พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เยือนถิ่นวังหน้า เที่ยวย้อนอดีต ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
    -http://travel.kapook.com/view54866.html-

    แผนผังพิพิธภัณฑ์

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    -http://www.nationalmuseums.finearts.go.th/bangkok/history.htm-
    -http://www.nationalmuseums.finearts.go.th/OfficeMuseum/OfficeNatinalMuseum.htm-
    -http://www.finearts.go.th/museum-bangkok-
    และ เฟซบุ๊กNational Museum Bangkok
    : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • w4.png
      w4.png
      ขนาดไฟล์:
      211.1 KB
      เปิดดู:
      500
    • w5.png
      w5.png
      ขนาดไฟล์:
      10 KB
      เปิดดู:
      430
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สุดยอด! นักวิ่งสเปนไม่แซงคู่แข่งที่วิ่งเข้าเส้นชัยผิด แต่วิ่งเหยาะตามเข้าที่ 2
    -http://hilight.kapook.com/view/81097-

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Jorge Broncano สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

    เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ฮัฟฟิงตันโพสต์ เปิดเผยเรื่องราวน่าประทับใจของนักวิ่งชาวสเปนรายหนึ่ง ที่สะกิดนักวิ่งคู่แข่งที่วิ่งเข้าเส้นชัยผิดตำแหน่ง ให้วิ่งต่อเพื่อเข้าเส้นชัยเป็นผู้ชนะ ส่วนตัวเขาเองก็วิ่งเหยาะ ๆ ไม่ยอมแซง และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับต่อมา

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา ในการแข่งขันวิ่งที่เมืองเบอร์ลาดาของสเปน โดยในวันนั้น นายอิวาน เฟอร์นานเดซ อนายา กำลังจะวิ่งเข้าเส้นชัยต่อจากนักวิ่งจากเคนยาคนหนึ่ง แต่ก่อนจะเข้าเส้นชัยนั้น เขาเห็นว่านักวิ่งชาวเคนยาที่วิ่งนำเขานั้นหยุดวิ่ง เพราะเข้าใจผิดคิดว่าถึงเส้นชัยแล้ว เมื่อเห็นดังนั้น แทนที่เขาจะเร่งสปีดแซงหน้าคู่แข่งเพื่อวิ่งเข้าเส้นชัยไปก่อน เขากลับวิ่งเหยาะ ๆ ตามคู่แข่งที่เข้าใจผิดคนนั้น พร้อมสะกิดและพานักวิ่งคนดังกล่าวให้วิ่งต่อ และให้เข้าเส้นชัยไปก่อนในที่สุด

    จากเหตุการณ์ดังกล่าว อิวานกล่าวว่า "ผมไม่สมควรจะชนะนะ ผมทำในสิ่งที่ผมควรต้องทำ เขาเป็นผู้ชนะตัวจริง เขาวิ่งนำหน้าผมในระยะที่ผมไม่สามารถวิ่งตามเขาทันได้เลย ถ้าหากว่าเขาไม่วิ่งไปผิดทาง ดังนั้น เมื่อผมเห็นว่าเขาหยุด ผมรู้เลยว่าผมต้องไม่วิ่งแซงเขาไป"

    ได้ยินได้ฟังเรื่องแบบนี้แล้ว ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างไรดี แต่เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้สึกเหมือนกันว่า มันน่าประทับใจจริง ๆ ล่ะ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=azgL23K_8zU&feature=player_embedded]Iván Fernandez en el cross de navarra de Burlada y Mutai de Kenia - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=azgL23K_8zU&feature=player_embedded]Iván Fernandez en el cross de navarra de Burlada y Mutai de Kenia - YouTube[/ame]

    -http://www.youtube.com/watch?v=azgL23K_8zU&feature=player_embedded-

    คลิป Iván Fernandez en el cross de navarra de Burlada y Mutai de Kenia
    โพสต์โดย คุณ Jorge Broncano สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรุงศรีอยุธยาสุดยอด ฝรั่งยกเป็น 1 ใน 16 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์
    -http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9560000008955-
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    23 มกราคม 2556 21:05 น.

    [​IMG]
    ภาพตระการตา.. มุมหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์กรุงเก่ายามราตรี สะท้อนอดีตอันรุ่งโรจน์ยาวนานกว่า 400 ปี ราชธานีของอาณาจักรสยาม การศึกษาของนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในช่วง 15-20 ที่ผ่านมาได้พบข้อมูลว่าเมื่อ 3 ศตวรรษก่อน กรุงศรีอยุธยามีประชากรถึง 1 ล้านคน เป็นทั้งอู่ข้าวอู่น้ำ ศูนย์กลางศิลปะวิทยาการและการค้าขายกับแว่นแคว้นต่างๆ การเจริญสัมพันธไมตรีกับชาติตะวันตกเริ่มขึ้นในยุคนี้ แต่.. "อูเดีย" ที่ชาวฝรั่งเศสเรียกขานย่อยยับลงในปี พ.ศ.2310 ด้วยมือของอาณาจักรใหม่ที่เข้มแข็งกว่า .. และอยู่ใกล้ๆ กัน. -- ภาพ: Tour.Co.Th
    .

    [นำเสนอครั้งแรกเวลา 14:09 น.- ปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนเวลา 21.09 น. วันที่ 23 ม.ค.2556]


    ASTVผู้จัดการออนไลน์ – ในช่วงหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์โลก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นนครใหญ่อันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไม่มีแห่งอื่นใดสามารถเปรียบเทียบได้ ที่นี่เป็นแหล่งแห่งความเจริญรุ่งเรืองสุดขีด เป็นแหล่งค้าขายระหว่างประเทศ เป็นแหล่งวิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมอันหลากหลาย เป็นอู่อารยธรรมอีกแห่งหนึ่งในซีกโลกตะวันออก

    เทอร์เทียส แชนดเลอร์ (Tertius Chandler, 2458-2543) นักประวัติศาสตร์อิสระที่ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์โลกแนวก้าวหน้า ได้เคยศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณจากแหล่งต่างๆ เอาไว้ในหนังสือ Four Thousand Years of Urban Growth อันมีชื่อเสียงของเขา หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 2530

    ศ.จอร์จ โมเดลสกี (George Modelski) แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ได้ศึกษาเรื่องนี้มานานและเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ในหนังสือ World City -3000 to 2000 ซึ่งเป็นเรื่องราวการวิวัฒน์ของเมืองต่างๆ ทั่วโลกในระยะเวลา 5,000 ปี คือ จากช่วงก่อนคริสต์ศักราช 3,000 ปี จนถึง ปี ค.ศ.2000

    แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่มีการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งชื่อ "อยุธยา" ได้ปรากฏในทำเนียบ 16 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษย์ และเรื่องนี้ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้

    นั่นคือการศึกษาเปรียบเทียบแบบเดียวกันกับมหานครนิวยอร์กในศตวรรษที่ 20 กรุงลอนดอนในทศวรรษที่ 1900 และย้อนหลังไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบุล) เมื่อก่อนคริสต์ศักราช 600 ปี หรือ เมืองเจริโค (Jericho) เมื่อ 7,000 ปีก่อนคริสตกาล

    ทั้งหมดเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยที่นำมนุษย์เข้าสู่อีกยุคหนึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรมหรือการค้า แต่ละเมืองล้วนสิ้นสุดยุคแห่งความยิ่งใหญ่ต่างกันไป บางแห่งถูกเมืองอื่นๆ ร่วมยุคเดียวกันแซงหน้าในด้านความใหญ่โตและจำนวนประชากร และ บางแห่งสิ้นสุดลงเพราะถูกทำลาย...

    ภายใต้การศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดแบบ "ถึงก้นครัว" ตั้งแต่เรื่องการผลิตและจ่ายแจกอาหารในหมู่ประชากร รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตในอุบัติภัยร้ายแรงต่างๆ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ได้พบว่ากรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงต้นคริสต์วรรษที่ 18 ด้วยประชากรราว 1,000,000 คน

    ช่วง 400 ปีของกรุงศรีอยุธยานั้น นักการทูตชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีด้วยได้เคยบันทึกเอาไว้ว่า เป็นเมืองที่สวยงาม .. แต่น่าเสียดายที่ถูกพม่าโจมตีและเผาทำลายราบในปี ค.ศ.1767 (พ.ศ.2310) และศูนย์กลางของราชอาณาจักรใหม่ได้ย้ายลงไปยังกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน.


    ยุคทองแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา

    [​IMG]
    ถึงแม้จะไม่มีปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติไทย แต่นักการทูตตะวันตกที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาได้วาดแผนที่แบบเดียวกันนี้เอาไว้เป็นจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์ในสหรัฐฯ ที่ศึกษาคนคว้าในช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมา พบว่าเมื่อประมาณ 3 ศตวรรษที่แล้วที่นี่มีประชากรถึง 1 ล้านคน และจัดให้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในยุคสมัย อยู่ในลำดับที่ 13 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของมวลมนุษย์.

    [​IMG]
    ภาพวาดของชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีเมื่อ 300 ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นวัดวาอาราม ปราสาทราชวังและกิจกรรมในแม่น้ำเจ้าพระยา นักการทูตฝรั่งเศสบันทึกเอาไว้ว่า "อูเดีย" เป็นเมืองที่สวยงาม.. นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่พบว่า เมืองหลวงของราชอาณาจักรสยามแห่งนี้เคยมีประชากรถึง 1,000,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุคสมัย.

    [​IMG]
    รถม้าสะท้อนความเป็นตะวันตก ขบวนช้างบ่งบอกความเป็นตะวันออก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นแหล่ง "ปะทะ" ระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับตะวันออก หลายอาณาจักรมุ่งไปยังที่นั่นเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและประกอบการค้าขาย ในยุคที่อยุธยาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยจำนวนประชากรถึง 1,000,000 คน.


    [​IMG]
    แผนที่ฝรั่งเศสปีพ.ศ.2229 แสดงอาณาเขตของอาณาจักรสยาม พุกาม เขมร ลาว โคชินจีนกับแคว้นตังเกี๋ย ทั้งหมดเป็นแว่นแคว้นในสายตาของชาวตะวันตกที่เดินทางเข้าสู่ภูมิภาคในยุคนี้ นั่นคือช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นยุคทองของ "อูเดีย" มีแผนที่แบบเดียวกันนี้อีกจำนวนมาก ที่สะท้อนความรุ่งโรจน์ของกรุงศรีอยุธยาในยุคหนึ่งซึ่งกลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งยุค.

    [​IMG]
    ชาวตะวันตกซึ่งเป็นนักวาดเขียนสะท้อนชีวิตความเป็นไปกับความประทับใจเอาไว้มากมาย เมื่อได้ไปเยือนกรุงศรีอยุธยาใน 3-4 ศตวรรษก่อน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มได้ศึกษาและยกให้อยุธยาเป็นหนึ่งใน 16 เมืองใหญ่ของโลก เป็นแหล่งอารยธรรมตะวันออกที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของมวลมนุษย์.

    [​IMG]
    ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศสเมื่อครั้งเจ้าพระยาโกษาปาน อัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงศรีอยุธยาไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์ในกรุงปารีส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองราชอาณาจักร ในยุคทองของ "อูเดีย" ที่มีประชากรถึง 1,000,000 คน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มศึกษาและได้ข้อมูลตรงกัน อยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโลกในยุคสมัยหนึ่ง.

    [​IMG]
    ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศส บอกเล่าเหตุการณ์ครั้งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสนำพระราชสาสน์จากกรุงปารีสไปทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีภาพดีๆ เช่นนี้อีกจำนวนมาก ในขณะที่หลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยถูกทำลายหรือสูญหายไปในเหตุการณ์ "เสียกรุง" แต่นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มทำการศึกษาและได้ข้อมูลตรงกันว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโลกในยุคหนึ่ง.

    [​IMG]
    ภาพจากเว็บไซต์ขององค์การยูเนสโกที่ขึ้นทะเบียนกรุงเก่าเป็นมรดกโลกหลายปีก่อน เศียรพระพุทธรูปที่จมอยู่ในต้นไทร สะท้อนการล่มสลายอันขมขื่นของกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 ที่นี่เคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโลกแห่งยุค เป็นอีกแห่งหนึ่งที่แตกดับลงจากการศึก หลายแห่งล่มสลายไปกับภัยธรรมชาติ บางแห่งพังทลายลงเพราะไม่อาจผลิตอาหารให้พอเลี้ยงดูประชากรได้.




    16 เมืองใหญ่ในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์


    1. เจริโค (Jericho) ใหญ่ที่สุดของโลกในยุค 7,000 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 2,000 คน ตั้งอยู่ระหว่างทะเลแดงกับภูเขานีโบ (Mt Nebo) เป็นโอเอซิสใหญ่ที่สุด ใช้น้ำจากแม่น้ำจอร์แดน ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่าบันทึกเอาไว้ว่า เจริโคเป็น "เมืองแห่งต้นปาล์ม" อยู่กันต่อมาอีกหลายยุค และเสื่อมไปกับกาลเวลา

    2. อูรุค (Uruk) ใหญ่ที่สุดในยุค 3,500 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 4,000 คนเป็นเมืองหลวงของแคว้นกิลกาเมช (Gilgamesh) ในมหากาพย์ และเชื่อกันว่าคือเมืองเอเร็ค (Erech) ทีสร้างโดยกษัตริย์นิมรอด (King Nimrod) ในคัมภีร์ไบเบิ้ล อยู่ใกล้แม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates River) ศูนย์กลางการเกษตรและการค้า สงครามในภูมิภาคที่เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2000 BC ยืดเยื้อข้ามศตวรรษ ต่อมาเมืองอูรุคถูกทิ้งให้ร้างไปในยุคก่อนที่ฝ่ายอิสลามเข้าครอบครอง

    3. มาริ (Mari) เมืองหลวงแคว้นมีโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ในยุค 2000 BC ประชากร 50,000 ในยุคของกษัตริย์สุเมเรียน (Sumarite) หลายพระองค์ ก่อนเข้าสูยุคอาโมเรียน (Amorite) มีการสร้างพระราชวังขนาด 300 ห้อง ล่มสลายลงใน 1759 BC ถูกยึดรองโดยกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) แห่งบาบีลอน ในทศวรรษที่ 1930 นักโบราณคดีฝรั่งเศสค้นพบจารึกภาษาสุเมเรียน 25,000 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเมืองและเศรษฐกิจ จารึกนี้ทำให้คนรุ่นปัจจุบันรู้จักสภาการณ์ในยุคนั้น

    4. อูร์ (Ur) เป็นเมืองท่าสำคัญในอ่าวเปอร์เซียในยุค 2100 ก่อนคริสตกาล ประชากร 100,000 คน ค้าขายกับทั่วโลก ราว 500 BC ถูกทิ้งเป็นเมืองร้างเพราะภัยแล้งที่เกิดจากแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศทางไหล แต่ยังเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ต่อมา การขุดค้นในทศวรรษ 1850 พบซากมนุษย์จำนวนมาก เป็น "เมืองแห่งคนตาย" (City of the Dead) หรือ นีโครโพลิส (Necropolis)

    5. หยินซู (Yinxu) รุ่งเรืองในช่วง 1300 BC ประชากร 120,000 คน เติบโตจากหมู่บ้านเล็กๆ ในอาณาจักรจีนโบราณเป็นแหล่งที่ค้นพบจารึกบนกระดูกสัตว์ที่เรียกว่า ออราเคิลโบน (Oracle Bone) จำนวนมาก เขียนด้วยอักษรจีนโบราณ เมืองทรุดโทรมลงและถูกทอดทิ้งในสมัยราชวงศ์โจว (Zhou Dynasty)

    6. บาบีลอน (Babylon) รุ่งเรืองสุดขีดในช่วง 700 BC พลเมือง 100,000 เป็นศูนย์กลางความร่ำรวยแห่งยุคสมัย กษัตริย์ทรงอำนาจและอิทธิพล เป็นแหล่งของสวนลอยบาบีลอน กับหอคอยแห่งบาเบล (Tower of Babel) คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวเอาไว้ว่า ชาวบาบีลอนเชื่อมั่นในพระเจ้าและพยายามปีนป่ายไปสู่สวรรค์ ราว 538 BC กษัตริย์ไซรัส Cyrus) แห่เปอร์เซียยาตราทัพทวนแม่น้ำยูเฟรติสเข้าตี ปล้นสะดมบาบีลอนจนแหลกคามือ

    7. คาร์เถจ (Carthage) รุ่งเรืองโดดเด่นในปี 300 BC พลเมือง 100,000 ได้ชื่อเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ก่อนที่จะถูกกองทัพโรมันที่เหนือกว่าเข้าโจมตีและเผาจนวายวอดและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อ 146 ปีก่อนคริสตกาล

    8. โรม (Rome) ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี ค.ศ.200 ประชากร 1,200,000 คน เลี้ยงดูชาวเมืองด้วยอาหารจากยุโรปและรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในรูปภาษี ชีวิตอันสุขสบายของชาวโรมันสะท้อนได้ดีมากในภาพยนตร์เช่น แกลดิเอเตอร์ (Gladiator) ที่นำแสดงโดยรัสเซล โครว์ (Russell Crowe) กับวาวควีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) แต่ปี ค.ศ.273 โรมเหลือประชากรอยู่ราว 500,000 เริ่มเข้าสู่ยุคมืด (Dark Age)

