รวมข่าวสารการปิดกิจการของบริษัทต่างๆเพื่อประเมิน....

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย greatmans, 16 สิงหาคม 2007.

  1. greatmans

    greatmans เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +1,131
    เจพีมอร์แกน ธนาคารและวาณิชธนกิจชื่อก้องโลก เตรียมปลดคนงานในแผนกวาณิชธนกิจ หลังรายได้ตราสารหนี้หด เผยธุรกิจด้านสินเชื่อเสียหายหนัก

    วันนี้(12 ต.ค.) เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา เตรียมปลดคนงานในแผนกวาณิชธนกิจ หลังจากได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวลงของตลาดปล่อยกู้

    ธนาคารวางแผนปรับลดคนงานในแผนกสินเชื่อโครงสร้างและธุรกิจการเงิน โดยทั้ง 2 แผนกได้รับความเสียหายจากนักลงทุนที่หยุดการลงทุนซื้อตราสารหนี้เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทไพรเวท อีควิตี้ใช้ตราสารหนี้อย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมาเพื่ออัดฉีดเงินเข้าซื้อหุ้นรายใหญ่

    "เราจะลดพนักงานลงจำนวนหนึ่ง ในสาขาที่เราคาดว่าจะมีรายได้ลดน้อยลงในอนาคต" ไบรอัน มาร์ชิโอนี่ โฆษกเจพีมอร์แกน กล่าว โดยที่เขาไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนว่าจะมีพนักงานต้องตกงานจำนวนเท่าไร

    ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวว่า การปรับลดพนักงานจะคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 10% ของธุรกิจทั้งสองประเภท และไม่นับรวมตำแหน่งผู้บริหารระดับอาวุโส
     
  2. greatmans

    greatmans เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +1,131
    เตรียมรับมือปิดยุคอุตสาหกรรมไทย!

    ในวันนี้ราคาพลังงานน้ำมันได้พุ่งสูงขึ้นไปที่ระดับ 82 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว ในปลายปีนี้ก็ส่อเค้าว่าจะพุ่งขึ้นไปอีกถึงระดับ 85 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และในปีหน้าก็คงจะได้เห็นราคาพุ่งขึ้นไปที่ระดับ 100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือมากกว่านั้น

    นี่เป็นข่าวคราวที่ปรากฏออกไปทั่วโลกแล้ว โดยที่เรื่องเช่นนี้หากใครพูดขึ้นก่อนหน้านี้ก็คงจะถูกพวกที่อ้างตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพลังงานกล่าวหาว่าเป็นพวกคนเพ้อเจ้อ เป็นพวกคนบ้าไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนกับที่เคยเกิดมาแล้ว

    เมื่อสองปีก่อนเราเคยเตือนว่าให้ระมัดระวังเพราะราคาน้ำมันอาจจะไปถึงที่ระดับ 60 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยในขณะนั้นราคาอยู่ที่ระดับ 28 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

    คำเตือนของเราถูกพวกผู้เชี่ยวชาญพลังงานจอมปลอมโจมตีว่าร้ายอย่างสาดเสียเทเสียหาว่าเป็นเรื่องคนบ้า คนเพ้อเจ้อ คนไม่รู้เรื่อง เอาเรื่องมากล่าวให้เกิดความวุ่นวายในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

    มิหนำซ้ำยังอ้างว่าราคาน้ำมันหากไปถึง 30 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทุกอย่างก็พังพินาศแล้ว

    แล้วเป็นอย่างไรเล่า? ประเทศไทยต้องฉิบหายจากการพยุงราคาน้ำมันเกือบ 200,000 ล้านบาท จนต้องรีดนาทาเร้นประชาชนเอาเงินไปชดเชยผลขาดทุนของกองทุนน้ำมันต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้

    คนทำฉิบหายไม่มีใครรับผิดชอบ แต่โยนความรับผิดชอบมาให้ประชาชนต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงขึ้นในทุกวันนี้ถึงลิตรละ 4 บาท

    ทั้ง ๆ ที่อาจใช้ความสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ เพียงแค่เรียกเก็บเงินชดเชยความเสียหายเข้ากองทุนน้ำมันแค่ลิตรละ 25 สตางค์ โดยยืดเวลาออกไปสักหน่อยหนึ่ง คนไทยก็ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลงเกือบ 4 บาทแล้ว

    แต่ผู้เชี่ยวชาญที่ไร้น้ำยาและมักโอ่อวดอ้างความเชี่ยวชาญของตนข่มคนอื่นกลับไม่ทำ ยังคงเบียดเบียนคนไทยให้ได้รับความเดือดร้อนถ้วนหน้าถึงทุกวันนี้

    ราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 82 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ก็เกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า กิจการอุตสาหกรรมไทยจำนวนมากได้ปิดตัวเองลงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เพราะทนกับต้นทุนการผลิตไม่ไหว จึงเจ๊งไม่เป็นท่า

    และจะต้องเจ๊งกันต่อไปอีก ลองนึกดูเถิดว่าเมื่อราคาน้ำมันขึ้นสูงไปมากกว่านี้ จะมีอุตสาหกรรมไหนบ้างที่จะต้องเจ๊งกันต่อไป และจะมีอุตสาหกรรมอะไรบ้างที่เหลือรอดอยู่ได้

    ผู้คนจะตกงานสักเท่าใด คนเกี่ยวข้องจะเดือดร้อนในเรื่องการกินการอยู่อีกสักเท่าใด มีใครสนใจบ้างเล่า มัวจะเมาอยู่กับการโกหกสร้างกระแสเลือกตั้งจนไม่เป็นอันคิดเรื่องอื่นกันอยู่ในขณะนี้

    วันนี้จำเป็นต้องบอกเตือนพี่น้องผองไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทยทั่วประเทศให้ได้ตั้งสติยั้งคิดพิจารณา ทอดสายตาให้ไกลออกไปข้างหน้า ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะสามารถประมาณสถานการณ์ได้ เพื่อจะได้เตรียมการ เตรียมตัว เตรียมใจได้ถูกต้อง

    จะได้ป้องกันความพินาศฉิบหายได้ทันท่วงที จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายให้ได้มากที่สุด

    ไม่จำเป็นจะต้องเชื่อสิ่งที่บอกกล่าวนี้ทั้งหมด แต่ท่านลองพิจารณาดูเอาเอง หากเห็นด้วยก็ช่วยกันเตรียมตัว เตรียมการ จะได้ไม่เกิดความเสียหายเดือดร้อนในภายหลัง

    ต้องขอเท้าความเพื่อประกอบการพิจารณาบ้างว่ายุคอุตสาหกรรมของโลกนับแต่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในโลกเมื่อ 400 ปีก่อนมาจนถึง 3 ปีก่อนหน้านี้ ราคาพลังงานน้ำมันที่เป็นปัจจัยหลักของยุคอุตสาหกรรมได้ขึ้นไปสูงสุดแค่ระดับ 27 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเท่านั้น

    แต่เมื่อจีนและอินเดียเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ ประกอบเข้ากับสงครามรุกรานอิรักแล้ว การบริโภคน้ำมันในโลกก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นจำนวนมหาศาล จนจีนเองก็เห็นว่าน้ำมันกำลังขาดแคลน และจะเป็นปัญหาใหญ่ของโลก

    จีนจึงตกลงใจที่จะเป็นประเทศที่ยืนอยู่เป็นประเทศสุดท้ายด้วยการออกคำสั่งให้ทั่วประเทศสำรองน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่า และล่าสุดนี้เมื่อเดือนที่แล้วนี้เองก็มีคำสั่งให้ทั่วประเทศสำรองน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่า ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนมหาศาลที่สุดในโลก

    แค่สามปีของการรุกในหนทางอุตสาหกรรมของจีนและอินเดียกับสงครามอิรัก อัตราเร่งของราคาพลังงานน้ำมันเพิ่มจาก 27 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 82 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นอัตราเร่งที่เร็วและสูงมากกว่าระยะใด ๆ ในประวัติศาสตร์ของโลก

