จะทราบได้อย่างไรคะมีองค์หรือเป่า?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย DharmaJaree, 16 เมษายน 2013.

  1. DharmaJaree

    DharmaJaree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2013
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +107
    มีวิธีไหน หรือพอมีใครบอกได้ไหมคะ?
     
  2. VAKILLOS

    VAKILLOS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +340
    เท่าที่รู้นะ มีกันทุกคน เเต่บางคนถ้า องค์เขาต้องการสังขาร เราเพื่อ เพิ่มบารมี เขาจะลงเราได้เลยโดยยังไม่ต้องรับขัน ลงให้รู้เลย ว่าเขาอยู่นะ เพื่อให้เราไปรับขัน รับท่านเเบบเต็มๆ

    งง มั๊ยละ งงดิ ผมก็งง เเต่เป็นเรื่องจริง เเต่องค์นั้น ผมไม่รู้ว่าเป็น เทพ หรือ ผีนะ หรือ โอปะปาติกะ ชนิดไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2013
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็มีอยู่ แต่ วิธีการนั้น จะสวนกระแสความต้องการของปุถุชน
    ผู้ห่างการสดับธรรมะอยู่บ้าง

    ถ้ามีความภูมิใจในการเกิดมาเป็นมนุษย์ พบ พระพุทธศาสนามากพอ
    ก็อาจจะอดทนฟังได้จนจบ

    วิธีดูว่า เรามี องค์ ไหม ก็ต้องดูจากเหตุ องค์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
    ลอยๆ ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดจากเหตุ

    ผู้ปกครอง ผู้ดูแล ผู้ที่เราฝากความหวังไว้ จะเกิดขึ้นได้ ก็มีอยู่เหตุ
    อยู่ที่จิตใจของคนๆนั้นว่า มีความ "กล้า" ในทางความคิดความอ่าน
    แค่ไหน

    ถ้ามีความกล้าทางความคิดน้อย ก็จะเป็นเหตุให้เป็นคนมี องค์

    ถ้ามีความกล้าทางความคิดมาก ก็จะเป็นเหตุให้เป็นคนไม่มี องค์

    ดังนั้น หากจะต้องการดูว่า เรามีองค์ไหม

    ก็คอยพิจารณาจิต ดูความคิด ความอ่าน ว่า ค่อนไปทางกล้าคิดด้วยตัว
    เอง และกล้าทำตามความคิดตนโดยลำพังได้หรือไม่

    กล้า ก็รู้

    ไม่กล้า ก็รู้

    ตามรู้ตามดู ใจที่กล้า กายที่แกร่ง เป็น "คนแถวหน้า" ด้วยจิตตั้งมั่น เป็นกลาง
    ต่อการเห็น ตามดูพฤติจิตวิถีแห่งผู้กล้า เกิด และ ดับ เนืองๆ

    เมื่อตามรู้บ่อยๆ ก็จะ พยากรณ์ตนได้ว่า จะเป็นคนมี "องค์" หรือไม่

    สมมติว่า พบพฤติจิตวิถีแห่งผู้กล้า มีน้อย ก็อาจจะรู้ว่า มีองค์ค่อนข้างแน่
    โดยไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่า องค์ นั้นจะชื่ออะไร เพราะว่า พร้อมรับหมด

    หากสมมติว่า พบพฤติจิตวิถีแห่งผู้กล้า มีมาก ก็อาจจะรู้ว่า ไม่มีองค์ค่อน
    ข้างแน่ โดยไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่า องค์ นั้นจะชื่ออะไร เพราะว่า ปฏิเสธได้หมด

    ทั้งนี้ จะมีความแตกต่างเล็กน้อย ระหว่าง การมีองค์ กับ การมีสรณะที่พึ่งทางใจ

    การมีสรณะเป็นที่พึ่งทางใจ จะเป็นการระลึก ในเรื่องราวความดีของบุคคลที่เป็น
    ตัวอย่าง ในการเป็นวิถีคนกล้า

    การมีองค์ จะเป็นการระลึกแบบ ขอเกาะ ขอเกี่ยว ขอรวบรัด ขอจอง กึ่งขอเป็น
    เจ้าของ ขอเป็นหนึ่งเดียวกันแบบแฝงความเป็น "เจ้าเข้า" "เจ้าของ"
     