    9. คอนสแตนนิโนเปิล (Constantinople) เจริญสุดขีดในปี ค.ศ.600 ประชากร 600,000 คน เป็นศูนย์กลางการค้าขาย อาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลในยุคของจักรพรรดิฟลาวีอุส เฮราคลีอุส ออกัสตัส (Flavius Heraclius Augustus) สงครามเปอร์เซียปี 618 ทำให้การส่งอาหารและพืชผลการเกษตรจากอียิปต์หยุดชะงัก พลเมืองเริ่มอดอยากและเหลือเพียงประมาณ 1 ใน 10 ของจำนวนเมื่อ 18 ปีก่อนหน้านั้น

    10. แบกแดด (Bagdad) ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในปี ค.ศ.900 ประชากร 900,000 คน ได้ชื่อเป็นศูนย์กลางของยุคทองแห่งศาสนาอิสลาม เป็นศูนย์กลางของศิลปะและวิทยาการหลายแขนงที่โลกอิสลามใช้มาจนถึงยุคปัจจุบัน แบกแดดเฟื่องฟูอยู่ 300 ปีเศษ ก่อนจะถูกกองทัพมองโกลรุกรานและถูกตีย่อยยับลงในปี 1250

    11. ไคเฟิง (Kaifeng) เป็นเมืองใหญ่มากใน ค.ศ.1200 ประชากร 1,000,000 คน ตัวเมืองป้องกันแน่นหนาด้วยกำแพงถึง 3 ชั้น แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของมองโกลในการศึกที่ยืดเยื้อ 30 ปีเศษและปี 1234 ไคเฟิงก็แตกพ่าย ราษฎรหลบหนีไปคนละทิศละทาง ที่นี่ยังมีชุมชนชาวยิวโบราณใหญ่โตที่สุดในจีนอีกด้วย

    12. ปักกิ่ง โดดเด่นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1500 ประชากร 1,00,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุค แต่แพ้ภัยตัวเองเพราะไม่สามารถลี้ยงดูประชากรที่มากมายได้ ราษฎรบุกถางป่าตัดไม้ทำบ้านเรือนที่อาศัยและเผาถ่านเป็นเชื้อเพลิง จนโล่งเตียน ส่งผลกระทบด้านสภาพแวดล้อมสะท้านสะเทือนไปทั่วภูมิภาค

    13. กรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองหลวงอาณาจักรสยามโบราณอยู่กว่า 400 ปี แต่ขึ้นนำหน้าทุกเมืองในโลกในปี ค.ศ.1700 (พ.ศ.2243) ประชากร 1,000,0000 เป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากสารพัดทิศ รวมทั้งชาวยุโรปด้วย แต่อยุธยาก็สิ้นสุดลงเป็นเถ้าถ่านด้วยน้ำมือของกองทัพพม่า

    14. ลอนดอน ใหญ่โตที่สุดในต้นศตวรรษที่ 19 หรือปี ค.ศ. 1825 ประชากร 1,335,000 คน ที่อยู่กันแออัดจนเกือบจะทุกย่านของเมืองหลวงมีสภาพเป็นสลัม อาชญากรรมลามเมือง ในปี 1829 รัฐบาลได้ตั้งกองกำลังตำรวจขึ้นอย่างเป็นทางการ ตั้งชื่อตามชื่อของนายกรัฐมนตรีโรเบิร์ต พีล (Robert Peel) ชาวอังกฤษเรียกตำรวจว่า "บ๊อบบี้ส์" (Bobbies) จนถึงทุกวันนี้

    15. นิวยอร์ก ในปี 1925 หรือต้นศตวรรษที่แล้วมีประชากรถึง 7,774,000 คน เป็นมหานครที่มองสู่อนาคตอย่างแท้จริง เป็นแห่งแรกของโลกที่สร้างตึกระฟ้า ถึงแม้ว่าจะเจอสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1929 แต่การก่อสร้างอาคารสูงเช่น ไครสเลอร์ เอ็มไพร์สเตท ลินคอล์นและอาคารวันวอลสตรีท ฯลฯ ก็ยังดำเนินต่อไป

    16. โตเกียว ใน 1968 (พ.ศ.2511) เมืองหลวงของญี่ปุ่นมีประชากรถึง 20,500,000 คน ไม่เคยมีที่ไหนประวัติศาสตร์โลก แต่เศรษฐกิจของประเทศรุ่งเรืองสุดขีด ระหว่างปี 1953-1990 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจยุคหลังสงครามโชติช่วงมากที่สุด ญี่ปุ่นสร้างสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ออกสู่ตลาดโลกมากมายหลายชนิด.


    IndoChina - Manager Online - กรุงศรีอยุธยาสุดยอด ฝรั่งยกเป็น 1 ใน 16 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

    ไม่แน่ใจว่า มีการขออนุญาตเจ้าของรูปหรือไม่

    ส่วนเนื้อหา ใช้วิจารณญาณการรับชม

    ตามรอยตำนาน 31-7-54 1/4

    -http://www.youtube.com/watch?v=uLRjwOtjstg-

    ตามรอยตำนาน 31-7-54 2/4

    -http://www.youtube.com/watch?v=E4RYnOU6T-s-

    ตามรอยตำนาน 31-7-54 3/4

    -http://www.youtube.com/watch?v=8tOmOAWpg_k-

    ตามรอยตำนาน 31-7-54 4/4

    -http://www.youtube.com/watch?v=pYg4EmncMgU-

    เรื่องอื่นไม่ออกความเห็น ใช้วิจารณญาณในการรับชมเองครับ
    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "แบงก์เก๊" ระบาดไม่เลิก โปรดอย่าชะล่าใจแบงก์ 20!
    -http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000010920-
    โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 27 มกราคม 2556 19:08 น.

    [​IMG]


    [​IMG]
    เปรียบเทียบระหว่างแบงก์ 20 จริงกับแบงก์ 20 ปลอม (ไม่มีลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างชัดเจนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง)

    [​IMG]
    แบงก์ 500 ปลอม

    [​IMG]
    ธนบัตรชนิดราคา ๒๐ บาท แบบ ๑๕

    [​IMG]
    ธนบัตรชนิดราคา ๑๐๐ บาท แบบ ๑๕

    [​IMG]
    ธนบัตรชนิดราคา ๕๐๐ บาท แบบ ๑๕

    [​IMG]
    ธนบัตรชนิดราคา ๑๐๐๐ บาท แบบ ๑๕ (ไม่มีแถบฟอยล์)

    [​IMG]
    ธนบัตรชนิดราคา ๑๐๐๐ บาท แบบ ๑๕ ปรับปรุง (มีแถบฟอยล์)

    มีข่าวไปพักใหญ่แล้วกับกรณีข่าวปลอมแปลงธนบัตรที่ระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ก็ใช่ว่าจะหายไปจากสังคมไทย เมื่อกระแสแบงก์ปลอมระลอกใหม่กำลังโถมกระหน่ำใส่พ่อค้าแม่ค้าในย่านตลาดสด คนขับแท็กซี่ หรือแม้แต่เด็กปั๊มที่ถูกต้มตุ๋นกันเป็นว่าเล่น ที่น่าตกใจไปกว่านั้น ธนบัตรราคาสูง ๆ เริ่มไม่ค่อยมีให้เห็น แต่กลับพบแบงก์ 500 แบงก์ 100 หรือแม้แต่แบงก์ 20 ปลอมออกมาแทนมากขึ้น

    "แบงก์เก๊" ระบาดไม่เลิก

    ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคม แต่มันมีมานานแล้ว หากนึกย้อนกลับไปในอดีต ธนบัตรที่นิยมปลอมแปลงกันมักจะเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท และมักจะทำขึ้นด้วยฝีมือของกลุ่มคนที่มีความชำนาญ และใช้เทคโนโลยีทันสมัยก้าวหน้ามาก แต่ในช่วงหลังๆ ธนบัตรราคาสูง ๆ อย่างแบงก์ 1,000 กลับไม่ค่อยระบาดเหมือนที่ผ่าน ๆ มา เพราะคนไทยมีวิธีสังเกตธนบัตรปลอมกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะหมดไป ปัจจุบันมีการปลอมแปลงได้เหมือนจริงมาก แถมยังทำออกมาอย่างมีคุณภาพ และยากที่จะตรวจตราแยกแยะได้อีกด้วย

    เห็นได้จาก กรณีแบงก์ปลอมที่ทำขึ้นมาจากแบงก์จริง โดยก่อนหน้านี้เคยมีผู้รู้ออกมาแฉจนกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์อยู่พักใหญ่ ซึ่งเป็นการตัดต่อกันระหว่างแบงก์ 1,000 จริงๆ กับแบงก์ 20 ที่ถูกฟอกและพิมพ์ใหม่ให้เป็นแบงก์ 1,000 โดยจะเอาแค่แถบฟอยล์สีรุ้งของแบงก์ 1,000 มาเท่านั้น นอกนั้นเป็นแบงก์ 20 หมด

    อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ต้องใช้ความชำนาญที่สูงมาก ส่วนใหญ่แก๊งมิจฉาชีพจะทำขึ้นเองจากเครื่องพรินเตอร์ หรือวิธีถ่ายเอกสารสีมากกว่า

    แบงก์ใหญ่หลบไป แบงก์เล็กมาแล้ว

    ไม่ได้โหมกระแสให้ตื่นกลัว แต่เมื่อลงไปสอบถามพ่อค้าแม่ค้าตามย่านต่าง ๆ พบว่า แบงก์เล็ก ๆ อย่าง แบงก์ 500 แบงก์ 100 หรือแม้แต่แบงก์ 20 ถูกแก๊งมิจฉาชีพปลอมแปลง และตระเวนซื้อสินค้ากันมากขึ้น โดยเฉพาะในย่านตลาดสดตามต่างจังหวัด หรือสถานที่ที่คนซื้อขายกันพลุกพล่าน โดยส่วนใหญ่ผู้ตกเป็นเหยื่อจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ไม่ได้ตรวจสอบเงินที่รับมาให้ดีเสียก่อน

    ยกกรณีอุทธาหรณ์จากข่าวผู้ประกอบการร้านค้ารายหนึ่งในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ถูกกลุ่มมิจฉาชีพนำเงินธนบัตรแบงก์ 20 ปลอมมาหลอกซื้อสินค้าตามร้านค้า แต่ไม่ทันได้ตรวจสอบก่อน มาทราบอีกทีถึงรู้ว่าเป็นแบงก์ปลอม เนื่องจากมีตำหนิชัดเจน กระดาษ สีซีด อ่อนกว่าของจริง มีหมายเลขเดียวทุกฉบับ

    เช่นเดียวกับแม่ค้าขายไข่ในตลาดสดย่านอ.บางปลา จ.สมุทรปราการ เหยื่อแบงก์ปลอมอีกหนึ่งราย เล่าว่า วันหนึ่งหลังจากขายของเสร็จดันเผลอหยิบเงินขึ้นมานับขณะที่มือเปียก ปรากฎว่า แบงก์ยุ่ย และสีหลุดลอกออกมา จึงนำไปเปรียบเทียบกับแม่ค้าแผงข้าง ๆ จึงรู้ว่าเป็นแบงก์ปลอม เนื่องจากมีลักษณะเล็กกว่าธนบัตรจริง และสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ไม่มีลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างชัดเจนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

    "มีเยอะ หายไปแล้วก็กลับมาอีก โดนกันเป็นแถบ ๆ เลย ส่วนใหญ่จะเป็นแบงก์ 20 และแบงก์ 100 ซึ่งปกติเวลารับเงินจะไม่ค่อยได้ดู เพราะลูกค้าเยอะด้วย ฝากให้รอบคอบกันด้วยค่ะ เพราะการจะไปติดตามผู้ที่ให้แบงก์ปลอมมาคงเป็นเรื่องยาก ทางที่ดีเช็กสักนิดก่อนจะตกเป็นเหยื่อ" แม่ค้ารายนี้ฝากผ่านทีมข่าว Live

    อย่างไรก็ดี จากการสืบทราบยังพบด้วยว่า แก๊งมิจฉาชีพมักจะใช้วิธีนำธนบัตรปลอมซื้อสิ่งของในช่วงเวลาเร่งด่วน หรือในช่วงที่คนพลุกพล่าน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่าง ๆ

    คนขับแท็กซี่ ผู้โดยสาร เด็กปั๊มก็ไม่รอด

    ไม่เพียงแต่พ่อค้าแม่ค้าทั้งในตลาดสด และร้านโชห่วยเท่านั้น ปัจจุบันยังมีข้อมูลพบด้วยว่า คนขับแท็กซี่ ผู้โดยสาร รวมไปถึงเด็กปั๊มก็ถูกต้มตุ๋นไปตาม ๆ กัน ซึ่งมีทั้งธนบัตรราคา 20, 50, 100 และ 1,000 บาท ส่วนใหญ่จะถูกแก๊งมิจฉาชีพนำมาแพร่ด้วยการจ่าย-ทอนโดยเน้นช่วงกลางคืนเพื่อตบตาเหยื่อ

    เรื่องนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เคยเปิดเผยถึงข้อมูลสถิติการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาแบงก์ปลอมที่กำลังแพร่ระบาดในกลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่ กับผู้ใช้บริการหรือผู้โดยสาร ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. 52 - 31 ม.ค. 53 พบว่า มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อได้รับธนบัตรปลอม หรือแบงก์ปลอม เป็นค่าโดยสารหรือเงินทอน โทรศัพท์เข้ามายังหมายเลข 1644 "โทร.ฟรี" 0-2562-0033-4 และ 0-2941-0847-50 ของทางสถานีจำนวนทั้งสิ้น 57 ราย แยกเป็นกลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่ที่โทรศัพท์เข้ามาร้องเรียนจำนวน 50 คน กลุ่มผู้ให้บริการสถานีบริการเชื้อเพลิง 4 ราย และผู้ใช้บริการรถแท็กซี่ หรือผู้โดยสาร 3 คน

    จากข้อมูล สถิติ และการร้องเรียนทั้งหมด ยังพบต่อว่า ผู้เสียหายที่ได้รับธนบัตรปลอม ทั้ง 57 รายนี้ ต่างก็ระบุช่วงเวลาที่ให้และใช้บริการรถแท็กซี่เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพที่นำธนบัตรปลอมออกมาใช้จ่ายนั้น อาศัยความมืดและความไม่ค่อยสังเกตของเหยื่อแลกเปลี่ยนเอาธนบัตรจริงกลับไป โดยธนบัตรปลอมที่ระบาดมีทั้งธนบัตรฉบับละ 20 บาท 50 บาท 100 บาท และ 1,000 บาท ในส่วนของผู้ขับขี่รถแท็กซี่ที่ตกเป็นเหยื่อได้รับธนบัตรปลอมเป็นกลุ่มที่ได้รับความเสียหายค่อนข้างมากที่สุด

    แบงก์ปลอม ไม่ปลอมดูอย่างไร?

