รูปภูมิ อรูปภูมิ

ก็เมื่อวานคุณ tjs ไปตบหัว คุณraiwa55 ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ น่ะสิ ในกระทู้ติดขัดทั้ง 4 ข้อ

พอมาวันนี้ดูหล่อขึ้นกว่าเดิม คุณtjs กลับลูบหลัง คุณraiwa55 ว่า

"ความจริงท่านเองก็มีภูมิความรู้ในทางธรรมมากเช่นกันแต่การแสดงธรรมอาจมีวิธีการที่ต่างกัน เมื่อเราได้พูดคุยกันมากๆย่อมเข้าใจและรู้ใจกัน ย่อมมไม่มีข้อสงสัยใดๆเพราะเข้าใจในจริตซึ่งกันและกัน"

สุดท้ายแรมโบ้ ก็จากไป แต่ประเดี๋ยวก็คงกลับมาอีก

อืม...ว่าแต่พระโพธิสัตว์ที่เป็นพยามาร ตอนนี้มาเกิดเป็นท่านใดครับคุณ tjs

 

ไม่ทราบครับ เพราะเกินวิสัยที่จะทราบได้ครับ

พระสหัสพาหุ หรือ พระวสวัตตีมาร หรือ พระยามาราธิราช ท่านได้สติสัมปชัญญะ ละมิจฉาทิฏฐิลงแล้ว และได้ถวายสัจปณิธาณแด่พระพุทธเจ้าไว้แล้ว ท่านจะมาสืบทอดพระพุทธศาสนา สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล

ส่วนในปัจจุบันท่านยังเสวยทิพย์วิมานอยู่แห่งปรนิมิตวสวัตตี อยู่หรือไม่ หรือมาจุติสร้างบารมีแล้วหรือไม่ ยังไม่อาจทราบได้ แต่ทราบว่าหลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว ไม่นานท่านต้องจุติลงมาสร้างบารมีเป็นแน่นอนครับ ทำไมท่านถึงอยากทราบเรื่องนี้ครับ
หากมีความจำเป็นอาจจะลองสื่อถึง อาจจะได้ครับ หาก ท่านพระยามารและเทพเทวดาที่ดูแลท่านอนุญาตุครับ

 

ทำไมตอบอย่างนี้ล่ะครับ เคยเห็นคุณ tjs เล่าเรื่องจากผลการปฏิบัติที่รู้ในญาณสมาธิ
ในกระทู้ "ทำไมหลวงพ่อฤาษีลาพุทธภูมิครับ" อยู่นี่น่า ซึ่งก็ได้ความรู้ดี

และในห้องพุทธภูมิ เห็นบอกว่า พระโพธิสัตว์สามารถบรรลุถึงภูมิอนาคามี แต่ไม่ก้าวล่วงสู่ภูมิอรหันต์

ก็เลยสงสัยว่า คุณ tjs เคยปราถนาพุทธภูมิมาก่อน อาจจะบรรลุมรรคผลมาก่อนแล้วน่ะครับ แต่ตอนนี้ได้ลาความเป็นพุทธภูมิแล้วหรือป่าว ซึ่งหากลาแล้วก็เหลือเพียงอีกขั้นเดียว สู่ความเป็นสาวกภูมิเต็มขั้น

 

ก็เพิ่งจะเคยได้ยินครั้งแรกเหมือนกันครับว่า มี "อรูปสมาบัติ8"

มันน่าจะเป็น "รูปฌาน4" และ "อรูปฌาน4" ที่รวมแล้วเรียกว่า "สมาบัติ8"

ถ้าพูดตามแบบพระไตรปิฎก คำถามก็ควรเป็น "ผู้เข้าถึงอรูปฌานขั้นสูงสุด นั่นคือได้สมาบัติ8แล้วทั้งหมด" น่าจะเข้าใจได้ดีกว่า แล้วผลที่ได้คือ คำตอบก็จะได้ตรงตามคำถามด้วยนะครับ

หรือเป็นศัพท์ใหม่ของสำนักไหนหรือเปล่า

เจริญธรรมครับ

 

ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมเจริญเทวตานุสสติ (ความระลึกถึง
เทวดาเนืองๆ) ว่า เทวดาเหล่าจาตุมหาราชมีอยู่ เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาเหล่ายามามีอยู่
เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่ เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่เทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัสดีมีอยู่ เทวดาเหล่า
พรหมกายิกามีอยู่ เทวดาที่สูงกว่าเหล่าพรหมนั้นมีอยู่.
----------------------------
[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณฐิติ (ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ) ๗ ประการนี้ ๗ ประการ
เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์บางพวกมีกายต่างกันมีสัญญาต่างกัน เหมือนมนุษย์
เทวดาบางพวก และวินิปาติกสัตว์บางพวกนี้เป็นวิญญาณฐิติข้อที่ ๑
สัตว์บางพวกมีกายต่างกันแต่มีสัญญาอย่างเดียวกันเหมือนเทวดาชั้นพรหมกายิกา ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน นี้เป็นวิญญาณ
ฐิติข้อที่ ๒
-----------------------------
[๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็น
ไฉน คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ บุคคลนั้นพอใจ ชอบใจปฐมฌานนั้น และถึงความปลื้มใจด้วยปฐม
ฌานนั้น ตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น น้อมใจไปในปฐมฌานนั้น อยู่จนคุ้นด้วยปฐมฌานนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย กัปหนึ่ง
เป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา ปุถุชนดำรงอยู่ ในชั้นพรหมกายิกานั้น ตราบเท่าตลอด
อายุ ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดดิรัจฉาน
บ้าง เปรตวิสัยบ้าง
----------
พรหมกายิกา มี6ชั้นคือ
สหัสสพรหม ทวิสหัสสพหรม จตุสหัสสพรหม ปัญจหัสสพรหม ทสสหัสสพรหม สตสหัสสพรหม

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย เพราะเทียบเคียงเอาเอง เเต่6ชั้นที่กล่าวมานี้ มีในพระสูตร. เเต่ไม่มีในส่วนเเผนผัง31 ภพภูมิ ส่วนในแผนผังภพภูมิ บางภูมิก็ไม่มีในสูตรเเทน สลับกัน
รวมถึงพรหมกายิกาด้วย ซึ่งจริงๆเเล้วภพภูมิที่พูดมา พระองค์ตรัสไว้อยู่ เเล้ว จะเห็นว่าแผนผังที่เรียนกันอยู่ไม่มี พรหมกายิกาอีก ฉนั้นไม่ได้มี 31 อย่างที่คิด หรือ 37 เเต่มีมากกว่าที่เข้าใจสะด้วยซ้ำ

 

=========

เรื่องที่ท่านถามเรื่องพระยามาร หากท่านมีเหตุผล ก็จะลองสื่อให้ครับ แต่ไม่รับปากเพราะเกี่ยวด้วย ปัจจัยอื่นๆอีกครับ

ส่วนเรื่องปราถนาพุทธภูมิ นั่นเป็นความจริง แต่ก็ได้ขอลาพุทธภูมิตอนเรียนวิชาจิตเกาะพระ ของสมเด็จองค์ปฐมและหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็เรียนจบหลักสูตรไปแล้ว ทำให้เห็นธรรมสูงยิ่งๆขึ้นไป การปฏิบัติจิตก็มีสมาธิทรงไว้ตลอดดีครับ แต่ก็ยังม่ข้อสงสัยในตนเอง เพราะจริตมันชอบแบบโพธิญาณมันแก้ไม่หายขาด
จนเมื่อวันมาฆะบูชา ขอท่านหลวงพ่อปาน ให้ท่านช่วยเป็นอาจารย์ ขอให้ท่านช่วยโปรดรับเป็นศิษย์ ก็มีถวายดอกบัวขาว และอื่นๆอีกเล็กน้อย ท่านก็รับและก่อนท่านไป ท่านก็เปรยออกมาในจิตว่า ที่ลาพุทธภูมิไว้นั้น ลาได้ขาดจริงหรือ ท้ิงไว้เป็นปริศนา ก็เลยสงสัยอยู่เหมือนกัน จนเจริญสมาธิต่อเนื่องมาหลายๆวันก็ปล่อยวาง ไป คือยังไม่อยากหาคำตอบ แต่ให้สนใจว่า จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ขอปฏิบัติให้มากไปให้ถึงธรรมขั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป พอไปได้ถึงแล้ว จะขึ้นฝั่งพระนิพพาน หรือจะพายเรื่อกลับมารับสหายธรรมตามกลับขึ้นฝั่งด้วยหลายๆคนก็แล้วแต่ครับ อนาคตก็ต้องขอให้หลวงพ่อปาน
หลวงปู่ทวด สมเด็จโต หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อเดิม หลวงปู่เทพโลกอุดร และอื่นๆท่านช่วยในทางธรรม ส่วนด้านอริยะทรัพย์อื่นๆก็แล้วแต่วาสนาบารมีครับก็ไม่ได้สนใจมาก สนใจมากก็พระสัทธรรมและการปฏิบัติครับ สาธุ

