อยากได้คำสอนทางธรรมะเกี่ยวกับเรื่องปล่อยวางค่ะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย เลิฟริว, 6 พฤษภาคม 2013.

  1. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    คำนี้ รู้-ละ
    ได้มาจากเจ้าอาวาสวัดนึง ที่เราไปถามเรื่อง สมาธิ ทำอย่างไร ต่อไป

    ท่านบอกว่า รู้ละ รุ้ละ เวลามีอะไรเกิดขึ้น ( จริงๆ คงเป็นการรู้ แบบ รู้ด้วยใจ ไม่ได้ให้ท่องนะค่ะ) อย่าไปยินดียินร้ายเวลาฟุ้งซ่านออกมา

    "รู้ให้ทัน ละให้ได้ "


    แต่บางครั้งความฟุ้งซ่าน/ความทุกข์มันมาก มากเกินกว่า จะตามรู้ ตามดู ให้ทัน ทำให้ต้องบริกรรมในใจออกมาแทน

    แล้วค่อยๆผ่อนลง เป็น รู้แบบเบาๆ ความคิดถึงจะละทิ้งไปได้

    ถ้าวันนีัยังทำไม่ได้ หรือไม่ดี เผลอก็เริ่มใหม่ ค่ะ

    เราเองเริ่มมาสนใจทางธรรมเพราะเพื่อนคนนึง แกมบังคับให้เข้ามาอ่านทุกวัน ได้วันละนิดก็ยังดี
     
  2. เลิฟริว

    เลิฟริว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +207
    ของแอนต้องขอบคุณความทุกข์ เพราะมีความทุกข์แอนถึงเพิ่งเริ่มมาศึกษาเรื่องธรรมมะ ศึกษาทั้งทางหนังสือ ทางเว็บ ต้องขอบคุณความทุกข์ถึงทำให้เราเข้าถึงธรรมะได้ หลงใช้ชีวิตแบบผิดๆไปตั้งนาน
     
  3. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    ..โลกธรรมที่เกิดขึ้นกับเราก็เหมือนธรรมชาติ เหมือนลม ฟ้า อากาศ เป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในอำนาจการควบคุมของเราเล๊ย เราก็ทำได้แค่พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงแล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติอย่างนั้น แม้ว่าบางครั้งบ้านเราเกือบจะพังเหมือนกัน เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ได้รับทุกข์ บางครั้งเราก็ถูกกระทบจากสิ่งเหล่านี้อย่างรุนแรง แต่เราต้องอดทน และให้เวลาเป็นเครื่องแก้ไข แม้จะเกิดความฟุ้งซ่านวุ่นวายจิตตก เกิดความเดือดร้อนใจเพียงใดก็ตามนะคะ ขอให้ตั้งสติ พิจารณาทบทวนความคิดของตัวเองให้ถูกต้องที่สุด คือคิดให้เป็น คิดให้ดี คิดให้ถูก เมื่อคิดถูกต้องสอดคล้องกับหลักธรรมแล้ว จิตใจของเราก็จะค่อย ๆ เย็นลงเอง ข้อสำคัญนั้น อยู่ที่ความคิด ถ้าคิดผิด เกิดทุกข์ทันที แต่ถ้าคิดดี คิดถูกนะ ก็จะให้ความสุขกับตนเองได้เช่นกัน... ฉะนั้น น้อมสิ่งที่เกิดขึ้นเข้ามาสู่ใจเรา เพื่อพิจารณาดูที่เหตุให้เห็นตามความเป็นจริง แล้วปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ..พูดง่าย ๆ ไม่ต้องนึกปรุงแต่งอีกต่อไปแล้วนะคะ นะคะ เพราะว่ามันหนักค่ะ.. ^^
     
  4. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ชื่อเรา ยังขึ้นต้นด้วยคำว่า Thanks (ขอบคุณ) เพราะต้องการสื่อให้ทราบอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ

    ถ้าไม่ทุกข์ วันนี้อาจจะยังไม่มีชื่อสมาชิกคนนี้ค่ะ
     
  5. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ...อนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่เที่งแท้ ไม่จีรังยั่งยืน เปลี่ยนแปรไปทุกขณะ ไม่แน่นอน

