ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tidti2005, 25 สิงหาคม 2011.

  1. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    มาขอเช่าจริงๆครับ เพราะกฎของผู้เขียนมีอยู่ว่า การมาขอต้องมีสิ่งของมาใส่ครับ เช่นผะอบ หรือพานมารองรับ มิใช่ใส่ถุงกระดาษหรือถุงหูหิ้วนำกลับไปครับ เพราะสิ่งที่ผู้เขียนมอบให้ถือว่าเป็นของสูงสำหรับผู้เขียน จึงมีความศรัทธาอย่างมาก ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะให้ใครหรอกครับ แต่ที่ให้ก็เพื่อแบ่งๆกันไป เรื่องเงินคงไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ สำหรับบุคคลที่มีอุปกรณ์ดังกล่าวมาใส่ ไม่คิดเงินหรือสิ่งใดๆทั้งสิ้น แต่ที่ผ่านมา เดินมาแต่ตัว ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องคิดเงินค่าผะอบ ซึ่งก็ไม่กี่ร้อยบาท หรือจะไปซื้อมาใส่เองก็ไม่ได้บังคับครับ ไม่ได้แจกให้ใครเพื่อต้องการเงินหรือสิ่งของครับ เพราะคิดว่า สิ่งเล็กน้อยแค่นี้ หากว่าเสียสละไม่ได้ ก็ไม่สมควรนำไปบูชาครับ

    จึงขอชี้แจงมาเพื่อความเข้าใจครับ แต่ปัจจุบันก็ไม่ได้แจกให้ใครแล้วครับ จะแจกเฉพาะพระที่รู้จักหรือสนิทกันที่มาขอเพื่อนำไปบูชาที่วัดอย่างเดียวครับ เพราะจากการที่ได้พูดคุยปรึกษากับภรรยาของผู้เขียนถึงปัญหาที่ตามมาต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา จึงระงับการแจกให้กับคนทั่วไป เพื่อขจัดปัญหาที่อาจจะตามมาดังที่เล่าให้ฟังในกระทู้ก่อนๆครับผม

    ขอบคุณมากครับที่โพสมาท้วงติงครับผม

    อนุโมทนาครับ

    ภควัณตัง​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2013
  2. ริมฝั่งของ

    ริมฝั่งของ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณในข้อมูลมากครับ ..โมทนาสาธุ ด้วยครับ
     
  3. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    อันว่าเรื่องขององค์พระธาตุ ผู้เขียนจึงขอรวบรัดตัดความ จะขอโพส (เขียน) อีกสัก 1 เรื่อง ซึ่งขอเป็นตอนจบแล้วกันนะครับ เพื่อจะได้ต่อกระทู้(เล่า)เรื่องอื่นบ้าง แต่ความจริงนั้น ยังมีเนื้อเรื่องโพสเกี่ยวกับองค์พระธาตุตามที่ได้บันทึกไว้ในสมุดบันทึก ที่น่าสนใจอีกหลายตอน แต่เกรงว่าคนอ่านจะเบื่อกันซะก่อนครับ เพราะบางเรื่องก็ไม่น่าสนุกซักเท่าไหร่ ก็แล้วแต่เหตุการณ์พาไป ซึ่งตัวผู้เขียนขอยอมรับว่า ในช่วงที่องค์พระธาตุท่านเสด็จมาในครั้งแรกๆนั้น ด้วยความดีใจและปลาบปลื้มใจ ใครมาขอก็แจกๆให้ไป ด้วยความยินดีปรีย์ดา เพื่อจะได้ให้ผู้อื่นที่ไม่มี ได้มีไว้เพื่อสักการบูชา

    โดยที่ผู้เขียนคิดอย่างเดียวว่า ในเมื่อเราได้มีโอกาสได้ไว้ครอบครอง เผื่อคนอื่นที่อยากได้แต่ไม่มีโอกาส จะได้มีเอาไว้สักการะบ้าง เพื่อความเป็นศิริมงคลโดยทั่วกัน โดยที่ไม่คิดหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดทดแทน มิหนำซ้ำบางรายยังจะต้องช่วยเหลืออีกในบางอย่าง เช่น เดินทางมาขอ แต่เงินที่จะซื้อผอบแก้วเพื่อที่จะใส่องค์พระธาตุก็ไม่มีมาให้ ผู้เขียนก็ต้องออกไปซื้อที่ตลาดมาใส่ให้ โดยที่ต้องออกเงินเอง น้อยรายก็ไม่เป็นไร ถือว่าทำบุญให้ไป แต่นานวันเข้า เริ่มหลายรายเข้า ตัวผู้เขียนเองก็เริ่มไม่ไหว แม้จะเป็นเงินไม่กี่ร้อยบาทต่อ 1 อันก็จริง แต่เมื่อโดนหลาย 10 อัน ก็เริ่มจะไม่ไหวครับ