  4. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    ร่างทรงองค์เทพ
    เมื่อได้คุยกันถึงเรื่องความเข้าใจผิดหรือความหลงผิดของมนุษย์มาแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว ความคิดเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย จนบางครั้งดูเป็นความหลงผิดอย่างมหันต์ เช่น ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ต่าง ๆ โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรอง หลงยึดติดในเรื่องอิทธิฤทธิ์จนเกินไป ทำให้หลงเป็นเหยื่อของเหล่า 18 มงกุฎ ที่ชอบอวดอ้างตนเอง ตั้งตัวเองเป็นเกจิอาจารย์ ใช้เล่ห์กลมายาและหน้าม้าขบวนการหลอกล่อ กระทำเรื่องราวต่าง ๆ อวดอ้างเป็นผู้วิเศษในเรื่องราวต่าง ๆ จนผู้คนหลงเชื่อ ในที่สุดก็ต้องสูญเสียเงินทองไปกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้
    การเจ็บป่วยของมนุษย์นั้น จัดได้ว่าเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งที่พบเห็นกันอยู่ทุกวัน ดังได้กล่าวมาแล้ว หากเกิดจากดินฟ้าอากาศแปรปรวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ก็อาจเจ็บป่วยเป็นไข้หวัด ไอหรือจาม เพียงกินยาหรือหาหมอก็หาย บางคนอาจมีวิตกจริตมากชอบคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมากมายจนเกิดความเครียด นำไปสู่โรคหัวใจ โรคประสาท ก็เป็นไปได้ แต่บางโรคเพียรพยายามจะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย กินยากันเป็นปี ผ่าตัดกันเป็นประจำ ก็ไม่หาย
    ดังนั้นหนทางแห่งการแก้ไข ก็เลยหนีจากทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มาเป็นไสยศาสตร์ หาร่างทรงองค์เทพกันไป หายก็มี ไม่หายก็มี เพราะถ้าโชคดี พบกับผู้มีภูมิความรู้จริง ๆ ก็คงจะหาย แต่ถ้าพบผู้แอบอ้างแฝงมาหากิน ก็คงจะเสียเงินมากกว่าจะหาย
    สิ่งหนึ่งที่มักจะพบเห็นมักได้แก่ ถูกทักทายว่ามีองค์ และจะต้องครอบขันธ์ครู รับองค์เทพไปบูชามิฉะนั้นจะไม่หายป่วย บางทีอาจถึงตาย คนเรามาถึงขั้นนี้มีหรือจะไม่ยอม ส่วนใหญ่จะยอมรับขันธ์กัน เพราะอยากหายและอยากรวย ดังนั้นเมื่อถูกทักว่ามีองค์ก็อย่าเพิ่งหลงดีใจ เพราะอาจจะเป็นก้าวแรกที่ท่านจะต้องเสียเงินให้แก่ตำหนักนี้อีก เรื่อย ๆ เช่น การครอบขันธ์ งานไหว้ครู เป็นต้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ท่านมีองค์จริงหรือ ? ….หรือว่า ถูกหลอก !
    คนทรงเจ้าหรือเจ้าเข้าทรง
    ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาสาระในเรื่อง เกี่ยวกับความเชื่อถือในเรื่องการเข้าทรง ก็อยากจะให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาในเรื่องดังกล่าว 2 ประเด็นด้วยกันคือ
    1. คนทรงเจ้า หมายถึงคนธรรมดาที่ไม่มีเทพมาประทับ แต่จะแสดงตนแอบอ้างชื่อองค์เทพใหญ่ ๆ ที่มีคนนับถือมาก ๆ โดยอาศัยความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถาอาคม วิทยากล สมุนไพร ดูดวง เข้ามาประกอบ ทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือมาจริง ๆ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการแสดงมายาเพื่อจะแอบอ้างกอบโกยเอาเงินทองจากผู้หลงไหลในเรื่องเหล่านี้ ร่างทรงพวกนี้จึงเป็นพวกมิจฉาทิฎฐิ ที่อาศัยคำพูดและการแสดงที่จะทำให้คนเชื่อถือ หลอกให้เชื่อว่าเป็นมหาเทพลงมาประทับ เช่น ศิวะ นารายณ์ เป็นต้น