    ปฏิเสธไม่ได้ว่า หัวใจของการป้องกันธนบัตรปลอมที่ให้ผลดีที่สุดก็คือ ความสนใจและหมั่นสังเกตธนบัตรของตัวเองทั้งขณะรับและจ่ายเงินทุกครั้ง โดยเฉพาะธนบัตรฉบับเล็ก ๆ ที่ไม่ควรชะล่าใจเหมือนกัน สอดรับกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติได้ให้ข้อมูลไว้ในเว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ถึงวิธีการสังเกตธนบัตรปลอมที่ครอบคลุมถึงธนบัตรใบละ 1,000 500 100 และ 20 บาท ซึ่งสามารถสังเกตจดจำได้ดี และแยกแยะความแตกต่าง ด้วยวิธีสังเกตง่าย ๆ 3 วิธี ได้แก่ สัมผัส ยกส่อง และพลิกเอียง

    การสัมผัส

    ลูบตรงคำว่า รัฐบาลไทยและตัวเลขที่แสดงราคาธนบัตรชนิดนั้นๆ ซึ่งพิมพ์เป็นตัวนูน เมื่อใช้ปลายนิ้วมือลูบสัมผัสบริเวณดังกล่าว จะรู้สึกถึงการนูนของหมึกพิมพ์มากกว่าบริเวณอื่น

    ยกส่อง

    เมื่อยกธนบัตรรัฐบาลขึ้นส่องดูกับแสงสว่าง จะเห็นลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างชัดเจนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ไม่ใช่ภาพแบนราบเหมือนธนบัตรปลอมที่เลียนแบบด้วยการพิมพ์ภาพลงบนผิวกระดาษ นอกจากลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วยังมี ลายน้ำรูปลายไทยที่มีความโปร่งแสงเป็นพิเศษประดับควบคู่ไว้อีกด้วย

    นอกจากนั้น ตัวเลขแจ้งชนิดราคาธนบัตร จะพิมพ์แยกไว้ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง จะซ้อนทับกันเป็นตัวเลขที่สมบูรณ์

    พลิกเอียง

    ที่ตัวเลขแจ้งราคามุมขวาบนของธนบัตรชนิดราคา 500 บาท และ 1,000 บาท พิมพ์ด้วยหมึกชนิดพิเศษ เมื่อพลิกธนบัตรไปมาสีของตัวเลข 500 จะเปลี่ยนสลับจากสีเขียวเป็นสีม่วง ส่วนสีของตัวเลข 1000 ด้านบนจะเปลี่ยนสลับจากสีทองเป็นสีเขียว ถ้าไม่เปลี่ยนสีแสดงว่าเป็นของปลอม นอกจากนั้น ยังสังเกตได้จากผนึกที่อยู่บนด้านหน้าเบื้องซ้ายของธนบัตรชนิดราคา 100 บาท 500 บาท และ 1,000 บาท โดยจะมองเห็นเป็นหลายมิติแตกต่างกันตามชนิดราคา และจะเปลี่ยนสีสะท้อนแสงวาววับ เมื่อพลิกเอียงธนบัตรไปมา

    ส่วนธนบัตรชนิดราคา 20 บาท เมื่อพลิกเอียงธนบัตรเข้าหาแสงสว่าง และมองจากมุมล่างซ้ายเข้าหากึ่งกลางธนบัตร จะเห็นตัวเลขอารบิก 20

    อย่างไรก็ดี สถานที่ที่เจ้าที่ตำรวจเตือนให้ระวังเป็นพิเศษ คือ แหล่งชุมชนและย่านธุรกิจ ที่มีคนเบียดเสียดแย่งซื้อของรวมทั้งสถานที่ที่มีแสงสว่างน้อย เพราะจะทำให้การยกธนบัตรส่องดูว่าเป็นของจริงหรือปลอมทำได้ลำบาก หรือหากจำเป็นต้องการแลกเงินควรใช้บริการของร้านแลกเงินที่เป็นหลักเป็นฐาน แทนที่จะไปแลกกับพวกที่เตร็ดเตร่อยู่ข้างทาง เพราะเสี่ยงต่อการได้รับธนบัตรปลอมได้

    เตือนภัย "มุกใหม่" ระวังถูกหลอก

    เป็นเรื่องที่ถูกโพสต์ต่อ ๆ กันในโลกออนไลน์ จริงเท็จอย่างไรก็ลองพิจารณากันดู เรื่องมีอยู่ว่า แม่ค้ารายหนึ่งอาศัยจังหวะเนียน ๆ ขณะทอนเงินลูกค้าแล้วทำท่าว่าตัวเองถูกหลอกด้วยแบงก์ปลอม แต่จริง ๆ แล้วแอบเปลี่ยนแบงก์จริงเก็บเอาไว้ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นขณะที่ลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเงินค่าอาหารและรอเงินทองจากแม่ค้า แต่แล้วกลับถูกแม่ค้าเดินกลับมาโวยวายแถมใส่ความหน้าด้าน ๆ ว่า เงินที่ให้มาเป็นแบงก์ 1,000 ปลอม เป็นเหตุให้เกิดการถกเถียงกันอย่างหนัก โชคดีมีสายตรวจมาซื้อของร้านข้าง ๆ พอดี จึงเรียกให้มาช่วยเคลียร์ แต่แม่ค้าไม่ยอมให้ค้น ดันพลิกเกมแล้วรีบเดินไปหยิบเงินทอนมาให้อย่างหน้าตาเฉย สุดท้ายก็ยอม ๆ ความกันไป

    ทางที่ดีก่อนจ่ายเงิน โดยเฉพาะธนบัตรราคาสูง ๆ ออกไป ควรจำหมายเลขในแบงก์ไว้บ้าง เพื่อความปลอดภัย

    ทุกวันนี้ ธนบัตรปลอมปะปนอยู่ในระบบเงินตรา ย่อมสร้างปัญหาให้กับผู้รับเงิน เพราะนอกจากจะทำให้เงินตราที่ได้รับขาดจำนวนแล้ว ยังส่งผลให้ประชาชนเกิดความไม่ไว้วางใจในธนบัตรของรัฐบาล ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ ธนบัตรปลอมจึงถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงเสมอมา

    ทำให้ธนบัตรปลอมเป็นเรื่องบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ ผู้ที่ทำปลอมซึ่งทั้งเงินตรา เหรียญกษาปณ์และธนบัตร มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 240 โทษสูงถึงจำคุกตลอดชีวิต และนำเข้ามาในราชอาณาจักรก็จำคุกตลอดชีวิต ผู้ใดนำออกใช้จำคุก 1-15 ปี ถ้าพบเห็นให้รีบแจ้งตำรวจทันที หรือถ้าสงสัยเกี่ยวกับธนบัตรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่แผนกตรวจพิสูจน์ธนบัตร ฝ่ายจัดการธนบัตรสายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร.02-356 8737

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้ชวนให้แตกตื่น เพียงแต่นำเสนอความจริงเพื่อให้ระมัดระวัง และรอบคอบกันมากขึ้นก็เท่านั้น เพราะแก๊งมิจฉาชีพทุกวันนี้ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกว่าที่คุณคิด เห็นได้จากกรณีแบงก์ปลอมที่มีการพลิกเกมจากแบงก์ใหญ่เป็นแบงก์เล็ก นับเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้

    ขอบคุณรูปภาพ และข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากธนาคารแห่งประเทศไทย

    ข้อมูลประกอบข่าว

    วิธีตรวจสอบธนบัตรชนิดต่าง ๆ
    -http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/Pages/howtocheck.aspx-

    วิธีตรวจสอบธนบัตรทุกฉบับราคา (ชมวีดีทัศน์)
    -http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/doc_download/DocLib/Movie3.wmv-

    ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตีแผ่ชีวิตทหารเหยื่อไฟใต้ ถูกทอดทิ้ง มาเยี่ยมแค่ตอนเจ็บ-ถ่ายรูปแล้วกลับ
    -http://hilight.kapook.com/view/81408-

    [​IMG]

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก รวมพลคนรัก ทหาร ตำรวจ 3 จังหวัดชายแดนใต้

    ตีแผ่ชีวิตทหารเหยื่อไฟใต้ เผยถูกทอดทิ้ง มาเยี่ยมแค่ตอนเจ็บ-ถ่ายรูปแล้วกลับ บางครั้งถ่ายรูปกับป้ายมอบเงิน แต่ไม่ได้เงิน ชี้ทหารควรได้รับการเยียวยาทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจ

    วันนี้ (29 มกราคม) อาจารย์รอฮานิ เจาะอาแซ หัวหน้าคณะวิจัย "ทหารและครอบครัวที่ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนภาคใต้ ตกสำรวจจากระบบเยียวยา" ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ภาคใต้ แต่กลับไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร...

    โดย อาจารย์รอฮานิ เผยว่า เหตุการณ์ชายแดนภาคใต้เริ่มปะทุมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 ซึ่งตอนนี้ผ่านมากว่า 100 เดือน หรือราว 9 ปี แล้ว พบเหตุความรุนแรงกว่า 1.1 หมื่นครั้ง มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 1.6 หมื่นราย หนึ่งในสามของผู้เคราะห์ร้ายประมาณ 5,400 คนนั้น เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งครู ตำรวจ และทหาร ส่วนมากเป็นคนต่างถิ่น ต่างภูมิภาค ที่อาสามาทำงานในหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัย และต้องกลับไปพักรักษาตัวยังภูมิลำเนาเดิม หลังจากได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบ

    สำหรับโครงการการเยี่ยมเยียนเยียวยา เพื่อสร้างยุทธศาสตร์สมานฉันท์นั้น อาจารย์รอฮานิ กล่าวว่า เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิชาการ นักเยียวยาของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และกรมแพทย์ทหารเรือ ที่ได้เดินทางไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อเยี่ยมเยียนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อติดตามคุณภาพชีวิตภายหลังประสบเหตุจนพิการ และความต่อเนื่องของการช่วยเหลือเยียวยาของหน่วยงานรัฐ

    หัวหน้าคณะวิจัยทหารและครอบครัวที่ได้รับบาดเจ็บฯ กล่าวต่อว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่ไม่ได้รับการประเมินติดตามคุณภาพชีวิตอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะขาดข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงหมายเลขโทรศัพท์ สถานที่ติดต่อ เป็นต้น โดยจากการกำหนดเป้าการเยี่ยมเยียนไว้ที่ 100 คน แต่สามารถเข้าถึงและเยี่ยมได้เพียง 21 รายเท่านั้น ซึ่งปัญหาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการขาดระบบการส่งต่อ ดูแลติดตามที่ดี

    [​IMG]

    นอกจากนี้ เมื่อสอบถามไปยังทหารที่ได้รับบาดเจ็บ มีจำนวนไม่น้อยระบุว่า หลังจากที่บาดเจ็บและรักษาตัว จะมีหน่วยงานเข้ามาเยี่ยมเยียนถึงสถานพยาบาล แต่ก็มาในรูปแบบที่มอบเงินเยียวยา และถ่ายรูป จากนั้นก็กลับกันไปทันที โดยนักวิชาการจากโครงการการเยี่ยมเยียนเยียวยา เพื่อสร้างยุทธศาสตร์สมานฉันท์ เป็นกลุ่มแรกที่มาเยี่ยมเยียนพวกเขาถึงบ้าน หลังจากที่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งไปเป็นเวลานาน ซึ่งเหล่าทหารผู้พิการและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง

    ทหารบางคน ก็เปิดเผยว่า มีบางหน่วยงานโทรมาหา แต่ก็พูดแค่เรื่องเงินเท่านั้น ไม่เคยถามเรื่องสุขภาพ หรือสนใจเรื่องการดูแลจิตใจเลย บางหน่วยก็เอาของมาเยี่ยม จากนั้นก็เอาป้ายมอบเงินมาถ่ายรูป บางครั้งมีแต่ป้ายเฉย ๆ ยังไม่ได้เงินเลยก็มี

    จากปัญหาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ควรมุ่งเน้นการดูแลคุณภาพชีวิตของทหารและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บให้ครอบคลุม ตั้งแต่เรื่องสุขภาพกาย ใจ สังคม และการสร้างอาชีพ รวมถึงคุณภาพชีวิตของคนในครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อไม่ให้ทหารตกอยู่ในสภาวะถูกทอดทิ้ง โดยเฉพาะทหารที่ไม่ได้รับการรับรองหรือจดทะเบียบเป็นผู้พิการ ซึ่งเมื่อปลดประจำการแล้ว ก็จะมีสถานะเป็นพลเรือนเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ทำให้ไม่มีสิทธิ์ในการขอรับการเยียวยาเช่นเดียวกับพลทหารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการ หรือข้าราชการ ทหาร ตำรวจ

    อาจารย์รอฮานิ เปิดเผยว่า การไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ เป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารบาดเจ็บไม่ได้รับการเยียวยาตามที่ควรจะได้รับ ถึงแม้ว่าจะมีการปฐมนิเทศก่อนที่ทหารจะเข้าประจำการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เหล่าทหารก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว และไม่มีใครใส่ใจมากนัก เพราะไม่คิดว่าตนเองจะต้องเป็นผู้ประสบเหตุ ทั้งนี้ เมื่อถึงคราวเกิดเหตุ จึงไม่รู้จะติดต่อกับใคร หรือดำเนินการอย่างไร

    อย่างไรก็ตาม นักวิชาการได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจนร่างกายพิการ ควรได้รับการเยียวยาอย่างทั่วถึง และต่อเนื่อง เท่าเทียม และยั่งยืน ทั้งสุขภาพกาย และจิตใจ ส่งเสริมให้พวกเขาได้ยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีด้วยการพึ่งพาตนเอง สามารถดูแลตนเองและประกอบอาชีพที่เหมาะสมได้ พร้อมทั้งกระตุ้นให้สังคม หรือชุมชนซึ่งทหารที่ได้รับผลกระทบพักรักษาตัวอยู่ เกิดความภูมิใจในเพื่อนบ้านของตนเอง จนสามารถดูแลให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก มติชนออนไลน์
    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1359426782&grpid=03&catid=&subcatid=-

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เจาะลึกเรื่อง “มังกร” ต้อนรับตรุษจีน
    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000016169-
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    7 กุมภาพันธ์ 2556 17:29 น.

    [​IMG]
    มังกรที่นิยมนำมาเชิดในงานเทศกาล

    อีกไม่กี่วันก็จะเข้าเทศกาลตรุษจีนแล้ว บรรยากาศหลายๆ แห่งเต็มไปด้วยการประดับประดาอาคารบ้านเรือนให้เข้ากับเทศกาล หลายคนหาซื้อของเข้าบ้านเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล โดยเฉพาะสัญลักษณ์ที่นำโชคและเคารพนับถือ อย่างเช่น “มังกร”

    น่าสนใจว่า "มังกร" นั้น แท้จริงแล้วมาจากจากไหน บ้างว่า "มังกร" เป็นสัตว์ในตำนานหรือเทพนิยาย มังกรในโลกตะวันตกมีหน้าตาแบบหนึ่ง มังกรในโลกตะวันออกก็มีหน้าตาต่างออกไป แล้วมังกรเป็นสัญลักษณ์ด้านธรรมะหรืออธรรมกันแน่ จริงๆ แล้วมังกรมีลักษณะอย่างไร แต่ละชนชาตินับถือมังกรอย่างไร หลายคำถามที่เราจะไปหาคำตอบกัน

    [​IMG]
    มังกรจีน

    “มังกรจีน” เป็นสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้าที่ชาวจีนให้ความเคารพนับถือ คนจีนแทนลักษณะเฉพาะของมังกร 9 อย่าง ตามประเพณี แต่ละอย่างแสดงถึงลักษณะของมังกรที่แตกต่างกัน ลักษณะของมังกรจีนในงานด้านจิตรกรรมประติมากรรมของจีน ซึ่งใช้ในเวลาและโอกาสที่ต่างกัน ได้แก่

    - หัว คล้ายกับหัวของอูฐ บางตำราก็บอกว่ามาจากหัวม้าหรือหัววัวหรือหัวจระเข้
    หนวด คล้ายกับหนวดของมนุษย์
    - เขา คล้ายกับเขาของกวาง มังกรจะมีเขาได้ก็ต่อเมื่อมีอายุ 500 ปี และเมื่ออายุถึง 1,000 ปี ก็จะมีปีกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
    - ตา คล้ายกับตากระต่าย บางตำราบอกว่ามาจากตาของมารหรือปีศาจหรือตาของสิงโต
    - หู คล้ายกับหูวัว แต่ไม่สามารถได้ยินเสียง บางตำราก็ว่าไม่มีหู บางตำราบอกว่ามังกรได้ยินเสียงทางเขาที่เหมือนเขากวางนั้น
    - คอ คล้ายกับคองู
    - ท้อง คล้ายกับท้องกบ บางตำราบอกว่ามาจากหอยแครงยักษ์
    - เกล็ด คล้ายกับเกล็ดปลามังกร บางตำราว่ามาจากปลาจำพวกตะเพียนหรือกระโห้ โดยมังกรจะมีเกล็ดตลอดแนวสัน-หลัง จำนวน 81 เกล็ด มีเกล็ดตามลำคอจนถึงบนหัว บนหัวมังกรมีรูปลักษณะเหมือนสันเขาต่อกัน เป็นทอดๆลักษณะกงเล็บของมังกร คล้ายกับกงเล็บของเหยี่ยว จำนวนเล็บของมังกรแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน มังกรที่ยิ่งใหญ่จึงจะมี 5 เล็บ นอกนั้นก็จะเป็น 4 เล็บหรือ 3 เล็บ
    - ฝ่าเท้า คล้ายกับฝ่าเท้าของเสือ


    [​IMG]
    มังกรที่นิยมนำมาเชิดในงานเทศกาล

    แต่ทว่ามังกรแต่ละตัวนั้น ก็มีกาลเทศะและวาสนาแตกต่างกันไปตามความเชื่อของคตินิยมแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งว่ากันว่ามังกรของจีนนั้นมี 9 ท่า 9 สี คำว่า หลง ในภาษาจีนกลางหมายถึงมังกรที่มีลักษณะดังนี้
    - มังกรมีเขา หรือหลง มีเขาเหมือนกับกวางดาว คนญี่ปุ่นถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่มาจากสวรรค์ มีอำนาจมากที่สุด สามารถทำให้เกิดฝนได้ และหูหนวกโดยสิ้นเชิง อินเดียนแดงถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่เป็นอมตะนิรันด์กาล แต่คนไทยกลับนิยมกินเนื้อกวาง ใช้ในเป็นสินค้าทางธุรกิจส่งออก
    - มังกรมีปีก หรือหว่านซี่ฟ่าน เป็นมังกรแบบตะวันตกที่สามารถพ่นไฟ ได้ ชาวตะวันตกนิยมที่จะนำมาประกอบฉากเป็นพาหนะของผู้ร้ายหรือเป็นตัวแทนของมังกรที่ดุร้าย แต่ในสมัยราชวงศ์หมิง คนจีนนำมังกรชนิดนี้มาทำเป็นลวดลายบนถ้วยอาหาร