    และต้องใช้ดอกมะลิเพื่อจะเอาไว้รองเพื่อโมทนารับองค์พระธาตุไป ก็ไม่มีมาให้ ผู้เขียนต้องเดินออกไปเก็บข้างบ้านมาให้(ข้างบ้านปลูกไว้4-5ต้น) หรือหนักหน่อย ข้างบ้านออกดอกไม่ทัน บางทีก็ต้องเสียสละออกไปซื้อมา เรื่องเงินที่จะกลับไปเก็บคงไม่ต้องพูดถึง อุปกรณ์ใส่ยังไม่มีเงินให้มาเลยครับ บ่อยครั้งเข้า ผู้เขียนก็เริ่มเกรงใจภรรยาอยู่เหมือนกัน เพราะเงินส่วนหนึ่งต้องเจียดเอาไปเป็นค่าอุปกรณ์ที่ต้องซื้อมาเตรียมไว้ใส่ให้คนมาขอองค์พระธาตุ แทนที่จะเก็บเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว แต่เธอไม่พูดให้เสียน้ำใจเท่านั้นเองครับ

    ที่หนักหน่อยก็คือ ตอนมานั่งรถมอเตอร์ไซด์วินมา ตอนกลับผู้เขียนต้องขับรถออกไปส่งที่คิวรถอีกแน่ะ บางครั้งแจกหลายราย ก็ต้องออกไปส่งหลายรอบ เพราะมาไม่พร้อมกัน บางคนดีหน่อยมีรถมาก็ไม่ต้องเดือดร้อน แต่บางรายเดินมา ก็อดเวทนาไม่ได้ เดินเข้าเดินออกบ้านหลายรอบ บางทีกลับจากทำงานมา แทนที่จะได้พักผ่อน ก็ไม่ต้องเป็นอันทำอะไร วุ่นอยู่กับคนมาขอองค์พระธาตุอยู่นั่นแหละ บางทีจนมืดค่ำเพราะข่าวลือเหมือนไฟไหม้ฟาง วันๆคนมารอรับองค์พระธาตุ บางวันมานั่งรอนับสิบคน(ขณะที่ผู้เขียนยังไม่กลับจากที่ทำงาน) หน้าบ้านเหมือนมีงานบุญ รถจอดกันเป็นแถวยาว จนคนรอบๆหมู่บ้าน เริ่มมาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้อธิบายบอกไป บางคนเข้าใจก็ดี แต่บางคนไม่เข้าใจหรือไม่ศรัทธา ก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจเพราะไปสร้างความรำคาญให้เขา เพราะเข้าออกซอยลำบาก บางทีคนที่มาก็ไปจอดรถปิดทางหน้าบ้านเขา มากและบ่อยเข้า ตัวผู้เขียนก็เริ่มเวทนาตัวเองว่า เฮ้อ...............ไม่น่าเลยเรา ไม่ทราบว่าคิดถูกหรือคิดผิด

    แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความศรัทธาและสบายใจ และรักษาน้ำใจที่อุตส่าห์เดินทางมา บางคนมาจากที่ไกลๆหรือต่างจังหวัดก็มีมา อาจจะเป็นเครือญาติที่ได้ไปแล้วบอกต่อๆกันมา ก็ไม่เป็นไร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ต่างๆบ่อยๆนั่นแหละ จึงค่อยซาๆไป

    ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้เป็นดั่งใจนึกเราไปเสียทุกครั้ง ด้วยความไม่รู้ อาจจะกระทำไปโดยไม่ตั้งใจ จนเป็นเหตุให้ตัวผู้เขียนเองรู้สึกสะเทือนใจในเหตุการณ์หลายครั้งหลายหน กับเหตุการณ์แปลกๆที่ตามมา จากคนที่ขอไปบูชา ส่วนคนที่ได้ไปแล้วชีวิตครอบครัวดีขึ้น มีโชคมีลาภก็มีไม่น้อย ผู้เขียนจึงไม่ขอเล่าในส่วนที่ดีแล้วกัน เพราะจะกลายเป็นอวดอ้างพุทธานุภาพกันไป จึงเล่าแต่ในส่วนที่ไม่ค่อยดีแล้วกัน ซึ่งก็มีจำนวนไม่มากนัก แต่ความรู้สึกที่ได้รับรู้มันไม่ดีนั่นเอง ดังตัวอย่างบางเรื่องที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วนั่นเองครับ

    ภควัณตัง​
     
  4. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    ไหนๆเราก็คุยถึงเรื่องความศรัทธากันแล้ว ก่อนที่จะขึ้นต่อเรื่องใหม่ ผู้เขียนจึงขอโอกาสเล่าถึงเรื่องความศรัทธาอีกสักนิดหนึ่งต่อแล้วกันนะครับ

    บางครั้งการศรัทธาของคนเราก็อยู่เหนือความคิดรู้สึกถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง จึงทำให้เป็นโอกาสหรือเป็นช่องทางหารับประทานของคนอีกจำพวกหนึ่ง แอบหากินบนความศรัทธาของเรานี่เอง ที่เขียนขึ้นมานี้ มิได้มีเจตนาโจมตีหรือให้ร้ายหรืออิจฉาใครนะครับ ที่เขาดีๆก็อาจจะมี เพราะอาจจะเป็นอาชีพๆหนึ่งที่ทำมาหากินของเขา แต่จะบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังเท่านั้นว่าการที่จะศรัทธาสิ่งใด ก็ควรใช้ความพินิจพิจารณากันบ้าง ไม่ใช่ตั้งหน้าศรัทธากันอย่างเดียว ลืมคิดหรือลืมพินิจพิจารณา ส่วนใครที่ศรัทธาอยู่ ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่บอกกล่าวเล่าสู่กันฟังเท่านั้น เพราะเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน อยู่ที่ความศรัทธาของใครของมัน มันบังคับกันไม่ได้

    เมื่อไม่นานมานี้ตัวผู้เขียนเองได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านๆหนึ่งที่อยู่ในกรุงเทพ อยู่ในซอยค่อนข้างลึก ที่ได้ไปก็เพราะคนข้างๆบ้านเขาขอเช่ารถผู้เขียนไป และเติมน้ำมันให้ ผู้เขียนก็เออ...เห็นว่าเป็นคนข้างบ้าน บ้านใกล้เรือนเคียงกัน อันไหนที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ช่วยๆกันไป

    อันว่าบ้านหลังนี้มีคนๆหนึ่งที่บอกว่าเป็นร่างทรงที่อ้างว่ามีองค์เทพลงมาเข้าทรง เพื่อโปรดคนที่มีจิตศรัทธาให้เช่าบูชาวัตถุมงคล เพื่อนำไปบูชา ตามที่อ้างว่าบูชาแล้วจะทำให้ชีวิตดีขึ้น รวยขึ้น แก้โน่นแก้นี่ได้ จะได้เหมือนกับร่างทรงที่มีฐานะดีขึ้นนั่นเอง ราคามีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสน (ร่างทรงจะไม่รวยได้ยังไงล่ะ แต่ร่างทรงก็บอกว่าตัวเองรวยอยู่แล้ว) ตามที่เห็นคือมีคนไปหาเยอะระดับหนึ่ง จากการที่ถามคนขายล็อตเตอรี่แถวนั้นบอกว่า ยิ่งวันเสาร์หรืออาทิตย์คนจะเยอะกว่าปกติ แต่มาระยะช่วงหลังๆมานี้คนมาไม่ค่อยมามากนักอาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจหรือเสื่อมศรัทธาก็ไม่รู้ เลยทำให้ล็อตเตอรี่ที่เคยขายดีก็พลอยให้ขายไม่ค่อยดีไปด้วย ไม่เหมือนก่อนหน้านั้นที่จะขายดีมาก และที่นี่จะรับดูดวงด้วย (ผู้เขียนเข้าไปส่งแล้วออกมาสังเกตการณ์ด้านนอก เพราะด้านในไม่มีที่นั่งพัก เป็นทาวน์เฮ้าแคบๆห้องเดียว)