 

อยากรู้แค่ตรงเนี่ยะครับ

ทำไม พระโพธิสัตว์สามารถบรรลุถึงภูมิอนาคามี แต่ไม่ก้าวล่วงสู่ภูมิอรหันต์

ผมเห็นคุณตอบกระทู้ เดี๋ยวทรงอารมณ์ เดี๋ยวบรรลุ
ตกลง คำสัตย์จริงมันเป็นยังไงกันแน่ สับสนครับกับคำตอบในกระทู้ตั้งแต่หน้าแรก
หลงปัง หลงเหล่า หมาน...เลยโถวโถว กงซุย หลิบปั๊ดเหนียว

http://palungjit.org/threads/อยากสอ...อ-พระโพธิสัตว์-หรือพระพุทธเจ้า-กันแน่.486402/

 

โทษครับ ผิดไปนิด ปกติ 4 4 อย่างนั่นแหละครับ

 

โมทนา สาธุทุกท่านครับ ที่บอกความรู้ดีๆ
ทุกวันนี้เน้นสติ พยายามไม่ให้มีช่องว่างของสติเวลาเข้าสมาธิอยู่ครับ

ไม่ชอบเผลอ แต่ก็เผลอหลายที

 

ตอบให้นะครับ
ถ้าก้าวล่วงสู่อรหันต์ก็นิพพานในวันนั้นแหละครับ ไม่ได้ลงมาเป็นพระพุทธองค์หลอก

จะเทพหรือพรหมถือเป็นคาราวาส ถ้าบรรลุอนาคามี ฐานะคาราวาสยังพอรับไหว
บรรลุอรหันต์เมื่อไร ต้องพึ่งร่มกาสาวพักต์ ไม่งั้นก็นิพพานวันนั้น

เหมือนที่เราเคยได้ยิน คาราวาสบรรลุอรหันต์ ไม่เคยถวายผ้าพระมา อธิษฐานด้วยฤทธิ์ไม่ได้ ไม่ถึง 7 วัน ตายครับ นิพพาน

 

=======

อย่ามัวสงสัยใดๆอื่นครับ ปล่อยวางไปเถอะ สนใจศึกษาปฏิบัติธรรมกันดีกว่าครับ เพื่อจะได้ยกจิต รักษาจิตให้อยู่ในสายธรรม ตลอดไป เดินสายกลาง เราจะไม่ประมาทในธรรมทั้งปวง ครับ สาธุครับ

 

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะ
ละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ บุคคลนั้น
พอใจ ชอบใจจตุตถฌานนั้น และถึงความปลื้มใจด้วยจตุตถฌานนั้น ตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น น้อม
ใจไปในจตุตถฌานนั้น อยู่จนคุ้นด้วยจตุตถฌานนั้น ไม่เสื่อม เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็น
สหายของเทวดาเหล่า. เวหัปผละ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๕๐๐ กัปเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่า เวหัปผละ
ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นเวหัปผละนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้น
ให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง


(สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่ ยังเป็นผู้ที่ต้องกลับมา)

 

ก็เพราะ กลัวว่าคุณจะประมาทในธรรมทั้งปวงไง จึงได้ทักท้วง
เพราะหากเผยแผ่ในสิ่งที่ผิดไป โดยไม่มีใครทักท้วงมีแต่ผู้กดอนุโมทนา
ทิฏฐิเหล่านี้มันจะฝังในจิต จนกระทั่งบวช ออกเผยแผ่