    ...ทุกขัง เมื่อรู้ว่า ใดใดในโลกล้วนไม่เที่ยง หากเอาจิตเอาใจไปผูกไปเกาะ ย่อมทุกข์ในที่สุด

    ...อนัตตา ในที่สุดก็ไม่มีอะไรหลงเหลือให้เกาะ มันมีเกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วขณะ และก็สลายไปในที่สุด ทุกอย่างในโลกล้วนเป็นเช่นนี้

    พบทุกข์ เมื่อใด...อนิจจัง
    รู้จักทุกข์ เมื่อใด...ทุกขัง
    เข้าใจทุกข์ เมื่อใด...อนัตตา
    ยอมรับในทุกข์ได้ เมื่อใด....วางได้ เมื่อนั้น
     
  6. luck-luck

    luck-luck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +568
    เห็นด้วยค่ะ ถึงที่สุดแล้วจะวางเอง ใช้เวลาค่ะ อยากคิดคิดไป อยากทุกข์ทุกข์ไป ตั้งตารางการทำบุญไว้ในปฏิทินเลยว่าวันไหนจะทำบุญอะไร ทำที่ไหน วัดไหน ถึงเวลาก็ทำบุญไปตามตาราง เรื่องทุกข์ก็ปล่อยให้ทุกข์ไป เพราะถ้าเรายิ่งห้ามจะยิ่งคิด ยิ่งหนียิ่งตาม ทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้ง่ายเลยนะคะ ตอนที่ตัวเองมีมความทุกข์ก็ตั้งตารางทำสังฆทานไว้9วัดทุกวันพระ ใช้เวลาสองเดือน และใส่บาตรทุกวัน ใจก็ทุกข์ด้วยอีกใจนึงก็คิดเรื่องทำบุญด้วย เรื่องเอาของไปทำสังฆทาน เรื่องทำอาหารใส่บาตร เพิ่มเรื่องทำบุญไปในหัวเยอะๆ จะเอาอะไรไปทำสังฆทานดี จะทำอะไรใส่บาตรดี มีบุญอะไรที่เราอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ ถ้าเราต้องตายพรุ่งนี้เราตัวเป็นประโยชน์หรือยังอะไรประมาณนี้ค่ะ แล้วจะเห็นผลด้วยตัวเอง เรื่องทุกข์ก็ปล่อยให้ทุกข์ไป จากที่คิดเรื่องทุกข์อย่างเดียวก็แบ่งใจไปคิดเรื่องทำบุญด้วย

    ขอให้ผ่านมันไปให้ได้นะคะ บุญเป็นที่พึ่งที่เกาะได้จริงแต่ต้องทำเองจะเห็นเองค่ะ
     
  7. แก้วกัลลยา

    แก้วกัลลยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +570
    อ่านบาทความธรรมะ ที่คุณสิลสิกขา เข้ามาชี้แนะในการแก้ไขปัญหาของเพื่อนๆทุกคนทุกครั้ง รู้สึกอบอุ่นใจ รู้สึกถึงความเย็นแผ่เข้ามาถึงภายใน ....
    ขออนุโมทนา...ในจิตอันเป็นกุศลกับคุณสิลสิกขาและเพื่อนๆกัลยานมิตรทุกท่านด้วย.

    เหตุหนึ่งดิฉันดับทุกข์ -ปล่อยวางได้ก็เพราะกำลังใจจากเพื่อนๆในร่มธรรมแห่งนี้ สาธุ...สาธุ...สาธุ..อนุโมทามิ.
     
  8. KBLS

    KBLS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +280
    เข้ามาอ่านบทความของทุกท่าน มีประโยชน์มากค่ะ ขอเพิ่มบทปลงสังเวช จากลานธรรมจักร อ่านบ่อยๆ ก็คงจะช่วยเสริมการวางได้มากขึ้นค่ะ

    --------------------------------------------------------------------------------
    บทปลงสังขาร



