ตามรอยพระพุทธบาท ท่าเท้าพระพุทธองค์

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 สิงหาคม 2012.

  1. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ลืมบอกว่าคุณเขากระโดงต้องทำความรู้สึกให้ทั่วทั้งร่างก่อนนะครับ ถามว่าอาการนั้น เป็นอย่างไร พี่ลองสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วลองสังเกตุอาการดูนะครับ จะเป็นความรู้สึกที่อยู่ใต้ผิวหนัง
    หากยังเป็นแค่จุดใดจุดหนึ่งก็ให้เริ่มจากตรงจุดนั้น แล้วค่อยลองทำความรู้สึกนั้น ให้ค่อยๆแผ่กระจายออกไปจนได้หมดทั้งร่าง
    จากนั้นจึงจะเริ่มที่เข้า ตรึง แช่ ออก โดยอาจะเปรียบเป็น% ซึ่งความรู้สึกยังเป็นทั้งตัวอยู่เช่นเดิมนะครับ แต่ความหนาแน่นของความรู้สึกจะเปลี่ยนไป
    ไม่ทราบว่าพอเข้าใจไหมครับ ถ้าไม่เข้าใจรอคุณธรรมชาติดีกว่า อิๆๆๆๆ
     
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เรียน ท่าน watjojoj

    พฤหัส-เสาร์ นี้ เปิดบ้านสำหรับฝึกครับ ต่างจังหวัดมาได้ มีที่ให้นอนพักด้วย

    เดี๋ยวบ่ายนี้โทรไปคุยรายละเอียดครับ
     
  3. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    เห็นคุณจิตวิญญาณสนใจพอดี ไม่รู้ว่าจะได้อ่านไหม ส่วนผมวันธรรมดาคงยากมากกกกกครับ
     
  4. เขากระโดง

    เขากระโดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +1,015
    ขอบคุณค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแต่ไม่ทั้งหมด แอบอ่านกระทู้ท่านธรรมชาติและท่านอื่นๆบ้าง ลองปฏิบัติตามเวลาที่พยายามจะหาคำตอบให้ตัวเอง ก็ยอมรับว่ายากมากๆ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
    เพิ่งนึกได้ค่ะว่า การหายใจเข้าลึกๆและทำความรู้สึกทั้งตัว เริ่มที่เข้า ตรึง แช่ ออก ของท่านธรรมชาติแบบนี้จะคล้ายกับหลวงพ่อพุธและหลวงปู่จันทร์ที่เคยสอนข้าพเจ้าไว้ ให้แช่ลมที่หายใจเข้าไปที่ปอด แล้วทำความรู้สึกตามลมไปทั่วร่างกาย และในการเริ่มนั่งสมาธิเกือบทุกครั้งข้าพเจ้าจะใช้วิธีนี้ จะทำให้สมาธิรวมตัวเร็วมาก
    ขอบอกเพิ่มเติมว่าณ ตอนนั้นในความนิ่ง เงียบนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้สึกในลมหายใจแล้ว ไม่รู้สึกในการมีร่างกายสังขาร ที่ยังรู้สึกระลึกรู้คือจิตที่อยู่ที่นั้นในความนิ่ง ว่าง เงียบ แต่จะลองพยายามทำตามที่คุณ watjojo แนะนำค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2013
  5. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    อันนั้นผมไม่มั่นใจนะครับว่าพี่ติดอยู่ที่อรูปไหม ซึ่งจริงๆแล้วพี่ไม่ควรไปค้างที่อาการนั้น เพราะว่าสุดท้ายจะกลายเป็นพรหมลูกฟักไป หรือว่าผมเข้าใจผิดหนอ รอใครมาให้ความกระจ่างอีกซักทีครับ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ เขากระโดง

    ขออนุญาติถามด้วยคนค่ะ เมื่อวันก่อนๆหลังจากอ่านกระทู้ของท่านธรรมชาติแล้ว ในตอนกลางคืนลองนั่งสมาธิได้สักพักก็ได้ยินเสียงคลื่นความถี่สูงเช่นกัน ก็มีสติระลึกรู้ พอสักพักความรู้สึกเหมือนตัวเราหลุดไปอยู่อีกที่หนึ่ง โล่งๆ ว่างเปล่า มืดเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดอยู่รอบๆตัวเรา เคยรู้สึกเช่นนี้มาหลายครั้งแล้วครั้งแรกที่เจอก็งงๆ พยายามมองหาใครก็ไม่มี พยายามจะดูว่าเราจะมีนิวรณ์ก็ไม่มี เงียบทุกอย่างไปหมด พอวันหลังอ่านกระทู้ท่านธรรมชาติก็พยายามนิ่ง ตรึง แช่อยู่กับความรู้สึก ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ออกจากสมาธิ แต่ในช่วงหลังรู้สึกว่าจะทำสมาธิได้นานขึ้น ความรู้สึกในความนิ่ง เงียบเราไม่สนใจก็มีสติระลึกรู้ไปเรื่อยๆ ถ้าเปรียบเทียบความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเราเป็นคนมองไม่เห็นและกำลังเดินไปในความมืด เราก็เดินไปเรื่อยๆเพื่อให้ถึงปลายทางซึ่งเราไม่สามารถรู้ว่าจะไปที่ไหน พยายามอ่านในหลายกระทู้ก็ไม่มีท่านใดเจอเหมือนข้าพเจ้า ขอให้ท่านธรรมชาติช่วยชี้แนะด้วยค่ะว่าข้าพเจ้าควรจะผ่านจุดนี้ไปอย่างไร ขอบคุณค่ะ