    อัตราเร่งนี้ไม่มีทางที่จะชะลอตัวหรือถดถอยลงเป็นแน่แล้ว มีแต่จะเร่งรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนในที่สุดกิจการอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมของไทยจะไม่สามารถรับภาระต้นทุนราคาพลังงานน้ำมันที่สูงแบบเร็วเร่งเช่นนี้ได้

    มันจะเกิดขึ้นในเวลาข้างหน้าอีกนานเท่าใด? นี่คือคำถามใหญ่ที่คนไทยทุกคนต้องครวญคิดพิจารณาศึกษาทำความเข้าใจและรับมือไว้ให้ดี

    เราประมาณว่าในปีหน้าจะได้เห็นราคา 100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลหรือกว่านั้นแน่ และในไม่เกิน 3 ปีข้างหน้าอาจจะขึ้นไปสู่ระดับ 150 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลก็ได้ ใครจะอยู่ใครจะไปก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมตั้งแต่วันนี้

    เราจะเตรียมตัวปรับตัวอย่างไร? ใช่ว่าจะไร้หนทางเสียทีเดียว นั่นคือกลับสู่รากฐานอันแข็งแกร่งของประเทศไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำแบบอย่างให้เห็นมาแล้ว และได้นำพาชาติบ้านเมืองให้รุ่งเรืองเกรียงไกรให้เห็นมาแล้ว

    ผืนธงชัยสองผืนที่ทรงใช้นำพาประเทศคือเกษตรอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งประเทศไทยมีรากฐานที่แข็งแกร่ง อาจจะต้องได้รับการเชิดชูน้อมนำมานำพาชาติบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง.

    http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000121636
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เศรษฐกิจพอเพียงเป็นคำตอบสุดท้ายครับ เมื่อรากฐานมั่นคง ก็มีความสุขกันได้ หากรู้จักพอ วันนี้คุณกล้าไหมที่จะหักบัตรเครดิตทิ้งและใช้จ่ายตามมีตามได้ เมื่อห้าปี สิบปีก่อนเราไม่มีบัตรเครดิตแพร่หลายอย่างนี้เรายังอยู่ได้ ปู่ย่าตายายเราไม่มีมือถือหรือโน๊ตบุ๊คก็ไม่เห็นจะเป็นไรอยู่รอดกันมาได้

    เมื่อระบบทุนนิยมมาถึงจุดจบจากผลของการทำลายทรัพยากรอย่างไม่ยั้งคิดจนเกิดภาวะโลกร้อน เศรษฐกิจพังพินาศอย่างสิ้นเชิงจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงสุดในประวัติศาสตร์โลก คนที่ปรับตัวได้ ปรับวิถีชีวิตเป็นแบบพอเพียงพอมีพอกิน ก็จะอยู่รอดปลอดภัยได้

    ลองคิดๆกันดูเล่นๆครับ
     
  4. nantiya.j

    nantiya.j เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +8,550
    <TABLE class=news2006_topic cellSpacing=0 cellPadding=0 width=595 border=0><TBODY><TR><TD width=585 height=10><TABLE class=news2006_topic width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left>บีบีซีจะปลดพนักงานราว3,000 คน พร้อมขายตึกสำนักงาน

    </TD><TD align=right width=100></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=news2006_graylight height=10>โดย คม ชัด ลึก<SCRIPT language=JavaScript src="/global_js/global_function.js"></SCRIPT> <!--START-->วัน พฤหัสบดี ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:31 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=595 border=0><TBODY><TR><TD height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=news2006_black cellSpacing=0 cellPadding=0 width=595 border=0><TBODY><TR><TD width=10 rowSpan=4></TD><TD width=575><!img001:m:r>บรรษัทกระจายเสียงอังกฤษ หรือบีบีซีจะปลดพนักงานราว 3,000 คน ขายตึกสำนักงานตามแผนปรับปรุงครั้งใหญ่
    (18ตค.) คณะกรรมการบริหารของบรรษัทกระจายเสียงอังกฤษ หรือ บีบีซี อนุมัติแผนปรับปรุงบริษัทครั้งใหญ่ระยะเวลา 6 ปีเมื่อวันพุธ ซึ่งจะทำให้ต้องปลดพนักงานหลายพันคน ส่งผลให้สหภาพพนักงานไม่พอใจอย่างมากจนขู่ว่าจะนัดหยุดงานประท้วงในหลายสัปดาห์ข้างหน้า นายมาร์ก ธอมป์สัน ผู้อำนวยการของบีบีซีเสนอแผนการปรับปรุงดังกล่าวต่อบีบีซี ทรัสต์ เพื่อหวังแก้ไขปัญหาการขาดดุลงบประมาณราว 2,000 ล้านปอนด์หรือราว 140,000 ล้านบาทหลังจากรัฐบาลบังคับให้บีบีซีเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากผู้ชมเพิ่มขึ้นได้เพียง 3% ซึ่งต่ำกว่าที่บีบีซียื่นขอไว้ และในเช้าวันนี้นายธอมป์สันจะประกาศรายละเอียดของแผนปรับปรุงบริษัทแก่พนักงาน ขณะที่ข่าวระบุว่า แผนดังกล่าวจะทำให้พนักงานราว 2,800 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายข่าวและรายการ จะต้องถูกปลดออก หรือคิดเป็น 12% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดที่มี 23,000 คน นอกจากนี้จะขายตึกสถานีโทรทัศน์อายุเก่าแก่นาน 47 ปีในฝั่งตะวันตกของกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตรายการโทรทัศน์ และรายการข่าวทางโทรทัศน์และวิทยุเกือบทั้งหมด รวมทั้งจะลดจำนวนรายการออกอากาศลง 10%<!--END--> <!--PICLIST-->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    วันนี้น้ำมัน 86-87 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลแล้วนะคะ
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ถ้าแตะระดับ $90 ต่อบาร์เรลเมื่อไหร่ เศรษฐกิจทั่วโลกระส่ำแน่ ๆ
     
  7. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    ราคาทองคำก็สูงขึ้นเรื่อยๆครับ

    ทองคำวันนี้อยู่ที่ระดับ US $ 762.90 อาจจะทะลุ US $ 800 ในอนาคต[FONT=Arial, Helvetica, sans-serif]
    [/FONT]
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    <table id="table2" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="990"><tbody><tr><td valign="top" width="7"><table id="table2" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="990"><tbody><tr><td valign="top" width="7">
    </td> <td valign="top" width="983"> 'ไคร์สเล่อร์'ปลดพนักงาน 13,000 ตำแหน่ง!</td></tr></tbody></table>

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 'ไคร้สเล่อร์'เตรียมจะปลดพนักงาน 13,000 ตำแหน่ง แม้ว่าจะเพิ่งถูกเทกโอเวอร์จาก'เซอร์เบรุส'บริษัทหุ้นชั้นนำ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยปีหน้าคาดว่าบริษัทจะปลดพนักงานอีก 10,000 คน และยังมีแผนลดเงินเดือนพนักงานอีก 1 พันคนด้วย
    'ไคร์สเลอร์'ยังประเมินว่า ยอดขายของบริษัทประจำปีนี้จะลดลงอย่างมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า และคาดว่าจะลดลงไปถึงปีหน้าด้วย ทั้งนี้'ไคร้สเล่อร์'ต้องเผชิญวิกฤตยอดขายเหมือน'จีเอ็ม'และ'ฟอร์ด' ซึ่งต้องปรับตัวกับกระแสการซื้อรถยนต์ของผู้บริโภคในสหรัฐ และยังต้องเจอปัญหาการบุกตลาดอย่างหนักจากบริษัทรถญี่ปุ่นอย่างโตโยต้าและนิสสันด้วย

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=9433&catid=6
    </td> <td valign="top" width="983"> 'ไคร์สเล่อร์'ปลดพนักงาน 13,000 ตำแหน่ง!


