คนเราเกิดมาเพื่ออะไร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย density, 25 ตุลาคม 2007.

  1. density

    density สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +15
    มีหลายคนเชื่อว่า และบอกว่าเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม แต่หากชาติแรก เราไม่มีกรรม แล้วเราเกิดมาได้ยังไง แล้วทำไมถึงต้องเกิดมาเพื่อสร้างกรรม เพื่อสร้างกรรมใหม่ ๆ แล้วเวียนว่ายตายเกิด สรุปว่าคนเราเกิดมาทำไมในชาติแรก ทำไมต้องกลั่นแกล้งให้เกิดมา เพราะรู้ทั้งรู้ว่า เกิดมาพร้อมกิเลส โอกาสสร้างกรรมมีมากกว่าสร้างบุญ โลกทุกวันนี้ถึงเป็นแบบนี้ ลองคิดดูนะครับ มนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ไม่มีวิถีในการดำรงค์ชีวิตแบบปัจจุบัน ใช้กำลังในการสืบพันธ์ ในการดำรงค์ชีพ คนเหล่านี้ไม่มีใครบอกถึงบาปบุญคุณโทษ แล้วเค้าต้องมาตกนรก เพราะความไม่รู้ด้วยเหรอ ยุติธรรมสำหรับเค้าหรือ คนป่าในสมัยใด ๆ ที่ไม่มีความรู้ต้องยังชีพด้วยการล่าสัตว์ คนเหล่านี้ผิดด้วยหรือ หากผิด ก็ต้องบอกว่าไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเค้า ใครทราบบอกที

    ชาติแรกที่เกิดขึ้นมาใครกำหนดว่าควรเกิดเป็นอะไร บรรดาศักดิ์หรือต่ำต้อยแค่ไหน รูปลักษณ์อย่างไร กิเลสในตัวที่ไม่เท่ากัน อะไรเป็นตัวกำหนด ก่อนที่จะมีกรรมกับบุญในชาติต่อ ๆ ไปเข้ามาเป็นปัจจัย ใครทราบบอกที

    สัตว์ป่าทั้งหลายที่เป็นสัตว์กินเนื้อทำไมต้องกินเนื้อ แล้วทำไมต้องถูกสร้างมาเพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น แล้วสัตว์กินพืชที่เป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อ ทำไมต้องถูกสร้างให้ถูกกิน ใครเป็นคนกำหนด แล้วกำหนดไปเพื่ออะไร ชาติแรกพวกนี้เค้ายังไม่ได้ทำบุญทำกรรม ทำไมต้องจู่ ๆ กลายไปเป็นสัตว์ให้สร้างกรรม และโดนกระทำ ใครทราบบอกที

    ทำไมจำนวนประชากรถึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่การเวียนว่ายตายเกิด น่าจะอยู่ในจำนวนที่คงที่ หรือมากกว่าน้อยกว่าไม่มาก แต่กลับกลายเป็นว่าจำนวนประชากร มากขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนรู้สึกว่า ดวงจิตหรือวิญญาณที่มาพร้อมกับร่างเหล่านี้มาจากไหน เพิ่มขึ้นมากได้อย่างไร มาจากสัตว์ที่เกิดใหม่เป็นคนหรือ หรือมาจากเทพที่จุติเกิดมาเป็นคน แล้วเป็นเทพอยู่ดี ๆ ทำไมถึงอยากให้ตัวเองมีโอกาสสร้างกรรมเพิ่มโดยไม่จำเป็น เพราะการเกิดมาเป็นคนที่มีสภาพแวดล้อมด้วยกิเลสนั้น โอกาสสร้างบุญย่อมมี แต่โอกาสสร้างกรรมย่อมมีมากกว่าด้วยสภาพที่เป็นอยู่ และทำไมอายุยขัยของเราคนยุคปัจจุบันถึงมีช่วงอายุยืนกว่าเดิมถึงสองเท่า ทั้ง ๆ ที่สามพันปีที่แล้วมนุษย์ในอียิปต์โบราณมีช่วงอายุสูงสุดไม่เกิน สามสิบห้าถึงสี่สิบ เพราะเนื่องด้วยความสามารถทางการแพทย์ป้จจุบันที่ก้าวหน้าจึงทำให้คนเราอายุยืน หมายความว่าจริง ๆ แล้วกรรมเวรของคนเราในยุคปัจจุบันมันขยายช่วงเวลาให้ทำได้มากขึ้นเหรอ มันแปลกเนอะ ทำไมเมื่อก่อนช่วงเวลาสร้างกรรมสร้างบุญถึงมีแค่ครึ่งของคนปัจจุบัน ใครทราบบอกที

