เห็นกิเลสเกิดขึ้นมา แล้วฆ่ามันยังไงกัน ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขี้เมา, 25 มีนาคม 2013.

  1. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ที่ีท่านยกตัวอย่างมา ที่เป็นบทความหลวงปู่นั้น ]ผมไม่ค่อยได้อ่านนะครับ เพราะอย่างไรท่านก็กล่าวไม่เกินพุทวจน อย่างไรก็ต้องตรวจทาน
     
  2. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    จะเอากิเลส ไปตรวจทานความเป็นมรรคผล ซึ่งเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี

    นี่แหละหนา เพราะความศรัทธายังไม่เป็นหนึ่งเดียว อินทรีย์ไม่สมดุล
    ก็จะกลายเป็นบุรุษเปล่าๆไป อุปมาเสมือน เรียนธรรมผิดเหมือนจับงูพิษที่หาง

    ตรงนี้ต้องระวัง คอยเช็คตนเองเสมอๆ เพื่อไม่ให้เข้าตำรา พุทธวจนะกิเลสอ้าง
    แต่ยังไงๆ ปุถุชนก็พ้นกิเลสอ้างไปไม่ได้ อยู่ที่ว่าจะปักธงไว้อย่างไร เท่านั้นเอง

    ต้องไปหาอ่านเอาใน "อลคัททูปมสูตร"

    ธรรมเหล่านั้น จะเป็นสิ่งย้ำเตือนตน ที่ไม่จำเป็นต้องย้อนแย้ง
     
  3. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    กิเลสผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นของน่าชมชอบ น่าเสพ น่าคิดคำนึง น่าปรารถนา การระงับกิเลสวิธีหนึ่งคือการไม่คิดถึงมันเลย บางคนจะทำได้ บางคนทำไม่ได้ คนที่ทำไม่ได้ใช้วิธีค่อยๆผ่อน พยายามลดละเลิกการเสพอะไรต่างๆที่เราคิดว่ามันเป็นกิเลสของเรา อย่างที่บอกว่าไม่คิดเลยก็คือไม่ต้องไปครุ่นคิด รู้จักจัดการกับระเบียบวิธีการคิดของเรา สมเด็จองค์ปฐม(พระพุทธเจ้าพระองค์แรก)เคยตรัสว่า ฟุ้งดีควรฟุ้ง ฟุ้งเลวควรระงับ การควบคุมความคิดเพื่อระงับกิเลสจะเป็นไปด้วยดีถ้าเรามีสมาธิเป็นฐาน การปฏิบัติธรรมจะขาดการทำสมาธิไปไม่ได้เลย นักปฏิบัติควรหมั่นทำสมาธินะครับ เก็บเล็กผสมน้อยก็ได้ ผู้โพสต์ก็ทำแบบเก็บเล็กผสมน้อย เช่นก่อนนอน เมื่อก่อนทำวันละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยๆลดลงมา ปัจจุบันเห็นผลดีในระดับหนึ่ง สมาธิช่วยให้อารมณ์สงบเยือกเย็น และเกิดปัญญาครับ.....
     
  4. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    หลักในการปฏิบัติธรรมเพื่อนิพพาน...