    </td></tr></tbody></table>
     
  9. nantiya.j

    nantiya.j เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +8,550

    วันที่ 05 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3946 (3146)​

    หวั่น"ซับไพรม"ไม่จบทุบดอลล์รูดยาว


    ชนวนวิกฤตแบงก์โลก จุดคลื่นโดมิโนเอฟเฟ็กต์ป่วนโลก นักลงทุนเทกระจาดหุ้นกลุ่มแบงก์ร่วงกราว ทุบตลาดมะกันวูบวันเดียวกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ เติมเชื้อวิกฤตสินเชื่อภาค 2 ระอุหนัก ธปท.เตือนตราบใดที่ปัญหาซับไพรมยังไม่คลี่คลาย ความเสี่ยงที่เงินจะไหลออกฉับพลันจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และแนวโน้มเงินบาทผันผวนมากขึ้น ด้านนักวิชาการคาดดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ระบุนักลงทุนหอบเงินหนีเข้าตลาดน้ำมันและทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง

    วิกฤตการเงินโลกลามลึกถึงกลุ่มการเงินข้ามชาติ หลังนักวิเคราะห์ต่างพากันปรับลดความน่าเชื่อถือของ "ซิตี้กรุ๊ป" โดยสะท้อนความวิตกกังวลต่อฐานะการเงินของยักษ์การเงินเบอร์หนึ่งของสหรัฐว่า กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมริดิท วิตนีย์ นักวิเคราะห์จากซีไอบีซี ประเมินว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ซิตี้กรุ๊ปต้องเพิ่มทุนมากกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยทางเลือกในการเพิ่มทุน อาจเป็นไปได้ทั้งการนำสินทรัพย์ออกขาย การลดเงินปันผล การระดมทุนเพิ่ม และหลายๆ แนวทางผสมผสานกันไป และมีความเป็นไปได้ที่ปัญหาเรื่องเงินทุนของซิตี้กรุ๊ปจะรุนแรงมากขึ้น

    ความเห็นของธนาคารซีไอบีซีตอกย้ำถึงปัญหาที่มีแนวโน้มจะวิกฤตมากยิ่งขึ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของโลก หลังจากเมื่อเร็วๆ นี้ เมอร์ริล ลินช์ ได้กลายเป็นเหยื่อที่ได้รับผลกระทบรุนแรงสุดในกลุ่ม หลังประสบปัญหาขาดสุทธิ 2.2 พันล้านดอลลาร์ อันเนื่องมาจากการแทงหนี้สูญเฉียด 8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นยอดการแทงหนี้สูญที่สูงที่สุด และต้องกันสำรองเพิ่มมากกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับหนี้เสีย และการขาดทุนที่เกิดจากการทำธุรกรรมทั้งหมดในไตรมาสที่ 3

    ชนวนวิกฤตของซิตี้กรุ๊ปอาจผูกโยงกับนิติบุคคลเฉพาะกิจในรูปกองทุน ซึ่งมีศัพท์แสงในวงการเงินเรียกว่า structured investment vehicles หรือ SIVs มูลค่าสินทรัพย์รวมกันกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากเอสไอวีกำลังประสบปัญหามูลค่าสินทรัพย์ลดลงในระดับวิกฤต และได้ผลกระทบจากวิกฤตสภาพคล่องรอบแรกที่ปะทุจากปมหนี้สินในตลาดสินเชื่อ โดยเฉพาะจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยประเภทซับไพรม

    กองทุน SIVs จะเป็นกลไกการลงทุนของธนาคาร แต่อยู่นอกบัญชี ทำหน้าที่ออกตราสารพาณิชย์ ระดมเงินทุนระยะสั้น แล้วนำเม็ดเงินที่ได้ลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหนี้ระยะยาว ตามชื่อของ SIVs ก็ระบุชัดว่า เน้นลงทุน structured finance ในสัดส่วนที่มากที่สุดในพอร์ตการลงทุน คิดเป็นเกือบ 60% ของพอร์ตสินทรัพย์ลงทุนในกลุ่มนี้ เป็นตราสารที่มีกลุ่มสินทรัพย์ หรือตราสารหนี้หลากประเภท เป็นหลักประกันอยู่ สินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันอาจเป็นเงินสด หรือตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ที่ออกโดยกระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ หรือซีเคียวริไทเซชั่น

    นอกเหนือจากธนาคารซีไอบีซีที่ออกมาปรับลดมุมมองต่อซิตี้กรุ๊ปในเชิงลบแล้ว ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์จากหลายสถาบัน รวมถึงดอยช์ แบงก์ เสนอแนะให้นักลงทุนขายหุ้นธนาคารรายนี้ นับจากซิตี้กรุ๊ปรายงานผลประกอบการลดลง 57% ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเดือนที่แล้ว จากผลพวงของการที่ธนาคารต้องแทงหนี้สูญ 1.3 พันล้านดอลลาร์

    ความเห็นล่าสุดของนักวิเคราะห์จากซีไอบีซี ทุบหุ้นซิตี้กรุ๊ปดิ่งลงอย่างรุนแรง และลงลึกมากที่สุด นับจากปี 2546 ลดลง 6.9% ลากหุ้นแบงก์ชาติเดียวกันทรุดยวบแบบยกแผง โดยภาพรวมหุ้นกลุ่มการเงินในดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ 500 ลดลง 4.6% แรงสุดนับจากปี 2545 อีกทั้งยังลามไกลไปที่หุ้นกลุ่มแบงก์ของแคนาดาให้ฟุบลงเช่นกัน 1.9%

    ในส่วนสถานการณ์ของเมอร์ริล ลินช์ ซึ่งกำลังตกที่นั่งลำบาก ทั้งขาดทุนยับ ปลดซีอีโอ และเผชิญกับการฟ้องร้องจากนักลงทุนแล้ว ล่าสุดมีรายงานจากดิ วอลล์สตรีต เจอร์นัล ว่า วาณิชธนกิจระดับโลกได้ทำข้อตกลงกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งเพื่อหวังชะลอการเปิดเผยตัวเลขขาดทุนอย่างหนักในการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยและหลักทรัพย์จำนองอื่นๆ ค้ำประกัน โดยในข้อตกลงระบุว่า เฮดจ์ฟันด์รายหนึ่งได้เข้าซื้อตราสารพาณิชย์มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ที่ออกโดยบริษัทในเครือแห่งหนึ่งของเมอร์ริล ลินช์ และมีสิทธิ์ที่จะขายคืนตราสารพาณิชย์ดังกล่าวให้กับเมอร์ริล ลินช์ หลังจากถือครองไว้อย่างน้อย 1 ปี ซึ่งข้อตกลงดังกล่าว เท่ากับช่วยยืดระยะเวลาในการเปิดเผยความเสี่ยงของเมอร์ริล ลินช์ ออกไปอีก 1 ปี

    หุ้นโลกป่วน-มะกันวูบ 3 แสนล้านดอลล์

    ภาพความปั่นป่วนของธนาคารเริ่มปรากฏให้เห็นในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ อเมริกา และสหภาพยุโรป ดังกรณีของยูบีเอส และเครดิตสวิส ที่แถลงยอมรับว่า ต้องแทงหนี้สูญหลายพันล้านดอลลาร์เมื่อเร็วๆ นี้ จนถึงการซวนเซของธนาคารนอร์เทิร์น ร็อก ในอังกฤษ

    ที่สำคัญ ชนวนวิกฤตจากซิตี้กรุ๊ปได้ต่อยอดปัญหาให้ดูเลวร้ายมากขึ้น และลากดัชนีตลาดสำคัญๆ ของโลกร่วงลึกต่อเนื่องกันนับจากตลาดหุ้นในอเมริกาเหนือ เลยมาถึงฟากเอเชียเมื่อวันศุกร์ (2 พ.ย.) โดยเริ่มจากดัชนีดาวโจนส์ที่ทรุดฮวบลง 362 จุด หรือ 2.6% ถือเป็นการดิ่งแรง นับจากวันที่ 19 ตุลาคม และลดลงมากที่สุดเป็นอันดับของปี 2550 เฉพาะเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา 3.69 แสนล้านดอลลาร์