    2. เจ้าเข้าทรง หมายถึงผู้ที่มีองค์เทพลงมาประทับจริง ๆ เพื่อสร้างบารมี บางทีร่างทรงจะไม่รู้อะไรเลยในระหว่างที่องค์เทพผ่านมาประทับร่าง ดังนั้นร่างทรงประเภทนี้จะมีน้อยมากเพราะองค์เทพมีความประสงค์ที่จะมาช่วยบำบัดทุกข์ให้มนุษย์เพื่อสร้างบารมี ไม่โกงกินไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อสั่งสมบารมีร่วมกับร่าง จึงทำให้พอมีกินมีใช้ ไม่ร่ำรวยมากนัก องค์เทพท่านจึงต้องเลือกร่างที่มีบุญบารมีมาก ๆ เท่านั้น คนชั่วช้าขาดศีลขาดศีลขาดธรรมท่านจะไม่เอาด้วย เว้นแต่เทพในระดับต่ำ ๆ ที่มีนิสัยเกเรเป็นสัมภเวสี เป็นเทพกึ่งเปรตที่ไม่มีวิมานอยู่ เพราะตอนกลางวันเป็นเทพแต่พอตกกลางคืนก็กลายเป็นเปรตหรือปีศาจเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้าน จึงจับร่างที่ชั่วช้าสามานต์มาเป็นบริวารแห่งตน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเครื่องเซ่นสังเวยและอื่น ๆ มีนิสัยอันธพาล อิจฉาตาร้อนชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น อาศัยวิชาเดรัจฉานเลี้ยงชีพ จึงต้องรู้จักใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเรื่อง การทรงเจ้าเข้าผี ดังที่ว่า
    เหตุที่ทำให้มีองค์เทพฯ
    ปฐมเหตุของการเกิดร่างทรงองค์เทพมากมายในยุคนี้ กล่าวกันว่าเมื่อครั้งพุทธกาล ก่อนที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่ พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมีอายุ 5,000 ปี แต่ของพระองค์นั้นต้องการจะให้พระศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี เท่านั้น
    พระอานนท์จึงทูลถามว่า เหตุใดพระองค์จึงมิให้พระศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
    “แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา” พระอานนท์จึงทูลว่า
    “ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่งเป็นเวลา 2,500 ปี “
    พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า ใครจะขออะไรบ้าง
    ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้น อันได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ เหล่าเทพเทวาทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันกราบทูล ขอให้ปวงเทพได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปอีกครึ่งหนึ่งของพระอานนท์คือ 1,250 ปี
    พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก แล้วทรงถามต่อไปว่าใครจะขออะไรอีก
    เหล่าพญาครุฑ คนธรรพ์ นาคราช ท้าวกุเวร กินนร กินนรี และภูติผีปีศาจ จึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี ให้พวกเขาได้ดูแลรักษา จนกว่าพระศาสนาจะค่อย ๆ เรียวเล็กลงไป ยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลงไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือ หรือเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอแทบว่าจะไม่มีเหลือ จะเหลือเพียง ผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หู เพื่อให้เป็นที่สังเกตุว่าเป็นพระสงฆ์เท่านั้น พระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปี ตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้
    เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 ปี เป็นต้นมา จึงเป็นหน้าที่ของเทพพรหมเทวาทั้งหลายที่จะมาทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูทนุบำรุงสืบพระศาสนาขององค์สมณโคดม ตามที่ได้ทูลขอกับพุทธองค์ไว้ จึงเป็นเหตุในเกิดมีร่างทรงองค์เทพมากมายในปัจจุบัน
    อนึ่ง องค์เทพเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยสังขารของมนุษย์ที่มีธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยการมาแฝงบังคับร่าง เพื่ออาศัยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้ นำพาพุทธบริษัทบริจาคทานสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ โดยอาศัยการช่วยเหลือบำบัดทุกข์ร้อน รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์ และบอกบุญกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธาได้ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการสืบพระศาสนาเป็นสำคัญ
    ดังนั้นการที่องค์เทพจะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นก็ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