    +++ ตอนที่คุณ เขากระโดง เข้าไปอยู่ในความ นิ่ง เงียบ มีสติระลึกรู้ไปเรื่อยๆ เปรียบเหมือนเราเป็นคนมองไม่เห็นและกำลังเดินไปในความมืด เราก็เดินไปเรื่อยๆเพื่อให้ถึงปลายทางซึ่งเราไม่สามารถรู้ว่าจะไปที่ไหน นั้น

    +++ ในขณะนั้นเป็นสภาวะ ไร้นิวรณ์ และอยู่ในรอยต่อระหว่าง สมถะ กับ วิปัสสนา ที่เรียกว่า จิตอ่อนควรแก่การงาน

    +++ หากจะฝึกทางภาคสมถะ ก็ให้ "อยู่" ในรอยต่อนั้น จนกว่าอาการ "พอใจ อิ่มใจ เพลิดเพลินจำเริญใจ ว่าเราอยู่อย่างนี้ก็อยู่ได้ ไม่มีทุกข์อะไร" แล้วก็อยู่ในอาการนั้น ซึ่งเป็นอาการของ "ปิติ ในฌาน 2" จนกว่ามันจะพัฒนาไปเป็น "โล่ง โปร่ง เบา สบาย ใสเหมือนแก้ว" ซึ่งเป็นอาการของ "สุข ในฌาน 3" จนกว่ามันจะพัฒนามาเป็น "เฉยสนิท อุเบกขา ในฌาน 4"

    +++ หากจะฝึกทางภาควิปัสนา ก็ให้ถอนจิตออกสู่ปกติ แล้วเข้าไปให้ถึงอาการนั้นใหม่ แต่คอย จับสังเกตุ อาการเคลื่อนเข้า-ออก หรือ วูปเข้า-ออก จากการกำหนดจิต ซึ่งคล้ายกับอาการของ "สนามพลัง" ที่เคลื่อนตัวเข้ามาในยามที่กำหนดจิตเข้าสู่ ความรู้สึกตัว และอาการของสนามพลังที่ วูปแผ่ออกไป ในยามที่เร่งความรู้สึกตัว ต่าง ๆ จากนั้นจึงค่อย ๆ ศึกษาสังเกตุ "การกำหนดจิต และ ผลลัพธ์ของมัน" ซึ่งเป็น กฏเกณฑ์ (กฏ) แห่ง การทำงาน (กรรม) ทางจิต หรือ กฏแห่งกรรม เมื่อเข้าใจแล้ว จึงค่อย ๆ ฝึกจนกว่าจะออกพ้นจากกฏและขันธ์ ต่าง ๆ เหล่านี้นะครับ
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ขอบคุณค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแต่ไม่ทั้งหมด แอบอ่านกระทู้ท่านธรรมชาติและท่านอื่นๆบ้าง ลองปฏิบัติตามเวลาที่พยายามจะหาคำตอบให้ตัวเอง ก็ยอมรับว่ายากมากๆ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร

    +++ ทั้งหมด เริ่มต้นที่ "ความรู้สึกทั่วทั้งตัว" หรือเรียกว่า "รู้สึกตัวทั่วพร้อม" นะครับ หาก "ทำ" ตรงนี้ไม่ได้ ก็จะหมดโอกาสที่จะเข้าใจได้ เพราะภาษาที่ผมใช้นี้ "เป็นภาษาของการปฏิบัติ" และผู้ที่ปฏิบัติจนอาการเกิดขึ้นแล้ว "จึงอ่านและเข้าใจ รวมทั้งการต่อยอดได้"

    เพิ่งนึกได้ค่ะว่า การหายใจเข้าลึกๆและทำความรู้สึกทั้งตัว เริ่มที่เข้า ตรึง แช่ ออก ของท่านธรรมชาติแบบนี้จะคล้ายกับหลวงพ่อพุธและหลวงปู่จันทร์ที่เคยสอนข้าพเจ้าไว้ ให้แช่ลมที่หายใจเข้าไปที่ปอด แล้วทำความรู้สึกตามลมไปทั่วร่างกาย และในการเริ่มนั่งสมาธิเกือบทุกครั้งข้าพเจ้าจะใช้วิธีนี้ จะทำให้สมาธิรวมตัวเร็วมาก

    +++ ถูกต้องแล้วครับ พอเริ่มคุ้นเคยกับอาการแล้ว "ให้ใช้จิต" กำหนดให้เกิดความรู้สึกนี้ ขึ้นมาตรง ๆ โดยไม่ต้องใช้ลมหายใจมาเป็นอุปกรณ์ในการช่วยฝึกแต่อย่างใดอีก เมื่อชำนาญแล้ว ก็จะสามารถกำหนดจิตให้เข้าสู่ สภาวะที่พ้นนิวรณ์นี้ได้ภายใน 1 วาระจิตเท่านั้น

    ขอบอกเพิ่มเติมว่าณ ตอนนั้นในความนิ่ง เงียบนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้สึกในลมหายใจแล้ว ไม่รู้สึกในการมีร่างกายสังขาร ที่ยังรู้สึกระลึกรู้คือจิตที่อยู่ที่นั้นในความนิ่ง ว่าง เงียบ แต่จะลองพยายามทำตามที่คุณ watjojo แนะนำค่ะ