    สวรรค์ นรก มีจริงหรือ ทำไมต้องมี แล้วชาติแรกก่อนที่จะมีการสร้างกรรม ตอนนั้นนรกกับสวรรค์สร้างไว้ทำไม ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีคนลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ หรือสร้างคนขึ้นมาแล้วใส่กิเลสมาด้วย เพื่อที่จะให้มีโอกาสสร้างกรรม เพื่อลงนรก ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าหากสร้างมนุษย์มาพร้อมกิเลส แน่นอน โอกาสสร้างกรรมมีมากกว่าสร้างบุญ แต่ทำไมถึงสร้างกิเลสให้ติดตัวมนุษย์ไว้เพื่อสร้างกรรม ใครทราบบอกที

    มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือ (ใครทราบบอกที)

    และหากมีจริงทั้งสองอย่าง มีจริง ทั้งสวรรค์ นรก มนุษย์ต่างดาว แล้วหากมนุษย์ต่างดาว มาตายบนดาวเราแล้วเค้าจะกลับไปได้เหรอ แล้วหากเราไปตายบนดาวอื่น เราจะกลับมาสวรรค์ นรกเราได้หรือ สวรรค์ของทุกดาวกับนรกของทุกดาว อยู่รวมกันหรือ แล้วทำไมถึงมีดวงวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่ได้ไปสวรรค์หรือนรกใด ๆ ทำไมไม่มีใครมารับไป ใครทราบบอกที

    มีคำถามมากมายที่ยังเป็นคำถาม แต่อยากได้คนที่มีเหตุ มีผลมาตอบคำถามเหล่านี้ให้หน่อย เพราะเคยคุยเรื่องนี้กับพระหลายท่าน แต่ท่านไม่เคยให้คำตอบจริง ๆ หรือตรง ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร เหตุผล ตรรกธรรมดาเนี่ยนะ ทำไมอธิบายไม่ได้ ว่าให้คนเกิดมาทำไมในชาติแรก เพื่อเวียนว่ายตายเกิดทำไม ใครทราบบอกที

    หลายคนบอกว่า อย่าสนใจในคำตอบเพียงแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำกรรมดีให้ดีที่สุด ... ผมทราบครับว่าคำถามมันตอบยาก แต่ผมก็อยากรู้ และการที่ได้รับรู้เพื่อที่จะอธิบายต่อ ๆ ไปได้น่าจะเป็นเรื่องดี ... ซึ่งผมหวังว่าจะได้ทราบจากใครบางคนในที่นี้ที่แวะเวียนมาตอบให้ทราบ...แต่ถ้าใครตอบว่า สัตว์จุติขึ้นมาแล้ว ทำดีจนเป็นคน ผมจะถามต่อว่า แล้วสัตว์จุตชาติแรกได้ยังไง หรือใครบอกว่า เทพจุติ ผมจะถามต่อว่า แล้วเทพองค์นั้น เริ่มแรกจุติได้อย่างไร ผมอยากทราบคำตอบที่น่าสนใจนะครับ แต่ละความเห็นผมก็ได้ความรู้มากขึ้น แต่อยากได้อะไรที่มันมีตรรกะ มีที่มามีที่ไปและอธิบายได้ด้วยคำง่าย ๆ ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันอธิบายไม่ได้ ยกเว้นว่าหากยังไม่เข้าใจถ่องแท้ก็อธิบายไม่ชัดมากกว่า แต่ก็อยากได้คำตอบจากหลาย ๆ คนนะครับ ขอบคุณครับ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับคำตอบที่อธิบายความในใจเรื่องนี้ได้สักที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 พฤศจิกายน 2007
  2. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    ภพภูมิ นั้นมีเป็น อจินไตย อินฟินิตี้
    เฉกเช่นเดียวกันกับ คลื่นวิทยุ Fm 100,100.25,100.5,100.75............
    แม้ต่างกัน 0.000000001 ก็คนละคลื่นความถี่แล้ว

    และสรรพสิ่ง สรรพชีวิต มีจุดกำเนิดเดียวกัน
    แต่ครั้น ยึดเหนี่ยว เกาะติด คนละเรื่อง
    ก็ย่อมอยู่กัน คนละคลื่นความถี่ นี่เอง
    และนี่คือที่มา ของผู้คน จิตวิญญาณ
    ที่อยู่กันคนละ คลื่นความถี่
    พระพุทธองค์จึงทรงแยกไว้เพียง 2 ภพมีทั้ง
    สุคติภูมิ ผู้ที่มีสัมมา ทิฐิ มนุษย์เรียกว่า พรหม เทพเทวดา คนคิด พูด ทำ ดีๆฯลฯ
    ทุคติภูมิ ผู้ที่มีมิจฉา ทิฐิ มนุษย์เรียกว่า มาร เปรต สัมภเวสี คนคิด พูด ทำ ไม่ดีฯลฯ

