพราะเขาไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าจะไปไหน เขาวิ่งจนแบตเตอรี่หมด จนน้ำมันหมด ก็ต้องจอดรถแช่ไว้ที่ใดที่หนึ่ง

    คนเดินทางประเภทที่ 2.
    เขารู้ว่าจะเดินทางไปเหนือสุด เขาก็ออกเดินทาง ยางก็ไม่ได้เติมลม น้ำมันก็ไม่ได้เติม เครื่องก็ไม่ได้ตรวจเช็ค แล้วเมาตลอดทาง การเดินทางของเขาจะเป็นอย่างไร เขาขับมุ่งหน้าสู่เหนือจริง แต่รถวิ่งเหมือนงูเลื้อย เจออุบัติเหตุตลอดทาง พบเห็นอะไรก็แวะดูตลอดทาง และแล้วก็ไปเจอสาว(หรือหนุ่ม)ที่ถูกใจ ก็เลยแวะ ตกร่องปล่องชิ้นอยู่กินเป็นเมียผัว มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเรือน เดินทางไม่ถึงเหนือสุด บางคนขี้ขโมย พบเห็นอะไรของใครก็ลักขโมยไปตลอดทาง จนที่สุดก็ถูกตำรวจจับยัดห้องขัง บางคนเจ้าโทสะ ก็ทะเลาะกับเขาไปตลอดทาง จนที่สุดก็ไปฆ่าคนตาย ถูกตำรวจจับยัดห้องขัง ไปไม่ถึงจุดหมาย

    คนเดินทางประเภทที่ 3.
    เขารู้ว่าจะเดินทางไปเหนือสุด เขามีความตั้งใจดีมาก จึงนำรถเข้าอู่อย่างดี ตรวจเครื่องยนต์ เบรก น้ำมันเครื่อง เติมน้ำมันเต็มถัง ชาร์ตแบตเต็ม เปลี่ยนยางใหม่อย่างดี รถมีความพร้อมเต็มที่ เขาก็ขึ้นรถสตาร์ท แต่ไม่ออกวิ่งไปไหนเลย ทั้งนี้เพราะเขาไม่รู้ว่าทิศเหนืออยู่ทางไหน ก็เลยสตาร์ทเครื่องเปิดแอร์นั่งเย็นสบายอยู่ในรถ จนน้ำมันหมด แบตเตอรี่หมด ยังอยู่ที่เดิม ในอู่ใหญ่นั่นแหละ

    คนเดินทางประเภทที่ 4.
    เขารู้ว่าจะเดินทางไปเหนือสุด เขามีความตั้งใจดีมาก จึงนำรถเข้าอู่อย่างดี ตรวจเครื่องยนต์ เบรก น้ำมันเครื่อง เติมน้ำมันเต็มถัง ชาร์ตแบตเต็ม เปลี่ยนยางใหม่อย่างดี รถมีความพร้อมเต็มที่ เขาศึกษาเส้นทางมาอย่างดี มีแผนที่พร้อม และได้ฝึกขับรถจนชำนาญแล้ว เมื่อเขาขึ้นรถก็สตาร์ท ขับมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ แต่ปรากฏว่าเขาไปพบหญิงสาวที่ถูกตาต้องใจ ก็เลยตกร่องปล่องชิ้นอยู่กินเป็นเมียผัว มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง เลยไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

    คนเดินทางประเภทที่ 5.
    เขารู้ว่าจะเดินทางไปเหนือสุด เขามีความตั้งใจดีมาก จึงนำรถเข้าอู่อย่างดี ตรวจเครื่องยนต์ เบรก น้ำมันเครื่อง เติมน้ำมันเต็มถัง ชาร์ตแบตเต็ม เปลี่ยนยางใหม่อย่างดี รถมีความพร้อมเต็มที่ เขาศึกษาเส้นทางมาอย่างดี มีแผนที่พร้อม และได้ฝึกขับรถจนชำนาญแล้ว เมื่อเขาขึ้นรถก็สตาร์ท ขับมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ แต่เขาก็แวะชมนกชมไม้ไปตลอดทาง น้ำมันก็ไม่ได้แวะเติมระหว่างทาง รถก็ไปดับสนิทในระหว่างป่าเขา ไปไม่ถึงจุดหมายอีก

    คนเดินทางประเภทที่ 6.
    เขารู้ว่าจะเดินทางไปเหนือสุด เขามีความตั้งใจดีมาก จึงนำรถเข้าอู่อย่างดี ตรวจเครื่องยนต์ เบรก น้ำมันเครื่อง เติมน้ำมันเต็มถัง ชาร์ตแบตเต็ม เปลี่ยนยางใหม่อย่างดี รถมีความพร้อมเต็มที่ เขาศึกษาเส้นทางมาอย่างดี มีแผนที่พร้อม และได้ฝึกขับรถจนชำนาญแล้ว เมื่อเขาขึ้นรถก็สตาร์ท ขับมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ แต่เจ้ากรรมเก่ามาตัดรอน เขาประสพอุบัติเหตุ รถชนกัน หรือรถตกเหว หมดสภาพใช้งาน ตัวเองก็บาดเจ็บสาหัส ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางอีก

    คนเดินทางประเภทที่ 7.
    เขารู้ว่าจะเดินทางไปเหนือสุด เขามีความตั้งใจดีมาก จึงนำรถเข้าอู่อย่างดี ตรวจเครื่องยนต์ เบรก น้ำมันเครื่อง เติมน้ำมันเต็มถัง ชาร์ตแบตเต็ม เปลี่ยนยางใหม่อย่างดี รถมีความพร้อมเต็มที่ เขาศึกษาเส้นทางมาอย่างดี มีแผนที่พร้อม และได้ฝึกขับรถจนชำนาญแล้ว เมื่อเขาขึ้นรถก็สตาร์ท ขับมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ เขาเหลือบตาดูน้ำมันตลอด แวะเติมน้ำมันเมื่อใกล้หมด เช็คยางตลอด ไม่แวะนั่นแวะนี่ ในที่สุดเขาก็เดินทางสู่จุดมุ่งหมายปลายทาง

    ท่านเป็นคนเดินทางประเภทไหนครับ ลองตีความหมายเทียบเคียงดู
     

แชร์หน้านี้

Loading...