    สังขารร่างกายต้องตายเป็นผี

    อยู่ในโลกนี้ไม่มีแก่นสาร

    ทรัพย์สินเงินทองเป็นของสาธารณ์

    ไม่ใช่ของท่านลูกหลานต้องลา



    อย่ามัวประมาทโอกาสยังมี

    อย่าหลงโลกีย์จะมีปัญหา

    โลกนี้แท้จริงเป็นสิ่งมายา

    เป็นสิ่งลวงตาใช่ว่าจีรัง



    สังขารร่างกายอยู่ไม่กี่ปี

    ก็ตายเป็นผีไม่มีความหวัง

    เกิดแก่เจ็บตายร่างกายผุพัง

    ทุกวันเดินทางสู่ยังกองฟอน



    จะห้ามไม่ฟังจะรั้งไม่อยู่

    เป็นสิ่งสมมติตามพุทธะสอน

    อำนาจใดๆอย่าไปวิงวอน

    ให้ช่วยเราตอนที่วันสิ้นใจ



    สังขารเรานี้เป็นสิ่งที่สังเวช

    มันเป็นสาเหตุสังเกตเอาไว้

    เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวปวดร้าวอาลัย

    หิวอิ่มเกินไปก็อยู่ไม่นาน



    หนาวก็จะตายร้อนไปก็จะแย่

    ลำบากแท้ๆนี่แลสังขาร

    ต้องกินต้องถ่ายทนไปทุกวัน

    ดูน่าสงสารคิดกันให้ดี





    สังขารร่างกายทั่วไปเน่าเหม็น

    มีของกากเดนมองเห็นทุกที

    ไหลเข้าไหลออกย้อยยอกมากมี

    ล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วกัน



    น้ำเลือดน้ำหนองล้วนของปฏิกูล

    ไหลมาเป็นมูลพอกพูนหลายชั้น

    ข้างนอกเน่าเหม็นมองเห็นทุกวัน

    อีกข้างในนั้นล้วนขั้นไม่งาม



    สังขารร่างกายไม่ใช่ตัวตน

    เกิดมาเป็นคนไม่พ้นโดนห้าม

    ต้องนอนเปลือยกายให้ไฟลุกลาม

    เมื่อเจ้าโดนหามสู่เชิงตะกอน



    ผู้ดีเข็ญใจก็ตายเหมือนกัน

    อย่าหลงสังขารปลงกันไว้ก่อน

    ลูกหลานหญิงชายส่งได้แน่นอน

    ก็แค่กองฟอนแล้วย้อนกลับมา



    สังขารร่างกายล้วนตายเป็นศพ

    ถูกแผ่นดินกลบอยู่ในป่าช้า

    หมู่หนอนชอนไชตามไต่กายา

    เป็นเหยื่อนกกาหมูหมาในดง



    กระดูกเกลื่อนกลาดเรี่ยราดทั่วไป

    เอ็นเล็กเอ็นใหญ่ไร้จุดประสงค์

    ต้องถูกทอดทิ้งนอนกลิ้งในดง

    เป็นป่ารกพงเฝ้าดงกันดาร



    กระทำให้แจ้งเจาะแทงตลอด

    ให้จิตนี้ปลอดหลุดลอดสังขาร

    หยุดความกระหายมุ่งไปนิพพาน

    ไม่หลงสังขารทั่วกันด้วยเถิด



    จะได้หยุดเกิดมันไม่ประเสริฐ

    ตราบใดยังเกิดอยู่ในสงสาร

    รีบภาวนาเพื่อละอัตตา

    ข้ามพ้นมายาทั่วหน้ากันเทอญฯ
     
  9. เลิฟริว

    เลิฟริว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +207
    เป็นจริงตามนั้นเลยค่ะ ตัวเราเองชอบปรุงแต่งความคิดไปล่วงหน้า
     
  10. เลิฟริว

    เลิฟริว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +207
    ตอนนี้เริ่มจะปลงได้แล้วค่ะ เมื่อวานก้อมีความสุขดี แต่พยายามไม่หลงกับความสุข
    เตือนใจตัวเองไว้ มีความสุขได้ เดี๋ยวก้อต้องทุกข์ได้
    ก้อตลกดี วันนี้กลับมาทุกข์อีก
    แต่ก้อบอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวก้อหายทุกข์กลับไปสุขอีก
    อย่าไปหลงกับมันทั้งทุกข์ทั้งสุข
    พยายามวางใจเป็นกลางให้มากที่สุด

    แต่ต้องขอบคุณเพื่อนๆในนี้มากเลยน้ะค้ะ พอเข้ามาอ่านทีไร ก้อสงบใจได้ทุกครั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2013
  11. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    อธิบายขยายความครับ