    ปัญหา??????คือ
    จะทำอย่างไร??????
    ให้ผู้ที่อยู่ ทุคติภูมิ เข้าใจ กลับตัว กลับใจ ไปสู่ สุคติภูมิ
    (b-ng) (b-ng) (b-ng) (bb-flower (bb-flower
    หรือต้อง คิด พูด ทำ นำ เป็นตัวอย่าง สู่ ทางหลุดพ้น
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +1,061
    ผมก็มีความสงสัยเหมือนกับคุณมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว

    ตามความเห็นของผม ผมคิดว่าสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเรียนรู้ ลองผิดลองถูก วิวัฒนาการตัวเองทางกายภาพและจิตวิญญานเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตและสาเหตุแห่งการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง (มั้ง) ...ถ้าไปถามพระท่านๆก็คงฟันธงตอบคุณมาทั้งหมดไม่ได้เหมือนกัน เพราะอย่าลืมว่าทั้งพระและนักวิทยาศาสตร์ ล้วนเป็นผู้ที่กำลังค้นหาสัจธรรมด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ค้นหากันคนละวิธี ถ้าเรารู้คำตอบแล้วเราจะมานั่งหน้าสล่อนตัวเป็นๆกันอยู่ตรงนี้หรือ เราคงจะนิพพานไปกันหมดแล้ว และก็คงไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้หรือโลกไหนๆ ภพภูมิไหนๆ มิติไหนๆ อีกเลย

    มีคำถามอีกมากมายเหมือนกันที่ผมอยากจะทราบคำตอบ คงมี 2 ทางเท่านั้นที่จะหาคำตอบได้ คือ ปล่อยมันวิวัฒนาการไปเองตามธรรมชาติ เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย ลองผิดลองถูก เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆไปเรื่อยๆ เพื่อขจัดอวิชชา แต่เราจะสงสัยในคำถามเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะทุกครั้งที่เราเกิดมาเราก็จะจำอะไรในอดีตชาติที่ไม่ได้ ทุกอย่างจะกลับไปเป็น0 เราก็ต้องมาเริ่มจากความไม่รู้อะไรเลยใหม่อีกครั้ง และก็มาสงสัยเกี่ยวกับจักรวาล ชาติภพ ความเชื่อทางศาสนา ต้องมาเริ่มต้นค้นคว้ากันใหม่อีกทุกภพชาติไป หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือ ดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้า ค้นหาคำตอบของสรรพสิ่งโดยใช้สติและปัญญาญาณ ตามหลักสติปัฏฐานสูตร (มั้ง)

    ผมก็กำลังยืนมึนๆงงๆอยู่ตรงทางแยก 2 สายนี้ ไม่รู้จะไปทางไหนดี ยืนมึนๆ งงๆ อยู่นานแล้ว ทางนึงเขาบอกว่าเป็นทางลัดไปถึงได้เร็วกว่าเยอะ แต่มันดูมืดมากจนไม่เห็นเส้นทางเลย ไม่รู้ว่าถ้าก้าวเดินออกไปแล้วจะเจออุปสรรค สิ่งกีดขวาง หลุมบ่อ หรือสัตว์ร้ายอะไรบ้าง ส่วนอีกทางหนึ่งมีแสงไฟส่องทางตลอดสาย แต่มันทั้งแห้งแล้งและหนทางช่างยาวไกลสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่เห็นปลายทาง เห็นแล้วรู้สึกหดหู่ท้อใจจนไม่อยากจะก้าวเดินออกไปเลย ก็ได้แต่ยืนมึนๆ งงๆ อยู่ตรงนี้แหละครับ ..เฮ้อ ละเหี่ยใจจริงๆเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2007
  4. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992
    จะรอฟังคนตอบนะครับ
    ผมคิดว่านะครับคำถามพวกนี้ เป็นกุญแจเลยหละครับ ที่คนส่วนใหญ่ในเวปนี้ที่หยากจะไปถึง.....
    ผู้ใดเข้าถึงนิพานถ้ามีอยู่ในปัจุบันขอให้จง.ดลบรรดานให้เห็นกระทุ้นี้..มาตอบด้วยเถอ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. sudchewan