    การลดละเลิกการเสพกามเพื่อนิพพานสำหรับนักปฏิบัติ จากพระไตรปิฎกระบุไว้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิธีนั้นเรียกว่าการเจริญกาคตายะสติ เช่นการทำสมาธิให้จิตใจตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วน้อมนำใจไปในการพิจรณาแยกธาตุขันธ์ในร่างกาย นี้คือกะโหลก เบ้าตา รูจมูก ฟัน โครงกระดูก หัวใจ ปอด ตับไตใส้พุง อวัยวะเพศ กล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาท ข้อเท้า เท้า เป็นต้น (นักปฏิบัติเลือกพิจรณาในวิธีทางแห่งตน) ให้เห็นเป็นปฏิกูลด้วย เป็นไตรลักษณ์อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตาด้วย หลักอนัตตาเป็นเรื่องสำคัญมากควรทำความเข้าใจให้ดี การรู้อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา จะทำให้เข้าใจทั้งสังขารภายในและภายนอกว่าเป็นเช่นไร การปฏิบัติธรรมเราปฏิบัติเพื่อเป็นคนดี เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง หลักในการปฏิบัติธรรมคือทานศีลภาวนา.....
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    จะไปกุดหัวมันทำไม พระสูตรนี้พุทธวจนมีทางออกเสมอ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า เนื้อป่าที่ติดบ่วงนอนทับกองบ่วง พึงทราบ
    ว่า เป็นสัตว์ที่ถึงความเสื่อมความพินาศ ถูกพรานกระทำได้ตามต้องการ เมื่อพรานเดินเข้ามาก็หนีไปไม่ได้ ตามปรารถนา ฉันใด สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ใฝ่ฝัน ลุ่มหลง ติดพันไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาที่จะคิดนำตนออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้ สมณพราหมณ์พวกนั้น.บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้ถึงความเสื่อมความพินาศ ถูกมารผู้ใจบาปกระทำได้ตามต้องการ
    ฉันนั้นสมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งไม่ใฝ่ฝัน ไม่ลุ่มหลง ไม่ติดพัน เห็นโทษ มีปัญญาที่จะคิดนำตนออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้ สมณพราหมณ์พวกนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้ไม่ถึงความเสื่อมความพินาศไม่ถูกมารผู้ใจบาปกระทำได้ตามต้องการ. เหมือนอย่างว่า เนื้อป่าที่ไม่ติดบ่วง นอนทับกองบ่วง พึงทราบว่า เป็นสัตว์ไม่ถึงความเสื่อมความพินาศ ไม่ถูกพรานกระทำได้ตามต้องการเมื่อพรานเดินเข้ามา ก็หนีไปตามปรารถนา ฉันใด สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งไม่ใฝ่ฝันไม่ลุ่มหลง ไม่ติดพัน เห็นโทษ มีปัญญาที่จะคิดนำตนออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้สีแดงแบบลุ่มหลงเสร็จมารใจบาป สี่น้ำเงินพ้นมือมารใจบาป
     
  6. ผู้บรรลุ

    ผู้บรรลุ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +41
    ผิดแล้วจะเรียกอรหันต์ได้อย่างไร
     
  7. ผู้บรรลุ

    ผู้บรรลุ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +41
    การเห็นกิเลส ไม่ได้เป็นทุกข์
    การเห็นกิเลส แล้ว "อยาก" ไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นมาอีก เป็นทุกข์

    เห็นแล้วสักแต่ว่าเห็น ไม่ต้องไป"อยาก" จะได้ไม่ทุกข์
     
  8. ขี้เมา

    ขี้เมา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +14
    ข้ามีความคิดแบบนี้นะ ที่ท่านกล่าวมานั้นก็ดูเข้าท่าดี มีเหตุ มีผล ที่ดี
    แต่ว่าเหมือนหมักหมมปัญหาและการงานทิ้งไว้
    ไม่รู้จักใช้สติปัญญาไม่แก้ไข และไม่ทำงานที่คั่งค้าง
    วันนึงปัญหาและการงานนั้น ก็ต้องหวนกลับมาให้ทำ ให้ดัดแปลงแก้ไขอยู่ดี ใช่หรือไม่ ?

    ความเห็นข้า อยากไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นมา เป็น "มรรค"

    ใครมีความเห็น และเหตุผลอย่างไร ว่ายังไงข้ายินดีรับฟัง
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320

    มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"

    หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา" (น.๔๖๑)


    อีกครั้งหนึ่ง มีผู้เรียนถามหลวงปู่เรื่องการละกิเลส "หลวงปู่ครับทําอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาดได้"

    หลวงปู่ตอบว่า

    "ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน...

    เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปเอง."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2013
  10. ผู้บรรลุ

    ผู้บรรลุ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +41
    เป็นเพียงคนที่นั่งอยู่ริมสระน้ำเฉยๆ
    แล้วสักแต่ว่าเห็นปลาที่ผุดขึ้นมาบนผิวน้ำที่ราบเรียบไม่ดีกว่าหรือ
    เหตุใดจะต้องไปลำบากดำน้ำ หาตัวปลา เพื่อห้ามไม่ให้ปลาโผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำให้เราเห็น ให้เหนื่อยตัวเองด้วย
    เห็นแล้ววาง เห็นแล้ววาง ก็แค่นั้น
    ปลาแต่ละตัวไม่มีสาระอะไรให้น่ายึดติดหรอก
     