    ขออนุญาตครับ

    ที่ผมแนะนำให้สวดไตรสรณะคมณ์นั้น
    สำหรับผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิภาวนา
    หรือปฏิบัติมีความล่าช้า

    จะง่ายที่สุด จะดีที่สุด

    เพราะว่า พระภิกษุ สมัยพุทธกาล
    แค่กล่าว ไตรสรณคมณ์ ๓ ครัง
    การบวช ก็ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

    เคล็ดก็คือ เอาจิตไปไว้ที่ พระรัตนตรัย ทำให้ความคิดฟุ้งซ่านลดลง
    ทำให้จิตสงบได้ง่าย

    ส่วนการปล่อยวางนั้น ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง อะไรๆ ก็ปล่อยวางไปซะหมด
    เหลือ ดวงจิต เอาไว้ ทำมาหากิน
    เหลือ ดวงจิต เอาไว้ เรื่องครอบครัว เท่านั้น

    ที่น่าหมั่นใส้ คือ ชวนทำบุญก็ไม่เอา เขาบอกว่า "รู้แล้วปล่อยวาง"
    ทำจิตให้ว่าง เขาว่าของเขาอย่างนั้น
    (ก็เลยไม่ได้ทำบุญ)

    สำหรับผมแล้ว การปล่อยวาง เป็นธรรมชั้นสูง
    เป็นการข้ามจากชั้น อนาคามี สู่ ชั้น อรหันต์

    สำหรับชาวพุทธทั่วไปต้องมี

    ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ในสัดส่วนมที่เหมาะกับตน

    สำหรับผู้ที่ กำลังสติ กำลังสมาธิอ่อนอยู่
    สวดไตรสรณะคมณ์ ตลอดเวลา ง่ายที่สุด
    เพราะเมื่อจิต อยู่ที่พระรัตนตรัย ความฟุ้งซ่านก็ลดลงไปได้เอง

    การเริ่มปฏิบัติที่ดีที่สุด คือ เริ่มได้ทันที่ ทุกที่ ทุกเวลา ไม่เห็นต้องไปรออะไร
    ไม่ต้องไหว้ครู ไม่ต้องรอกรรมการสั่ง

    ขอโมทนา ขออนุโมทนา
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
  12. Thammasawasdee

    Thammasawasdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2013
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +869
    มาเก็บความรู้จากทุกๆความคิดเห็น ดีมากๆเลยค่ะ ^^

    ธรรมะสวัสดี :)

    ขออนุโมทนา สาธุจร้า

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  13. Followdream

    Followdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +12,448
    เมื่อยึดเมื่อเหนี่ยวก็หนัก
    ..เมื่อปล่อยเมื่อวางก็เบา

    ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยค่ะ..สาธุ
     
  14. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137

    พี่เองอยากให้น้องแอน มีความสบายกายและสบายใจทุกๆวัน มีสุขมากกว่าทุกข์ ทุกๆ โพสจากพี่และเพื่อนทุกท่านล้วนเต็มใจและเต็มไปด้วยกุศลจิตในการให้ ที่ปรารถนาจะให้น้องแอนหลุดพ้นให้ได้มากที่สุด..ฉะนั้นน้องแอนห้ามทำให้พี่ ๆ ผิดหวังเด็ดขาด พี่มีความคาดหวังว่า วันนึงพี่ต้องได้เห็นน้องแอน ได้ใช้ประสบการณ์ที่กัดกร่อนหัวจิตหัวใจในวันนี้ เป็นผู้แนะนำบอกกล่าวให้เพื่อนๆ ที่ประสบทุกข์ในวันหน้า ได้แก้ไขอุปสรรคปัญหาชีวิตในแนวทางที่ถูกต้องตามหลักธรรมคำสอน เมื่อทุกข์จึงเริ่มเห็นธรรม และดีใจที่น้องแอนเลือกพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพื่อบรรเทาใจ..เป็นสิ่งที่น้องแอนคิดถูก.. :cool: พี่จึงอยากจะฝากบทความให้น้องแอนได้อ่านเพราะหลายๆครั้งพี่เองก็เจอพายุอะไรดีล่ะ ซุปเปอร์เฮอริเคน ละกันจ้ะ ทำให้วิ่งวนเหมือนที่น้องแอนเป็นอยู่ จงอดทน และใช้สติปัญญาความคิดที่ดีที่เรามี ก้าวข้ามให้ได้โดยเร็ว..