    [​IMG]
    มังกร สัญลักษณ์ด้านมืด


    - มังกรสวรรค์ หรือเทียนหลง มีชื่อเรียกว่า มังกรฟ้า เป็น มังกรในหาดสวรรค์ บางครั้งก็จะเป็นพาหนะของเทพเจ้าเทวาในลัทธิเต๋า และคอยปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสรวงสรรค์ และเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของฮ่องเต้อีกด้วย
    - มังกรวิญญาณเฉียนหลง หรือหลีเฉี่ยวหลง สามารถบันดาลให้เกิดลมฝนเพื่อประโยชน์ต่อการเกษตร และเป็นสัญลักษณ์ของจักรราศีอีกด้วย
    -มังกรเฝ้าทรัพย์ หรือฟูแซง เป็นมังกรบาดาล เป็นคติที่เก่าแก่มาก ซึ่งเป็นตามคติอินเดียและกรีกโบราณมากกว่าของจีน
    - มังกรเหลือง เป็นมังกรจ้าปัญญา ทำหน้าที่คอยหาข้อมูลให้กับจักรพรรดิฟูใฉ่ที่เป็นตำนาน
    - มังกรบ้าน หรือลี่หลง จะอาศัยอยู่ในมหาสมุทรและในทะเล บางตำนานเรียกว่า ไซโอ๊ะ มีเกล็ดปกคลุมทั่วทั้งตัว มักอาศัยอยู่ในหนองน้ำใกล้ ๆ กับถ้ำที่มีอากาศอับชื้น

    และมีอีกนามนึงที่จะลืมเอ่ยไม่ได้เลย คือ พญามังกร ขึ้นชื่อว่าเป็นพญา ต้องเป็นที่สุดแห่งมังกรสี่ตัว ที่คอยปกครองทะเลทั้งสี่ทิศ คือเหนือ(ปัก), ใต้(น้ำ), ตะวันตก(ไซ), ตะวันออก(ตัง) อาศัยอยู่ในปราสาทใต้มหาสมุทร กินไข่มุกเจียงตูและโอปอล เป็นอาหาร มีแผงคอเป็นไฟ และยาวถึง 900 ฟุต

    มีการบรรจุคำว่ามังกรลงในพจนานุกรมของประเทศจีน มีความหมายว่า "มังกรเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด มีลักษณะหัวคล้ายหัวอูฐ มีเขาคล้ายเขากวาง ดวงตาคล้ายกับดวงตาของกระต่ายป่า หูของมันคล้ายหูวัว ปีกของมันคล้ายนกอินทรี มีลำคอยาวคล้ายงู ช่วงท้องมีลักษณะคล้ายกบ รูปร่างของมันคล้ายกับปลาตัวใหญ่ เท้าคล้ายกับเท้าเสือ เสียงของมันคล้ายเสียงตีฆ้อง เมื่อมันหายใจ ลมหายใจของมันมีลักษณะคล้ายเมฆ ซึ่งบางครั้งก็ออกมาเป็นฝน บางครั้งก็เป็นเปลวไฟ”

    ที่มา:ชมรมส่งเสริมกีฬาเชิดสิงโต มังกรประเทศไทย

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้จักประเพณีในเทศกาลตรุษจีน
    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000016674-
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    8 กุมภาพันธ์ 2556 19:29 น.

    [​IMG]

    astvผู้จัดการออนไลน์--เทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ที่เรียกว่า ชุนเจี๋ย (春节) หรือ ตรุษจีน ถือเป็นประเพณีเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของชนชาวฮั่น และยังถือเป็นการเริ่มต้นฤดูเพาะปลูกด้วย โดยกำหนดให้วันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ ในอดีตช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง จะเริ่มตั้งแต่พิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาไฟในวันที่ 23 หรือ 24 ของปีเก่า จนถึงเทศกาลหยวนเซียวหรือเทศกาลโคม (แรม 15 ค่ำเดือนอ้าย) โดยแต่ละช่วงจะมีพิธีกรรมธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกัน บางส่วนยังคงสืบทอดกันมาถึงยุคปัจจุบัน ขณะที่บางส่วนได้เลือนหายไป หรือแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

    คลิกอ่าน "มาฉลองตรุษจีนกันเถอะ" คำ 'เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ' เริ่มใช้แต่ใดมา

    [​IMG]
    ตัวอักษร ฝูกลับหัว (福倒) โชคความสุขได้มาถึงบ้านแล้ว

    ติด “ฝูกลับหัว” (福倒) โชคมงคลได้มาถึงบ้านแล้ว
    ระหว่างเทศกาลตรุษจีน ชาวจีนนอกจากนิยมตกแต่งบ้านเรือนด้วยกระดาษแดง ภาพวาด และภาพกระดาษตัดสีสันสดใส สร้างบรรยากาศของความสนุกสนานรื่นเริง และเพื่อเป็นการต้อนรับความสุขและขอโชคขอพร ก็ยังนำอักษรมงคล เช่นตัว ‘福’ (ฝู) หรือตัว 春 (ชุน) มาติดที่บานประตูหน้าบ้าน ตามกำแพง หรือบริเวณเหนือกรอบบนของประตู

    การติดอักษรมงคลที่แพร่หลายที่สุด คือ 福 เป็นประเพณีมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยซ่ง และมักติดกลับหัวซึ่งในภาาษจีนกลางเรียก 福倒 (ฝูเต้า)ที่มีความหมายว่า สิริมงคลหรือโชคดีได้มาถึงบ้านแล้ว

    เรื่องการกลับหัวตัวอักษรนี้มีเหตุที่มาเมื่อครั้งอดีตกาล ซึ่งเล่าสืบกันมาในหมู่สามัญชนว่า

    “สมัยจักรพรรดิหมิงไท่จู่จูหยวนจางแห่งราชวงศ์หมิง ได้ใช้อักษร‘ฝู’เป็นเครื่องหมายลับในการสังหารคน หม่าฮองเฮาทราบเรื่องจึงคิดอุบายเพื่อหลีกเลี่ยงภัยดังกล่าวไม่ให้เกิดแก่ราษฎร ด้วยมีพระราชเสาวนีย์ให้ทุกบ้านติดตัวฝูที่หน้าประตูเพื่อลวงให้ฮ่องเต้สับสน

    “รุ่งขึ้นชาวเมืองต่างนำตัวอักษรฝูมาติดที่หน้าประตูตามนั้น ทว่ามีบ้านหนึ่งไม่รู้หนังสือจึงติดตัวฝูกลับหัวด้วยความไม่ตั้งใจ เมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ทรงกริ้ว รับสั่งให้ประหารคนในบ้านทั้งหมด หม่าฮองเฮาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบทูลยับยั้งไว้ว่า ‘บ้านนี้ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา จึงตั้งใจติดตัวฝูกลับหัว ( 福倒-ฝูเต้า) เพื่อแสดงความปิติยินดีต่อการเสด็จเยือนของพระองค์ ราวกับว่าความสุขสวัสดีและโชคลาภได้มาถึงที่บ้าน’ ได้ยินดังนี้แล้วจูหยวนจางจึงไว้ชีวิตชาวบ้านผู้นั้น การติดตัวฝูกลับหัวสืบต่อมานอกจากเพื่อขอโชคสิริมงคลตามความหมายของตัวอักษรแล้ว ยังเป็นการระลึกถึงคุณความดีของหม่าฮองเฮาในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย”

    [​IMG]
    เชิญเทพผู้พิทักษ์ประตู
    ในวันส่งท้ายปีเก่าหรือที่เรียกว่า ฉูซี (除夕) ชาวจีนมีธรรมเนียมในการติด ‘เหมินเสิน (门神)’ หรือ ภาพเทพเจ้าผู้คุ้มครองประตู

    ‘เหมินเสิน’ มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างยาวนาน ในอดีตกาลจะถือตัวประตูเป็นเทพเจ้าโดยตรง จนกระทั่งหลังสมัยราชวงศ์ฮั่น (202 B.C.- ค.ศ.220) จึงได้ปรากฏการใช้ภาพคนมาเป็นตัวแทนเทพเจ้า แรกเริ่มเดิมทีใช้ภาพนักรบผู้กล้านามว่า ‘เฉิงชิ่ง (成庆)’ ต่อมาเปลี่ยนเป็นภาพวาดของ ‘จิงเคอ (荆轲)’ จอมยุทธ์ชื่อดังสมัยจ้านกั๋ว (475 - 221 B.C.)

    ‘เหมินเสิน’ ในราชวงศ์ใต้และเหนือ (ค.ศ.420 - 589) จะเป็นภาพคู่เทพเจ้าสองพี่น้อง ‘เสินถู (神荼)’ ‘ยูไล (郁垒)’ ตลอดจนสองขุนพลเอกในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618 - 907) ที่มีชื่อว่า ‘ฉินซูเป่า (秦叔宝) และอี้ว์ฉือจิ้งเต๋อ (尉迟敬德)’แต่ต่อมากษัตริย์ถังไท่จงหลี่ซื่อหมินรู้สึกเห็นใจว่าสองขุนพลจะลำบากเกินไป จึงได้สั่งให้จิตรกรหลวงวาดภาพสองขุนพลขึ้นมา แล้วใช้ติดไว้ที่ประตูทั้งสองข้างแทน จึงได้กลายเป็นภาพ ‘เหมินเสิน’ ในเวลาต่อมาเมื่อถึงยุค 5 ราชวงศ์ (ค.ศ.907-960) ได้เริ่มนำภาพของ จงขุย (钟馗) เทพผู้ปราบภูตผีปีศาจ มาติดเพื่อเป็นสิริมงคลด้วย

    หลังราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ.960 - 1127) ‘เหมินเสิน’ ยังมีรูปแบบเหมือนก่อนหน้านั้น แต่เพิ่มการประดับตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงามขึ้น ในห้องรับแขกและห้องนอนจะมีการติดภาพเทพเจ้า 3 องค์ (三星) ที่เราคุ้นหูกันดีว่า ‘ฮก ลก ซิ่ว (福 - 禄 - 寿)’ นอกจากนั้น ยังมีภาพชุมนุมเทพเจ้า (万神图) ตามอย่างลัทธิเต๋า และภาพพระพุทธเจ้า 3 ปาง ซันเป่าฝอ (三宝佛) ฯลฯ ด้วย

    ว่ากันว่า การติดภาพ ‘เหมินเสิน’ ก็เพื่อป้องกันขับไล่สิ่งชั่วร้าย หรือเป็นเสมือนเทพผู้คอยปกปักษ์รักษานั่นเอง

    [​IMG]
    สัตว์ประหลาดในคติปรัมปราจีน ที่มาทำร้านผู้คนในคืนส่งท้ายปีเก่า
    คืนส่งท้ายปีเก่า
    ชาวจีนมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ “ฉูซีเยี่ย (除夕夜)” หรือ คืนส่งท้ายปีเก่าว่า ในยุคโบราณสมัยที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ มีสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายมากตัวหนึ่ง ชื่อว่า “เหนียน (年)” ทุกปีในคืนวันส่งท้ายปี จะขึ้นจากทะเลมาอาละวาดทำร้ายผู้คนและทำลายเรือกสวนไร่นา ในวันนั้นของทุกปีชาวบ้านจึงมักจะหลบกันอยู่แต่ในบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา และไม่หลับไม่นอนเพื่อเฝ้าระวัง รอจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นจึงเปิดประตูออกมา และกล่าวคำยินดีแก่เพื่อนบ้านที่โชคดีไม่ถูก “เหนียน” ทำร้าย

    ในคืนส่งท้ายปีของปีหนึ่ง “เหนียน” ได้เข้าไปอาละวาดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กินชาวบ้านจนเรียบ ยกเว้นคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงาน เนื่องจากสวมชุดสีแดงจึงปลอดภัย และเด็กคนหนึ่งที่กำลังเล่นประทัดอยู่กลางถนน ซึ่งเสียงดังจนทำให้ “เหนียน” ตกใจกลัวหนีไป ชาวบ้านจึงรู้จุดอ่อนของ “เหนียน”

    ดังนั้น เมื่อถึงคืนส่งท้ายปีเก่า ชาวบ้านจึงพากันสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง นำสิ่งของที่มีสีแดงมาประดับตกแต่งบ้านเรือน และจุดประทัด ทำให้ “เหนียน” สัตว์ประหลาดตัวร้ายไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ชาวบ้านจึงอยู่กันอย่างสงบสุข จากนั้นมาจึงมีธรรมเนียมปฏิบัติ ในคืนส่งท้ายปีจะไม่ยอมนอนเพื่อ “เฝ้าปี” หรือเรียกในภาษาจีนว่า โส่วซุ่ย(守岁) เฝ้าดูปีเก่าล่วงไปจนวันใหม่ย่างเข้ามา

    ในคืน “เฝ้าปี” สมาชิกในบ้านมีกิจกรรมร่วมกันมากมาย ทั้งด้านการกินและดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารทั่วไป เกี๊ยว เหนียนเกา (ขนมเข่ง) เหล้า เบียร์ เมล็ดแตง ของว่าง การเล่นเกม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เล่นกันในห้องรับแขก เช่นผู้ใหญ่ก็เล่นหมากล้อม หมากฮอร์ส ไพ่กระดาษ ไพ่นกกระจอก ส่วนเด็กๆ ก็มีเกมแบบเด็กๆ เช่น ขี่ม้าไม้ไผ่ วิ่งไล่จับ ซ่อนแอบ

    กระทั่งใกล้เวลาเที่ยงคืน ผู้อาวุโสในบ้านก็จะเริ่มตั้งโต๊ะเพื่อจัดเรียงธูปเทียนไหว้บรรพบุรุษ และต้อนรับเทพแห่งโชคลาภ นอกจากนั้นก็ยังมีการจุดประทัด จุดโคมไฟ ซึ่งเมื่อใกล้เวลาเที่ยงคืนเท่าไหร่ เสียงประทัดก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งรุ่งอรุณแรกของปี ก็จะสวัสดีปีใหม่กัน กินเกี๊ยว เพื่อความเป็นสิริมงคล

    [​IMG]
    เซ่นไหว้บรรพบุรุษ
    ประเพณีการเซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษในช่วงเทศกาลตรุษจีน ถือกำเนิดขึ้นจากรากฐานแห่งคุณธรรมความกตัญญูกตเวที ที่ชาวจีนยึดมั่นและให้ความสำคัญยิ่ง

    ตามประเพณีแบบดั้งเดิม แต่ละบ้านจะนำบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลหรือที่เรียกว่า ‘เจียพู่’ ( 家谱) หรือรูปภาพของบรรพบุรุษหรือแผ่นป้ายที่สลักชื่อบรรพบุรุษ เป็นต้น มาวางไว้ที่โต๊ะเซ่นไหว้ ที่มีกระถางธูปและอาหารเซ่นไหว้

    ในประเทศจีน บางแห่งจะทำพิธีสักการะเทพเจ้าแห่งโชคลาภหรือไฉเสิน (财神) หรือที่ไฉ่สิ่งเอี๊ย ในภาษาแต้จิ๋ว พร้อมๆกับเซ่นไหว้บรรพบุรุษ โดยอาหารที่นำมาใช้ถวายเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตามความนิยมของชาวจีนทางเหนือ โดยมากประกอบด้วย เนื้อแพะ อาหารคาว 5 อย่าง ของหวาน 5 อย่าง ข้าว 5 ชาม ขนมที่ทำจากแป้งสาลีไส้พุทรา 2 ลูก ( คล้ายกับขนมถ้วยฟูในบ้านเรา) และหมั่นโถวขนาดใหญ่ 1 ลูก

    แท้จริงแล้วการสักการะบูชาเทพเจ้าและไหว้บรรพบุรุษนั้น ก็คือการกล่าวอวยพรปีใหม่กับเทพและบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง ขณะเดียวกันก็เพื่อให้ลูกหลานได้รำลึกถึงบรรพชน หลังจากทำพิธีไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษแล้ว ลูกหลานจะช่วยกันเผากระดาษเงิน กระดาษทอง

    สำหรับช่วงเวลาในการประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษนั้น จะแตกต่างกันออกไป กล่าวคือบางบ้านจะเซ่นไหว้ก่อนการรับประทาน ‘เหนียนเย่ฟั่น’ หรืออาหารมื้อแรกของปีใหม่ ขณะที่บางบ้านนิยมเซ่นไหว้ก่อนหรือหลังคืนส่งท้ายปีเก่าหรือ ที่เรียกว่า ‘ฉุ่เย่’ บางบ้านก็นิยมประกอบพิธีในช่วงเช้าของในวันที่ 1 เดือน 1 หรือ ชูอี ( 初一)

    [​IMG]
    มื้อส่งท้ายปีเก่า
    มื้อส่งท้ายปีเก่า
    ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน (年夜饭)’ หมายถึงอาหารค่ำของคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญก่อนขึ้นปีใหม่ ที่ชาวจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมักไหว้บรรพบุรุษ และจุดประทัดกันก่อนที่จะลงมือรับประทานอาหารมื้อพิเศษนี้

    ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ มีความพิเศษ ตรงที่เป็นมื้อใหญ่ที่สมาชิกในครอบครัวทุกรุ่นทุกวัยและทุกเพศจะพร้อมหน้าพร้อมตาล้อมวงร่วมรับประทานอาหารกัน สมาชิกที่แยกไปอยู่ที่อื่นจะพยายามกลับมาให้ทันวันส่งท้ายปี แต่หากกลับมาไม่ได้จริงๆ ครอบครัวจะเว้นที่ว่างพร้อมวางชามและตะเกียบไว้เสมือนหนึ่งว่ามากันครบ หลังจากทาน ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ เสร็จแล้ว ผู้ใหญ่จะให้ ‘ยาซุ่ยเฉียน (压岁钱)’ หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ‘อั่งเปา’ แก่เด็กๆ