    1. ญาณจุติ หมายถึงภาระหน้าที่ในการเกิดเป็นมนุษย์ตามวาระ และเป็นส่วนหนึ่งของเทพที่ลงมาจุติ เพื่อมารับกรรมบางอย่างและเพื่อทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางศาสนา เช่น พระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาสก็ตาม ที่เป็นผู้ใฝ่ในการปฏิบัติจนได้ญาณหรือฌาณ และมักจะลำบากในช่วงแรกแต่จะสบายในช่วงปลาย
    2. ญาณแฝง หมายถึง องค์เทพในระดับต่าง ๆ ที่ยังไม่ถึงวาระการเกิดเป็นมนุษย์ แต่มีความเลื่อมใส ปรารถนาจะช่วยส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการสืบพระศาสนาด้วย ครั้นจะลงมาเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ก็จะต้องรอเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้น ญาณนี้แหละทีมักถูกเรียกกันว่า “องค์” ซึ่งแยกตามภาระหน้าที่ได้ 2 ประการด้วยกัน
    · ความสัมพันธ์ในอดีต คือให้การอารักขาผู้ที่ได้มาจุติเป็นมนุษย์ เพราะเคยเกี่ยวสัมพันธ์กันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อร่างนี้ได้ทำบุญและแผ่เมตตาให้ ก็จะได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกัน ขณะเดียวกันก็จะคอยปกป้องคุ้มครอง ช่วยเหลือการทำมาหากิน ดลจิตดลใจ หรือเกิดเป็นลางสังหรณ์ในเรื่องราวต่าง ๆ จะพาสร้างบารมีทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บางครั้งเวลาสวดมนต์นั่งกรรมฐานองค์เทพท่านจะพาสวดมนต์เป็นภาษาเบื้องบนหรือภาษาเทพไปเลยก็มี ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้แก่
    1. เคยมีบุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
    2.เคยติดหนี้บุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
    3.เคยเป็นบุตรหลานหรือบริวารกันมาก่อน
    4.เกิดจาการสวดมนต์อ้อนวอนขอบารมีจากเทพเป็นประจำ จึงลงมาช่วย
    · ทำหน้าที่เป็นม้าทรง หรือ ร่างทรง ในกรณีเช่นนี้ส่วนใหญ่จะตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ เนื่องจากองค์เทพที่มาจับร่างเห็นว่า เป็นคนดีและมีบารมีพอ บังเอิญมาหมดอายุขัยก่อน ท่านก็เลยต่ออายุให้ ดังนั้นร่างนี้จึงต้องสร้างบารมีชดใช้หนี้บุญคุณขององค์เทพ โดยเป็นร่างทรงหรือสื่อที่จะติดต่อมนุษย์เพื่อสร้างบารมีร่วมกัน ในการทำนายทายทัก รักษาโรค หรือ อื่น ๆ สุดแท้แต่องค์เทพท่านจะเห็นสมควร และเมื่อถืงเวลาหรือหมดหน้าที่ก็จะต้องตายจริง ๆ
    บางคนอาจสงสัยว่า “เทพ พรหม” มีบารมีมากพอแล้ว ทำไมถึงต้องลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์อีก ทั้งที่ร่างกายมนุษย์มีแต่ของเน่าเหม็นเต็มไปหมด ดังนั้นเราควรศึกษาให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัย เพราะความเป็นเทพพรหมแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสุคติภูมิ แต่ก็ย่อมมีอายุขัยแม้จะเป็นหมื่นปีแสนปี สักวันหนึ่งมาถึงก็ย่อมจะต้องลงไปจุติใหม่ตามวิบากกรรม
    เหตุฉะนั้นเทพพรหมผู้ไม่ประมาท จึงต้องขวนขวายหมั่นสร้างบุญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป อนึ่งในความเป็นเทพพรหมนั้นย่อมอยู่ในสภาวะที่เรียกกันว่า “โอปปาติกะ” คือมีความเป็นทิพย์ที่ละเอียด ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า เว้นแต่ผู้ที่ฝึกจิตจนใสละเอียดในระดับเดียวกันจึงสามารถมองเห็นตัวกันได้
    ดังนั้นหนทางแห่งการสร้างบุญจึงมีขีดจำกัด ด้วยอานิสงก์แห่งบุญนั้นเอง ไม่เหมือนมนุษย์ย่อมสามารถบำเพ็ญบารมีได้ถึงชั้นสูงสุดคือ พระนิพพาน แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตก็ยังต้องมาจุติในภพมนุษย์ เพราะต้องอาศัยสังขารหรือธาตุขันธ์ 5 เพื่อชดใช้หนี้เวรหนี้กรรม จนบรรลุพระโพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด
    ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามีองค์หรือเปล่า หรือชอบไปเที่ยวหาร่างทรงตามตำหนักต่าง ๆ เป็นเทพจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงสัมภเวสีที่แอบอ้างหากินไปวัน ๆ พอถูกเขาทักว่ามีองค์ก็เลยพาลรับขันธ์ 5 ไปเลยก็มี ถ้าทำถูกต้องก็ดีไป ถ้าทำไม่ถูกต้อง กลายเป็นว่าเอาผีมาใส่ไว้ในตัวก็จะซวยไปกันใหญ่ เพราะบางทีเราไม่ทราบว่า ตำหนักไหนแท้หรือเทียม บางคนไม่มีอะไร แต่พอเห็นเขามีองค์ก็พาลอยากจะเป็นบ้าง ก็เลยทำให้มีทั้ง “คนทรงเจ้า” “เจ้าเข้าทรง” ก็อยู่ในวิจารณญาณของท่านที่ต้องพิจารณาศึกษาให้ดีเสียก่อน
    พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุ่มหลงในเรื่องของ “เทพพรหม” เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น ยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงไม่สอนให้ไปยึดติดในภพภูมิเหล่านั้น แต่ไม่ได้ทรงปฏิเสธในเรื่องเทพพรหมว่ามีจริง เพราะแม้ครั้งพุทธกาลก็เคยเสด็จไปโปรด พุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ แม้ในพุทธกิจก็ยังแบ่งเวลาไปโปรดเทพเทวดาในชั้นภูมิต่าง ๆ จนมีผู้สำเร็จอริยบุคคลไปเป็นจำนวนมาก
    การรับขันธ์
    หลายคนคงจะประสพปัญหาเกี่ยวกับชีวิต หน้าที่การงาน การเจ็บป่วย เชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์ สิ่งลี้ลับ ก็มักจะไปตามตำหนักทรงต่าง ๆ บ่อยครั้งที่ถูกทักว่า “มีองค์” ต้องรับขันธ์ จึงจะทำให้ชีวิตหน้าที่การงาน การเงิน คู่ครอง การค้าขาย หรือ สุขภาพจะดีขึ้น แรก ๆ ก็อาจเฉย ๆ พอถูกทักบ่อยเข้าชักเขวเหมือนกัน ก็เลยตกกระไดพลอยโจนไปกับเขาด้วย ขันธ์หนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 500 บาทขึ้นไป จนเหยียบ 10,000 บาท แล้วแต่จะเป็นขันธ์ 5 ขันธ์ 8 ขันธ์ 9 ขันธ์ 10 ขันธ์ 16 ก็ว่ากันไป ตามอัตตภาพ ไม่รู้ว่าอุปทานหรือไม่ บางคนก็ว่าอะไร ๆ ดีขึ้น แต่ส่วนใหญ่พบว่าเลวยิ่งกว่าเก่า ปัญหารุมเร้าหนักกว่าเดิม พาลเป็นบ้าเป็นบอ เจ็บป่วยหนักกว่าเดิมก็แยะ
    ขันธ์ 5 คือ เครื่องสักการะบูชา ที่ผู้จะมาขอเป็นศิษย์จัดมาให้ครูบาอาจารย์ เพราะในบรรพกาลผ่านมาจวบจนปัจจุบัน การเรียนรู้สารพัดวิชา จะต้องอาศัยการศึกษาจากผู้ที่เป็นครู และการจะขอเรียนวิชาการเหล่านั้นก็จำเป็นต้องจัดตั้งขันธ์ 5
    ขันธ์ 5 ดังกล่าวประกอบด้วย ดอกไม้ขาว ธูป เทียน ผ้าขาว และใช้ใบตองทำกรวยทรงแหลม 5 กรวย บรรจุดอกไม้ ธูป เทียน 5 คู่ ใส่ลงในกรวยทั้ง 5 แล้วจึงนำวางลงบนผ้าขาวที่วางรองรับอยู่บนพานหรือภาชนะ แล้วจึงนำเข้าไปกราบครูบาอาจารย์ เพื่อขอเป็นศิษย์ ซึ่งผู้เป็นครูก็จะตรวจดูดวงชะตา ว่าสมควรจะรับเป็นศิษย์ได้หรือไม่ เพราะบางทีจะกลายเป็นศิษย์คิดล้างครูได้ในภายหลัง จึงจำเป็นต้องตรวจเช็คดูเสียก่อน หากไม่ประสงค์จะรับเข้าเป็นศิษย์ก็จะไม่รับขันธ์ 5 หากพิจารณาเห็นสมควรแล้วก็รับขันธ์ 5 นั้นมา
    ขันธ์ครู คือ เครื่องมงคลทั้ง 5 ที่ผู้เป็นครูประสิทธิประสาทพร ในรูปแบบของวัตถุให้กับศิษย์เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ และเป็นที่รำลึกแก่ศิษย์ให้มีความขยันหมั่นเพียรศึกษาวิชาความรู้ที่ครูมอบให้ไปศึกษาเล่าเรียน
    ขันธ์ 5 องค์เทพ หมายถึงขันธ์ 5 และขันธ์ครูรวมเข้าด้วยกันนั่นเอง
    กรณีการรับขันธ์
    ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เทพ เป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้น ๆ และยังหมายถึงข้อตกลง ระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมี โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป
    ดังนั้นความหมายของการรับขันธ์ขององค์เทพ จึงเป็นสัญญาใจหรือข้อตกลงในการประพฤติปฏิบัติทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนแห่งเทพ ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตนให้ถูกต้องในความหมายดังนี้