    +++ ในขณะที่ วางลมหายใจและร่างกาย จนไม่ปรากฏ ในขณะนั้น "ตกเข้าสู่อรูปสมาบัติ เรียบร้อยแล้ว" ในภาษาของผมคือ "ตัวดูจางคลาย กลายสภาวะเป็น อรูปธรรมารมณ์ ชนิดหนึ่ง" หากไม่มีการต่อยอดจนเข้าถึงชั้น "จิตเปล่งรังสี" แล้ว ไม่นานอาการ "ขี้ลืม หรือ วางความจำ" ก็จะเริ่มเกิดขึ้น ทุกอย่างเหมือน "การละวางปล่อยวาง" ทั้งหมด แต่มันจะไปวางที่ "สัญญา" ไม่ได้วางที่ "ขันธ์" จึงกลายไปเป็น "อสัญญีภูมิ" หรือเรียกกันเล่น ๆ ว่า "โลกียะนิพพาน" แต่ห้ามอธิษฐานขอสภาวะนี้อย่างเด็ดขาด เพราะมันเป็น "ภูมิแห่งความจำเสื่อม" มีขันธ์เดียว แบบพรหมทุกประการ และอยู่ใน อัปปนาสมาธิ ที่พ้นไปจาก กามาวจรภูมิ อีกด้วย

    +++ หากคุณ เขากระโดง อาศัยหรือทำงาน อยู่ในเขต กรุงเทพ-นนท์-ปทุม หากต้องการฝึกในภาคบ่าย หรือ ช่วงหัวคำ ก็ให้ติดต่อสอบถาม pm ในรายละเอียดกับคุณ อินทรบุตร ได้นะครับ

    ===================================================================

    ของคุณ จิตวิญญาณ

    เวลานี้เริ่มจะเข้าใจความสอดคล้องกันระหว่างภพภูมิกับกายละเอียดมากขึ้นแล้วค่ะ การจะปิดอบายเพื่อให้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องรู้และเข้าใจเรื่องภพภูมิให้แจ้งก่อนใช่ไหมคะ?

    +++ เรื่องภพภูมิ มีความสัมพัธ์โดยตรงกับสิ่งที่เรียกว่า "กาย" กายในมหาสติปัฏฐาน 4 มี กายหยาบของมนุษย์ กายพลังงานแห่งเวทนา กายเนรมิตแห่งจิต และ กายพลังจิตแห่งธรรมารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็น "กาย"

    +++ "ภูมิ" คือ ธรรมารมณ์ ส่วน "ภพ" คือ สัญญา+สังขาร หรือ ความจำ+ความคิด รวมทั้งสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ที่ออกมาเป็น "ความเห็น" นั่นเอง

    +++ อบายภูมิ (ธรรมารมณ์) ทำให้ ปรุงแต่งเป็น ทุขคติ (กายจิตปรุงทุกข์) ก่อให้เกิด ทุกข์เวทนา (กายพลังงาน) ตรงนี้เป็น ขันธ์ 4 ส่วนกายพลังงาน จะค่อย ๆ แปรเปลี่ยน กายหยาบแห่งมนุษย์ ให้เป็นไปตาม กายเวทนาอีกที ตรงนี้เป็นของ ขันธ์ 5

    +++ การจะปิดอบายเพื่อให้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องรู้และเข้าใจเรื่อง "กาย" ให้แจ้งก่อน นะครับ เพราะว่า "กาย" เป็นผู้ที่ต้อง ท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่าง ๆ ตามยถากรรมและบารมี

    +++ คำว่า "กาย" ในโพสท์นี้หมายถึง "ตัวดู" หรือสิ่งที่เรียกกันว่า "วิญญาณขันธ์" ในหมวดของ ขันธ์ 5 นั่นเองครับ และใช้ อธิบาย ในจุดนี้เท่านั้น อย่าเอาไปปนกับจุดอื่น นะครับ

    +++ หากคุณ จิตวิญญาณ "หรือผู้ที่สนใจท่านอื่น" สะดวกตามตารางเวลาของคุณ อินทรบุตร และสามารถเดินทางมาร่วมได้ ก็ให้ PM ถามรายละเอียดกับคุณ อินทรบุตร ได้โดยตรงนะครับ
     
  7. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ขอบคุณมากค่ะที่ยังนึกถึง สงสัยจะไปไม่ได้อีกตามเคยค่ะ เพราะบ่ายวันศุกร์นี้มีภาระกิจเร่งด่วนต้องทำน่ะค่ะ ยังไงก็ลุ้นให้คุณเขากระโดงไปให้ได้นะคะ
     
  8. เขากระโดง

    เขากระโดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +1,015
    ขอบคุณเช่นกันค่ะ คงจะลุ้นไม่ขึ้นค่ะ อยู่ตจว.จะเข้ากทม.ประมาณเดือนละครั้งค่ะ และสัปดาห์นี้ต้องขึ้นเขาคิชกูฏกับครอบครัว และการฝึกสมาธิของข้าพเจ้าในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งใจฝึกและรู้รายละเอียดการพิจารณาเท่าไร เป็นการฝึกที่เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วจิตเคลื่อนเข้าสู่แต่ละฌานเอง ตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่าเป็นตกภวังค์ แต่พอท่านธรรมชาติพูดถึงสนามพลังจะคล้ายๆแบบนั้น แต่จิตจะละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากต้องอธิบายรายละเอียดทั้งหมดเหมือนคุณจิตวิญญาณและ watjojo ก็จะไม่สามารถจะอธิบายได้ หากมีเวลาข้าพเจ้าจะมาเล่าการปฏิบัติของข้าพเจ้าในช่วงที่ผ่านมาอีกครั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2013
  9. เขากระโดง

    เขากระโดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +1,015
    ในช่วงเข้าพรรษาปี2535 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมในทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่วัดวะภูแก้ว โดยมีหลวงพ่อพุธและหลวงปู่จันทร์สอนวิธีปฏิบัติกรรมฐานให้ จะมีรายละเอียดการฝึกเพิ่มเติมจากที่เล่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็กลับไปฝึกปฏิบัติต่อที่บ้าน แต่ไม่เคยสังเกตในขณะปฏิบัติว่ามีรายละเอียดอะไรบ้าง เพราะสมาธิจะรวมตัวเร็วมาก และเคลื่อนตัวเข้าสู่ความรู้สึกวิตก วิจารณ์ ปิติ ประมาณ 2 ครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกในลมหายใจและร่างกายก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร ครั้งหลังสุดพบว่าจิตเคลื่อนตัวไปอยู่ในที่โล่ง ว่าง สว่าง เบา สบาย เป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งต้นปีนี้ได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ในเวปพลังจิตท่านเมตตาสอนมโนมิทธิให้ และอีกท่านสอนให้เพ่งมโนทวาร แต่ข้าพเจ้าชอบมโนมยิทธิเพราะได้มีโอกาสไปกราบพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ทุกท่าน ได้เพ่งองค์พระและพิจารณากายสังขาร พิจารณาอากาส วิญญาณ อากิญจา และเนวสัญญา หลังจากนั้นก็นั่งสมาธิทุกวัน แต่ขอยอมรับว่าไม่ได้ปฏิบัติสมาธิเต็มที่และไม่ได้พิจารณาความรู้สึกเหมือนท่านธรรมชาติอธิบาย หากเมื่อใดที่ปฏิบัติสมาธิเต็มที่จะรู้สึกเหมือนมีสนามพลังแล้วความรู้สึกและจิตเราเคลื่อนไปอยู่ในความนิ่ง ว่าง สงบ ไม่มีลมหายใจและร่างกาย ไม่มีนิวรณ์นั้น หากปฏิบัติสมาธินานๆความรู้สึกจะเคลื่อนไปเรื่อยๆ เหมือนเรากำลังเดินไปข้างหน้าช้าๆ
    สำหรับความรู้สึกในส่วนอื่นๆจะไม่ค่อยรู้ อาจจะเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ศึกษาตามครูบาอาจารย์ท่านชี้แนะให้เต็มที่ ต้องขอเวลาซักระยะเพื่อพิจารณารายละเอียดดังกล่าวและจะมาขอคำแนะนำอีกครั้งค่ะ แต่หากท่านธรรมชาติมีคำชี้แนะเพิ่มเติม ขอขอบคุณค่ะ
    หากมีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่เหมาะสมประการใด กราบขอขมาพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ทุกท่าน มา ณ ที่นี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2013
  10. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    อิๆๆๆ อย่าเอาผมไปเปรียบกับคุณจิตวิญญาณเลยครับ เขิล ขนาดผมเองได้มีโอกาสเรียนกับคุณธรรมชาติโดยตรงยังไปไม่ถึงไหนซะที ยังต้องฝึกอีกมากครับ
    มีเรื่องเล่าเล่นๆให้ฟังอีกนะครับ คือว่าทางก่อนเข้าห้องที่เช่าจะมีศาลอยู่ ผมก็ขับผ่านเป็นประจำ ไม่มีอะไร วันนึงนึกสนุกอยากจะรู้ว่าที่อยู่ในศาลนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ลืมเล่าว่าวันนั้นดึกมากแล้วนะครับ พอขับรถมาใกล้ศาลนั้น จึงกำหนดจิตถามดู ก็ปรากฎเป็นผู้หญิงมานั่งอยู่เบาะข้างๆ แว๊บหนึ่ง ก็เลยอ้อ สงสัยจะผู้หญิงนิ
    วันรุ่งขึ้นจึงขับรถผ่านมาดู พอใกล้ๆศาลนั้น เลยชลอรถดูก็เห็นเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิง เลยมั่นใจว่าที่เห็นนั้นไม่พลาดแน่นอน เลยทำการอุทิศบุญกุศลไปครับ
     
  11. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    เขียนเกี่ยวกับการฝึกเดินจงกลมแบบลงทั้งเท้าพร้อมกันตามที่คุณธรรมชาติได้สอนมาบ้างนะครับ ซึ่งในขณะที่ฝึกทุกครั้งนั้น ผมเองจะมีเหตุการณ์เป็นแบบที่ว่าจิตจะออกจากร่างอยู่เสมอ แต่เป็นการออกเพียงครึ่งเดียวตลอด จะมีอาการวูบๆอยู่เสมอ แต่ไม่เคยออกแบบเต็มตัวเลยซักครั้ง (โดยเจตนานะครับ) น่าเสียดายที่สถานที่ในการฝึกจะไม่สะดวกในการเดินจงกลมซักเท่าไหร่ เลยฝึกไปไม่ได้ถึงไหนเลยครับ
     
  12. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ดิฉันก็ยังไปไม่ถึงไหนเหมือนกันค่ะ ยังถูๆไถๆอยู่เลย ยังต้องฝึกอีกมากเหมือนกันค่ะ ตอนนี้เปรียบเหมือนเด็กเพิ่งเริ่มตั้งไข่ เดินล้มลุกคลุกคลาน บางทีนั่งนึกถึงสภาพความเป็นจริง หลวงปู่พระธุดงษ์ที่ท่านธุดงษ์และฝึกอยู่ตามป่าเขา มีวิริยะอุตสาหะ ใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะหลุดพ้นสำเร็จ ส่วนคนธรรมดาสามัญอย่างเรา หลง ค่ะ ฝึกอยู่บ้านหรืออยู่วัด แค่ไม่กี่วันกี่เดือน ได้อะไรนิดๆหน่อยๆก็คิดว่าตัวเองสำเร็จแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ความเป็นจริงตรงนี้เป็นสิ่งที่เตือนใจดิฉันได้ดีมากๆเลยค่ะ