    ..กาีรที่เราร้องไห้ ไม่สบายใจ เซ็ง เหงา เศร้าสร้อย ทุกข์สุดเกินบรรยาย เคยถามตัวเองหรือไม่ ว่าอะไรกันที่ทำให้เราทุกข์ได้ถึงเพียงนี้ ซึ่ง "หลายคนรู้ หลายไม่รู้ หลายคนคิดว่าตัวเองรู้ แต่แท้จริงไม่เคยรู้" ความจริงแล้ว ทุกข์ของคนทุกคนนั้นมาจากสาเหตุเพียงประการเดียว นั่นคือ "ทุกข์อันเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น" ยึดมากก็ทุกข์มาก ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย ยิ่งเรารักสิ่งใดมาก สิ่งนั้นก็สร้างปริมาณความทุกข์ให้เราได้มากเป็นเงาตามตัว..

    ในความยึดมั่นถือมั่นนี้ ไม่ได้สอดคล้องกับความจริงของธรรมชาติเลย เพราะมันเป็นการเห็นผิด เข้าใจผิด ๆ ว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้เป็นของเรา และเราสามารถควบคุมให้เป็นอย่างใจได้ เมื่อเรารักใคร เราก็คิดว่า เขาเป็นของเรา และเราควรจะควบคุมเขาได้ เมื่อมีทรัพย์สินใดก็ตาม เราย่อมคิดว่า สิ่งนั้นเป็นของของเรา และมันควรอยู่กับเราตลอดไป เมื่อเราส่องกระจก เราคิดว่า นี่คือร่างกายของเรา ดังนั้นจึงคิดว่า มันไม่ควรจะเสื่อม ไม่ควรจะเหี่ยวย่น มันควรสวยงามดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

    ความเห็นเช่นนี้เองนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทุกสรรพสิ่งทั้งหลาย ก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา นี่คือกฏธรรมดาของโลก และหากเรายอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ เราก็จะกลายเป็นคนที่ขวางโลกและถูกโลกบดขยี้ จนจิตวิญญาณแหละละเอียด

    เมื่อครั้งพุทธกาลเคยมีผู้ถามพระพุทธเจ้าว่า "ความรู้ทั้งหมดที่พระองค์ทรงสั่งสอนมีมากมายเหลือเกิน พระองค์สามารถรวบให้เหลือเพียงคำสั่งสอนเดียวได้หรือไม่"

    พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า "ได้" บุคคลผู้นั้นจึงถามต่อไปว่า "ถ้าเช่นนั้นแล้วคำสอนนั้นคืออะไร" พระพุทธเจ้าทรงยิ้มน้อยๆ แล้วตรัสออกมา "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง..บุคคลไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น"

    หากเรานำสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส มาวิเคราะห์ตรึกตรองด้วยปัญญา ย่อมเห็นจริงตามนั้น ยิ่งวิเคราะห์ให้ลึกลงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นจริงยิ่งขึ้นไม่สิ้นสุด เนื่องด้วยความจริงที่ว่า ไม่ได้เป็นเพียงความจริงของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ดาวเคราะห์ใดดาวเคราะห์หนึ่ง แต่นับได้ว่า เป็นความจริงของจักรวาล เป็นความจริงของเอกภพ เลยไปถึงเป็นความจริงของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งก็คือกฎแห่งกรรมนั่นเอง

    เมื่อความจริงของโลกเป็นเช่นนี้ หนทางเดียวที่เราจะยุติความทุกข์ที่เผาผลาญจิตใจได้ก็คือ การปล่อยวางในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ลงเสีย คำว่าปล่อยวางนี้ อาจให้ความรู้สึกเหงา เศร้า สำหรับบางคน ด้วยความอาลัยรัก ใครเล่าจะปล่อยวางจากสิ่งที่ตนหวงแหนได้ง่ายดาย แต่ไม่ว่าจะยากเย็นเข็ญใจเพียงไร ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ เมื่อเราเลิกเอาจิตใจไปผูกโยงกับสิ่งใด ย่อมเท่ากับว่า เราได้คลอยปมแน่นหนา ซึ่งยึดเราไว้กับความทุกข์ได้แล้วระดับหนึ่ง "เลิกผูกใจ ก็ไม่ผูกทุกข์ แปลว่า เลิกยึดติด เราก็ไม่ทุกข์"

    มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมที่เราต้องทำแบบนี้ จงอดทน กล้าหาญและยอมรับ โดยการเดินตรงเข้าไป แล้วแก้ปมทุกข์ในใจที่มีให้สำเร็จ..นะจ๊ะ :cool: :cool:


    ขอบอกว่า พี่สีลสิกขาคนนี้มีความสามารถให้กำลังใจน้องแอนได้ทุกวันเลยนะ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ท้อกับชะตากรรมแย่ๆของชีวิตที่กำลังจะผ่านไป ก็ไม่ใช่เพราะสิ่งนี้หรือที่ทำให้น้องแอนได้มีเพื่อนธรรมที่มีคุณภาพเยอะแยะเลย ที่พร้อมให้กำลังใจน้องแอนทุกวันเช่นกัน.. สู้โว๊ย นะ นะ :p
     
  15. เลิฟริว

    เลิฟริว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +207
    ขอบคุณมากเลยค่ะพี่สีลสิกขา

    ก่อนหน้านี้สิ่งที่แอนทุกข์ใจสุดๆในชีวิตคือ น้องชายแอนติดยา
    ทีนี้พอแม่ไม่ให้เงินก้ออาระวาดทุบข้าวของ สุดท้ายแม่ก้อต้องให้ไป
    ด้วยน้ำตานองหน้า พูดไม้อ่อนก้อแล้ว พูดไม้แข็งกันก้อแล้ว
    ก้อไม่มีอะไรดีขึ้น ครั้นจะเรียกตำรวจจับ ยังงัยก้อน้อง ยังงัยก้อลูก
    ตอนนั้นแอนได้แต่คิดทำใจว่า คงเคยเป็นเวรเป็นกรรมกันตั้งแต่ชาติที่แล้ว
    ทีนี้แอนเริ่มหันมาศึกษาเรื่องธรรมะ พอศึกษาไปได้สักระยะ เลยเริ่มมีสติ
    ทีนี้แอนค่อยๆคิดว่าเหตุแห่งทุกข์ของแอนคืออะไร ใช้สติคิดไปได้สักพักหนึ่ง
    หลุดโพะเลยค่ะพี่สีลสิกขา ต้นเหตุแห่งทุกข์ของแอนคือแม่ ไม่ใช่น้อง เพราะ
    ทุกครั้งที่น้องขอเงินแม่ แอนไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้ ไม่อยากเห็นแม่ทุกข์ใจ
    แล้วก้อเสียดายเงินแทนแม่ คือถ้าน้องยังไม่เลิกติดยา แม่ก้อยังทุกข์อยู่อย่างนั้น
    แล้วเราไม่อยากเห็นแม่ทุกข์ เราก้อเลยทุกข์เพราะเห็นแม่ทุกข์
     
  16. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137

    พี่เข้าใจน้องแอนแล้วค่ะ ทุกข์สุดๆ คือการที่ได้เห็นคนที่เรารักเป็นทุกข์ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ทางกายหรือทางใจ และพี่ก็ดีใจนะคะที่น้องแอน มีสติคิดจนเกิดปัญญาว่าเหตุแห่งทุกข์นั้นมาจากใครระหว่างแม่กับน้องทั้งที่เป็นช่วงที่สภาวะจิตของน้องแอนกำลังหดหู่เศร้าหมอง