    ในฟากเอเชีย ดัชนีหั่งเส็งของตลาดฮ่องกงดิ่งมากกว่า 3% หรือ 1,024.54 จุด ตามด้วยดัชนีหุ้นโตเกียว จีน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ที่อ่อนยวบตามมากกว่า 2%

    ดัชนีนิกเคอิ 225 ของโตเกียว ดิ่งแรงกว่า 352.92 จุด หรือ 2.1% โดยมีแรงดิ่งของหุ้น มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป เป็นตัวนำ ที่ทรุดลง 6% และมิซูโอะ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ที่ลดลง 5.7% ขณะที่ดัชนีเซียงไฮ้ คอมโพสิต ลดลง 2.3% สเตรตไทม์ส ของสิงคโปร์ -2.1% และดัชนีโคเรีย คอมโพสิต ของเกาหลีใต้ ก็ปิดลบ 2.1%

    หุ้นไทยร่วงตามภูมิภาค

    สำหรับตลาดหุ้นไทยในวันนี้มีการปรับตัวผันผวนขาลง โดยดัชนีปิดตลาดที่ 894.34 จุด ปรับ ลดลง -8.39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 22,450.44 ล้านบาท ซึ่งนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ตลาดหุ้นน่าจะเป็นการปรับตัวลดลงในช่วงสั้น โดยกังวลว่านักลงทุนต่างชาติจะขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทย เพื่อนำเงินไปรองรับหากเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องขึ้นอีก ประกอบกับตลาดหุ้นที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวต่อในระยะกลางถึงยาว เนื่องจากราคาน้ำมันโลกยังมีแนวโน้มทรงตัวระดับสูงถึงปีหน้า

    นายณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคนี้ หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงมากกว่า 300 จุด การปรับฐานลงในระยะสั้น เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงมาก แต่ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางบวกอยู่ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับขึ้นสูงได้อีกต่อเนื่อง จึงส่งผลบวกต่อหุ้นพลังงาน ซึ่งเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักมากสุดในตลาดหุ้นไทย จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อในสัปดาห์นี้

    ธปท.ชี้ซับไพรมยังไม่จบ

    แนวโน้มการกลับมาของวิกฤตสินเชื่อ ได้สร้าง กดดันมายังประเทศไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในทรรศนะของธนาคารแห่งประเทศไทย เตือนว่า ตราบใดที่ปัญหาซับไพรมยังไม่คลี่คลาย ความเสี่ยงที่เงินจะไหลออกฉับพลันจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และแนวโน้มเงินบาทผันผวนมากขึ้น

    นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายตลาดการเงิน และบริหารทุนสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ปรับตัวอ่อนค่าลงอยู่ที่ 33.99 บาทต่อดอลลาร์ จากวันก่อนที่อยู่ระดับ 33.92 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากกังวลข่าวซิตี้กรุ๊ป ยอมรับว่าขาดทุนจากปัญหาซับไพรม ทำให้จ่ายเงินปันผลได้น้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวร่วงกว่า 300 จุด หรือกว่า 2% จึงทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ซึ่งนักลงทุนคิดว่ามีความเสี่ยงสูง จึงดึงเงินกลับออกมาก่อน ทำให้เงินหลายสกุลอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย เงินวอนเกาหลีใต้ ดอลลาร์สิงคโปร์ และเงินบาทไทย

    นางผ่องเพ็ญระบุว่า นโยบายของ ธปท.จะดูแลค่าเงินบาทตามสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคนี้ แต่จะพยายามให้เคลื่อนไหวเกาะกลุ่มไปตามสกุลเงินในภูมิภาคนี้ ส่วนผู้ส่งออกและนำเข้าแนะนำให้ดูแลตัวเอง และอย่าคิดว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเสมอ ซึ่งปัจจุบันด้านผู้ส่งออกได้ปรับตัวป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่ผู้นำเข้ายังไม่ค่อยเห็นเท่าไร เพราะคงคิดว่าเงินบาทจะแข็งขึ้นข้างเดียว

    คาดดอลลาร์อ่อนไม่หยุด

    วิกฤตในสหรัฐยังสร้างแรงกดดันต่อเนื่องมาจากค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐให้อ่อนค่าลงไม่หยุด ส่งผลให้นักลงทุนพยายามโยกเงินเพื่อลงทุนในตลาดที่ปลอดภัยมากที่สุด เม็ดเงินบางส่วนจึงเริ่มไหลเข้าสู่ตลาดน้ำมันและทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง สถานการณ์ดังกล่าวจะมีผลต่อเนื่องมาจากประเทศไทยในหลายๆ ด้าน รวมถึงการส่งออก

    นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แนวโน้มเงินดอลลาร์ยังคงมีทิศทางอ่อนค่าลง เนื่องจากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงประมาณปีละ 800,000 ล้านดอลลาร์ และยัง ขาดดุลงบประมาณอีกปีละ 400,000-500,000 ล้านบาท เมื่อรวมการขาดดุลแฝดทั้งสองด้านคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) สหรัฐ

    นอกจากนี้ยังมีปัญหาการขยายตัวของสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างซัพพลายของดอลลาร์ เช่น การปล่อยกู้สินเชื่อซับไพรม ซึ่งทำให้ภาคอสังหาริม ทรัพย์ของสหรัฐโป่งพอง ก็กำลังเป็นปัญหาที่คุกคามสหรัฐอยู่ ดังนั้นโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้น และทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นคงยาก

    "หลังจากเฟดประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ผลที่เกิดตามมาคือ ดาวโจนส์ปรับลดลงกว่า 300 จุด สะท้อนว่าตลาดไม่เชื่อเครื่องมือดอกเบี้ยของเฟดจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐได้ จึงมีเงินไหลออกไปลงทุนสินทรัพย์อื่นที่ได้ผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงน้อยลง โดยเฉพาะในตลาดซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า และตลาดทองคำล่วงหน้า มีเงินของกองทุนต่างๆ เข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ราคาน้ำมันและทองคำปรับสูงขึ้น" นายสมภพกล่าว

    สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย นายสมภพกล่าวว่า สิ่งที่ต้องระวังคือ ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะมีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทและเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคผันผวนตามไปด้วย นอกจากนี้ภาคการส่งออกของไทยในปีหน้าจะน่าเป็นห่วงมาก เพราะหากเศรษฐกิจสหรัฐมีปัญหา ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ชะลอลง และลดการนำเข้า โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐ ญี่ปุ่น และจีน หากชะลอตัวลง จะฉุดการส่งออกไทยให้ชะลอตัวอย่างมาก เนื่องจากทั้ง 3 ประเทศเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย

    [FONT=Tahoma,]หน้า 1[/FONT]
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02p0105051150&day=2007-11-05&sectionid=0201
     
  10. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    แรงขายแบงก์-พลังงาน ฉุดดัชนีภาคบ่ายรูดลงเกือบ 19 จุด

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 พฤศจิกายน 2550 15:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> แรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์-พลังงาน ฉุดหุ้นภาคบ่ายร่วงต่อเนื่องเกือบ 19 จุด นักลงทุนกังวลซับไพรม์รอบใหม่ เทขายหุ้นดาวโจนส์และหุ้นย่านเอเชียงร่วงลงทั่วหน้า

    ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นวันนี้(5 พ.ย.) ดัชนีภาคบ่ายยังคงปรับลงต่อเนื่องจากช่วงเช้า โดยเมื่อเวลา 15.08 น. ดัชนีลดลง 18.37 จุด เปลี่ยนแปลง -2.05% มาอยู่ที่ 875.97 จุด นักวิเคราะห์คาด ต่างชาติเทขายหุ้นทั่วเอเชีย กังวลซับไพรม์รอบใหม่ ขณะที่หุ้นดาวโจนส์ร่วงแรงเช่นกัน

    นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการเศรษฐกิจและกลยุทธ์ สถาบันวิจัย บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยบ่ายนี้ร่วงกว่า 2% ในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ อย่างตลาดหุ้นในแถบยุโรปเปิดเทรดมาส่วนใหญ่ปรับตัวอยู่ในแดนลบ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่