    ปล. ช่วงฝึกเดินจงกรม บางครั้งจะมีอาการคล้ายคุณwatjojoj เลยค่ะ จะวูบเพียงแค่เสี้ยววินาที เหมือนจิตจะออกจากร่าง แต่ไม่ออก บางครั้งเหมือนไฟช็อต เวลาเข้านอน หลับก็เหมือนไม่หลับ อาการจะรู้สึกเบาเหมือนไม่มีร่างกาย แต่พอได้ยินเสียงอะไรมากระทบ จะมีอาการเหมือนไฟช็อตแล้วกระแสพลังวิ่งจากหน้าผากกระจายไปทั่วร่างกาย หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวน่ะค่ะ อาการนี้เป็นทุกครั้งที่สวดมนต์นานๆหรือเดินจงกรมน่ะค่ะ
     
  13. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    นั่นสิครับ อาการจิตออกเป็นวูบๆนี่คืออะไร เดี๋ยวรอคุณธรรมชาติมาเฉลย:cool::cool:
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อาการจิตออกเป็นวูบ ๆ เหมือนจิตจะออกจากร่าง

    +++ 1. ให้ทบทวนอาการของตัวดู ในเวลาที่ทำ teleportation ก่อน ให้ทำ teleport ซ้ำ ๆ อีกสัก 2-3 ครั้ง
    +++ 2. ออกมาที่ฐาน 0% ถอนจิตเหมือนปกติเหมือนไม่ได้ฝึกอะไร และรอจน ธรรมารมณ์ รวบตัวเป็นตัวดู
    +++ 3. ขยายตัวดูให้เต็มร่าง จนกลายตัวเป็นกายเวทนา
    +++ 4. ใช้จิตเคลื่อนร่างที่เคยฝึกมาแล้ว "โยกที่กายเวทนา" ออกไปทาง ซ้าย-ขวา หรือ หน้า-หลัง ก็ได้
    +++ 5. หากชำนาญแล้ว อาการจิตออกเป็นวูบ ๆ เหมือนจิตจะออกจากร่าง ย่อมปรากฏขึ้นได้

    กายเวทนา คือตัวดู ในยามที่มันหดฐาน ตัวดู คือกายเวทนา ในยามที่มันขยายฐาน
    คำตอบคือ มันคือกายเวทนา ที่จะทำงานแบบตัวดู ในระดับไปทั้งฐาน
    สิ่งที่ต้องระวังคือ "ห้ามใช้มโนภาพโดยเด็ดขาด" "ให้อยู่ในระยะที่สายตามองเห็นตามความเป็นจริงที่ใกล้ตัวเท่านั้น ห้ามมองไกล" "พกกระเป๋าตังและบัตรประชาชนติดตัวตลอดเวลาที่ทำการฝึกในหมวดนี้" "ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ห้ามตกอยู่ในความประมาท"

    คงเป็นที่พอเข้าใจได้นะครับ
     
  15. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    งั้นคงต้องฝึกแบบมีคนคอยเฝ้าหน่อยนะครับ เดี๋ยวอยู่ล้มทั้งยืน รถเหยียบซ้ำคงกลายเป็นผีเร่ร่อน ซวยเลยทีนี้ 55555
    ปล.ครับ ขั้นตอนนี้ไม่แน่ใจว่าคุณจิตวิญญาณจะทำตามได้ไหม ถ้าไม่เข้าใจก็เขียนเข้ามาถามได้นะครับ แต่ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง รอคุณธรรมชาติดีกว่า อิๆๆๆๆๆๆ
     