    ความพิเศษของ ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ ยังอยู่ที่อาหารหลากหลาย ให้สมาชิกที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งปี ได้ผ่อนคลายร่วมทานอาหารอย่างมีความสุขอยู่กับครอบครัวในคืนสุดท้ายของปี

    ขณะที่ชื่อของอาหารที่นำมาตั้งโต๊ะยังแฝงไว้ด้วยความหมายที่เป็นสิริมงคล จานบังคับที่ทุกโต๊ะต้องมีคือ ‘จี’ (鸡 ไก่) และ ‘อี๋ว์’(鱼 ปลา) แทนความหมาย ‘จี๋เสียงหยูอี้ (吉祥如意 เป็นสิริมงคลสมดังปรารถนา)’ และ ‘เหนียนเหนียนโหยวอี๋ว์ (年年有余 มีเงินทองเหลือใช้ทุกปี)’

    [​IMG]
    กิน “เกี๊ยวข้ามปี” โชคดีตลอดไป
    กิน “เกี๊ยวข้ามปี” โชคดีตลอดไป
    ประเพณีการกินเจี่ยวจือ 饺子หรือเกี๊ยวต้มจีนในวันตรุษจีนเริ่มเป็นที่นิยมกันมาตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หมิง(ค.ศ.1368-1644) โดยคนในครอบครัวจะต้องห่อเจี่ยวจือให้เสร็จก่อนเที่ยงคืนของวันสิ้นปี รอจนยามที่เรียกว่า 子时 -จื่อสือ ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 23 - 1 นาฬิกาของวันถัดมาก็จะเริ่มรับประทานกัน และเป็นเวลาเริ่มต้นวันใหม่ของปีใหม่พอดี การทานเจี่ยวจือจึงมีความหมายว่า ‘เปลี่ยนปีเชื่อมเวลา更岁交子'เพราะคำเรียกอาหารชนิดนี้饺-เจี่ยวก็ออกเสียงคล้าย交-เจียวซึ่งมีความหมายว่าเชื่อมต่อกัน และ子-จื่อก็คือ子时 -จื่อสือนั่นเอง

    นอกจากนั้น การรับประทานอาหารชนิดนี้ยังมีความหมายสำคัญของการรวมตัวของคนในครอบครัวอีกด้วย เมื่อแป้งที่ห่อไส้เรียกว่า和面-เหอเมี่ยน คำว่า 和พ้องเสียงกับคำว่า 合 -เหอ ที่แปลว่าร่วมกัน และ饺 - เจี่ยวก็ออกเสียงคล้ายกับคำว่า 交 ที่มีอีกความหมายว่า มีความสัมพันธ์ต่อกันด้วย

    การที่เกี๊ยวเป็นอาหารสำคัญที่ไม่อาจขาดได้ในวันตรุษจีน ยังมีเหตุผลมาจากรูปลักษณ์ของเจี่ยวจือ ที่เป็นรูปทรงคล้ายเงินในสมัยโบราณ การรับประทานเจี่ยวจือ จึงเหมือนการนำเงินทองเข้ามาสู่ตัว

    นอกจากนั้น ไส้ในเจี่ยวจือก็ยังสะดวกต่อการบรรจุสิ่งที่เป็นมงคลลงไปให้เป็นความหวังต่อคนที่รับประทานด้วย เช่น ลูกกวาด ถั่วลิสง พุทราแดง เม็ดเกาลัด เหรียญเงิน โดยคนที่กัดเจอลูกกวาด ชีวิตในปีใหม่ก็จะยิ่งหอมหวาน ในขณะที่ถั่วลิสงมีความหมายว่าแข็งแรงและอายุยืนนาน ส่วนพุทราแดงและเกาลัด ก็จะมีบุตรภายในปีนั้น และหากกัดเจอเหรียญเงินก็จะยิ่งร่ำรวยเงินทอง

    [​IMG]
    อาหารรับขวัญวันปีใหม่
    อาหารรับขวัญวันปีใหม่
    การตระเตรียมอาหารการกินในเทศกาลตรุษจีน นับเป็นงานช้างแห่งปีทีเดียว โดยราวสิบวันก่อนวันปีใหม่ชาวจีนจะเริ่มสาละวนกับการซื้อหาข้าวของ อาทิ เป็ด ไก่ ปลา เนื้อ ชา เหล้า ซอส วัตถุดิบเครื่องปรุงสำหรับอาหารผัดทอด ขนมนานาชนิด และผลไม้

    อาหารการกินในวันตรุษจีน ยังโปรยประดับด้วยคำที่เป็นสิริมงคล ชาสำหรับคารวะแขก ในวันปีใหม่ของคนเจียงหนันยังใส่ลูกสมอ 2 ลูกไว้ในจานรองถ้วยชาหรือถาดชุดชา เพื่อสื่อความหมายว่า ‘ชาเงิน’ และในสำรับอาหารจะต้องมีผัดผักกาดรวมอยู่ด้วย เพื่อเป็นเคล็ดว่า กินแล้วจะบันดาล ‘ความสนิทสนมอบอุ่น’ เนื่องจาก ‘ผัดผักกาด’ ในภาษาจีนคือ เฉ่าชิงไช่ (炒青菜) ซึ่งมีเสียงใกล้เคียงกับ ชินชินเย่อเย่อ (亲亲热热) ที่แปลว่า ‘ความสนิทสนมอบอุ่น’ และอาหารสำคัญอีกอย่างคือ ผัดถั่วงอก เนื่องจากถั่วงอกเหลืองมีรูปร่างคล้ายกับ ‘หยกหยูอี้’ ซึ่งมีเสียงพ้องกับคำว่า หยูอี้ (如意) ที่แปลว่า สมปรารถนา

    นอกจากนี้ ตามประเพณีการกินอาหารปีใหม่จะต้องกินหัวปลา แต่อย่าสวาปามจนเกลี้ยงจนแมวร้องไห้ ธรรมเนียมการกินปลาให้เหลือนี้เพื่อเป็นเคล็ดว่า ‘เหลือกินเหลือใช้’ ซึ่งในภาษาจีน มีคำว่า ชือเซิ่งโหย่วอี๋ว์ (吃剩有鱼) คำว่า ‘鱼-อี๋ว์’ ที่แปลว่าปลานั้น พ้องเสียงกับ ‘余 -อี๋ว์’ ที่แปลว่า เหลือ จึงเป็นเคล็ดว่า ขอให้ชีวิตมั่งมีเหลือกินเหลือใช้

    สำรับทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งดีงามของวันรุ่งอรุณแห่งปี

    หลังจากรับประทานอาหารมื้อแรกของวันตรุษแล้ว ชาวจีนนิยมไปศาลบรรพบุรุษบูชาบรรพบุรุษ และยังมีวิถีปฏิบัติเพื่อขอพรและขอความเป็นสิริมงคลในวันปีใหม่อื่นๆ ได้แก่ จุดโคมไฟ จุดประทัด ถวายเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้า ไปวัด ออกจากบ้านไปทัศนาจร รวมถึงการไปเก็บต้นงา เพราะเชื่อว่าชีวิตจะเจริญยิ่งๆขึ้นไปเหมือนต้นงาที่งอกขึ้นเป็นข้อๆชั้นๆ

    [​IMG]
    กินขนมเข่ง อำนวยพรชีวิตเจริญยิ่งๆขึ้นทุกปีๆ
    กินขนมเข่ง (年糕) อำนวยพรชีวิตเจริญยิ่งๆขึ้นทุกปีๆ
    อาหารที่ขาดไม่ได้ในวันตรุษจีนอีกอย่างคือ ขนมเข่ง ขนมที่ชาวจีนเรียก เหนียนเกา (年糕) นิยมทำกินในหมู่ชาวจีนทางใต้ ประเพณีกินเหนียนเกาในวันตรุษมีมา 7,000 กว่าปีแล้ว เดิมทีทำขึ้นเพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ ภายหลังกลายเป็นอาหารนิยมในช่วงตรุษจีน มีความหมายอำนวยพรให้ชีวิต ‘เจริญยิ่งๆขึ้นทุกปีๆ ’ (生活年年提高)

    [​IMG]
    จุดประทัดรับปีใหม่
    นอกจากคืนวันส่งท้ายปีเก่าและวันที่ 5 เดือน 1 ที่จะมีการจุดประทัดกันแล้ว ประเพณีการจุดประทัดในเช้าวันแรกของปีใหม่ก่อนออกจากบ้าน ก็เป็นความเชื่อของชาวจีนว่า จะเป็นการเริ่มต้นปีด้วยความคึกคักหรือที่เรียกว่า 开门炮 (ไคเหมินเพ่า) เพื่อต้อนรับวันแรกของปี

    ประทัดของจีนมีประวัติศาสตร์มายาวนาน เดิมทีใช้ปล้องไม้ไผ่ตั้งไฟเผาให้ระเบิดจนเกิดเสียงดัง ใช้ในการขับไล่ภูตผีป้องกันเสนียดจัญไร ต่อมาใช้ในพิธีไสยศาสตร์ของพ่อมดหมอผีและการเสี่ยงทาย จนในที่สุดกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการอธิษฐานขอความสงบร่มเย็น

    [​IMG]
    เดินสายอวยพรตรุษจีน
    กิจกรรมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ช่วงตรุษจีน คือ “ไป้เหนียน (拜年)” หรือ การอวยพรตรุษจีน หากกล่าวว่า “จี้จู่ (祭祖)” เป็นการเซ่นไหว้รำลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ “ไป้เหนียน” ก็จะเป็นการสังสรรค์กับญาติสนิทที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันขึ้นปีใหม่ กิจกรรมทั้ง 2 อย่างต่างเป็นการแสดงออกถึงการสื่อสัมพันธ์กับญาติที่ใกล้ชิด

    ในอดีตหากญาติสนิทมิตรสหายมีมาก แวะไปเยี่ยมเยียนได้ไม่ทั่วถึง พวกชนชั้นสูงมักจะส่งคนรับใช้นำบัตรอวยพร หรือ “ฝูเต้า (福倒)” (ความสุขมาถึงแล้ว) ไปให้แทน ฝ่ายที่รับการ “ไป้เหนียน” ที่เป็นผู้สูงอายุมักจะให้ “ยาซุ่ยเฉียน (压岁钱)” แก่เด็กๆ ที่มาไหว้เยี่ยมเยียน

    ส่วนการ “ไป้เหนียน” ของชาวบ้านทั่วไปก็มีอิทธิพลต่อชนชั้นสูงเช่นกัน ซึ่งราชสำนักในสมัยหมิงชิงนิยมจัดงาน “ถวนไป้ (团拜)” หรืองานที่ชุมนุมญาติๆ ไว้ด้วยกัน ให้ทำการ “ไป้เหนียน” ซึ่งกันและกันในคราเดียว มาถึงปัจจุบันยังนิยมจัดงานเช่นนี้อยู่ ซึ่งคล้ายกับเป็นงานฉลองปีใหม่กับหมู่ญาติสนิทมิตรสหายไปในตัว

    สำหรับการ “ไป้เหนียน” ในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคไฮเทค นอกจากการไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านแล้ว ยังนิยมส่งบัตรอวยพร โทรศัพท์ อีเมล์ หรือส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อส่งความสุขซึ่งกันและกัน

    [​IMG]
    กลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่
    กลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่
    หลังจากวันแรกของปีใหม่ผ่านพ้นไป บรรดาหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้วจะกลับไปอวยพรตรุษจีนพ่อแม่และญาติพี่น้อง พร้อมกับสามีและลูกๆ ที่ชาวจีนเรียกกันว่าการกลับบ้านแม่ หรือ ‘หุยเหนียงเจีย (回娘家)’ ซึ่งถือเป็นโอกาสพาเด็กๆ ไปเยี่ยมคารวะคุณตา คุณยาย คนเฒ่าคนแก่ และรับอั่งเปามาเป็นเงินก้นถุง

    ส่วนใหญ่จะไม่กลับบ้านแม่มือเปล่า แต่จะนำขนมคุกกี้ ลูกอม ไปฝากญาติพี่น้องและบ้านใกล้เรือนเคียง ตลอดจนพกอั่งเปาไปแจกหลานๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อแสดงออกซึ่งความห่วงหาอาทรต่อบ้านเกิดของหญิงที่ออกเรือนไปแล้ว แต่การกลับไปบ้านแม่นี้ จะแค่กินข้าวเที่ยง ไม่มีการนอนค้าง

    ตามธรรมเนียมเดิม ก่อนกลับคุณตาคุณยายจะแต้มสีแดงที่หน้าผากหลาน เพื่อให้เป็นสิริมงคล และป้องกันภูติผีปีศาจมารังควาญ ด้วยหวังให้เด็กๆ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง ปราศจากโรคภัย

    กิจกรรมที่สำคัญอีกอย่างในวันนั้นก็คือ การเชิญเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยแต่ละบ้านจะทำการติดภาพเชิญเทพเจ้าโชคลาภเข้ามายังบ้านของตน

    [​IMG]
    เรื่องต้องห้ามก่อนวันที่ 5 ‘พ่ออู่ (破五)’
    ตรุษจีนเป็นเทศกาลแห่งความสุขสนุกสนาน และยังเป็นเทศกาลที่คงธรรมเนียมประเพณีดั่งเดิมไว้ ซึ่งในช่วงนี้จะมี ‘คำพูดหรือการกระทำต้องห้าม’ เช่น ในวันชิวอิก หรือวันขึ้นปีใหม่ ผู้หญิงห้ามออกจากบ้านไปอวยพรปีใหม่และห้ามกลับไปบ้านแม่ เด็กน้อยห้ามร้องไห้กระจองอแง ทุกคนห้ามพูดเรื่องอัปมงคล เพื่อนบ้านห้ามทะเลาะเบาะแว้ง รวมทั้งห้ามทำอุปกรณ์เครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์แตกเสียหาย ตลอดจนห้ามเชิญหมอมาที่บ้าน

    ตั้งแต่ชิวอิก หรือ ชูอี (初一) จนถึงชูซื่อ (初四) หรือวันที่ 1-4 ของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ ห้ามคนในบ้านทำสิ่งที่ไม่เป็นสิริมงคลทั้งหลายตั้งแต่ใช้เข็มเย็บผ้า กรรไกร กวาดบ้าน และยังห้ามกินข้าวต้มในวันที่ 1 ด้วย เพราะข้าวต้มจัดเป็นอาหารของขอทานคนยากจน

    เมื่อเข้าวันที่ 5 หรือชูอู่ (初五) จึงจะเริ่มผ่อนคลายกฎต้องห้ามต่างๆ และเข้าสู่ภาวะปกติ ชาวบ้านจึงเรียกว่า ‘พ่ออู่ (破五)’ ซึ่งหมายถึง ทำให้แตก หรือยกเลิกข้อห้ามในวันที่ 5 โดยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ หุงหาอาหารได้ตามเดิม ส่วนอาหารยอดนิยมในวันนี้จะเป็นเกี๊ยวจีน (饺子) ที่ในสมัยก่อนเรียกว่า ‘เนียอู่ (捏五)’ โดยแทนการห่อเงินห่อทอง นำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวย

    นอกจากนั้น นับตั้งแต่วันที่ 5 ผู้คนจะสามารถนำขยะไปทิ้งข้างนอกได้ อย่างที่ชาวจีนเรียกว่า ‘เต้าฉานถู่ (倒残土)’ และยังถือวันที่ 5 นี้ เป็นวันเกิดของเทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทองที่ประจำทั้ง 5 ทิศ ซึ่งตามร้านค้าต่างๆ จะประกอบพิธีไหว้ เพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยเปิดกิจการรับปีใหม่ด้วย

    [​IMG]
    อั่งเปา
    การแจกอั่งเปา (红包ซองแดง) หรือ *แต๊ะเอีย (กด/ทับเอว) สำหรับเด็กสมัยใหม่ต่างคาดหวังหรือหลงระเริงไปกับตัวเงินในซอง แต่หารู้ไม่ว่า กุญแจสำคัญอยู่ที่ซองแดงต่างหาก

    ชาวจีนนิยมชมชอบ “สีแดง” เป็นที่สุด อย่างที่มีคนเคยพูดว่า “จะถูกจะแพง ก็ขอให้แดงไว้ก่อน” เพราะว่า ตามความเชื่ออย่างจีน สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวา ความสุข และโชคดี

    เรามอบอั่งเปาให้แก่บุตรหลาน หรือญาติผู้ใหญ่ เพื่อเป็นการมอบโชคลาภและพรอันประเสริฐต่างๆ ให้แก่พวกเขา เงินในซองแดงแค่เพียงต้องการให้เด็กๆ ดีใจ แต่ตัวเอกของประเพณีนี้อยู่ที่ซองแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโชคดี ดังนั้น การเปิดซองอั่งเปาต่อหน้าผู้ให้ถือเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพเช่นกัน