    ขันธ์ 5 หมายถึงการรับศีล 5 มาปฏิบัติโดยเคร่งครัด ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเผลอไปรับเข้า มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้
    ขันธ์ 8 หมายถึงการรับศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง
    ขันธ์ 9 หมายถึงการรับศีลอุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ
    ขันธ์ 10 หมายถึงศีลของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ
    ขันธ์ 16 หมายถึงศีลของนักบวช ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมือเดียว งดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่าน อยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวช เพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้น
    ดังนั้นหากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับเลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น จะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงองค์เทพที่รับมาด้วยจึงจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือดร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมา
    ถ้าจำเป็นต้องรับด้วยเหตุอันใดก็ตาม เช่น นิมิตจากองค์เทพมาบอกเอง ก็ควรพิจารณาให้ดีว่าจะรับจากใคร หรือถ้าเป็นตำหนัก ก็ต้องดูว่าร่างนั้นปฏิบัติตนอยู่ในหลักศีลธรรมหรือไม่ เหมาะที่จะเป็นครูบาอาจารย์ที่จะทำพิธีมอบขันธ์ให้หรือเปล่า เพราะหากเป็นร่างที่แอบอ้าง หรือเป็นเทพกึ่งเปรต ก็อาจจะนำเอาบริวารที่เป็นตีนโรงตีนศาลมาครอบให้แทน ก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่ อันนี้ต้องระวังให้หนักสัจจะองค์เทพฯ
    มนุษย์เมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องรับขันธ์ เพื่อยอมอุทิศตนเป็นร่างให้กับองค์เทพแต่ละองค์นั้น ก็จำเป็นต้องทราบว่า ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงสมควรแก่ภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังเช่น
    1. การปฏิบัติตัว คือการทำตนเองให้เป็นนักบุญ หมั่นแสวงหาบุญกุศลเหมือนการสร้างสั่งสมบารมีให้มากที่สุด
    เช่น การไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญใส่บาตร ถือศีล กินเจ สมาธิภาวนา
    2. การปรนนิบัติ คือการใช้หนี้ใช้สิน อันเกิดจากชาตินี้และชาติที่ผ่านมา รู้จักกตัญญูและกตเวที
    เช่น การปรนนิบัติ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เป็นต้น
    3. การโปรดสัตว์ คือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หรือ สัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ เท่าที่จะสามารถทำได้
    รู้จักมีเมตตาธรรมนั่นเอง
    ส่วนสิ่งที่มนุษย์จะได้รับตอบแทนจากองค์เทพนั้น ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานขอในตอนครอบขันธ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมไม่เกินกฏแห่งกรรม
    ลักษณะของชั้นเทพ

    ลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่าง ๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตุให้ดี ก็พอจะแยกได้ว่า เป็นเทพหรือเป็นผี โดยอาศัยหลักพิจารณาโดยสังเขปดังนี้

    1. ประทับทรงจากส่วนล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มักจะเป็นพวกสัมภเวสี หรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว

    2. ประทับทรงจากด้านหลัง จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลัง มักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าปู่ ฯลฯ

    3. ประทับทรงจากด้านหน้า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็น เทวดาชั้นจาตุมฯ ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์

    4. ประทับทรงจากทางบ่า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่า มักจะเป็นเทพหรือดาบสที่มีฤทธิ์ ในระดับกลาง ๆ

    5. ประทับทรงจากกลางกระหม่อม จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศรีษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง


    คำแนะนำ

    ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะมีองค์หรือไม่ก็ตาม ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ องค์เทพเทวาที่คุ้มครองรักษาตนเอง ก็น่าจะเพียงพอ เพราะการที่เทพมาอยู่กับเราก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือปรารถนาจะได้ร่วมสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน พาร่างสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

    ถ้าเราทำได้ดังนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปรับขันธ์ เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ประกอบด้วย หิริโอตตัปปะ คือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ย่อมไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับร่างที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านกลัวบาป การที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนาคงไม่มี นอกจากช่วยเหลือเท่านั้น แต่ที่มันเจ็บป่วยหรือมีปัญหาในหน้าที่การงาน การเงิน จนล้มละลาย มันเป็นเรื่องของวิบากกรรมที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้ นอกจากช่วยประคับประคองหรือดลจิตดลใจให้ไปหาผู้ที่สามารถแก้ไขวิบากรรมส่วนนี้ได้

    ดังนั้นบางทีพอรับขันธ์เข้า แล้วหันหน้ามาปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ อะไร ๆ มันก็ดีขึ้นตามบารมีของตน เพราะก่อนหน้าเมื่อยังดีอยู่นั้น ก็ไม่เคยคิดปฏิบัติจริงจัง ทำบุญก็มีบ้างตามโอกาสเท่านั้น เพราะหากเทพจะมาอยู่ด้วย ก็คงไม่จำเป็นต้องทำพิธีอะไรมากมาย การรับขันธ์เป็นเรื่องสมมุติกันขึ้นมาเท่านั้น เพราะท่านจะมาอยู่กับมนุษย์นั้น บางทีก็ติดตามมาแต่เกิด อยู่ติดตามเรามาตลอด เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเอง เพิ่งจะมาคิดรับขันธ์เพื่อรับองค์เทพ เพราะอยากรวยเท่านั้นหรือ เว้นแต่ผู้เป็นร่างทรงที่ทำหน้าที่สงเคราะห์มนุษย์ในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็เป็นหน้าที่ขององค์เทพที่ผ่านร่างมาจะสั่งดำเนินการตามโอกาสต่าง ๆ

    ข้อสังเกต

    มนุษย์ผู้ที่มีองค์เทพแฝงอยู่นั้นสังเกตได้ด้วยตนเองไม่ยาก

    1. มึนศรีษะข้างเดียวเป็นประจำ บางทีทางการแพทย์ว่าเป็น “ไมเกรน”

    2. หนักต้นคอ บางครั้งหนักบ่าสองข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ บางทีขับรถอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนักบ่า

    3. แน่นหน้าอกเป็นบางครั้ง เหมือนคนหายใจไม่อิ่ม บางคนเป็นบ่อย จนหมอว่าเป็นโรคหัวใจ
    4. ฝันแม่นยำ มีลางสังหรณ์แม่นยำ บางทีเรียกสัมผัสที่หก หรือ “ซิกเซ้นท์”

    5. ชอบฝันหรือตีเป็นตัวเลข เสี่ยงโชคได้ใกล้เคียง บางที ผิดแต้มเดียว กลับบนกลับล่าง กลับหน้ากลับหลัง ซื้อทีไรก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเป็นประจำ แต่ถ้าไม่ซื้อเที่ยวบอกใคร เขาก็จะถูก

    6. บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกชื่อเบา ๆ เหมือนเสียงกระซิบก็มี เสียงดังก้องในหู ก็มี

    7. ไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีอะไรที่ลี้ลับ จะรับรู้โดยการสัมผัส ขนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว

    8. บางครั้งสวดมนต์เป็นภาษาบาลีอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นรัวเร็วขึ้นมา

    9. หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เร็วกว่าคนทั่วไป

    ดังนั้นอาการบางอย่างหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว มันไม่หาย ก็ให้ สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ว่าแล้วแผ่เมตตาบ่อย ๆ ทุกอย่างมันจะหายไปเอง เสี่ยงโชคลาภก็จะได้ เพราะบารมีที่ทำนี่แหละ แต่บางอย่างก็อาจจะเกิดจากสัมภเวสีได้เช่นกัน