    เมื่อหาเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว เรามาหาหนทางแก้ไขปัญหาเพราะสิ่งที่เผชิญอยู่นั้นเป็นเรื่องของกรรม เหตุการณ์ร้ายๆ เหล่านี้เป็นผลจากกรรมที่ได้เคยร่วมกันสร้างมาหลายภพหลายชาติ ฉะนั้นสิ่งที่พี่เองเพียรพยายามทำและอยากให้น้องแอนได้ทำให้สม่ำเสมอเพื่อให้ความทุกข์ลดลงได้จากจิตของเราและคุณแม่ก็คือการทำบุญ ทาน รักษาศีล และปฎิบัติภาวนา แล้วแผ่เมตตาให้น้องมากมาก บ่อย ๆ ชวนคุณแม่เข้าวัดทำบุญให้เห็นธรรมะเป็นที่พึ่ง ให้มองทุกอย่าง มองสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง และพิจารณาเรื่องต่างๆว่ามีเหตุและปัจจัยให้เกิดขึ้น
    ที่สำคัญเราต้องเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งของคุณแม่นะคะ เข้าใจและให้กำลังใจท่านให้มาก เพราะแค่้น้องชายคนเดียวแม่ก็ทุกข์มากแล้ว แต่ถ้าเราตำหนิแม่อีกคน คนที่สาหัสคือแม่ของเรา ขอให้ใช้สติปัญญาสู้วิกฤติชีวิต พี่เชื่อว่าเด๋วมันจะต้องผ่านไป มันเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้กำลังดำเนินอยู่ แต่เด๋วมันจะผ่านไป ไม่มีสิ่งใดอยู่กับเรานาน ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ สู้สู้นะคะเอาใจช่วยสุดๆ เลยค่ะ ^^

     
  17. pnumso

    pnumso เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2010
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +173
    การปล่อยวางต้องเข้าใจว่าเมื่อใดที่ปล่อยไปแล้วมันก็จะสามารถกลับไปจับมายึดไว้ได้ทุกเมื่อ
    เมื่อใดมีเชื้อให้มันๆจะเหมือนไฟที่พร้อมจะลุกไหม้ได้ทันทีที่มีเชื้อเชื้อมันไม่ได้หายไปไหนมัน
    อยู่ในความคิดเรานี่แหละ เผลอมันก็กลับมาทำให้เป็นทุกข์

    เพราะทุกข์จากขันธ์ 5 จะดับไปได้ต้องใช้ปัญญาในขั้นภาวนามยปัญญา ไม่ใช่การท่องจำ
    การเรียนรู้ในขั้นสุตมยปัญญา หรือปัญญาในขั้นจินตามยปัญญา ที่ใช้การคิดพิจารณาหา
    เหตุผลมาหักล้าง แต่พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง อริยสัจจ์ 4 เพื่อให้รู้ต้นเหตุแห่งทุกข์ เพื่อกำหนด
    รู้ว่าทุกข์คืออะไรแล้วทำให้เจริญทำให้แจ้ง เพื่อให้เกิดปัญญาในขั้นภาวนามยปัญญาที่ได้จาก
    การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อนำปัญญาในขั้นนี้ที่เ็ป็นญาณปัญญาเข้าไปรู้ เมื่อญาณปัญญา
    เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามขั้นตอนก็จะสามารถละกิเลสได้ ทีนี้น้องก็ต้องศึกษาและลงมือจริงด้วย
    กรรมฐานกองต่างๆตามจริตตามแนวทางของพระอาจารย์สายต่างๆ

    ทุกข์ที่เกิดจากน้องชายกับแม่นั้นเกิดจากกรรมของแต่ละคนต่อให้แม่จะรักสอนดีแค่ไหน
    ถ้าน้องไ่ม่สนใจคำสั่งสอนแล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเปลี่ยนความคิดน้องชายได้ สิ่งที่จะ
    ทำให้เค้าได้คำตอบเร็วที่สุดคือการเห็นทุกข์ด้วยตัวเค้าเอง การช่วยน้องด้วยการให้เงิน
    ไปเสพยาไม่ใช่ทางออก มันเป็นการเพิ่มปัญหาให้สะสมมากขึ้น เมื่อปัญหามากขึ้นจน
    เค้าขาดสติทำร้ายคนรอบตัวเมื่อนั้นมันจะเกินเยียวยา