    sudchewan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2006
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +285
    ต้องขอบอกก่อนว่า อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ว่าคนเราถ้าไม่ได้มีกรรมเก่าอยู่แล้ว เกิดมาก็เพื่อสร้างสะสมบารมีขึ้น ดวงจิตที่อยู่บนสวรรค์ ทุกคนก็ยังต้องบำเพ็ญบารมีให้มากขึ้น เมื่อบารมีเริ่มลดน้อยลง ก็ต้องลงมาเกิด การเกิดเป็นมนุษย์นั้น มันก็เปรียบเสมือนว่า ตัวเราเป็นดั่งดอกบัว จะผุดขึ้นมาจากโคลนตม อันเปรียบดั่ง กิเลศทั้งหลาย ถ้าเราผุดขึ้นมาเติบโตเบ่งบานได้ นั่นก็เหมือนว่าเรารู้แจ้ง สว่างในสัจจะธรรม ยิ่งถ้าเป็นบัวที่ผุดขึ้นจากโคลนตมที่เป็นไฟ ซึ่งมันยากมาก แต่ยังสามารถขี้นมาแจ้งได้ นั่นก็ยิ่งเป็นเพิ่มพลังมหาบารมีขึ้นมา ดังนั้น เมื่อได้เกิดมาแล้ว เรามีโอกาสมากกว่า เหล่าเทพ พรหมทั้งหลายเสียอีกที่จะเจริญบารมีตน ก็ต้องเร่งประกอบกรรมดี เทพทั้งหลายถึงยังเวียนว่ายกลับมาเป็นคน เพื่อเพิ่มบารมีแห่งกรรมดี ส่วนที่ไม่ได้ลงมาเกิด ก็มีบางส่วนยังต้องอาศัยมนุษย์โดยร่วมสร้างบารมีด้วยกัน และมนุษย์ก็จะอุทิศส่วนกุศลนั้นให้......... เช่นนั้นแล้วเมื่อเรามีโอกาสที่จะประกอบกรรมดีก็เร่งกันเถอะค่ะ พรุ่งนี้เราอาจไม่มีลมหายใจให้ทำสิ่งที่เราคิดแล้วก็ได้.........
     
  6. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ขอลองตอบบ้างคำถามนะครับ ลองอ่านดูเล่นๆ นะ

    คำถามนี้ตอบยากที่สุด ประการแรกเพราะ เข้าใจได้ยาก คนที่รู้ว่าชาติแรกเกิดมาได้อย่างไร ก็เป็นพระอริยะเท่านั้น ประการที่สอง การอธิบายให้คนที่ยังไม่ใช่พระอริยะเข้าใจ ก็ทำได้ยากอีกเช่นกัน ดังนั้น จึงไม่ควรสนใจคำถามนี้มากนัก เพราะเราไม่มีวันเข้าใจได้หรอก จนกว่าเราจะบรรลุธรรมแล้ว

    ส่วนตัวผม คิดว่าเราหาชาติแรกไม่เจอหรอก เพราะชาติแรกเราไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นวิวัฒนาการ เริ่มจากอวิชชา ก่อให้เกิดธาตุ 4 พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิต ซึ่งจิตตัวนี้ก็ปนอยู่กับอวิชชานั่นแหล่ะ มันทำให้จิตเดิมแท้ที่มีเพียงหนึ่ง แยกตัวออกมาเป็นก้อนๆ ทำให้แยกได้ว่า เป็นคนนั้นคนนี้ เปรียบเทียบเหมือนกับหยดน้ำ ที่มีหลายๆ หยด (จิตแต่ละดวง) แต่พอรวมกัน ก็เป็นน้ำก้อนเดียวกัน (จิตเดิมแท้ หรือ จิตหนึ่ง) ดังนั้นเรื่องของจำนวนจึงเพิ่มลดได้ ไม่ใช่ตัวเลขคงที่

    เรื่องของจำนวนได้อธิบายไปแล้วข้างต้น ส่วนเทพ เทวดา ที่มาเกิดใหม่ เพราะหมดบุญ หรือ สิ้นอายุขัย แห่งการเป็นเทพนั้นแล้ว ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแห่งนี้ ก็ยังต้องเกิดๆ ตายๆ แบบนี้อยู่ร่ำไป และในความเป็นจริง เทพ เทวดา พรหม ก็ไม่ได้ดีไปกว่ามนุษย์เลย มนุษย์ประเสริฐกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะสภาวะของมนุษย์ เอื่อต่อการบรรลุ มรรค ผล มากที่สุด เพราะมีทั้งสุขและทุกข์ให้เห็นได้ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าถึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ไง พวกอบายภูมิ ก็เป็นทุกข์มาก จะเอาเวลาที่ไหน ปัญญาที่ไหน ไปวิปัสสนาเล่า ส่วน สุขติภูมิมี สวรรค์ รูปพรหม อรูปพรหม ก็มีแต่ความสุขตลอด แล้วจะสนใช้เรื่องทุกข์ทำไม เพราะไม่จำเป็นต้องอยากพ้นทุกข์สักหน่อย ดังนั้น จงภูมิใจไว้เถิดว่าโชคดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา

    มีจริงครับ พระพุทธเจ้าก็ประกาศปาวๆ ว่ามีจริง ช่วงเข้าพรรษาก็เสด็จไปสวรรค์ ไปโปรดโยมมารดามา แล้วเราจะไม่เชื่อได้อย่างไร ถ้าอยากพิสูจน์ ก็ลองฝึกมโนมยิทธิ แล้วไปดูเองเถิด หรือ ถ้าได้ทิพยจักษุ ก็จะได้เห็นเอง

    ในจักรวาล มีระบบสุริยะแบบโลกของเราอีกมากมาย การที่จะมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากมีอุณหภูมิและสภาวะแวดล้อมเหมาะสม ธาตุสี่เกิด พอธาตุสี่เกิด ชีวิตก็เกิดได้

    จิตเดินทางได้เร็วกว่าแสงมากนัก เร็วกว่าอย่างเทียบกันไม่เห็นฝุ่นเลย ดังนั้น ตายที่นี่ ไปเกิดที่ดาวดวงอื่น ภพอื่น ก็เป็นเรื่องไม่เหนือวิสัยจะที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนกับเวลาเราคิดถึงอะไร ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นในใจเราทันที นี่แหล่ะ ความเร็วของจิตหล่ะ

    ผมขอแนะนำว่า อย่าสนใจเรื่องพวกนี้เลย ปฏิบัติให้ถึงแล้วจะรู้เอง เพราะอธิบายไปบ้างเรื่องก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ด้วยเหตุผล เช่น เรื่องของต้นกำเนิดจักรวาลเนี่ย ลืมไปได้เลย นักวิทยาศาสตร์ไม่มีทางรู้หรอก มีแต่ปัญญาของพระพุทธองค์และพระอริยเจ้าสาวกเท่านั้น

    พระหลายๆ ท่าน ก็ยังเป็นเพียงปุถุชน ท่านก็ไม่ทราบคำตอบที่แท้จริงหรอก ต่อให้แตกฉานในปริยัติธรรม ได้ ป.ธ. 9 ก็ไม่สามารถตอบได้ ท่านก็เลยบอกแบบเลี่ยงๆ เพราะจะบอกว่าไม่รู้ก็เสียหน้า ต้องตอบแบบมีภูมิไว้ก่อน ถ้าเป็นพระอริยะ ท่านก็จะไม่ตอบคำถามพวกนี้หรอก เพราะไม่เป็นประโยชน์อันได้ต่อการสำเร็จ มรรค ผล เลย กลับจะทำให้เราสร้างตรรกะในสมองเพิ่มมากขึ้นไปอีก
     
  7. nutman

    nutman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +259
    จำนวน เทวดา มีเท่ากับ 1 : 10ยกกำลัง 16 เมื่อเทียบมนุษย์
    ใน นรก มี 1:10ยกกำลัง 48 เมื่อเทียบมนุษย์

    แปลว่า ที่มาเกิดเนี่ยยังน้อยนิด นะครับบ
     
  8. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,181
    แต่หากชาติแรก เราไม่มีกรรม แล้วเราเกิดมาได้ยังไง
    -สัตว์จุติตลอดเวลา

    แล้วทำไมถึงต้องเกิดมาเพื่อสร้างกรรม เพื่อสร้างกรรมใหม่ ๆ แล้วเวียนว่ายตายเกิด
    -เพราะโง่

    สรุปว่าคนเราเกิดมาทำไมในชาติแรก
    -ชาติแรกที่เป็นคนเพราะรักษาศีล5และกรรมบท10

    ทำไมต้องกลั่นแกล้งให้เกิดมา
    -ไม่มีใครแกล้ง

    เพราะรู้ทั้งรู้ว่า เกิดมาพร้อมกิเลส โอกาสสร้างกรรมมีมากกว่าสร้างบุญ โลกทุกวันนี้ถึงเป็นแบบนี้
    -แล้วรู้มั้ยว่าอะไรบุญอะไรบาป ทำบาปทำไมล่ะ

    ทำไมจำนวนประชากรถึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่การเวียนว่ายตายเกิด น่าจะอยู่ในจำนวนที่คงที่
    -เพราะมันไม่ได้คงที่น่ะสิ