    1. ปวดศรีษะเป็นประจำ บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหว หมอว่าเป็นความดันบ้างก็แล้วแต่ ก็ควรตรวจเช็คแก้ไข เพราะอาจถูกสัมภเวสีเกาะอยู่ในศรีษะได้

    2. ปวดไหล่เป็นประจำ หมอว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบ กินยาทายาก็แล้ว มันไม่หาย ตึงไปหมด ถือว่าผิดปกติ

    3. มือเท้าชาเป็นซีก จากไหล่ หรือตะโพก หัวเข่าก็ตาม

    4. แน่นหน้าอกมากผิดปกติ

    5. ปวดบริเวณกระเบนเหน็บ บางที่การแพทย์ระบุว่า หมอนรองกระดูกทับเส้น เว้นแต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มจนกระแทกพื้นอย่างแรง นั่นก็จะต้องพิจารณารายละเอียดเป็นกรณีไป

    อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวกับองค์เทพ แต่เป็นการแทรกซ้อนจากวิญญาณเร่ร่อนหรือสัมภเวสีที่ไม่มีที่อยู่นั่นเอง หากรักษาแล้วแก้ไขแล้วไม่ดีขึ้น ก็ลองติดต่อขอรับการสงเคราะห์หรือปรึกษากับ หลวงพ่อวัชระ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี เพราะท่านอาจจะพอหาทางแก้ไขให้ได้

    ดังนั้นการที่ได้กล่าวพาดพิงถึง การรับขันธ์หรือองค์เทพ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณในการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข เพราะวิบากกรรมเป็นของมนุษย์ที่กระทำกันมา ครูบาอาจารย์องค์เทพก็ตาม ก็ไม่อาจฝืนกฏแห่งกรรมได้ แต่อาจชี้ทางแก้ไขได้ เพราะการเจ็บป่วยหรือปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้ามนุษย์นั้น มีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุมันก็ไม่จบ ต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น

    หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยังไม่ชัดเจน ก็ติดต่อสอบถามได้จาก หลวงพ่อวัชระ ที่วัดถ้ำแฝด อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
    โทร. 081-6438603 ท่านยินดีรับฟังและแนะนำให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้มีความกระจ่างในเรื่องราวลี้ลับเหล่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2013
  5. VAKILLOS

    VAKILLOS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +340
    1. ประทับทรงจากส่วนล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มักจะเป็นพวกสัมภเวสี หรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว

    เคยโดน ตอนนั้นเป็นโรคกระเพาะ ตอนไปโรงบาลไม่เป็นไร พอ ไปนอนเตียงนอน ฉีดยาไปเข็มนึง อยู่ดี มีตัวอะไรไม่รู้ วิ่งวน อยู่ในขา วิ่งไปมา ระหว่างขา สองข้าง เหมือนพยายามจะขึ้นข้างบน เเต่ขึ้นไม่ได้ เเละที่สำคัญ ถ้าเป็นผู้หญิง ดิ้นพล่าน เเน่ๆๆ เพราะผมก็เกือบจะดิ้น นั่งรถกลับบ้าน ก็ยังไม่หาย พอเข้าบ้าน เข้ามุ้ง ทำสมาธิ มันจึงค่อยๆคลาย
     
  6. ลับแล

    ลับแล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +848
    แม้นจะมีองค์ แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม หรือประพฤติไม่อยู่ในคุณธรรม องค์หรือเทพ ท่านจะอำลาไปได้เหมือนกัน
    จึงต้องประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยเป็นหลักสำคัญ
     
  7. danetkung

    danetkung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,063
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +15,273
    ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ ว่าจะมีองค์หรือไม่

    คนที่มีองค์ก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรมากมายนัก ก็แค่คนธรรมดา ถ้าไม่สร้างความดี สร้างแต่ความชั่วก็ลงนรกเหมือนกันหมด

    คนเราเคารพกันเพราะอะไร? เราเคารพพระพุทธเจ้าเพราะอะไร? เราเคารพพระธรรมเพราะอะไร? เราเคารพพระสงฆ์เพราะอะไร? เคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์เพราะอะไร?

    เพราะ ความดี!
    เพราะฉะนั้นขอให้คุณหมั่นสร้างทาน ศีล ภาวนาไว้เถอะครับ เทวดาทุกพระองค์จะคุ้มครอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...