อย่างเช่น กล่าวแนะนำถึงลักษณะพระนิพพาน
สุดท้ายเพลียใจ ก็มาบอกว่า เป็นเพียงผู้ปฏิบัติคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรมาการันตี ในมรรคผล

หรือ จะบอกว่า สิ่งที่นำมากล่าวแสดงนั้น ไม่ได้ให้ยึดติด ใดๆ แค่เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้สัมผัส ไม่เคยเชื่อในเรื่องนิมิต
แต่กระผมก็เผยแผ่ ในสิ่งที่ยังไม่มีอะไรมาการันตี อย่างนี้เป็นต้น

ดังนั้น ก็ควรเปิดใจกว้าง กับสิ่งที่ทักท้วง
ไม่ใช่...พอใครเห็นด้วย กล่าวอนุโมทนสาธุครับ หนวด หนวดนี่..ย้อยเป็นคาราวาน

หวังว่า คุณคงจะไม่คว่ำกะลาปิดรับ นั่นหากเพราะ เห็นว่าเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ

แต่หากเห็นว่า เรายังมีสังโยชน์อยู่ ยังปล่อยวางไม่ได้ จึงต้องสงสัยเป็นธรรมดา อย่างนี้พอได้

ลองพิจารณาดูสิ คุณว่าคุณสับสน หรือว่าผมสับสนกันแน่ สับสน..!

 

ขอบคุณครับที่ชี้แนะครับ
ส่วนความสับสนในตัวกระผมเอง ผมมีสติพร้อม และไม่ได้สับสนอะไรครับ เพียงแต่เรื่องบางเรื่องก็อธิบายยาก และเห็นว่าเป็นไปตามจริตและภูมิธรรม ที่สั่งสมมามีวิธีแบบแผนเป็นแบบนั้น
ส่วนคุณตัวคุณนั้นจะสับสนหรือเปล่าก็ไม่ได้กังวลอะไรครับ ยังไงปัญญาระดับนี้ผมเชื่อว่าสุดท้ายมันก็แก้ไขไปได้ ผ่านไปได้ครับ

อีกนิดครับเรื่องโปรแกรมที่ทางwebพลังจิต setting ไว้นั้น ไม่ว่าจะมีโชว์พลังการให้คะแนน ก็ดี การกดอนุโมทนาก็ดี การกดให้อนุโมทนาก็ดีหรือตลอดจนเงื่อนไขต่างๆ
ตรงนี้มันเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น ผมก็เป็นสมาชิกธรรมดา ไม่ได้เสียเงินหรือสนับสนุนอะไร แค่ได้แลกเปลี่ยนในพระธรรม การปฏิบัติก็พอใจ
สถานะที่แสดงของแต่ละบุคคล ผมคิดว่า อย่าไปดูอะไร ให้ดูว่าท่านได้ให้อนุโมนามากน้อยแค่ไหนมากกว่า นั้นแสดงออกถึงจิตของท่านที่ดีงามมีมุฑิตาจิตครับ ส่วนที่เขาอนุโมทนาเราให้วางลงเสีย ครับ มันก็มีเท่านี้ครับ สาธุ

 

ปล่อย....ไปตามกรรม ของเทวดาห่วงหาย ล่ะกัน

มีสติพร้อมหรือไม่พร้อม ก็ต้องไม่ขาดความรอบครอบ ในการพิจารณา หรือเผยแผ่

เช่น เห็นว่า เจโตวิมุติ มีได้เฉพาะ พุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ เท่านั้น

ส่วน สาวกภูมิ ถึงได้เฉพาะ ปัญญาวิมุติ อย่างนี้จะใช่หรือ

หากไม่พิจารณาให้ดีๆเสียก่อน รอบครอบก่อนที่จะเอออวย อย่างนี้เป็นต้น

 

แล้ว สาวกภูมิ ที่เกิดจากส่วนที่ลาพุทธภูมิ นี่เป็นเจโตวิมุตติ ได้หรือไม่ครับ

จิตเราละเอียด จิตท่านละ ละเอียดหรือยัง ตอบจิตตนเองนะครับไม่ต้องตอบให้กระผมทราบครับ สาธุ