    หรือมากกว่าน้อยกว่าไม่มาก แต่กลับกลายเป็นว่าจำนวนประชากร มากขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนรู้สึกว่า ดวงจิตหรือวิญญาณที่มาพร้อมกับร่างเหล่านี้มาจากไหน เพิ่มขึ้นมากได้อย่างไร มาจากสัตว์ที่เกิดใหม่เป็นคนหรือ หรือมาจากเทพที่จุติเกิดมาเป็นคน แล้วเป็นเทพอยู่ดี ๆ ทำไมถึงอยากให้ตัวเองมีโอกาสสร้างกรรมเพิ่มโดยไม่จำเป็น เพราะการเกิดมาเป็นคนที่มีสภาพแวดล้อมด้วยกิเลสนั้น โอกาสสร้างบุญย่อมมี แต่โอกาสสร้างกรรมย่อมมีมากกว่าด้วยสภาพที่เป็นอยู่ ใครทราบบอกที
    -กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้งหนึ่ง เทพลงมาเกิดเป็นคนเพื่อเก็บบารมีไปพระนิพพาน เพราะเวลาเป็นเทพทำบุญอะไรก็สำเร็จโดยง่าย ไม่ต้องใช้ความพยายาม ได้บารมีน้อย

    สวรรค์ นรก มีจริงหรือ
    - จริง

    มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือ
    -จริง

    และหากมีจริงทั้งสองอย่าง มีจริง ทั้งสวรรค์ นรก มนุษย์ต่างดาว แล้วหากมนุษย์ต่างดาว มาตายบนดาวเราแล้วเค้าจะกลับไปได้เหรอ แล้วหากเราไปตายบนดาวอื่น เราจะกลับมาสวรรค์ นรกเราได้หรือ ใครทราบบอกที
    -นรกใหญ่กว่าดาวทุกดาวรวมกัน พื้นที่เหลือเฟือ อยู่นรกขุมเดียวกันได้ ไม่ต้องกลัวโดนแย่งที่
     
  9. noone

    noone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +392
    ตามความเห็นของผม มนุษย์เป็นรีไซเคิลอีเนอร์จี่ เป็นพลังงานที่ถูกดึงกลับมาใช้ใหม่ ในกรณีที่เวียนว่ายตายเกิด
    แต่พอเมื่อไหร่ที่ผมมีความคิดว่า ถ้าตายแล้วดับสิ้นหล่ะ ความดีก็ไม่เหลือ ความชั่วก็ไม่มีผล ความรักก็ลวงชั่วคราว
    ถึงแม้มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ถ้าจำไม่ได้ ก็ไม่ต่างกับดับแล้วสูญสิ้นเหมือนกัน
    หลงเหมือนกันครับ
     
  10. OMEAGE

    OMEAGE สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +10
    ผมคิดว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์ นั้นแสนจะยาก ดังนั้นผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์จึงมาบุญมาก มีโอกาสมาก ที่จะ กระทำสิ่งที่ยังไม่แจ้งห้แจ้งกระจ่าง เรียนรู้สิ่งที่ยังไม่รู้ให้รู้รอบ เพื่อจะได้สิ้นความสงสัย ในคำถามที่ว่า มนุษย์เกิดมาทำไม
    ในเมื่อพวกเรามีโอกาสดีเช่นนี้ จงได้ฉกฉวยไว้ อย่าให้เสียเวลาเปล่าประโยชน์เลยนะคับ
     
  11. ส้มฟัก

    ส้มฟัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,393
    ค่าพลัง:
    +2,164
    ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมครับผม

    แต่ได้เกิดมาแล้วก็ควรทำตัวให้มีความสุข ทำให้คนและสัตว์รอบข้างมีความสุข

    ชีวิตที่มีค่า คือชีวิตที่อยู่เพื่อผู้อื่น
     
  12. aonlin

    aonlin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2006
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +1,608

    อันนี้เป็นอย่างนึงที่เราเคยนึกถึงเหมือนกันค่ะ
    บางครั้งเราก้คิดว่าไปตามทางหลักสติปัฏฐานสูตรอย่างเดียวเลยดีกว่า เป็นทางตรงที่จะทำให้หลุดพ้นจากวัฎะสงสารซ้ำซากนี้เสียที

    แต่โดยส่วนตัว เราเองก็มีความสงสัยต่อโลกมากมาย
    อยากเห็นความเป้นจริงของโลก คิดว่าก่อนตาย
    ขอให้ได้รู้ความเป็นจริงของโลกก่อนเถอะ
    มันทำให้เรา้พยายามที่จะค้นหาคำตอบกับหลายสิ่ง
    อยากฝึกนู่นนี่เพื่อให้เราได้ทราบคำตอบของสิ่งที่สงสัย

    แต่พอย้อนกลับมาดูตัวเองอีกที ชาติก่อนเราก็อาจเคยสงสัยแบบนี้ เราอาจเคยฝึกแบบนี้มาแล้ว
    เราอาจเคยได้คำตอบของบางสิ่งที่อยากรู้มาก่อนแล้ว
    แต่มันไม่ทำให้เราหลุดพ้น