    อั่งเปาสามารถมอบให้ในระหว่างไหว้ตรุษจีนในหมู่ญาติพี่น้อง หรือวางไว้ข้างหมอนเวลาที่ลูกๆ หลับในคืนวันสิ้นปีก็ได้

    ประเพณีการให้แต๊ะเอียได้สืบทอดสู่ชาวจีนรุ่นต่อรุ่น ทั้งในประเทศจีนและจีนโพ้นทะเล ครอบครัวจีนส่วนใหญ่ถือว่า ลูกหลานที่ทำงานแล้ว จะไม่ได้แต๊ะเอีย แต่จะกลายเป็นผู้ให้แทน การให้อั่งเปา ว่าเป็นวิธีการกระชับสัมพันธ์ในหมู่ญาติอีกแบบหนึ่ง

    นอกจากนี้ ยังมีตำนานโบร่ำโบราณเกี่ยวกับเรื่องอั่งเปาอีกว่า เมื่อครั้งโบราณกาลมีปีศาจเขาเดียวนามว่า “ซุ่ย” (祟) อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก ทุกคืนวันส่งท้ายปีมันจะขึ้นฝั่งมาทำร้ายเด็กๆ โดยซุ่ยจะใช้มือลูบศีรษะเหยื่อ หลังจากนั้นเด็กจะจับไข้ จากเด็กฉลาดเฉลียวจะกลายเป็นเด็กที่สมองเชื่องช้า

    ชาวบ้านเกรงว่า ปีศาจซุ่ยจะมาทำร้ายลูกหลาน เมื่อถึงคืนวันสุดท้ายของปี ก็จะจุดไฟเฝ้ายาม ไม่หลับไม่นอนตลอดทั้งคืน เรียกว่า “โส่วซุ่ย” (守祟 หรือ เฝ้าตัวซุ่ย) ต่อมาแผลงเป็น “โส่วซุ่ย” (守岁) ประเพณี“เฝ้าปี” ที่ชาวจีนนิยมปฏิบัติกันในค่ำคืนก่อนผัดเปลี่ยนสู่ปีใหม่แทน

    ในคืนนั้นเองมีเรื่องเล่าว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่งแซ่ กวน นำเงินเหรียญออกมาเล่นกับลูก ครั้นลูกน้อยเหนื่อยล้าหลับไป จึงได้นำเงินเหรียญห่อใส่กระดาษแดงแล้ววางไว้ข้างหมอนลูก เมื่อปีศาจซุ่ยบุกเข้าบ้านสกุลกวนหวังทำร้ายเด็ก แต่เพราะแสงทองจากเหรียญโลหะข้างหมอนกระทบเข้าตา ทำให้ซุ่ยตกใจและหนีไป

    เรื่องราวดังกล่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านอื่นๆ ต่างพากันลอกเลียนแบบ โดยทุกวันสิ้นปีผู้อาวุโสจะมอบเงินห่อกระดาษแดงแก่ลูกหลาน “ซุ่ย” จะได้ไม่กล้ามาทำร้าย นับแต่นั้นมาจึงเรียกเงินที่ให้นี้ว่า “ยาซุ่ยเฉียน” (压祟钱หรือ เงินทับตัวซุ่ย)ต่อมาแผลงเป็น “เงินทับซุ่ย (ปี)” แทน

    * ที่มาของคำว่า “แต๊ะเอีย” มาจากสมัยก่อนเงินตราที่ชาวจีนโบราณใช้กันเป็นโลหะ ขณะนั้นยังไม่มีชุดเสื้อผ้าที่มีกระเป๋า จึงได้นำเงินใส่ถึงและผูกรอบเอว เงินยิ่งมากน้ำหนักยิ่งกดทับที่เอวมากตาม

    [​IMG]
    กินบัวลอยแล้วออกไปชมโคมไฟ ในคืน‘หยวนเซียว’
    เทศกาลหยวนเซียว(元宵节) คือวันที่ 15 เดือนอ้ายในปฏิทินจันทรคติ คำว่า 元หยวน มีความหมายว่า แรก ส่วน宵เซียว แปลว่า กลางคืน จึงใช้เรียกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปีหลังผ่านพ้นตรุษจีน สำหรับคืนนี้ มีประเพณีว่า ชาวจีนจะต้องรับประทานบัวลอยกันในครอบครัวและออกไปชมโคมไฟที่จะนำมาประดับประดากันอย่างสวยงาม ดังนั้น จึงมีการเรียกเทศกาลนี้อีกอย่างว่า เทศกาลโคมไฟ (灯节)

    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกครั้งที่ถึงค่ำคืนเทศกาลหยวนเซียว ผู้คนก็จะหลั่งไหลไปตามท้องถนนเพื่อชมโคมไฟที่มีรูปทรงต่างๆ ทายปัญหาเชาวน์ที่ซ่อนอยู่ในโคมไฟ เล่นดอกไม้ไฟ จุดประทัด แห่สิงโต ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมบันเทิงใจ

    นอกจากการชมโคมไฟแล้ว สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ คือการรับประทานบัวลอยที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า ภายในมีไส้ทั้งไส้หวานและไส้เค็ม ปั้นเป็นลูกกลมๆ แล้วนำไปต้มหรือนำไปทอด ในยุคแรก ชาวจีนเรียกขนมชนิดนี้ว่า浮圆子ฝูหยวนจื่อ (,浮-ลอย 圆子-ลูกกลมๆ) ต่อมาก็เรียกว่า 汤团ทังถวน(汤-น้ำแกง团-ลูกกลมๆ ) หรือ 汤圆ทังหยวน โดยมีความหมายเหมือนกัน ทั้งออกเสียงใกล้เคียงกัน และ 团圆เมื่อรวมกันแล้ว ก็ได้ความหมายถึงการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันของคนในครอบครัว




    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    'มาฉลองตรุษจีนกันเถอะ' คำ “เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ” เริ่มใช้แต่ใดมา
    -http://mgr.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000016444-
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    8 กุมภาพันธ์ 2556 12:27 น.


    [​IMG]
    คู่ชีวิตตายาย กำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพโคมแดงที่ประดับ อยู่บนถนนและทางเท้า ในนครเซี่ยงไฮ้ เมื่อคืนวันที่ 6 ก.พ. ก่อน จะเข้าสู่ เทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ หรือ ตรุษจีน (ภาพรอยเตอร์ส)

    ในโอกาสร่วมฉลอง "เทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ" ที่เรียกว่า ชุนเจี๋ย (春节) หรือ ตรุษจีน ที่จะมาถึงนี้ "มุมจีน" ขออำนวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน รวมถึงครอบครัว สุข สมปรารถนา และมั่งมีศรีสุขตลอดปีและตลอดไป … ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ (新正如意,新年发财) พร้อมกันนี้ ขออนุญาตนำเกร็ดฯ ของเทศกาล กลับมาบอกเล่าความหมายอันดีนี้อีกครั้ง

    'มาฉลองตรุษจีนกันเถอะ'
    เทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ที่เรียกว่า ชุนเจี๋ย (春节) หรือ ตรุษจีน ถือเป็นประเพณีเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของชนชาวฮั่น และยังถือเป็นการเริ่มต้นฤดูเพาะปลูกด้วย โดยกำหนดให้วันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ ในอดีตช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง จะเริ่มตั้งแต่พิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาไฟในวันที่ 23 หรือ 24 ของปีเก่า จนถึงเทศกาลหยวนเซียวหรือเทศกาลโคม (แรม 15 ค่ำเดือนอ้าย) โดยแต่ละช่วงจะมีพิธีกรรมธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกัน บางส่วนยังคงสืบทอดกันมาถึงยุคปัจจุบัน ขณะที่บางส่วนได้เลือนหายไป หรือแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

    'คืนส่งท้ายปีเก่า 除夕夜'
    ชาวจีนมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ “ฉูซีเยี่ย (除夕夜)” หรือ คืนส่งท้ายปีเก่าว่า ในยุคโบราณสมัยที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ มีสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายมากตัวหนึ่ง ชื่อว่า “เหนียน (年)” ทุกปีในคืนวันส่งท้ายปี จะขึ้นจากทะเลมาอาละวาดทำร้ายผู้คนและทำลายเรือกสวนไร่นา ในวันนั้นของทุกปีชาวบ้านจึงมักจะหลบกันอยู่แต่ในบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา และไม่หลับไม่นอนเพื่อเฝ้าระวัง รอจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นจึงเปิดประตูออกมา และกล่าวคำยินดีแก่เพื่อนบ้านที่โชคดีไม่ถูก “เหนียน” ทำร้าย

    ในคืนส่งท้ายปีของปีหนึ่ง “เหนียน” ได้เข้าไปอาละวาดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กินชาวบ้านจนเรียบ ยกเว้นคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงาน เนื่องจากสวมชุดสีแดงจึงปลอดภัย และเด็กคนหนึ่งที่กำลังเล่นประทัดอยู่กลางถนน ซึ่งเสียงดังจนทำให้ “เหนียน” ตกใจกลัวหนีไป ชาวบ้านจึงรู้จุดอ่อนของ “เหนียน”

    ดังนั้น เมื่อถึงคืนส่งท้ายปีเก่า ชาวบ้านจึงพากันสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง นำสิ่งของที่มีสีแดงมาประดับตกแต่งบ้านเรือน และจุดประทัด ทำให้ “เหนียน” สัตว์ประหลาดตัวร้ายไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ชาวบ้านจึงอยู่กันอย่างสงบสุข จากนั้นมาจึงมีธรรมเนียมปฏิบัติ ในคืนส่งท้ายปีจะไม่ยอมนอนเพื่อ “เฝ้าปี” หรือเรียกในภาษาจีนว่า โส่วซุ่ย(守岁) เฝ้าดูปีเก่าล่วงไปจนวันใหม่ย่างเข้ามา
    ในคืน “เฝ้าปี” สมาชิกในบ้านมีกิจกรรมร่วมกันมากมาย ทั้งด้านการกินและดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารทั่วไป เกี๊ยว เหนียนเกา เหล้า เบียร์ เมล็ดแตง ของว่าง การเล่นเกม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เล่นกันในห้องรับแขก เช่นผู้ใหญ่ก็เล่นหมากล้อม หมากฮอร์ส ไพ่กระดาษ ไพ่นกกระจอก ส่วนเด็กๆ ก็มีเกมแบบเด็กๆ เช่น ขี่ม้าไม้ไผ่ วิ่งไล่จับ ซ่อนแอบ

    กระทั่งใกล้เวลาเที่ยงคืน ผู้อาวุโสในบ้านก็จะเริ่มตั้งโต๊ะเพื่อจัดเรียงธูปเทียนไหว้บรรพบุรุษ และต้อนรับเทพแห่งโชคลาภ นอกจากนั้นก็ยังมีการจุดประทัด จุดโคมไฟ ซึ่งเมื่อใกล้เวลาเที่ยงคืนเท่าไหร่ เสียงประทัดก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งรุ่งอรุณแรกของปี ก็จะสวัสดีปีใหม่กัน กินเกี๊ยว เพื่อความเป็นสิริมงคล

    [​IMG]
    ชายผู้หนึ่งกำลังประนมไหว้เจ้า ขอพรสิริมงคลชีวิต ที่ศาลเจ้า ในสวนยู่หยวน เซี่ยงไฮ้ เมื่อเช้าวันที่ 4 ก.พ. (ภาพรอยเตอร์ส)

    ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน (年夜饭)’ มื้อส่งท้ายปีเก่า
    ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน (年夜饭)’ หมายถึงอาหารค่ำของคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญก่อนขึ้นปีใหม่ ที่ชาวจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมักไหว้บรรพบุรุษ และจุดประทัดกันก่อนที่จะลงมือรับประทานอาหารมื้อพิเศษนี้

    ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ มีความพิเศษ ตรงที่เป็นมื้อใหญ่ที่สมาชิกในครอบครัวทุกรุ่นทุกวัยและทุกเพศจะพร้อมหน้าพร้อมตาล้อมวงร่วมรับประทานอาหารกัน สมาชิกที่แยกไปอยู่ที่อื่นจะพยายามกลับมาให้ทันวันส่งท้ายปี แต่หากกลับมาไม่ได้จริงๆ ครอบครัวจะเว้นที่ว่างพร้อมวางชามและตะเกียบไว้เสมือนหนึ่งว่ามากันครบ หลังจากทาน ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ เสร็จแล้ว ผู้ใหญ่จะให้ ‘ยาซุ่ยเฉียน (压岁钱)’ หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ‘อั่งเปา’ แก่เด็กๆ

    ความพิเศษของ ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ ยังอยู่ที่อาหารหลากหลาย ให้สมาชิกที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งปี ได้ผ่อนคลายร่วมทานอาหารอย่างมีความสุขอยู่กับครอบครัวในคืนสุดท้ายของปี

    ขณะที่ชื่อของอาหารที่นำมาตั้งโต๊ะยังแฝงไว้ด้วยความหมายที่เป็นสิริมงคล จานบังคับที่ทุกโต๊ะต้องมีคือ ‘จี’ (鸡 ไก่) และ ‘อี๋ว์’(鱼 ปลา) แทนความหมาย ‘จี๋เสียงหยูอี้ (吉祥如意 เป็นสิริมงคลสมดังปรารถนา)’ และ ‘เหนียนเหนียนโหยวอี๋ว์ (年年有余 มีเงินทองเหลือใช้ทุกปี)’ ส่วนที่ไต้หวันยังนิยมทานลูกชิ้น หมายถึงการกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา นอกจากนี้ ยังมี ‘จิ่วไช่ (韭菜 ผักกุ้ยช่าย)’ ที่หมายถึงอายุมั่นขวัญยืน (年寿长久)สำหรับชาวหมิ่นหนัน ชนกลุ่มน้อยในมณฑลฝูเจี้ยน ทางตอนใต้ของจีน เรียกแครอทในภาษาถิ่นว่า ‘ไช่โถว’ (菜头)แฝงความหมายการเริ่มต้นปีที่ดี (好彩头)และในบางพื้นที่จะกินเกี๊ยว หรือเรียกในภาษาจีนว่า ‘เจี่ยวจือ’ (饺子)ที่มีรูปร่างคล้ายกับเงินแท่งสมัยโบราณที่ปลาย 2 ด้านงอนขึ้น บางครั้งก็ใส่เหรียญเงินไว้ในเกี้ยวด้วย เพื่อบันดาล ‘โชคลาภเงินทอง’ เป็นต้น.
    [​IMG]
    คุณตากำลังอุ้มหลานของตน เดินชื่นชมกับความงดงามของโคมประดับ ในนครเซียงไฮ้ (ภาพรอยเตอร์ส)

    คำ“เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ” เริ่มใช้แต่ใดมา
    ตรุษจีน ซึ่งถือเป็นวันปีใหม่ของชาวมังกรนั้น จัดว่าเป็นเทศกาลที่มีสืบทอดมายาวนาน โดยในปัจจุบัน จะใช้คำว่าชุนเจี๋ย (春節) หรือ “เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ” มาเป็นชื่อเรียกวันปีใหม่จีน แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า คำว่า “เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ” เป็นคำที่ถูกใช้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?