    "แรงขายที่ออกมาในตลาดหุ้นไทยถือได้ว่าเป็นลักษณะของ profit taking เนื่องจากราคาหุ้นได้ขึ้นมาสูงในเดือนที่ผ่านมา(ต.ค.)แล้ว และราคาน้ำมันก็ได้ขึ้นมามากแล้วด้วย รวมทั้งในเดือนนี้(พ.ย.)มองว่าน่าจะเป็นเดือนของการปรับฐานของตลาดทั่วโลก เพราะเดือนนี้อาจจะมีการขายหุ้นเพื่อสภาพคล่องปลายปี"นายอดิศักดิ์ กล่าว

    นอกจากนี้ ตลาดฯมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาพรวมทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่ต่างมองว่าจะเริ่มเข้าสู่การปรับฐาน โดยตอนนี้ตลาดได้มองไปถึงปีหน้า (2551) คาดการณ์ว่าสหรัฐจะเริ่มปรับฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นไปในลักษณะของการการเติบโตที่ลดลง ซึ่งการปรับฐานของสหรัฐฯอาจจะเป็นตัวชี้ถึงเศรษฐกิจของทั่วโลกได้ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 860-890 จุด

    ล่าสุด เมื่อเวลา 15.56 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 872.44 จุด ลดลง 21.91 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,047.22 ล้านบาท

    http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9500000131265</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ปัจจัยลบถล่มตลาดทุนโลก หุ้นไทยรูด 21 จุด ฝรั่งกระหน่ำทิ้ง 5 พันล.

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 พฤศจิกายน 2550 06:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ตลาดหุ้นทั่วโลกป่วนหลังผลกระทบซับไพรม์ไม่หยุด ล่าสุดซีอีโอ"ซิตี้กรุ๊ป"ประกาศลาออก ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงทรุดหนัก 5% หลังผู้นำรัฐบาลจีนประกาศต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนให้นักลงทุนไปลงทุนในต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นไทยรูด 21 จุดหลังฝรั่งกระหน่ำขายสุทธิกว่า 5.2 พันล้านบาท โบรกฯเตือนปัจจัยลบยังปกคลุมตลาดหุ้นเพียบ แนะนักลงทุนใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้นหรือเลี่ยงถือเงินสด

    ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (5 พ.ย.) ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงหลังมีแรงเทขายอย่างหนักโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ตอบรับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นทั่วเอเชียหลังปรากฎข่าวในเชิงลบจากผลกระทบเกี่ยวกับปัญหาซับไพรม์ ที่ล่าสุดส่งผลทำให้ "ชาร์ลส์ พรินซ์" ซีอีโอของซิตี้กรุ๊ปประกาศลาออก ในขณะเดียวกันตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับผลกระทบจากกรณีที่นายกรัฐมนตรีจีน ประกาศจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการให้นักลงทุนจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศซึ่งอาจทำให้การออกไปลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงเลื่อนออก โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 872.86 จุด ลดลง 21.48 จุด หรือ 2.40% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 892.87 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 871.82 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,162.10 ล้านบาท

    ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5,229.95 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 400.41 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,829.54 ล้านบาท

    สำหรับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ประกอบด้วยหุ้นบมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 386 บาท ลดลง 18 บาท หุ้น 4.46% มูลค่าการซื้อขาย 4,076.01 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 151 บาท ลดลง 8 บาท หรือ 5.03% มูลค่าการซื้อขาย 2,151.12 ล้านบาท, หุ้นธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ราคาปิดที่ 119 บาท ลดลง 3 บาท หรือ 2.46% มูลค่าการซื้อขาย 1,099.48 ล้านบาท

    นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วานนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงแรงตามตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับลดลงเฉลี่ย 2% โดยตลาดหุ้นฮั่งเส็ง ของฮ่องกง ปรับลดลงมากที่สุดถึง 5% ในขณะเดียวกันมีแรงเทขายในหุ้นกลุ่มหลักที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มแบงก์

    ทั้งนี้ การที่ดัชนีปรับลดลงแรงนั้น มีปัจจัยที่เข้ามากระทบสั้นๆ 3 ปัจจัยหลัก คือ ปัญหาเรื่องความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจภาคการเงินของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผลประกอบการกลุ่มธนาคารของสหรัฐที่ประกาศออกมาไม่ค่อยดี ทำให้นักลงทุนวิตกและขายหุ้นออกมา เพราะไม่แน่ใจว่าแนวโน้มปัญหาจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพร์ม) จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อไปหรือไม่ และอาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้าอาจจะชะลอตัวลดลง

    นอกจากนี้ ปัจจัยจากราคาหุ้นในช่วงก่อนหน้าที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างมีราคาสูงจนสูงกว่าราคาปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงมีแรงขายทางเทคนิคออกมา ประกอบกับนักลงทุนมักจะขายทำกำไรในช่วงก่อนวันคริสต์มาส เพราะนักลงทุนบางส่วนจะหยุดพักผ่อนยาว ดังนั้นจึงขายหุ้นออกมาเพื่อเก็บเงินไว้และนำเงินไปใช้ในช่วงสิ้นปี รวมถึงขายเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในช่วงสิ้นปี อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังจากนี้ มองว่าจะเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของหุ้น (Consolidation Period) ซึ่งจะเป็นช่วงปรับตัวก่อนสิ้นปี

    สำหรับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะชะลอเม็ดเงินลงทุนที่จะไหลออกนอกประเทศ จากก่อนหน้านี้ได้ประกาศเปิดทางให้มีการลงทุนในต่างประเทศได้ ทำให้แรงซื้อที่เข้ามาจากยุโรป รอที่เม็ดเงินจีนจะเข้าลงทุนหาย และการที่ตลาดหุ้นฮั่งเส็งในฮ่องกงปรับลดลงแรง เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากนักลงทุนจากจีนลงทุนในฮ่องกงเป็นจำนวนมาก ซึ่งนโยบายเศรษฐกิจของจีนที่จะออกมานั้น หากเป็นเชิงลบก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และคาดว่านโยบายที่จะออกมาเพื่อสกัดความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่มีความร้อนแรง และควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น

    ในส่วนของแนวโน้มการลงทุนในวันนี้คาดว่าดัชนีจะอยู่ในกรอบแนวรับที่ 860 จุด และแนวต้านที่ 883 จุด โดยแนะในระยะสั้นให้นักลงทุนที่หากมีกำไรอยู่ให้ขายทำกำไรออกมา และให้เฝ้าและติดตาม

    **ปัจจัยลบถล่มตลาดหุ้น

    นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า คาดว่าจะแรงขายหุ้นขนาดใหญ่จากนักลงทุนต่างชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณที่จะไม่ลดดอกเบี้ยลงเร็วอย่างที่คาด ซึ่งอาจจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อาจไม่อ่อนค่าลงอย่างที่คาด ทำให้นักลงทุนต้องรอดูทิศทางอัตราดอกเบี้ยต่อไป

    ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาของเฟดอีก 0.25% มาที่ 4.50% เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด รวมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน ลง 0.25% มาที่ 5.00% โดยเฟดระบุว่าความเสี่ยงเกี่ยวกับเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เท่าๆ กับความเสี่ยงช่วงขาลงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

    นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเข้านี้ร่วงแรง ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงของการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยด้วย ในขณะที่นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ในระดับที่สูงเกินไป หวั่นว่าอาจจะไปส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นนักลงทุนจึงลดความเสี่ยงลงในช่วงนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9500000131422
     
  12. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ตลาดหุ้นย่านเอเชียร่วงหนัก หลังข่าว

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 พฤศจิกายน 2550 12:13 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ หลังการประกาศลาออกของ
     
  13. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    เมื่อคืนน้ำมันดิบทะลุ ๙๗ เหรียญสหรัฐราวตีสาม เอาจักรยานมาปัดฝุ่นได้แล้วค่ะ คุณแวนโกะว่าไงเอ่ยทำนายความยุ่งยากหน่อยค่ะ มันเกินเก้าสิบมาหลายครั้งหลายวันแล้วนะคะ
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    กำลังติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดเลยครับอาจารย์ไก่ แล้วจะนำผลมารายงานโดยเร็วนะครับ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    จากการติดตามข่าว ราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะพุ่งแตะระดับ $100 ต่อบาร์เรลภายในปีนี้ครับ สาเหตุหลายประการครับ