    เรา็ต้องกลับมาเกิดใหม่อีก เริ่มนับ1 ใหม่
    เริ่มมีความสงสัยใหม่ ซึ่งอาจเป็นความสงสัยในสิ่งเดิม
    เราเริ่มหาคำตอบใหม่ วนเวียนไปไม่จบไม่สิ้นซะที ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2007
  13. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    สิ่งที่ตอบไปแล้ว เขาย้อนถามว่าเคยไปเห็นมาหรือ ? ก็ไม่เคยเห็น ตอบไม่ได้ เอาแบบปัจจุบันก็แล้วกัน

    คำถามคือ " เราเกิดมาทำไม ? "
    ตอบ "เกิดมาเพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่ตนเองและผู้อื่น"

    เหมือนกำหนดวิสัยทัศน์ แล้ววางแผน และปฏิบัติการ
    เมื่อมีเป้าหมาย ก็ต้องเดินทางไปให้ถึงเป้าหมาย วิธีการก็คือ การประพฤติ ปฏิบัติ ต้องเป็นไปเพื่อบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ นั่นเอง

    ฟังหูไว้หูนะ นักวิชาการปกครองเขาบอกว่า ศาสนาคือเครื่องมือที่ใช้ในการปกครองได้ เมื่อใดที่ประชาชนเคร่งศาสนา บ้านเมืองก็สงบสุข เอาในบ้านเราถ้าทุกคนถือศีลเคร่งครัด ของในบ้านไม่ค่อยหาย โจรขโมยก็ไม่ค่อยมี

    เราคิดแบบกลาง ๆ ไว้ก่อน เราไม่มีธรรมะ เราก็วุ่นวายใจ ถ้าเราสวดมนต์ คล้องพระก่อนออกจากบ้าน มันสบายใจ รู้สึกมั่นคงดี นั่นแหละ.......จะคิดอะไรมากอีกเล่า

    ถ้าโลกหน้าไม่มีจริง ท่านจะไม่ปฏิบัติธรรมหรือ ?
    ศาสนา คือ เครื่องมือที่ใช้ในการดับทุกข์
    นรก สวรรค์ มีหรือไม่มี ไม่เป็นไร แต่ ไม่มีศาสนาจะมีวิธีดำเนินชีวิตอยู่ในโลกอย่างไรให้ อยู่เย็นเป็นสุข
     
  14. shameofsins

    shameofsins Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +67
    จะมีใครตอบความจริงได้ไง .... เพราะทุกคนก็ไม่มีใครรู้เหมือนกันอะ
    ทุกคำตอบมันยังเป็นแค่การคาดเดาทั้งนนั้นไม่ใช่หรอครับ
    เราว่า..คงหาคำตอบไม่ได้อะ.... ยิ่งคำถามถึงเรื่องจุดเริ่มต้นนี้ยังไม่มี
    ใครตอบแบบเป็นเหตุเป็นผลได้เลยนนี่นา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแล้วอะครับ
    สงสัยต้องฝึกญาณให้บรรลุแล้วค่อยไปถามพระอรหัน กระมั้งครับ แต่ตอนนั้นคงกลับมาตอบมะได้แล้วอะ... หลุดจากโลกไปแล้ว... คงต้องหาคำตอบจาก
    คำถามด้วยตัวเองมั้งครับ ถึงจะชัวว์สุดเนอะ เราก็ไม่รู้นะก็ยังเป็นมนุษย์ปนกิเลสอยู่เลย
     
  15. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    คนรู้หน่ะมี คนตอบได้ก็มี แต่คนฟังจะเข้าใจได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยปฏิบัติ แม้แต่จิตตัวเองก็ไม่เคยเห็น ขันธ์ห้าก็ไม่เคยเห็น แล้วจะรู้มั๊ยว่า จักรวาลใหญ่แค่ไหน ถ้าเข้าใจเรื่องจิต ก็จะเข้าใจจักรวาล ขอเปรียบเทียบเหมือนกับปลาที่ไม่เคยเห็นบกว่ามันเป็นยังไง พอถามเต่าให้อธิบายบนบกให้ฟัง ก็ไม่เข้าใจ เพราะมันเกินขอบเขตของตรรกะที่ตัวเองมีอยู่ ฉันใด ก็ฉันนั้น

    จะถามถึงจุดกำเนิดของสรรพสิ่ง ตอบแบบเหตุผลไม่ได้หรอกนะ มันเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยสมมติบัญญัติ

    ถ้าฝึกญาณให้บรรลุ ก็ไม่ต้องไปถามพระอรหันต์แล้ว เพราะตัวเองนั่นแหล่ะ รู้อยู่แก่ใจดีแล้ว จะต้องไปถามใครอีกทำไมล่ะ

    พระอรหันต์ไม่ได้หลุดจากโลก แต่เข้าใจโลกมากที่สุด อย่าคิดว่าพระอรหันต์เป็นท่อนไม้ หรือ ก้อนหิน ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ท่านยิ่งมีความรู้สึกมากกว่าพวกเราซะอีก เพราะจิตละเอียดมาก
     