  16. เขากระโดง

    เขากระโดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +1,015
    ขอเล่าเพิมเติมค่ะ ได้อ่านกระทู้ท่านอินทรบุตรที่พูดเรื่องไม่ให้ยึดติดความว่าง รู้สึกเข้าใจค่ะ คือเมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิและปฏิบัติกรรมฐานในช่วงแรกๆที่ความรู้สึกเคลื่อนเข้าไปอยู่ในความนิ่ง เบา โล่ง จิตจะรู้สึกว่าสุขมาก เบา ว่างไม่หนักไม่มีภาระ ไม่มีนิวรณ์ อยากอยู่ตรงนี้นานๆไม่อยากออกมาต้องเจอกับโลกความเป็นจริงที่วุ่นวายน่าเบื่อ อย่างนี้เค้าเรียกว่าติดสุข ติดอรูปฌานใช่มั้ยค่ะ พอวันหลังข้าพเจ้ามาทบทวนตัวเองว่าข้าพเจ้าเกิดวามรู้สึกใดบ้างในระหว่างที่ปฏิบัติ ก็เข้าใจความรู้สึกดังกล่าว ก็เลยถามตัวเองว่าแล้วเราปรารถนาความสุข ความว่าง โล่ง นิ่งเช่นนี้หรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้ปรารถนาและปรารถนาสิ่งเดียวคือนิพพาน เกิดความรู้สึกบอกตัวเองว่าสิ่งที่ยากและละเอียดที่สุดของที่สุด คือการวางความสุขที่เกิดในอารมณ์สมาธิ จะเป็นกิเลสตัวสุดท้าย เพราะเป็นความสุขสุดยอดหาสิ่งใดเทียบไม่ได้ หากเราสามารถวางลงได้เราก็จะไม่เหลือกิเลสใดๆในใจ หรือเหลือน้อยเต็มที่
    เมื่อปฏิบัติสมาธิครั้งต่อๆไป ข้าพเจ้าจะพิจารณาตนเองก่อนเริ่มปฏิบัติว่า ความรู้สึกใดๆและความสุขที่จะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติข้าพเจ้าไม่ปรารถนา ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างเดียวคือนิพพาน เมื่อเจอความนิ่ง ความรู้สึกต่างๆและความสุข ข้าพเจ้าจะพยายามประคองความรู้สึกหรือจิตไม่ให้เข้าไปยึดติดและไม่ปรารถนา ตอนนี้ความรู้สึกว่าสุขนั้นไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นความรู้สึกปรารถนานิพพานอย่างเดียวที่เหลืออยู่ใน อารมณ์สมาธินั้น ข้าพเจ้าก็กลัวว่าจะเป็นนิพพานหลอกเหมือนหลายๆคนบอกไว้
    เมื่อคืนข้าพเจ้าได้ปฏิบัติสมาธิเช่นเคย แต่รู้สึกไม่ค่อยสบายและมีปัญหาสุขภาพ ก็เลยกราบพระและนอนกำหนดลมหายใจ แต่สมาธิไม่สามารถรวมตัว วางนิวรณ์ไม่ได้และก็นอนไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เลยต้องกำหนดองค์พระและฝึกมโนมยิทธิ และไปกราบพระพุทธเจ้า พระปัจเจก พระโพธิสัตย์ พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ กลับมากำหนดลมหายใจในระหว่างนั้นก็คิดถึงสิ่งที่ท่านธรรมชาติพูดถึงว่าต้องทำความรู้สึกให้ทั่วทั้งกาย ต้องรู้สึกสิ่งนี้แล้วจะเข้าใจสิ่งที่ท่านธรรมชาติพูดถึง สักพักในช่วงที่หายใจออกก็มีความรู้สึกบางอย่างอธิบายไม่ถูก (ละเอียดขึ้น) พอหายใจเข้าความรู้สึกเหมือนว่ามีกระแสหรือประจุวิ่งไปที่ผิวหนังของแขนทั้งสองข้าง รู้สึกซ่าๆ ก็เลยนึกได้ว่าให้ลองทำความรู้สึกไปทั้งร่าง ความรู้สึกก็ไปที่ขาทั้งสองข้าง และรู้สึกว่าเรื่อยๆถึงช่วงคอ ในช่องท้องก็มีความรู้สึกซ่าวิ่งอยู่ข้างใน ก็รู้สึกเช่นนี้เรื่อยๆ และก็เลยหยุดปฏิบัติสมาธิและเข้านอนหลับอย่างสบาย
    ข้าพเจ้ามีความแปลกใจในความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติทั้ง 2 วิธี ไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าวางอารมณ์ได้ถูกต้องหรือเปล่า และเป็นความรู้สึกจินตนาการของข้าพเจ้าสร้างขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือศีล ข้าพเจ้าจะรักษาศีลและกรรมบทได้ดีขึ้น เริ่มบริสุทธิ์ไปด้วยตัวเอง ในช่วงกลางวันก็เริ่มรู้ทันจิตมากขึ้นเริ่มวางอารมณ์ลงได้มากขึ้น
    ปล. ข้าพเจ้ากราบขอขมาพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ทุกท่าน หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกิน ขออโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2013
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ขอเล่าเพิมเติมค่ะ ได้อ่านกระทู้ท่านอินทรบุตรที่พูดเรื่องไม่ให้ยึดติดความว่าง รู้สึกเข้าใจค่ะ คือเมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิและปฏิบัติกรรมฐานในช่วงแรกๆที่ความรู้สึกเคลื่อนเข้าไปอยู่ในความนิ่ง เบา โล่ง จิตจะรู้สึกว่าสุขมาก เบา ว่างไม่หนักไม่มีภาระ ไม่มีนิวรณ์ อยากอยู่ตรงนี้นานๆไม่อยากออกมาต้องเจอกับโลกความเป็นจริงที่วุ่นวายน่าเบื่อ อย่างนี้เค้าเรียกว่าติดสุข ติดอรูปฌานใช่มั้ยค่ะ

    +++ ไม่ว่าจะเรียกว่าติดอะไรก็ตาม ผลลัพธ์คือ ไม่อยู่ศึกษากับความเป็นจริงทางจิต และเป็นการหนีโลกชนิดหนึ่ง

    พอวันหลังข้าพเจ้ามาทบทวนตัวเองว่าข้าพเจ้าเกิดวามรู้สึกใดบ้างในระหว่างที่ปฏิบัติ ก็เข้าใจความรู้สึกดังกล่าว ก็เลยถามตัวเองว่าแล้วเราปรารถนาความสุข ความว่าง โล่ง นิ่งเช่นนี้หรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้ปรารถนาและปรารถนาสิ่งเดียวคือนิพพาน เกิดความรู้สึกบอกตัวเองว่าสิ่งที่ยากและละเอียดที่สุดของที่สุด คือการวางความสุขที่เกิดในอารมณ์สมาธิ จะเป็นกิเลสตัวสุดท้าย เพราะเป็นความสุขสุดยอดหาสิ่งใดเทียบไม่ได้ หากเราสามารถวางลงได้เราก็จะไม่เหลือกิเลสใดๆในใจ หรือเหลือน้อยเต็มที่
    เมื่อปฏิบัติสมาธิครั้งต่อๆไป ข้าพเจ้าจะพิจารณาตนเองก่อนเริ่มปฏิบัติว่า ความรู้สึกใดๆและความสุขที่จะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติข้าพเจ้าไม่ปรารถนา ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างเดียวคือนิพพาน เมื่อเจอความนิ่ง ความรู้สึกต่างๆและความสุข ข้าพเจ้าจะพยายามประคองความรู้สึกหรือจิตไม่ให้เข้าไปยึดติดและไม่ปรารถนา ตอนนี้ความรู้สึกว่าสุขนั้นไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นความรู้สึกปรารถนานิพพานอย่างเดียวที่เหลืออยู่ใน อารมณ์สมาธินั้น ข้าพเจ้าก็กลัวว่าจะเป็นนิพพานหลอกเหมือนหลายๆคนบอกไว้