    1.น้ำมันสำรองของโลกมีจำนวนลดลงอย่างมาก เนื่องจากมีการคาดการณ์ถึงการใช้พลังงานของชาติตะวันตกและสหรัฐในฤดูหนาวที่จะถึงที่คาดการณ์ว่าจะหนาวกว่าทุกปี

    2.ประเทศจีนขาดแคลนน้ำมันดิบอย่างหนัก เนื่องจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วเกินไป และรัฐบาลจีนไม่สามารถหาน้ำมันสำรองได้ทัน ประกอบกับภาคการผลิตและอุตสาหกรรม ไม่มีแผนรองรับการขาดแคลนน้ำมัน ทำให้ภาคเอกชนต้องสั่งซื้อน้ำมันดิบโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งจำหน่ายในราคาสูงกว่าปกติ

    3.ความไม่มั่นใจของนักลงทุนทั่วโลกที่มีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ มีผลทางจิตวิทยาในการลงทุน ทำให้ผลการซื้อขายหุ้นในกลุ่มพลังงานทั่วโลกโดนเทขายอย่างหนัก หากสหรัฐยังไม่สามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความไม่มั่นใจของนักลงมุน และการเก็งกำไรของบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลก

    4.กลุ่มโอเปก ยังไม่มีนโยบายในการเพิ่มการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น และทางกลุ่มไม่สามารถกำหนดโควต้าการผลิตน้ำมันของสมาชิกในกลุ่มได้อย่างเด็ดขาด รวมถึงไม่สามารถจำกัดหรือเพิ่มการผลิตน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    5.ประเทศที่ผลิตน้ำมันในกลุ่มอาหรับบางประเทศ ลดจำนวนการส่งมอบน้ำมันล่วงหน้าลงมาก เพื่อเป็นการเก็งกำไร ทำให้สัญญาการซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกมีจำนวนน้อยลง ซึ่งเป็นผลทางจิตวิทยาโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลก

    6.ภาวะเงินเฟ้อเฉลี่ยของโลกตอนนี้ อยู่ในระดับสูงมาก ถ้าไม่สามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อลงได้ ราคาต้นทุนผลผลิตจะสูงขึ้นตามราคาน้ำมันโลกครับ (แนะนำว่าถ้าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐลดลงซัก 0.5 น่าจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้)

    7.สำหรับประเทศไทย กองมุนน้ำมันควรเข้าไปแทรกแซงราคาหน้าโรงกลั่นบ้าง แต่ไม่ใช่ไปอุ้มจนหมดตัว เพราะควรปล่อยให้เป็นไปตามวัฏจักรของราคาตลาดโลก เพราะไม่อย่างงั้นภาวะเศรษฐกิจของไทยซึ่งอิงราคาน้ำมันโลก จะผันผวน ไม่มีเสถียรภาพ ขาดสภาพคล่องทางธุรกิจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2007
  16. nantiya.j

    nantiya.j เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +8,550
    เงินบาทเช้านี้เปิดที่ 33.95/97 <HR align=left width="95%" color=#768696 SIZE=1>
    โดย Post Digital 7 พฤศจิกายน 2550 09:27 น.

    ไทยธนาคาร เผย ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ ที่ 33.95/97 บาทต่อดอลล่าร์ คาดบาทแข็งค่าจากแนวโน้มตลาดหุ้นไทยบวก



    นักบริหารเงินจาก ธนาคารไทยธนาคาร เปิดเผยว่า เงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ระดับ 33.95/97 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากวานนี้ที่ปิดตลาดที่ 34.00 บาท/ดอลลาร์ คาดว่าแนวโน้มเงินบาทแข็งค่า อยู่ในกรอบ 33.94-33.95 บาท/ดอลลาร์ จากแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้จะปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก

    "แนวโน้มค่าเงินบาท น่าจะเหมือนเดิม เพราะวานนี้ที่อ่อนค่าลงไปก็อยู่ไม่นานมาก ก็น่าอยู่ระดับ 33.95-33.94 บาท/ดอลลาร์จาก sentiment เงินดอลลาร์ยังเป็นขาลง" นักบริหารเงิน กล่าว

    คิดว่าผลมาจากตลาดหุ้นด้วย วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นบวก เขาก็คงคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะบวกตาม และถ้าตลาดหุ้นไทยบวก ต่างชาติไม่ได้มี out flow ก็อาจมองว่าวันนี้ แนวโน้มบาทจะแข็ง เมื่อเทียบกับเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับทางการจะเข้ามาดูแลเงินบาทหรือเปล่า
    ส่วนเงินเยนและเงินยูโรเช้านี้ทรงตัวจากวานนี้ โดยเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ที่ 114.65/70 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโร เคลื่อนไหวอยู่ที่ 1.4560/62 ดอลลาร์/ยูโร


    ทองรูปพรรณวันนี้บาทละ 13,350 บาท <HR align=left width="95%" color=#768696 SIZE=1>
    โดย Post Digital 7 พฤศจิกายน 2550 08:05 น.

    ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (6 พ.ย.) หลังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ทะยานขึ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุด ทั้งยังได้รับแรงหนุนจากข่าวลอบวางระเบิดท่อส่งน้ำมันในเยเมน-เหตุระเบิดในพื้นที่ตอนเหนือของอัฟกานิสถาน สำหรับทองรูปพรรณในประเทศวันนี้บาทละ 13,750 บาท


    สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 823.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พุ่งขึ้น 12.60 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 828.00-808.60 ดอลลาร์

    ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 15.380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 59.5 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 3.3415 ดอลลาร์ต่อปอนด์ เพิ่มขึ้น 3.95 เซนต์

    ส่วนสัญญาพลาตินั่มส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1,483.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทะยานขึ้น 17.20 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 379.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ดีดขึ้น 4.60 ดอลลาร์
    สำหรับราคาทองคำในประเทศ ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ13,250 ขายออกบาทละ 13,350 ราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 13,052ขายออกบาทละ13,750 บาท
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอเสริมเรื่องราคาน้ำมันหน่อยครับ

    สำหรับราคาน้ำมันที่ขึ้นสูงมากๆอยู่นี้เป็นผลสำคัญอีกประการจากการที่ กองทุนเฮนจ์ฟันด์ ซึ่งขาดทุนจากกรณีซับไพร์มและแห่ไปถอนทุนคืนจากการเก็งกำไรน้ำมันซึ่งเป็นจังหวะที่มีดีมานท์สูงมากๆ จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย นอกเหนือจากหลายประเทศเร่งซุ่มเก็บสำรองน้ำมันเพื่อเป็นยุทธปัจจัยในการทำสงคราม อย่างจีนสำรองน้ำมันมหาศาลปริมาณใช้ได้หนึ่งปีเต็มๆ

    สำหรับไทยเองราคาที่เป็นอยู่ยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงเนื่องจากรัฐใช้กองทุนน้ำมันอุ้มอยู่ เพื่อไม่ให้ราคาพุ่งเกินไป เนื่องจากใกล้เลือกตั้งแล้ว ว่าแต่ภายหลังจากการเลือกตั้ง จะมีการปล่อยลอยตัวน้ำมัน รวมทั้งก๊าซหุงต้ม ตามราคาที่แท้จริง เมื่อนั้นล่ะที่จะส่งกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรงแน่นอน รวมทั้งวัดความสามารถของรัฐบาลใหม่ด้วย ว่าจะแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ เราเองคงได้เห็นราคาเบนซินน่าจะถึงหรือใกล้ 35บาท ส่วนดีเซล ได้เห็น30 กว่าบาทแน่นอน หากเป็นไปได้รีบปรับตัวให้ประหยัดและยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงกันเอาไว้ครับ เพราะราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ค่าเดินทาง ค่าขนส่งสูงขึ้นแน่นอน ต้นทุนชีวิตก็สูงขึ้นตามไปด้วย