  11. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ผมมีความเห็นตามคำสอนในพระไตรปิฏกที่ว่า
    บุคคลย่อมละกิเลสที่เป็นอดีตหาได้ไม่ ละกิเลสที่เป็นอนาคต
    หาได้ไม่ ละกิเลสที่เป็นปัจจุบันหาได้ไม่ หรือ ถ้าอย่างนั้น มรรคภาวนาก็ไม่มี
    การทำให้แจ้งซึ่งผลก็ไม่มี การละกิเลสก็ไม่มี ธรรมาภิสมัยก็ไม่มี ฯ
    หามิได้ มรรคภาวนามีอยู่ การทำให้แจ้งซึ่งผลมีอยู่ การละกิเลสมีอยู่
    ธรรมาภิสมัยมีอยู่ เหมือนอะไร เหมือนต้นไม้กำลังรุ่น ยังไม่เกิดผล บุรุษพึงตัด
    ต้นไม้นั้นที่ราก ผลที่ยังไม่เกิดแห่งต้นไม้นั้นก็ไม่เกิดเลย ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่
    บังเกิดเลย ที่ไม่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏเลย
    ฉันใด ความเกิดขึ้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความบังเกิดแห่งกิเลสทั้งหลาย
    จิตเห็นโทษในความเกิดขึ้นแล้ว จึงแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น เพราะ
    ความที่จิตเป็นธรรมชาติแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น กิเลสเหล่าใด
    พึงบังเกิด เพราะความเกิดขึ้นเป็นปัจจัย กิเลสเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดเลย
    ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่บังเกิดเลย ที่ไม่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่
    ปรากฏเลย ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดับ ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการฉะนี้....

    อีกท่อนหนึ่งว่าดังนี้
    [๖๙๖] ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างไร ฯ
    ในขณะโลกุตรมรรค จิตเป็นใหญ่ในการให้เกิดขึ้น และเป็นเหตุ
    เป็นปัจจัยแห่งญาณ จิตอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ญาณเป็นใหญ่
    ในการเห็น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งจิต ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น มีนิโรธ
    เป็นโคจร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและด้วยญาณ ในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างนี้ ฯ....

    จะเห็นว่าการละกิเลส นั้นถ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ก็ละไม่ได้ แต่ข่มได้ ต้องตรัสรู้คือบรรลุธรรม เป็นชั้นๆไป ตั้งแต่ตรัสรู้ครั้งแรกเป็นพระโสดาบัน ละกิเลสได้บางส่วน เป็นต้น
    การที่ว่า ความเพียร ในสัมมัปปธาน ๔ ก็เป็นความพยายามที่จะฝึกให้จิต นิ่ง
    การละกิเลส ก็ต้องมีญาณ ร่วมกับ จิต ณ ปัจจุบัน รับรู้ความจริง ว่าขันธ์ห้า เป็นของไม่น่าเอาไม่น่ายึดเป็นเราเป็นของเรา นั้นแหละ
    พระอรหันต์นาคเกษมอุปมาเหมือน การส่องดูตัวเลข ในที่มืด เมื่อเห็นตัวเลขแล้ว ก็สิ้นสงสัยนั้นแหละ
    ถามว่าใครเป็นคนส่องก็คือตัวญาณ ตัวญาณคืออะไร ก็คือการรับรู้นิพพานธาตุ นั้นแหละ ส่วนตัวจิตเป็นตัวซง ถ้าตัวซงไม่ดี ตัวกินคือนิพพานธาตุ ก็ไม่เห็นความจริง การเห็นความจริงของตัวนิพพานธาตุ เรียกว่าเห็นด้วยญาณ ก็คือการตรัสรู้นั้นเอง เมื่อตัวนิพานธาตุไม่เอาด้วยกับจิต แล้วจิตก็ไม่หึกเหิม เหมือน ลูกน้องที่ไม่มมีเจ้านายเอาด้วยมันก็ไม่กล้าที่กร่างนั้นแหละ

    ครับผมมีทิฐิ แบบนี้แหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2013
  12. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    คิคิ มัน เป็น ปกติ ของมัน อยู่ นะจ๊ะ เขามา-เขาเปลี่ยนแปลง-เขาจากไป

    ต่างฝ่ายต่างอยู่ หันหลังให้กัน เดวเขา ก้อ ไป ของเขาเอง คิคิ (ไปซ่อนอยู่ข้างหลังเหมือนเดิม)
     

แชร์หน้านี้

Loading...