    อนาคตอยู่ที่การตัดสินใจของทุกคนในครอบครัว รักมากก็ทุกข์มาก มองปัญหาด้วยความ
    รักยังงัยก็หาทางออกไม่เจอ ต้องมองที่ความจริงมองที่ต้นเหตุแล้วแก้ การแก้ไขการติดยา
    แก้ด้วยคนในครอบครัวยากต้องให้คนนอกเข้าไปช่วย ทั้งญาติพี่น้องหรือตำรวจ ให้เค้าเลือก
    ว่าจะสมัครใจไป หรือจะให้พาไปเลิกยาเองก่อนจะติดคุกจริงๆ ช่วงแรกนี้ต้องใจแข็ง ไม่ว่า
    เค้าจะสมัครใจหรือไม่ สุดท้ายต้องพาำไปบำบัดให้ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และต้องหมั่นไปเยี่ยม
    ให้กำลังใจไ่ม่ให้เห็นว่าเค้าถูกบังคับ ที่สำคัญต้องตัดวงจรการเสพยาจากเพื่อนจากสังคมของ
    สภาพแวดล้อมใกล้ตัวเค้าที่จะทำให้เค้ากลับไปติดอีก ถ้าจำเป็นก็ต้องย้ายโรงเรียนหรือแม้
    กระทั่งย้ายบ้าน

    ที่สุดแล้ววัดน่าจะสอนคนได้ หลังจากเลิกยาควรจะให้น้องบวช แต่ให้เลือกวัดที่เคร่งครัดสอน
    เค้าให้เค้าได้แยกแยะดีชั่วให้ได้ แม่ของน้องเองก็ควรจะไปด้วยเพื่อให้แม่ได้อยู่กับน้องชาย
    เพื่อให้พระช่วยชี้ทางสงบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2013
  18. เลิฟริว

    เลิฟริว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +207
    ขอบคุณมากเลยค่ะพี่สำหรับคำแนะนำ และกำลังใจ
    ปรกติแอนจะทำสังฆทานทุกอาทิตย์ เคยชวนแม่แต่แม่ก้อจะ
    ไม่ค่อยไป จนช่วงหลังแม่เห็นแอนไปเป็นประจำไม่เคยหยุด
    ช่วงหลังแม่ก้อเริ่มไปตามแอนบ้างแล้ว ถึงแม้จะไม่บ่อย
    แต่แอนก้อดีใจ ที่แม่เริ่มทำบ้างแล้ว แล้วแอนก้อพยายามพูดให้แม่ปลง
    ประมาณว่ามันคงเป็นเวรกรรมที่เราเคยทำเค้าไว้ เราต้องชดใช้
    แต่เราคงไม่ทุกข์อย่างไปตลอดชีวิตหรอกแม่
     
  19. เลิฟริว

    เลิฟริว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +207
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากเลยค่ะ
    ยังงัยแอนจะค่อยๆใช้สติในการแก้ปัญหา
     
  20. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    คุณแอนเป็นอย่างไรบ้างคะ ลืมเข้ามาบอกว่า หายทุกข์หลายวันแล้วค่ะ หลั่นล้าไปแล้ว
    ยิ่งคำตอบนี้ ถูกใจมากค่ะ



    อ่านเรื่องคุณแอนแล้ว ทุกข์เพราะความคิด คุณแอนคะ เราทุกข์ทั้งจากกรรมที่เคยทำมา (ทำเยอะไปหน่อย :'() ป่วยหนักๆ เป็น 15 ปีมั้ง (ทุกวันนี้ยังต้องกินยาอยู่รวม 20กว่าปีแล้ว ไปไหน มีแต่คนตราหน้า ว่าเป็นพวกกรรมหนัก ตัวถ่วง ภาระ ฯลฯ ) หากวันไหนกรรมบางลงแล้ว วิบากก็ยังคงอยู่ทั้งชาตินี้ หมอให้ทานยาตลอดชีวิต ทำให้ทำอะไรๆ ลำบากข้อยกเว้นก็มากกว่าคนอื่น ปฎิบัติก็ยากกว่าคนอื่นเขา ฯลฯ

    เรายังผ่านมาได้เลยค่ะ ปกติเราจะอยู่บอร์ดอื่น เพื่อให้กำลังใจคนที่เคยทุกข์มาเหมือนเรา ว่า ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ

    ลืมบอกว่า วันที่ตอบคุณแอนว่าเราทุกข์จนนั่งสมาธิไม่ได้ นั่นทุกข์เพราะความคิดตัวเองค่ะ สุดท้าย ไม่มีอะไรในกอไผ่ คิดไปเองทั้งนั้น..... (ขำและฮาค่ะ ถ้าจะเล่าต้องหลังไมค์ เพราะหน้าแตกค่ะ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...