    ธุรกิจ กิจการก็คงมีอีกมากที่ปิดกิจการลงไป แต่ในวิกฤตมีโอกาส ยังมีอีกหลายธุรกิจที่จะรุ่งเรืองในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบนี้ นั่นคือธุรกิจที่เป็นทางเลือก ช่วยประหยัด ช่วยลดต้นทุนค่าครองชีพให้กับประชาชน ธุรกิจที่เน้นคุณค่า คุ้มค่า ยังมีหนทางไปได้ครับ

    เริ่มทำบัญชี รายรับ รายจ่าย ตัดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เกินจำเป็น ฝึกนิสัยในการประหยัด ฝึกใจให้รู้จักความพอเพียง สอนลูกหลานให้รู้จักพอเพียงด้วย
     
  18. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    98 แล้วค่ะ

    น้ำมันดิบ แตะ ๙๘ เหรียญแล้ว
    จะถึงร้อยเสียก่อนสิ้นเดือนละมัง

    เมื่อวานไปธุระแถวสุขุมวิท ๔๕ เห็นทางเท้าทำใหม่สะอาดเอี่ยม
    แลมีทางจักรยานขีดเส้นไว้อย่างดี

    สงสัยปชป รู้ล่วงหน้าว่าน้ำมันจะแพงอ่วมแน่ๆ ขอบคุณ กทม ค่ะ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ปตท.อั้นไม่อยู่ ประกาศขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิดอีกลิตรละ 50 ส.ต.- 'พลังงาน' จ่อลดเงินเข้ากองทุนน้ำมันอีก 10-30 สตางค์ -เกจิชี้พิษน้ำมันกดความเชื่อมั่นศก.ลงอีกรอบ ชี้คนวิตกเรื่องค่าครองชีพ ยิ่งกว่าเรื่องการเมือง - ค้าภายในชี้น้ำมันแพงไม่กระทบต้นทุนผลิตสินค้า


    ปตท.ประกาศขั้นราคาน้ำมันทุกชนิด 50 สตางค์

    นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ตัดสินใจประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด 50 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น.วันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ ส่งผลให้ราคาขายปลีกในเขตกทม.และปริมณฑล เป็นดังนี้ ราคาเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 31.69 บาทต่อลิตร เบนซิน 91อยู่ที่ 30.89 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 28.19 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 27.39 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 28.64 บาทต่อลิตร และไบโอดีเซลอยู่ที่ 27.64 บาทต่อลิตร โดยการปรับขึ้นราคาน้ำมันครั้งนี้เป็นไปตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับขึ้นมาก เฉลี่ยช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาราคาในตลาดโลกปรับขึ้นไปแล้ว 60% ขณะที่ราคาขายปลีกปรับขึ้นแค่ 10% ทำให้ปตท.ขาดทุนเฉลี่ยอยู่ถึง 2 บาทต่อลิตร หรือ 60 ล้านบาทต่อวัน รวมแล้ว 10 เดือนที่ผ่านมาปตท.รับภาระไปแล้ว 3,000 ล้านบาท

    นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้ผู้ใช้รถยนต์หันมาใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้น โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ยอดการใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นถึง 20 % จากระดับ 50 ล้านลิตรต่อวันในเดือนกันยายน เป็น 60 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งสามารถลดค่าใช้จายได้ถึง 5,000 บาทต่อคันต่อปี นอกจากนี้ยังช่วยประเทศลดการนำเข้าน้ำมันได้เกือบ 2,000 ล้านบาทต่อปี และช่วยแก้ปัญหาเรื่องเอทานอลล้นตลาดได้ เพราะมีความต้องการใช้เอทานอลมากขึ้นจาก 5 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 6 ล้านลิตรต่อวัน

    'ปิยสวัสดิ์' อาจลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันอีก

    นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วงนี้ ยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และมีความผันผวนสูง ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าอาจเห็นราคาน้ำมันดิบที่ทะลุเกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ราคาน้ำมันดิบดูไบสูงขึ้นถึง 2.6 เหรียญสหรัฐ อยู่ในระดับ 88.8 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์เบนซิน 95 ปรับขึ้น 2.5 เหรียญฯ มาอยู่ที่ระดับ 102 เหรียญฯต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้น 3.1 เหรียญฯ มาอยู่ในระดับ 108 เหรียญฯต่อบาร์เรล

    นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากปัจจัยด้านการจัดหาน้ำมันเป็นหลัก เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันในบริเวณอ่าวเม็กซิโกยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้ แม้ว่าพายุจะพัดผ่านอ่าวไปแล้วก็ตาม ขณะที่สภาพอากาศที่แปรปรวนในทะเลเหนือทำให้บริษัทโคนอโคต้องหยุดการผลิตลง ประกอบกับท่อส่งน้ำมันในเยเมนถูกลอบวางระเบิด ทำให้กระทบต่อการส่งออกน้ำมันไปแถบทะเลแดงจำนวน 155,000 บาร์เรลต่อวัน ที่ออกสู่ทะเลแดง นอกจากนี้ปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐอเมริกายังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ และยังมีปัจจัยเสี่ยว่าจะเกิดสงครามระหว่างตุรกีกับกลุ่มกบฎเคิร์ก รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่องที่ทำให้กองทุนเก็งกำไร(เฮดจ์ฟันด์) เพิ่มการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า ทำให้ราคาน้ำมันดีดตัวสูงขึ้น

    'ถ้าราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นต่อเนื่อง กระทรวงพลังงานจะพิจารณาปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันอีกครั้ง แต่จะปรับในส่วนของโอดีเซลสูตร บี5 และแก๊สโซฮอล์ก่อน แต่ถ้าราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีที่ท่าว่าจะลดลง ทางกระทรวงพลังงานคงต้องปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ ด้วย เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน อย่างไรก็ตามภาครัฐจะขอรอดูราคาน้ำมันในวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายนนี้ก่อน หากราคาน้ำมันยังคงปรับตัวสูงขึ้น กระทรวงก็จะปรับลดเงินกองทุนทันทีมีผลวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมัน' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว

    รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานแจ้งว่า กระทรวงพลังงานจะปรับลดเงินเข้ากองทุนฯเฉพาะไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอล์เท่านั้น เพื่อจูงให้ผู้ใช้รถยนต์หันมาใช้แทนน้ำมันเบนซินและดีเซลมากขึ้น ซึ่งจะพิจารณาว่าจะปรับลด 10 สตางค์ต่อลิตร หรือยกเว้นการจัดเก็บทั้งหมด จากปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่ 30 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งหากลด 30 สตางค์ต่อลิตร ก็จะทำให้แก๊สโซฮอล์ ถูกกว่าเบนซิน 95 เพิ่มเป็น 3.80 บาทต่อลิตร ส่วนไบโอดีเซลถูกกว่าน้ำมันดีเซล 1.30 บาทต่อลิตร

    'กรมการค้าภายใน'ชี้น้ำมันแพง ไม่กระทบต้นทุนผลิตสินค้า

    นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงผลกระทบราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ที่มีต่อราคาสินค้าว่า ผู้ประกอบการไม่ค่อยกังวลปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จะกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ส่วนใหญ่จะกังวลเรื่องวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้นมากกว่า ซึ่งกรมฯ ได้ศึกษาปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น พบว่า กระทบต่อกลุ่มสินค้าที่มีการขนส่ง โดยเฉพาะกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ได้รับผลกระทบสูงสุด รองลงกลุ่มสินค้าอุปภค บริโภค และกลุ่มสินค้าอิเล็คทรอนิคส์ เช่น คอมพิวเตอร์ ได้รับผลกระทบต่ำที่สุด

    ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมฯ ได้เรียกผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มสินค้า เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ประจำวัน แบตเตอรี่ ยางรถยนต์ รวมทั้งปุ๋ยเคมี ยาป้องกันและปราบศัตรูพืช และอาหารสัตว์ มาหารือ ส่วนใหญ่ไม่มีใครบ่นเรื่องราคาน้ำมัน ซึ่งจะกระทบเรื่องค่าขนส่ง ผู้ผลิตส่วนใหญ่แสดงถึงความกังวลและยกเหตุผลต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นจากวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันและค่าขนส่ง