    +++ วิธีที่จะไม่ทำให้ติดอารมณ์ในสมาธิ และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาอารมณ์ในสมาธิ ทั้งในระดับ รูป และ อรูป คือ วสี 5 ประการดังนี้ 1. เข้าสมาธิได้ดังใจ 2. ปรับจิตเข้าสมาธิในชั้นละเอียดได้ดังใจ 3. ปรับจิตเข้าสมาธิในชั้นหยาบกว่าได้ดังใจ 4. อยู่ในสมาธิได้ดังใจ 5. ออกจากสมาธิได้ดังใจ

    +++ ผู้ที่ได้ วสี 5 จะเป็น นายแห่งสมาธิ ไม่ต้องมีการร้องขออาการใด ๆ จากสมาธิ เพราะสามารถทำเอาเองได้ และจะไม่มีการหลงสมาธิอย่างแน่นอน

    เมื่อคืนข้าพเจ้าได้ปฏิบัติสมาธิเช่นเคย แต่รู้สึกไม่ค่อยสบายและมีปัญหาสุขภาพ ก็เลยกราบพระและนอนกำหนดลมหายใจ แต่สมาธิไม่สามารถรวมตัว วางนิวรณ์ไม่ได้และก็นอนไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เลยต้องกำหนดองค์พระและฝึกมโนมยิทธิ และไปกราบพระพุทธเจ้า พระปัจเจก พระโพธิสัตย์ พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ กลับมากำหนดลมหายใจในระหว่างนั้นก็คิดถึงสิ่งที่ท่านธรรมชาติพูดถึงว่าต้องทำความรู้สึกให้ทั่วทั้งกาย ต้องรู้สึกสิ่งนี้แล้วจะเข้าใจสิ่งที่ท่านธรรมชาติพูดถึง สักพักในช่วงที่หายใจออกก็มีความรู้สึกบางอย่างอธิบายไม่ถูก (ละเอียดขึ้น) พอหายใจเข้าความรู้สึกเหมือนว่ามีกระแสหรือประจุวิ่งไปที่ผิวหนังของแขนทั้งสองข้าง รู้สึกซ่าๆ ก็เลยนึกได้ว่าให้ลองทำความรู้สึกไปทั้งร่าง ความรู้สึกก็ไปที่ขาทั้งสองข้าง และรู้สึกว่าเรื่อยๆถึงช่วงคอ ในช่องท้องก็มีความรู้สึกซ่าวิ่งอยู่ข้างใน ก็รู้สึกเช่นนี้เรื่อยๆ และก็เลยหยุดปฏิบัติสมาธิและเข้านอนหลับอย่างสบาย
    ข้าพเจ้ามีความแปลกใจในความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติทั้ง 2 วิธี ไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าวางอารมณ์ได้ถูกต้องหรือเปล่า และเป็นความรู้สึกจินตนาการของข้าพเจ้าสร้างขึ้นหรือไม่

    +++ สิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในขณะที่ ความรู้สึกครองได้เต็มร่างคือ "รู้สภาวะแห่ง ตน ชัดเจน ไม่มีอะไรเคลือบแฝงได้" และสามารถรู้ได้ชัดว่า "อะไรคือ จินตนาการ และอะไรไม่ใช่" ดังนั้น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เราจะรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร และความหลงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะนั้น ๆ

    แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือศีล ข้าพเจ้าจะรักษาศีลและกรรมบทได้ดีขึ้น เริ่มบริสุทธิ์ไปด้วยตัวเอง ในช่วงกลางวันก็เริ่มรู้ทันจิตมากขึ้นเริ่มวางอารมณ์ลงได้มากขึ้น