 

จำไว้นะลูกหากเรา ยังเป็นฆาราวาส อย่าปรามาสผู้ทรงศีล อย่าดีไปกว่าสมณะผู้ถือพรหมจรรย์ อย่าคิดว่าธรรมที่เราเข้าถึงแล้วยิ่งกว่าสมณะผู้ประพฤติธรรม สาธุ

 

สิ่งที่ยกมานี้เข้าใจดี

แต่ไม่เข้าใจที่คุณกำลังจะบอกว่า มีท่านหนึ่งท่านใดเป็นสมณะถือพรหมจรรย์

เพราะ สมณะ แปลว่านักบวช ซึ่งหมายถึง พระภิกษุ ผู้ออกจากเรือน
เลี้ยงชีพชอบ ด้วยการถือวัตรบิณฑบาตร โปรดสัตว์

ซึ่งเราเองผู้มีจิตหยาบ กำลังสนทนากับคุณ tjs ผู้มีจิตละเอียด
โดยสถานะสมาชิก ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นสมณะถือพรหมจรรย์
หรือกำลังจะบอกว่า คุณtjs ถึงความเป็นสาวกภูมิเจโตวิมุติ มีมรรคผลมาการันตี
จึงได้ยกเหตุ ข้อความที่อ้างอิงไว้ มาเตือน ในความเป็นสมณะ

ไม่รู้ผมเข้าใจถูกหรือป่าว

ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการปรามาสกันแต่อย่างใด เป็นการสนทนาแลกเปลี่ยน
เพื่อความเข้าใจต่อกัน หากเปิดใจกว้าง ไม่ลงท้ายว่าผู้หนึ่งผู้ใดเป็นมิจฉาทิฏฐิ

 

เราขอประกาศต่อทุกท่านทั้งหลายและจิตของเราเองว่า การที่เราท่านทั้งหลายได้ร่วมแสดงธรรม นำเอาหลักธรรม ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสพการณ์ทางธรรม ตลอดจนแลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรมทั้งมวล นั้น ก็ให้ไม่ประมาทว่า เราทั้งหลายรวมทั้งกระผมด้วยยังเป็นฆารวาส ไม่ใช่บรรพชิต หรือสมณะเพศ เราจึง ไม่ควรเข้าใจว่า ธรรมของตนนั้น ธรรมที่ตนมีนั้น ที่ตนแสดงนั้น ที่ตนบรรลุนั้น ถึงแล้วหรือสูงไปกว่า ผู้เป็นสมณเพศบรรชิต ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
เจตนาเราเป็นแบบนี้มีแค่นี้และมิได้เฉพาะเจาะจงถึงใคร แต่ท่านใดจะเข้าอย่างอย่างไรก็ไม่เป็นไรครับ

เพราะสิ่งที่กล่าว ต้องการบอกตนเองมากกว่าผู้อื่นเป็นที่สุดเตือนตนเองเป็นที่สุด แต่ที่ประกาศให้ทราบทั่วกันเผื่อท่านจะได้สติและเข้าใจแบบที่กระผมคิดครับ เนื่้อความก็มีเจตนาแค่นี้ครับ

อนาคตคงได้เจอกันที่เขตวิสุงคามนะครับ อีกคงไม่นามากครับ สาธุ

 

อย่ากลัวคำว่ามิจฉาทิฏฐิจากปากของผู้อื่นเลย
ในเมื่อเนื้อแท้ภายในจิต นั้นเป็นจิตที่ดี เปี่ยมด้วยเมตตา กรุณาเป็นที่สุด เป็นจิตที่ยึดมั่นในความดีแล้ว อย่าไปกังวลเลย

เสมือนเรามีสร้อยทองคำแท้แขวนห้อยคออยู๋ เหตุใดเราจะกลัวว่าผู้อื่นจะกล่าวว่า สร้อยที่คล้องคอเราเป็นเพียงทองเหลืองไร้ค่า
ใครเล่าจะไปรู้ดีในความเป็นทองคำแท้ของสร้อยเส้นนี้ดีไปกว่าตัวเจ้าของ คือเราเองครับ สาธู