    นายเจิ้งอีหมิน รองประธานสมาคมนักศิลปะเอกชน ได้ออกมาระบุผลการตรวจค้นหลักฐานต่างๆพบว่า ในอดีตที่ผ่านมา เทศกาลตรุษจีนถูกขนานนามต่างๆกันไปในแต่ละยุคสมัย หรือแต่ละราชวงศ์ในอดีต เช่นถูกเรียกว่าไก่ซุ่ย (改歲) หรือ “วันเปลี่ยนปี”, หยวนโส่ว (元首) หยวนรื่อ (元日) ที่หมายถึงวันเริ่มต้นแห่งปี

    โดยเจิ้งได้ชี้ว่า เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เป็นชื่อที่ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 1911 หรือเมื่อ 96 ปีที่แล้ว โดยรัฐบาลทหารของหูเป่ยเป็นผู้ประกาศ ให้เรียกปีใหม่ของจีนว่า”เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ” จนกระทั่งวันที่ 27 ก.ย. 1949 ในขณะที่มีการตัดสินใจจะสถาปนาชื่อสาธารณะรัฐประชาชนจีนขึ้น ก็ได้มีการระบุให้เรียกวันที่ 1 ม.ค. ของทุกปี ที่ถือเป็นวันปีใหม่สากลว่าหยวนตั้น (元旦) หรือวันเริ่มต้นปี ส่วนวันปีใหม่จีน หรือวันตรุษจีนนั้นให้เรียกว่า “เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ”

    [​IMG]
    : หนุ่มสาวคู่หนึ่ง ชวนกันเดินเล่นในสวนตี้ถัน ปักกิ่ง ผ่านกลองใบใหญ่ที่ ประดับด้วยงานศิลปะกระดาษตัดรูปงู ซึ่งเป็นนักษัตรประจำปี 2556 (ภาพรอยเตอร์ส)
    'วันแห่งการขอบคุณ'
    วันตรุษจีนยังเป็นวันที่มีความเกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ ภูมิอากาศ และการเกษตรกรรม โดยในอดีตวันนี้จะเป็นวันที่นำเอาผลผลิตมากราบไหว้บูชาต่อบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งเป็นการแสดงความขอบคุณต่อธรรมชาติและเทพยดาฟ้าดิน

    นักวิชาการด้านประเพณีท้องถิ่นของจีนได้ระบุว่า ในแต่ละวันของเทศกาล ต่างเป็นวันแห่งการขอบคุณ ตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำเดือน 1 ไปจนถึงขึ้น 7 ค่ำเดือน 1 (ตามปฏิทินทางจันทรคติ) จะถูกขนานนามเป็น “วันไก่” “วันสุนัข” “วันหมู” “วันแกะ” “วันวัว(ควาย)” “วันม้า” และ “วันคน” เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและขอบคุณต่อธรรมชาติ

    นอกจากนั้น ในวันตรุษจีน ชาวจีนยังจะกราบไหว้ “เทพเจ้าเตาไฟ” และ “พระแม่ธรณี” เพื่อแสดงความขอบคุณที่ทำให้ชาวโลกได้มีไฟ และมีผืนดินไว้ใช้ประโยชน์ เพียงแต่น่าเสียดายที่ประเพณีเหล่านี้ ได้ค่อยๆจางหายไปตามวิทยาการที่ล้ำสมัยมากขึ้น

    นายฮั่วซั่งเต๋อ เลขาสมาคมศิลปะและวัฒนธรรมจีนได้ระบุว่า ในวันตรุษจีน ยังคงถือการกราบไหว้บรรพชนเป็นหลัก โดยในครอบครัวคนจีน มักจะให้หัวหน้าครอบครัว นำพาลูกหลานในบ้าน มากราบไว้บรรพบุรุษกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะการกราบไหว้บรรพบุรุษ นอกจากจะเป็นการแสดงความขอบคุณต่อบรรพบุรุษ และขอให้บรรพชนปกปักษ์รักษาแล้ว ยังเป็นการอบรมให้รู้ถึงวัฒนธรรมในครัวเรือน ที่บุพการีควรมีความโอบอ้อมอารี ส่วนลูกหลานก็ควรมีความกตัญญู และพี่น้องก็ควรจะสามัคคีปรองดอง



    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    新正如意 新年发财 (ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ)... คิดหวังสิ่งใดขอให้สมหวังสมปรารถนาในปีใหม่นี้ มีแต่ความสุขมั่งคั่ง โชคดีร่ำรวยตลอดปี (ถ้าเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้)


    新年快樂 (ซินเหนียนไคว่เล่อ) ... ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่


    恭贺新年 (กงเฮ่อซินเหนียน) ... สุขสันต์วันปีใหม่


    恭贺新禧 (กงเฮ่อซินสี่) ... สุขสันต์วันปีใหม่

    คำอวยพรเกี่ยวกับเรื่องความร่ำรวย ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง


    恭喜发财 (กงซีฟาไฉ) ... ขอให้ร่ำรวย


    日进斗金 (ยื่อจิ้นโต้วจิน) ... ขอให้ชัยชนะ และเงินทองเข้ามาทุก ๆ วัน


    大吉大利 (ต้าจี๋ต้าลี่) ... ค้าขายได้กำไร


    招财进宝 (เจาไฉจิ้นเป่า) ... เงินทองไหลมาเทมา ทรัพย์สมบัติไหลเข้าบ้าน


    金玉满堂 (จินอวี้หม่านถัง) ... ร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้าน


    日日有见财 (ยื่อยื่อโหย่วเจี้ยนไฉ) ... ทุกวันมีแต่ความร่ำรวย


    黄金万两 (หวงจินว่านเหลี่ยง) ... ทองคำมากล้นทวีคูณ (ค้าขายให้มีกำไร ทรัพย์สินเงินทองมากมาย)


    年年大赚钱 (เหนียนเหนียนต้าจ้วนเฉียน) ... ปีนี้ร่ำรวยมหาศาล


    财源广进 (ไฉหยวนกว่างจิ้น) ... เงินทองไหลมาเทมา


    年年有余 (เหนียนเหนียนโหย่วอวี๋) ... เหลือกินเหลือใช้ทุกปี


    一本万利 (อี้เปิ่นว่านลี่) ... กำไรมากมาย


    祝你顺利 (จู้หนี่ซุ่นลี่) ... ขอให้คุณประสบความสำเร็จ


    祝您步步高升 ! (จู้หนินปู้ปู้เกาเซิง) … ขอให้ท่านเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป


    福禄双全 (ฝูลวี่ซวงฉวน) ... เป็นศิริมงคล ด้วยเงินทองและวาสนา


    事业发达 (ซื่อเย่ฟาต๋า) ... กิจการเจริญรุ่งเรือง


    คำอวยพรเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ


    福寿万万年 (ฝูโซ่วว่านว่านเหนียน) ... อายุยืนหมื่น ๆ ปี


    龙马精神 (หลงหม่าจินเสิน) ... สุขภาพแข็งแรง


    四季平安 (ซื่อจี้ผิงอัน) ... ปลอดภัยตลอดปี


    祝你长寿 (จู้หนี่ฉางโส่ว) ... ขอให้คุณอายุยืนยาว


    祝你健康 (จู้หนี่เจี้ยนคัง) ... ขอให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง


    身体健康 (เซินถีเจี้ยนคัง) ... สุขภาพแข็งแรง


    คำอวยพรเกี่ยวกับเรื่องความสมปรารถนา


    万事如意 (ว่านซื่อหรูอี้) … ทุกเรื่องสมปรารถนา


    家好运气 (เจียห่าวยวิ่นชี่) ...ความโชคดีเข้าบ้าน


    事事顺利 (ซื่อซื่อซุ่นลี่) ... ราบรื่นในทุก ๆ เรื่อง


    吉祥如意 (จี๋เสียงหรูอี้) ... เป็นสิริมงคลสมดังปรารถนา


    好运年年 (ห่าวยวิ่นเหนียนเหนียน) ...โชคดีตลอดไป


    一帆风顺 (อี้ฝานเฟิงซุ่น) ... ทุกอย่างราบรื่น


    幸福如意 (ซิ่งฝูหรูอี้) ... มีความสุขสมปรารถนา

    -http://hilight.kapook.com/view/66329-

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ความในใจของนาวิกโยธิน... หลังปลิดชีพโจรใต้ 16 ศพ
    -http://hilight.kapook.com/view/82148-

    [​IMG]


    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก คุณวาสนา นาน่วม

    จากเหตุการณ์ระทึกขวัญที่กองกำลังโจรใต้กว่า 50 คน แต่งกายเลียนแบบทหาร ควงอาวุธสงครามครบมือ ตั้งท่าโจมตีฐานนาวิกโยธิน ที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส แต่เจ้าหน้าที่รู้ตัวล่วงหน้า จึงเตรียมพร้อมวางแผนตั้งรับอย่างเต็มที่ จนสามารถวิสามัญคนร้ายได้ถึง 16 ศพ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา...

    ถึงแม้ว่าพวกนาวิกโยธินจะรอดตาย ถึงแม้ว่าจะสามารถสังหารหัวหน้าแกนนำคนสำคัญที่สุดในพื้นที่นราธิวาสได้ แต่จริง ๆ แล้วใครจะรู้ว่า พวกเขารู้สึกอย่างไร ที่ต้องลงมือปลิดชีพมนุษย์ ที่ขึ้นชื่อว่า "คนไทย" ด้วยกัน... โดยใน เฟซบุ๊ก คุณวาสนา นาน่วม ได้โพสต์ข้อความ เผยถึงความในใจของเหล่านาวิกโยธินกับภารกิจวิสามัญโจรใต้ทั้ง 16 ศพ ดังนี้

    ความในใจ นย....."ตอนสามทุ่มยี่สิบ พวกมันคลานศอกเข้ามาข้างหลังฐาน มาส่องดูพวกเราก่อน เพื่อตรวจสอบว่า พวกผมรู้ตัวหรือเปล่า แต่พวกผมใจเย็น เพราะส่องกล้องดู มันมาแค่ 8 คน ก็ปล่อย พวกผมรออย่างใจเย็น แต่ในใจก็คิดว่า เดี๋ยวมันมาแน่ แล้วราว ๆ ตีหนึ่ง นิด ๆ เสียงรถปิกอัพ มอเตอร์ไซค์มา มันย่ามใจมาก กะจะปิดประตูตีแมวเลย เข้ามาทั้งด้านหน้าด้านหลัง

    ....ผมยอมรับว่า ผมไม่เคยเจอพวกมันแบบนี้ ตอนที่เห็นมันกระโดดลงจากรถ เชื่อไหม ในใจผมบอกกับตัวเองว่า เฮ้ย พวกมันมาจริง ๆ พวกมันมีตัวตนจริง ๆ มันเป็นคนไทย แต่มันคิดแค้นแบบนี้ แนวคิดแบบนี้ มันมาจริงโว้ย ขนผมลุกซู่เลย ไม่ใช่กลัว แต่พวกผม พร้อมมานานหลายวัน พร้อมมาก ขนลุกเพราะเศร้าใจว่า ไอ้เงาดำ ๆ ที่มันถือปืนกำลังจะวิ่งเข้ามานั่น มันคนไทย แต่กลายเป็นโจรใต้ไปแล้ว ไม่มีใครอยากทำหรอกครับ แต่มันจำเป็น

    เมื่อมันเปิดฉากเข้าโจมตี ยิงเข้าใส่ทุกทาง พวกผมทั้ง นย. และ นสร. ก็เต็มที่ครับ เพราะตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่า พวกเราจะต้องเจ็บตาย จะพลาดหรือเปล่า เวลานั้นไม่ว่าฝ่ายมัน หรือฝ่ายเรามีหนึ่งชีวิตเท่ากันครับ มีสิทธิ์เจ็บตายเท่ากัน มีสิทธิ์ที่จะถูกมันจับ มัดมือมันเท้า แบบที่มันเตรียม เชือก ลวดมา พร้อมที่จะถูกมันยิงซ้ำ เมื่อเจ็บ พร้อมที่จะถูกมันเผาทั้งเป็นคาฐาน เพราะมันเตรียมอุปกรณ์วางเพลิงมา ถังแก๊ส กะย่างสดพวกเราทั้งเป็น แต่เพราะพวกผมวางแผน เตรียมตัวรับมาดี มั่นใจว่าเราดูแลฐานและอาวุธปืนได้ มั่นใจว่า เราจะทำให้ชาวบ้านมั่นใจในทหารมากขึ้น เพราะในเมื่อเขาอุตส่าห์เสี่ยงตาย กระซิบข่าวพวกเราก่อน จนเตรียมตัวได้ เราก็ต้องดูแลพวกเขา

    แม้ว่าจากนี้ การแก้แค้นจะรออยู่เบื้องหน้าก็ตาม เมื่ออยู่ที่นี่แล้ว พวกผม นย. ก็พร้อมครับ ชีวิตแลกชีวิต หากชีวิตพวกผมจะทำให้ชายแดนใต้สงบ คนไทยพุทธ มุสลิม ผู้บริสุทธิ์ ปลอดภัย พวกผมพร้อม เพราะพวกผมเป็นนาวิกโยธิน พวกผมเป็นทหารเรือ ที่สำคัญพวกผมเป็นทหารไทย ที่จะไม่ให้ใครมาดูหมื่นเกียรติศักดิ์ศรี และต้องรักษาฐาน รักษาแผ่นดินไทย ไม่ใช่ปล่อยให้พวกมันทำอะไรก็ได้ ทำให้ชาวบ้านอยู่ในความกลัว

    ...ผมเสียใจที่ต้องทำ เสียใจที่พวกนั้นต้องตาย แต่ให้นึกถึงเวลาที่พวกมันทำกับทหารเรา ไม่ว่าจะ ทบ. หรือ นย. ที่ตายไป สิบคนแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้... นี่มันเข้ามาโจมตีฐานเราเอง ทั้งเครื่องแบบ ทั้งอาวุธครบมือ พวกผมไม่มีทางเลือกอื่นครับ...

    ขอให้เข้าใจพวกผม เถิดครับ ขอแค่ความเข้าใจและกำลังใจ เท่านั้นจริง ๆ ไม่อย่างนั้น ศพที่นอนตายหลังปะทะอาจเป็นพวกผม หรือวันใดวันหนึ่ง ก็อาจเป็นพวกผมอีก" .... นาวิกโยธิน ๓๒

    ข่าวโจรใต้ ความในใจของนาวิกโยธิน... หลังปลิดชีพโจรใต้ 16 ศพ

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    เหนื่อยนักพักหน่อย ก็ดีนะครับ

    สวัสดีตอนดึกครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ฟังทางนี้! “ริว จิตสัมผัส” ชี้ทางทำบุญสงกรานต์อย่างไรให้รวยให้เฮง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 เมษายน 2556 17:48 น.
    -http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9560000044945-

    “ริว จิตสัมผัส” ชี้ทางทำบุญช่วงสงกรานต์ บอกก่อนจะไปทำบุญที่ไหนควรสรงน้ำพระพุทธรูปที่บ้านก่อน จากนั้นคือล้างเท้าพ่อ-แม่ เพื่อขอขมาและเพื่อความเป็นสิริมงคลของตัวเอง พร้อมแนะปิดทองพระอย่างไรให้รวยและเฮง

    เริ่มกันแล้วกับเทศกาลสงกรานต์ อีกหนึ่งวันสำคัญของไทย บางคนเลือกที่จะไปเที่ยวพักผ่อน หลายคนพาครอบครัวไปทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต ส่วนใครยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร วันนี้ “ริว จิตสัมผัส” มีเคล็ดลับทำบุญสงกรานต์อย่างไรให้รวยให้เฮงมาฝากทุกคน

    “ทำบุญสงกรานต์ปีใหม่ไทยก่อนที่เราไปทำบุญที่ไหน เราทำในบ้านก่อน เอาพระลงมาล้าง ไม่ต้องกลัวบาป น้ำอบเราไม่ต้องไปอาบให้ท่านแค่ประๆ ก็พอ สิ่งที่ต้องมีคือ ทองคำเปลว สมัยก่อนพอเสร็จเขาจะติดที่อก เรียกว่าดับไฟสุมอก คุณมีทุกข์อะไรแล้วกลัวว่าจะทุกข์ให้ขอแต่เรื่องดีๆ แล้วแปะลงไป แล้วอัญเชิญพระขึ้นหิ้งพระเหมือนเดิม หลังจากนั้นจุดธูปไหว้ขอขมา ขอให้ท่านเป็นกำลังใจ”

    “อีกอย่างคือการล้างเท้าพ่อแม่ นี่คือพระในบ้าน แต่ถ้าไปทำบุญนอกบ้าน เคล็ดลับคือถึงจะไป 10 วัด ขอพรเรื่องเดียวพอ เราไปที่ไหนเราจะมีพรนี้ตามไปด้วย ถ้าเราขอพรเกี่ยวกับการงาน เราก็ไปปิดทองที่มือ ส่วนใครป่วย ป่วยตรงไหนก็ปิดตรงนั้น ใครไปทำงานทางไกลก็ติดที่เท้า ใครต้องการความอบอุ่นก็ติดที่จีวร ใครขอเรื่องครอบครัวก็ติดที่ของใช้พระสงฆ์ แต่สิ่งที่ห้ามปิดคือตา แค่นี้ก็เที่ยวสงกรานต์สนุกแล้ว แต่อย่าลืมว่าพระมีเท่าไหร่ก็ไม่สู้สติ รัฐบาลเตือนเยอะแล้ว ถ้าคุณไม่มีความรักของคนที่รอคอย คุณกลับมา คุณก็ไม่ต่างอะไรจากศพรายต่อไป ขอให้รู้จักดูแลตัวเองแล้วก็อย่าประมาทครับ”


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2013
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หอมน้ำปรุง..น้ำอบไทย - ร้อยเรื่องมรดกไทย
    วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2556 เวลา 00:00 น.