  16. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    เมื่อก่อนผมก็คิดว่าศาสนาเป็นแค่เครื่องมือปกครอง จนปีที่แล้วภาวนาวิปัสสนาเป็น จนพอเข้าใจตามปัญญาที่มี ตอนนี้รู้แล้วว่าสิ่งที่พระองค์สอนคือข้อเท็จจริง

    อยากให้ลองหมั่นภาวนาวิปัสสนา สติปัฏฐานสี่ ดูครับ วิธีการง่ายสุดๆแค่ตามรู้กายใจตัวเองลงปัจจุบัน (แต่ตอนลงมือปฏิบัติภาวนาจะยากมากๆเพราะจะไปติดที่ความคิด จนเข้าใจผิดไปอยู่ในโลกของความคิด กว่าจะเห็นของจริงว่าจิตหนีไปคิดมาแล้วก็นานเหมือนกัน) จะได้เห็นความจริงด้วยตัวเอง
    พอภาวนาบ่อยๆเนืองๆ ก็จะเข้าใจเพราะรู้เองว่าเราเองนั้นแหละที่หาเรื่องสร้างชาติสร้างภพตลอดเวลาของเราเอง แม้แต่ตอนที่พิมพ์อยู่ตอนนี้ ต้นไม้ก็คือต้นไม้ ภูเขาคือภูเขา ร่างกายต่างๆก็เป็นธาตุสี่ขันธ์ห้า ทำงานของมันไปตามปัจจัยที่กระทบอยู่ในโหมดออโตเมติกตลอดเวลา ผมก็รู้เท่านี้แหละก็ถือว่ามหัศจรรย์กับผมแล้ว
     
  17. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    เมื่อก่อนผมก็เป็นแบบพวกคุณนั้นแหละครับ อึดอัดคนที่เข้าใจแล้วเค้าก็ตอบของเค้าแบบเดิมๆ ให้ปฏิบัติเองจะรู้เองเป็นปัจจตัง เค้าตอบมาให้ก็ไม่พอใจในคำตอบนั้น อยากจะหาคำตอบที่มีเหตุผล แต่ของที่ละเอียด มันอธิบายไม่ถูกจริงๆ คงต้องมีปัญญาชั้นสูงยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ลองคิดตามดูนะ คือ ความจริงแท้ มันทะลุเลยระบบประสาทสัมผัสของมนุษย์เราไป มันไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ ภาพ กลิ่น เสียง สัมผัส ตามเซ็นเซอร์ที่เราเห็น เพราะแบบนี้แหละจึงไม่สามารถอธิบายสภาวะสิ่งนั้นได้ ถ้าคุณเชื่อสิ่งที่ตาเห็น สิ่งที่หูได้ยิน สิ่งที่จมูกได้กลิ่น สิ่งที่ใจรับความคิด ความจริงของกายใจคุณก็หยุดคำตอบไว้ที่สุดทางตรงนั้น แต่การภาวนาทำให้เห็นการทำงานของมัน มันเลยทะลุลงไป แล้วพอจะเอามาอธิบายมันเลยเป็นเรื่องลำบาก

    ผมเชียร์ให้ภาวนากันทุกคนนะครับ เพราะพวกเราโชคดีจริงๆที่เกิดมาในประเทศที่พระพุทธศาสนายังอยู่ ยังมีแผนที่ให้เดินตามหาความจริง
     
  18. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ขออนุโมทนากับคุณ หลับตา ด้วยครับ มาถูกทางแล้ว

    ขอยืมคำของครูบาอาจารย์มาใช้ ที่ว่า แค่รู้ว่าจิตคิด ก็ได้ต้นทางของการปฏิบัติ

    สติปัฏฐานสี่ คือ ทางสายเอกและสายเดียว ปฏิบัติไปจะรู้เห็นอะไรอีกเยอะเลย

    หลวงตามหาบัวก็สรุปการปฏิบัติให้ฟังว่า "ตามรู้กายรู้ใจให้เป็นปัจจุบัน" นี่แหล่ะมรรคที่แท้จริงล่ะ

    มาหยุดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ด้วยกันนะครับ เจริญในธรรมครับ
     
  19. karain

    karain เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +707
    วันนี้อ่านไม่หมดไว้โอกาสหน้าจะมาอ่านใหม่ แต่นายแน่มากที่ตั้งโจทย์นี้ขึ้นมา
     
  20. โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม

    โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +573
    เมื่อเกิดมาแล้วก็ทำดีซะก่อนที่โลกนี้จะไม่มีความดีให้ทำ
     

แชร์หน้านี้

Loading...