    +++ นั่นคือผลลัพธ์ที่เกิดจาก การปฏิบัติที่ถูกทาง นะครับ
     
  18. เขากระโดง

    เขากระโดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +1,015
    ในช่วงแรกอย่างที่บอกค่ะ เมื่อได้เรียนรู้อารมณ์สมาธิ และการวางนิวรณ์ได้ในอรูปฌาน อยากให้ตนเองทรงสมาธิและฌานบ่อยๆนานๆ แต่ตอนนั้นจิตและปัญญายังรู้ไม่เท่าทัน ในตอนกลางวันทำงานก็พยายามทำสมาธิไปด้วย เมื่อกำหนดจิตปุ๊ปจิตจะไหลไปติดที่อรูปฌาน ความนิ่ง ว่าง ไม่คิดอะไร ไม่อยากทำอะไร ก็แปลกตัวเองว่าทำงานไม่ค่อยได้ช้ามากๆ คิดอะไรไม่ออก จะอยู่ในความว่างไปเรื่อยๆ (เข้าใจที่ท่านธรรมชาติบอกว่าจิตติดว่าง ลืมสัญญาลืมนาม แต่ไม่ลืมขันธ์ ถ้าตายตอนนี้เป็นพรหมรูปฟัก ไปนอนแช่อิ่มที่ชั้นพรหม) เคยลองทำสมาธิในขณะขับรถ บางครั้งความรู้สึกจะปิดและง่วงทันทีทันใด หรือบางครั้งความรู้สึกจะว่างๆ ลอยๆ ไม่รู้สึกการบังคับรถ จะมีปัญหามากในการเหยียบเบรคในช่วงกระทันหัน ทั้งที่จิตเป็นสมาธิและมีความนิ่งอย่างมาก ไม่น่าเป็นความเผลอของจิตและสมาธิ อ่านในเวปมีบางท่านบอกว่าความรู้สึกหายไปทั้งร่างกายและจิตของตนเอง ต้องหาครูบาอาจารย์ช่วยแก้กรรมฐานจึงหาย
    เคยเรียนถามพี่ๆ ครูบาอาจารย์หลายๆท่าน ก็เตือนว่าให้ระวังอย่างที่บอกและบางท่านก็ไม่เจอประสบการณ์แบบนี้ ดังนั้นเมื่อคุยกันไปจึงทำให้มีความเห็นต่าง ต้องคุยกับเฉพาะคนที่เคยเจอเหมือนกันจึงจะเข้าใจความรู้สึกกัน
    ช่วงหลังๆข้าพเจ้าจะทำสมาธิเฉพาะช่วงกลางคืนและว่างเท่านั้น เพราะกลัวจิตเกาะว่างตลอดเวลาเหมือนกัน ช่วงที่ทำก็ต้องระวังและมีสติรู้ทันจิตตลอดเวลา ตอนนี้ก็ยังติดที่ความว่าง นิ่งแต่มีอารมณ์นิพพานเกาะติด ยังไม่ไปไหน ไม่มีความรู้สึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  19. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    เรื่องอภิญญานั้น ในการฝึกมหาสตินั้น มันมีของมันอยู่แล้วครับ ลองอ่านหนังสือ

    ประวัติของพระสายพระป่าท่านจอมอภิญญากันแทบทุกองค์ (ไม่งั้นคงอยู่ในป่า

    ลำบาก) เพียงแต่ท่านไม่ได้บอกออกมาแบบหลวงพ่อฤาษีท่าน(น่าจะมีท่าน

    องค์เดียวเลยมั้งครับที่กล้าสอนอภิญญาแบบไม่ปิดบัง หากผิดพลาดประการใด

    ข้าพเจ้าขอกราบขออภัยต่ิอพระรัตนตรัยด้วยครับ บางคำพูดมันอาจจะสื่อไม่ตรง

    กับที่จะเขียน )

    เรื่องของอภิญญานั้น ที่ผมประสบมามันเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการไปสู่พระ

    นิพพานก็ว่าได้นะครับ บางคนอาจจะใช้หรือไม่ใช้ก็ไม่น่าจะผิดอะไร อย่างจริต

    ของพี่อาจจะชอบแบบสงบๆ ก็ได้นะครับ ( และพี่อาจจะถนัดทางหลอกเด็ก

    ก็ได้นะครับ อิๆๆๆๆ วันนั้นแอบเห็น )
     
  20. เขากระโดง

    เขากระโดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +1,015
    คุณ watjojo น่าจะกล่าวถูกต้องนะค่ะ ว่าอภิญญาเป็นเครืองมือในการพิจารณาเข้าสู่นิพพาน เท่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสและได้รับเมตตาจากพระอริยสงฆ์หลายๆรูป ท่านมีอภิญญาแต่ท่านจะไม่ใช้ มีบางครั้งข้าพเจ้าสังเกตเห็นและทราบว่าท่านมีอภิญญา ก็จะขอโน้นขอนี่ รวมทั้งคนอื่นๆด้วย และน่าจะเป็นเหตุผลทำให้ท่านไม่แสดงอภิญญา
    สำหรับหลวงพ่อฤาษีเท่าที่ข้าพเจ้าอ่านแนวทางที่ท่านสอนมีหลายวิธีค่ะ และมีความละเอียดลึกซึ้งมาก แต่ที่เด่นคือเรื่องมโนยิทธิ วิชชาสาม และอภิญญา ก็แล้วแต่จริตของแต่ละท่าน หากข้าพเจ้าผิดพลาดประการใด ขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยไว้ ณ ที่นี่
    สำหรับตัวข้าพเจ้าไม่ได้มีอภิญญา แต่ก็ไม่ได้กังวล เพราะรู้จุดบ่งพร่องของตนเองหลายจุด ต้องปฏิบัติกรรมฐานไปเรื่อยๆ
    และที่ท่านเห็นคุยกับเด็ก เพราะได้ถามน้องเค้าว่าเราสองคนเคยเกิดและเจอกันมั้ย น้องเค้าบอกว่าเคยเป็นเพื่อนกัน ก็เลยบอกว่ายินดีที่ได้เจอกันอีกนะเพื่อน น้องก็เลยชอบใจและมาคุยเล่นด้วย ก็พยายามจะหลอกถามเคล็ดวิธีการปฏิบัติให้ได้ทางลัดเร็วๆ (หลอกถามผู้ใหญ่จะยากหน่อยเพราะเกรงใจ) ก็ไม่ได้คำตอบ แต่ก็รู้สึกรักและผูกพันกับน้องเค้าค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...