    [​IMG]

    ร้อยเรื่องมรดกไทยกลับมาบอกเล่าหลากเรื่องราวความงดงามศิลปวัฒนธรรมไทย ชวนร่วมกันสืบสานรักษาโดยสัปดาห์นี้พาย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศความหอมสด ชื่นของ น้ำอบและน้ำปรุง

    ในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวหลายวิธีที่เลือกนำมาดับคลายความร้อนของแต่ละคนอาจ ต่างกันไป ในวันวานการประพรมร่างกายด้วยน้ำอบไทย เครื่องสำอางโบราณที่ครบพร้อมด้วยเรื่องราวความหอมและความพิถีพิถันการ ประดิษฐ์สร้างสรรค์นั้นเป็นอีกวิธีหนึ่ง

    การใช้เครื่องหอมของไทยกล่าวได้ว่าสอดแทรกอยู่ในประเพณีต่าง ๆ รวมทั้งควบคู่กับการดำเนินชีวิตคนไทยมาโดยตลอด และด้วยที่เครื่องหอมมีหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น น้ำอบ น้ำปรุง สีผึ้ง แป้งร่ำ ฯลฯ แต่ที่นิยมใช้กันมายาวนานคือ น้ำอบ ซึ่งนำมาใช้เป็นเครื่องประทินผิวประพรมร่างกาย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวเป็นหนึ่งในวิธีคลายร้อนที่เลือกนำมาใช้ เพิ่มความเย็นสดชื่นให้กับร่ายกาย ทั้งนี้เพราะในส่วนผสมของน้ำอบมีส่วนประกอบของสมุนไพรไทยหลายชนิด รวมทั้งดอกไม้สดกลิ่นหอม อย่างเช่น ดอกมะลิ ดอกแก้ว ดอกชมนาด ฯลฯ จากนั้นจะนำมาอบร่ำในน้ำให้มีกลิ่นหอมเย็น

    นอกจากนี้น้ำอบยังนิยมนำมาใช้ทั้งในพิธีมงคล พิธีกรรมต่าง ๆ เช่น สรงน้ำพระรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในประเพณีสงกรานต์ ฯลฯ นอกเหนือจากน้ำอบที่มีความหอมแล้ว น้ำปรุงก็ถือได้ว่าเป็นน้ำหอมของไทยอีกอย่างหนึ่งโดย ความหอมของน้ำปรุงมีความเป็นมายาวนานเช่นเดียวกัน

    จากข้อมูลที่มีการกล่าวถึง น้ำปรุงจะมีความต่างจากน้ำอบตรงที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม แต่อย่างไรแล้วยังคงความหอมชื่นใจด้วยกลิ่นของดอกไม้ สมุนไพรไทยหลายชนิดซึ่งเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาไทยทรงคุณค่าที่น่าภาคภูมิใจ อีกทั้งยังถ่ายทอดวิถีไทยไว้ชัดเจน.
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ตอนนี้ งานผมเยอะมาก ไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาในกระทู้ฯบ่อยนักครับ

    งานเยอะมาก ผมกลับบ้าน สอง - สามทุ่ม ทุกวัน

    ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่ง งานยิ่งเยอะ แถมจับลูกน้องได้ว่า รับเงินจากลูกค้า ตอนนี้ให้เจ้านาย ทำตักเตือนด้วยวาจาไว้ก่อน
    งานก็เยอะ ยังต้องมาตามดูพฤติกรรมลูกน้องอีก และที่ตามดูพฤติกรรมลูกน้อง ก็ไม่ใช่คนเดียว แต่เป็นลูกน้อง 2 คน


    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปรับวิธีคิด!การดำเนินชีวิตจะปลอดภัย
    สวัสดีเศรษฐกิจ : เพียงปรับวิธีคิด การดำเนินชีวิตจะปลอดภัย : โดย...สุรพล โอภาสเสถียร



    แม้ว่าเราจะไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้ แต่เราสามารถเตรียมความพร้อม เพื่อ “อนาคตที่ดีและมั่นคง” ได้ มิใช่หรือ ? ขอเพียง “วางแผนการเงิน” ให้เป็น สิ่งที่หวังและอนาคตที่ฝัน ย่อมเป็นจริงได้ไม่ยาก คำกล่าวข้างต้นอยู่ในเอกสารหนังสือเล่มเล็กๆ ขนาดกะทัดรัด ที่จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในชุดคู่มือ รู้รอบเรื่องการเงิน ตอน วางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด สำหรับประชาชนขึ้น เพื่อเป็นเสมือนเพื่อนคู่คิด ที่คอยแนะแนวทางในการจัดการทางการเงิน ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นคง และมีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต

    สิ่งที่ผมได้อ่านในฐานะประชาชนคนหนึ่งต้องยอมรับว่าในบางช่วงบางเวลาของการ ใช้ชีวิต ซึ่งต้องมีการวางแผนการหาเงิน การสะสมเงิน การใช้เงินเพื่อการลงทุนสำหรับอนาคต เช่น

    1.การสร้างอนาคตสำหรับครอบครัวตัวอย่าง การสร้างเรือนหอเวลาเริ่มครอบครัว การสร้างบ้านใหม่หรือต่อเติมบ้านเก่าเมื่อลูกๆ เติบโต ท้ายสุดคือการปรับปรุงบ้านเดิมสำหรับชีวิตหลังการทำงานเมื่อเราจะมีอายุ 60 ปีกับอีก 1 วัน นั่นคือ วันที่เริ่มต้นหลุดพ้นจากงานประจำในหน้าที่ 8 โมงเช้าจบที่ 5 โมงเย็น

    2.การสร้างความมั่งคั่ง หรือความร่ำรวยจากการหาเงินและใช้เงินไปเพื่อการออมและการลงทุน เช่น การหาที่ฝากเงินที่ให้ดอกเบี้ยสูงๆ ที่เราเรียกว่านักล่าอัตราดอกเบี้ย อีกกรณีหนึ่งคือการนำเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนด้วยการแลกกับการบริหารความ เสี่ยงกับสิ่งที่เรียกว่าผลขาดทุน อันนี้ขึ้นกับโอกาส จังหวะการลงทุน การตัดสินใจ ความโลภ ความมีวินัยในการปฏิบัติทั้งในกรณีที่มีผลกำไรและมีผลขาดทุน

    3.การจดบันทึกการใช้ การจ่าย ตามที่หนังสือเล่มเล็กนี้บอก หรือการทำแบบสอบถามเพื่อวัดตัวตนของเรา นิสัยของเราว่าจะรอดหรือไม่รอดในอนาคต อันนี้เป็นจุดที่น่าสนใจมากๆ นะครับ เพราะขัดกับจริตคนไทยโดยทั่วไปในเรื่องการจดการเขียนพฤติกรรมการใช้จ่ายของ ตนเอง ส่วนใหญ่จะชอบมั่วๆ ดำดิน หมุนๆ กันไปที่เรียกกันว่าชักหน้าให้ถึงหลังให้ได้ ผมเห็นด้วยว่าการจดลงไปจะเป็นตัวหยุดยั้งให้ใจของแต่ละคนเกิดความละอาย ลดละเลิกในสิ่งที่จะต้องซื้อหามาเพื่อปรุงแต่งความอยากได้ใคร่มีของแต่ละคน แต่ละท่าน

    4.ข้อแนะนำการก่อหนี้ หากมีความจำเป็น การก่อหนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเสมอไปหากรู้จักบริหารจัดการและก่อหนี้ ที่มีประโยชน์ สินเชื่อเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น เช่น กู้เพื่อซื้อบ้าน กู้เพื่อประกอบธุรกิจ แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องประเมินความสามารถในการชำระคืนของตนเองด้วย โดยมีหลักคร่าวๆ คือ ภาระในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยของหนี้ทุกประเภทรวมกันในแต่ละเดือน ไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน กล่าวคือ หากเรามีรายได้ 15,000 บาท เราควรมีภาระในการจ่ายหนี้ทุกประเภทในแต่ละเดือนไม่ควรเกิน 6,000 บาท จึงจะเหมาะสม ปลอดภัย

    ท่านผู้อ่านสามารถดาวน์โหลดเอกสารนี้ได้จากการเข้าไปที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย และตามไปที่แหล่งข้อมูลศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินหรือศูนย์ 1213 นั่นเอง อย่าลืมนะครับความรู้ที่มาจากการขนขวายจะช่วยป้องกันความเสี่ยงที่คอยจะมา รุกรานเราได้ทุกเมื่อ เพราะวันนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน





    -----------------------

    (สวัสดีเศรษฐกิจ : เพียงปรับวิธีคิด การดำเนินชีวิตจะปลอดภัย : โดย...สุรพล โอภาสเสถียร)

    -http://www.komchadluek.net/detail/20130321/154243/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94!%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2.html-

    .

    ปรับวิธีคิด!การดำเนินชีวิตจะปลอดภัย คมชัดลึก : เศรษฐกิจ : ข่าวทั่วไป

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปัจจัยที่น่าจะกระทบต่อราคาทองคำในปี 2556
    -http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=199-

    ณ วันที่ 13/12/2555


    สวัสดีท่านสมาชิกทุกท่าน ย่างเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2555 กันแล้วนะครับ ปีนี้ราคาทองคำร้อนแรงน้อยกว่าปีที่แล้วที่สามารถสร้าง All time High ได้ในเดือนสิงหาคม ขณะที่หลายสำนักต่างคาดการณ์กันว่าในปีหน้าฟ้าใหม่ 2556 ราคาทองคำจะสามารถกลับมาดึงดูดใจนักลงทุนได้อีกครั้ง ทำให้จุลสารฉบับส่งท้ายของปีนี้ขอข้ามไปจับประเด็นร้อนของปีหน้าโดยการติดตามคาดการณ์ทำให้สามารถจับประเด็นได้ว่าเรื่องร้อนในปีหน้าคงหนีไม่พ้น US Fiscal crisis, Eurozone debt crisis และ Expansion Monetary policy นอกเหนือจากนี้ยังมีการซื้อขายเก็งกำไรและการสะสมของบรรดากลุ่มนักลงทุนระยะยาว โดยมีปัจจัยที่น่าจะกระทบต่อราคาดังนี้

    ทิศทางราคาทองคำในปี 2556 ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยเดิมในปี 2555 โดยเฉพาะนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางจีน (PBOC) จากการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ซึ่งเชื่อว่าจะยังดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2556 จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการคลังสหรัฐฯ (Fiscal Cliff) และปัญหาหนี้สินยุโรป ส่วนจีนนั้นต้องมีการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มมากขึ้นจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจแม้จะไม่ได้เป็น Hard Landing อย่างที่หลายฝ่ายกังวล แต่เศรษฐกิจที่กลับมาเติบโตแบบเลขตัวเดียวในปี 2555 ก็ถือว่ากระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ นโยบายทางการเงินสหรัฐฯ เชื่อว่าจะมีการผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับผลกระทบของ Fiscal Cliff โดยถ้าไม่สามารถต่ออายุมาตรการภาษีได้ทัน มาตรการทางการเงินอย่าง QE3และการคง FED Fund Rateในระดับใกล้ศูนย์จะยังคงดำเนินต่อไป นอกจากนี้ Operation Twist ที่จะหมดอายุในช่วงปลายปี 2555 อาจจะมีการต่ออายุ ซึ่งจะทำให้ทิศทางของสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่วนวิกฤติหนี้ยุโรปเชื่อว่าจะกระทบต่อตลาดการลงทุนตลอดทั้งปี 2556 ทำให้ความผันผวนในตลาดการลงทุนปีนี้ยังมีต่อเนื่อง ปัจจัยเงินเฟ้อในปี 2556 ไม่ได้เป็นปัจจัยที่น่ากังวลเนื่องจากความต้องการใช้พลังงานอาจจะลดลงจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนอุปสงค์ทองคำเชื่อว่ามีต่อเนื่องโดยเฉพาะในส่วนของธนาคารกลางแต่อาจจะถูกชดเชยจากอุปสงค์ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับที่ลดลง ค่าเงินบาทคาดเฉลี่ยทั้งปีแข็งค่าขึ้นจากนโยบายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ เงินทุนไหลเข้า แต่เชื่อดอกเบี้ยนโยบายอาจจะลดลง 0.25-0.50% จากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ลดลง

    ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเชื่อว่ายังเป็นปัญหาหลักในปี 2556 สหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาหนักด้านการตัดลดการใช้จ่ายด้านการคลัง หรือที่เรียกว่าหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ซึ่งอาจจะต้องตัดลดรายจ่ายกว่า 6 แสนล้าน (ถ้าไม่สามารถต่ออายุมาตรการภาษีได้ทัน) หรือตัดลดรายจ่ายประมาณ 8.6 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ตามกฎหมายตัดลดรายจ่าย 1.2 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในช่วงระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้สหรัฐฯ เรามองว่าการใช้จ่ายที่ลดลงของภาครัฐจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะเติบโตในระดับที่น้อยกว่า 2% ในปี 2556 การจ้างงานในส่วนของพนักงานรัฐ โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญที่ถูกตัดลดรายจ่าย บวกกับบัณฑิตที่จบใหม่ จะทำให้อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงกว่า 7% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของ FEDทำให้เชื่อว่าการดำเนินนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ จะมีอย่างต่อเนื่องในปี 2556 โดยเฉพาะมาตรการ QE3 ที่จะเพิ่มปริมาณเงินเดือนละสี่หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐในการเข้าซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่องทำให้ Monetary Baseอาจจะสูงกว่า 2,800 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากระดับที่เป็นอยู่ปัจจุบันรวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ในตลาด

    ตลาดการจ้างงานซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐฯใช้ในการกำหนดนโยบาย ยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยในปี 2556 เชื่อว่าตลาดสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจภายนอกมากขึ้นโดยเฉพาะยุโรปที่เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างช้า ๆ ขณะที่รัฐยังต้องตัดลดรายจ่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาวินัยทางการคลังและไม่สร้างปัญหาขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งถ้าเทียบเคียงวิกฤติดอทคอมในช่วงปี 2544 ใช้เวลาถึง 5 ปีในการฟื้นตลาดการจ้างงานขณะที่วิกฤติ subprime มีขนาดความเสียหายมากกว่า และกระทบต่อภาคธนาคารซึ่งเป็นกลไกหลักในการเดินเศรษฐกิจ ประกอบกับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจึงประเมินว่าตลาดจ้างงานสหรัฐฯจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีก 1-2 ปี

    ตลาดเกิดใหม่อาจจะมีการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มมากขึ้นจาก 2 สาเหตุหลัก ประการแรกผลกระทบจาก QE3 สหรัฐฯ ทำให้สกุลเงินของประเทศเกิดใหม่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระทบต่อการค้าขายระหว่างประเทศ จึงเชื่อว่าในปี 2556 การดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศเกิดใหม่จะผ่อนคลายมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศที่อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างเสรี ดังจะเห็นว่าในช่วงหลังการออกมาตรการ QE3 ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มมีการเข้าดูแลค่าเงินอย่างธนาคารกลางญี่ปุ่น ธนาคารบราซิล ธนาคารกลางเกาหลีใต้ รวมถึงธนาคารกลางจีน

    ปัจจัยด้านเงินเฟ้อปี 2556 เชื่อว่าจะผ่อนคลายกว่าปี 2555 จากอุปสงค์ในการบริโภคและด้านพลังงานที่ลดลงตามภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเทศพัฒนาอย่างกลุ่มยูโรโซน ทำให้การขึ้นราคาสินค้าไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ดีความเสี่ยงในตะวันออกกลางเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยาก การปะทะทางทหารระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมันอาจจะทำให้ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อกลับมาได้ นอกจากนี้ปัจจัยด้านภัยธรรมชาติถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินเฟ้อ

    ความต้องการทองคำในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤติ Subprime โดยเฉพาะการถือครองของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เนื่องจากสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ธนาคารกลางเคยใช้เป็นทุนสำรองมีการอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงและส่งผลต่อทุนสำรองระหว่างประเทศ จึงทำให้มีการเปลี่ยนมาถือครองทองคำ ซึ่งในอดีตธนาคารกลางเป็นกลุ่มที่ขายทองคำอย่างต่อเนื่อง

    ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่มีการขายทองคำลดลง ตามข้อตกลง Central Bank Gold Agreement ซึ่งกำหนดให้ธนาคารกลางขนาดใหญ่รวม IMF ขายทองคำออกได้ไม่เกินข้อตกลง โดยล่าสุดอยู่ในฉบับที่ 3 (CBGA3) ซึ่งมี limit ต่อปีไม่เกิน 400 ตัน แต่จะเห็นว่าธนาคารกลางแทบไม่มีการขายออกตั้งแต่ช่วงปี 2552 การขายทองคำจำนวนมากเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการขายของ IMF ช่วงต้นปี 2553 จำนวน 129.1 ตัน สะท้อนให้เห็นการสะสมทองคำของธนาคารสำคัญที่เพิ่มขึ้น

    การถือครองของกองทุน ETF สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2555 กองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก มีระดับการถือครองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นมุมมองของผู้ลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยต่อการลงทุนทองคำ ซึ่งปัจจุบันถือครองสูงกว่า 1,300 ตัน หลังจากมีแรงขายในช่วงต้นถึงกลางปี 2555

    จะเห็นได้ว่าความต้องการทองคำในส่วนของทุนสำรองและการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ความต้องการในส่วนของกลุ่มเครื่องประดับกลับลดลงซึ่งเป็นผลมาจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำมากที่สุดประเทศหนึ่งมีการปรับเพิ่มภาษีสำหรับนำเข้าทองคำเป็น 4% แต่เชื่อว่าจะกระทบต่ออุปสงค์เล็กน้อย

    ด้านอุปทานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยยอดรวมของอุปทานทองคำในปี 2552-2554 เท่ากับ 4,109, 4,350 และ 4,497 ตัน ตามลำดับ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของการผลิตทองคำใหม่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยโดยรวมแล้วถือว่าโอกาสทองคำยังคงมีในปี 2556 อย่างไรก็ดีความผันผวนของราคาน่าจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นท่านสมาชิกควรให้ความระมัดระวังและติดตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาอย่างใกล้ชิดครับ ฉบับนี้ลากันไปก่อนสวัสดีครับ


    ผู้เขียน คุณกมลธัญ พรไพศาลวิจิต
    ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
    ที่มา : จุลสาร ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2555
    พิมพ์แจก สมาชิกสมาคมค้าทองคำ ทั่วประเทศ

    Gold Traders Association : สมาคมค้าทองคำ

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...