    ระบุ'น้ำมันแพง'กดความเชื่อมั่นศก.ลงอีก-ปีใหม่อาจไม่ขึ้นคึกคัก

    ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนตุลาคม 2550 ว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นกลับมาเป็นแรงกดดันสูงสุดในรอบ 13 เดือน ที่กระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจและภาวะในปัจจุบันลดลง โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงอยู่ระดับ 75.5 จากเดือนกันยายน 75.8 หลังจากเดือนกันยายนดัชนีปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน หรือต่ำสุดในรอบ 59 เดือน และกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมมาอยู่ระดับ 68.6 จาก 69.2 ในเดือนกันยายน ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสหางานทำอยู่ระดับ 69.8 จาก 70.3 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปัจจุบัน อยู่ระดับ 69.8 จาก 71.1

    'เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นประชาชนเริ่มกังวลต่อรายได้และฐานะตนเองที่ลดลงในอนาคต หวั่นกระทบต่อการปรับขึ้นราคาสินค้า และส่งออกได้ลดลง จึงส่งผลต่อการชะลอการซื้ออสังหาริมทรัพย์ การลงทุน และการท่องเที่ยว และระมัดระวังต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นอีก ประชาชนเริ่มส่งสัญญาณถึงความลังเลต่อความเชื่อมั่นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปลายปีหรือช่วงเลือกตั้งจะดีขึ้น ลังเลว่าน้ำมันจะทำให้เศรษฐกิจไม่ดีเท่าที่คาดไว้เดิม และการเฉลิมฉลองปีใหม่ปีนี้อาจไม่คึกคัก ฉะนั้นดัชนีความเชื่อมั่นของ 2 เดือนที่เหลือของปีนี้อาจไม่ดีขึ้นนักหากน้ำมันโลกเพิ่มถึง 90-100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นนานถึงปีหน้า'

    แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังหวังอนาคตว่าจะดีขึ้น ดูจากผลสำรวจพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นที่เกี่ยวกับอนาคต ยังปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้อนาคต อยู่ที่ระดับ 88.1 เพิ่มจากเดือนก.ย.ที่ระดับ 87.8 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ระดับ 75.1 จาก 74.9 เพราะประชาชนมีความหวังว่าหลังเลือกตั้งจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว แต่คาดว่าความเชื่อมั่นน่าจะดีขึ้นอีกครั้งในกลางปี 2551 เมื่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วเสร็จและไม่มีกระแสการต่อต้านที่รุนแรง และรัฐบาลสามารถควบคุมราคาน้ำมันดีเซลที่มีผลต่อภาคผลิตและขนส่งไม่เกิน 30 บาท/ลิตร

    ชี้คนเริ่มคลายเครียดการเมือง-วิตกค่าครองชีพเพิ่ม

    นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวผลสำรวจภาวการณ์ทางสังคมของผู้บริโภคในเดือนตุลาคม 2550 พบว่า คนเริ่มผ่อนคลายเรื่องการเมือง ดัชนีมีการขยับขึ้นจาก 46.3 มาเป็น 48.8 และมองอนาคตการเมืองดีขึ้นดัชนีขยับจาก 62.5 มาเป็น 66.2 แต่ปัญหาความกังวลต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น ปัญหายาเสพติด และการคอร์รัปชั่นในสังคม ส่งผลต่อความสุขในการดำเนินชีวิตลดลง จากดัชนี 98.9 เหลือ 97.7 และยังวิตกต่อความสุขในอนาคตที่ลดลงจาก 102 เหลือ 100.7

    'ในการประชุมหอการค้าทั่วประเทศระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายนนี้ จะทำการสำรวจถึงความคาดหวังต่อนโยบายของพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รวมถึงข้อเสนอแนะต่อการเพิ่มเติมนโยบายต่อการพัฒนาประเทศของพรรคการเมืองและรัฐบาลใหม่ที่จะเข้าบริหารประเทศ'

    แนะรบ.ใหม่เร่งทำนโยบายให้เป็นจริง-ใช้ประชาคมนิยมที่เป็นผลดี

    นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งทำ คือการนำนโยบายที่หาเสียงไว้มาทำให้เกิดผลจริง โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมบางอย่างที่เป็นผลดีต่อประเทศ เช่น การจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าง หากทำให้เป็นธนาคารหมู่บ้าน โดยวางหลักเกณฑ์ที่ไม่นำเงินอนาคตมาใช้และสูญเปล่า ก็จะเกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะประชาชนสามารถหาแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น และการเบิกจ่ายงบประมาณลงพื้นที่ หากทำได้เร็ว เชื่อว่าความเชื่อมั่นทุกอย่างจะกลับคืนมา

    นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าหากมีการทำได้อย่างนโยบายประชานิยมก็น่าจะเป็นผลดีต่อประเทศ แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถทำได้ก็ไม่ส่งผลดีและกลายเป็นจุดล้มสถานภาพทางการเมืองของพรรคนั้นเอง ทั้งนี้เชื่อว่ารัฐบาลใหม่ต้องทบทวนการใช้จ่ายงบประมาณและใช้นโยบายขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพื่อให้เงินอัดฉีดระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว รัฐบาลชุดนี้อาจไม่กล้าใช้งบประมาณขาดดุลเพราะกลัวถูกตำหนิ

    http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=700
     
  20. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    ปรากฎการณ์ ซึนามิบก..เริ่มเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้น..ธุรกิจ..กิจการ..ซบเซา
    และมีแนวโน้ม..ทรุดตัวลงไปอีก..จากปัญหาน้ำมันแพง และการเมืองช่วงชิง
    อำนาจผลประโยชน์..เพื่อตนเองและพวกพ้อง..กอบโกย โกงกินไม่รู้จักพอ..
    ..ผลักภาระหนี้สิน..และความเดือดร้อนให้กับประชาชน..รับกรรมกันเอง..
    อย่าไปคาดหวัง..ว่านักการเมือง..จะจริงใจ..จริงจังช่วยเหลือประชาชน..
    ตราบใดที่นักการเมือง..ข้าราชการ..ทุจริตคอรับชั่น..ยังเต็มบ้านเต็มเมือง..
    ไม่มีใครจะสามารถเยียวยา..ความโลภ..หลงอำนาจ..ของพวกท่านเหล่านี้ได้
    ..สภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอย่างนี้..เพราะนโยบาย..สร้างหนี้ให้ประชาชนโดยทั่วกัน ยุยงให้ใช้เงินในอนาคต..ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนความสะดวกสบายต่างๆ
    ฟุ่มเฟือย.กันจนเกิดปัญหา..กระทบต่อประชาชนทุกหย่อมหญ้า..กรรมจริงๆ..
    ..ยังมองไม่เห็นว่าจะมีใครหน้าไหน..หรือรัฐบาลใหม่..จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้
    นอกจากตนเป็นที่พึ่งแห่งตน..และยึดแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง.ไว้
    ประหยัด.(เพราะไม่มีเงินจะกินต้องใช้หนี้สินต่างๆ).น้ำมันแพงมาก.ก็ปั่นจักรยาน
    ออกกำลังกายไปด้วย(ไม่มีเงินจะเติมน้ำมันรถนั่นแหละ)..น้ำมันหมดจากโลกนี้
    เมื่อไหร่..พวกชาติอาหรับ(โอเปค)..คงต้องสะอื้นรับกรรมที่ขายน้ำมันราคาแพง
    ..สูบเลือดสูบเนื้อชาวโลก..คงถึงทีที่ชาวโลกจะได้ขายน้ำดื่มน้ำใช้..และอาหาร
    ให้ชาติอาหรับราคาแพงๆบ้าง..สักวันหนึ่ง..จะได้รู้สำนึกซะบ้าง.ฝากไว้ก่อนเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2007

แชร์หน้านี้

Loading...