    จากคำบอกเล่าทราบว่า เมื่อก่อนๆหน้านั้น จะมีคนมากกว่านี้อีก มีทั้งระดับนายตำรวจจนถึงระดับคุณหญิงคุณนายก็พากันมา รวมถึงประชาชนทั่วไป ที่มาเพราะเกิดความศรัทธาแล้วได้ยินชื่อเสียงว่าดี ว่าแม่น อะไรพวกนั้นแหละ ก็ไม่ทราบว่าศรัทธาในร่างทรงหรือวัตถุมงคลที่ขายให้ แต่ตามที่ผู้เขียนสังเกตดู แล้วคิดในใจว่า แล้วความศรัทธาของคนเรามันอยู่ที่ตรงไหน ศรัทธาจากวัตถุที่นำมาให้บูชา ศรัทธาจากความเชื่อหรือบอกต่อๆกันมา ศรัทธาเพราะการทำนายทายทักอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติหรืออนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เราก็เชื่อตามอย่างนั้นหรือ ศรัทธาเพราะร่างทรงบอกให้เสียเงินเพื่อบูชาวัตถุมงคลที่บอกว่าจะดีแก่ตัวเอง ดีกับครอบครัว ความศรัทธาดังกล่าวจะเชื่อได้อย่างไรว่าทำตามแล้วจะดีขึ้นตามที่บอก เรื่องแบบนี้จะดีหรือไม่ มันคงไม่ได้อยู่ที่วัตถุมงคลอย่างเดียวกระมัง มันต้องมีสิ่งอื่นเป็นหลักมิใช่หรือ แล้วคนที่เสียเงินเช่าไป 10 คน มันจะดีทั้ง 10 คนเลยเหรอ บุญ ทาน บารมี ไม่ไปทำกัน สิ่งที่บูชาไป จะบันดาลให้หรือ ผู้เขียนคิดว่า มันคงไม่ได้อยู่ในสิ่งที่นำไปบูชาทั้งหมดหรอก ทำไมร่างทรงไม่บอกล่ะว่า เมื่อเสียเงินเช่าไปแล้ว ก็เอาไปปั้มหรือก็อบออกมาขายนะ อันนี้ผู้เขียนว่า คงจะรวยแน่ แต่เอาไปตั้งบูชาอย่างเดียว ไม่แน่ใจว่าจะดีเหมือนอย่างร่างทรงแนะนำไปให้หรือเปล่านะ ก็คงจะแล้วแต่บุญแต่กรรมใคร

    บางทีความศรัทธาของคนเราก็พูดยาก อยู่ที่การใช้วิจารณญานของแต่ละคนว่าสมควรที่จะศรัทธามากน้อยแค่ไหน บางคนลุ่มหลงศรัทธาจนลืมนึกถึงหลักความเป็นจริงก็มีไม่น้อย ก็ในเมื่อร่างทรงบอกว่ารวยแล้ว มีธุรกิจเป็นหลายร้อยหลายพันล้าน และต้องการทำบุญทำกุศล ก็ทำไมไม่สั่งทำแจกให้คนที่ศรัทธาไปฟรีๆล่ะ จะมาให้เช่าซื้อเสียเงินไปบูชากันทำไม แล้วสิ่งที่ให้บูชาไปร่างทรงบางครั้งเจิมเอง เสกเอง แล้วบอกว่าเทพเป็นคนเสกให้ ผู้เขียนก็งงว่า เออแฮะ......คนก็ยังหลงเชื่อศรัทธากันอยู่อีก หากินกันง่ายๆอย่างนี้เหรอ

    ตามความคิดของผู้เขียนเองจากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา ผู้เขียนคิดว่า เมื่อแรกๆนั้น ร่างทรงนี้อาจจะทรงจริง มีอิทธิฤทธิ์จริง แต่คงไม่ใช่เทพอะไรที่กล่าวอ้างหรอก อาจจะเป็นโอปาติกะแถวนั้นแหละมาลงทรง เพื่อกินของเซ่นของไหว้ และพอจะมีฤทธิ์บ้าง แต่นับวันคงจะเริ่มเสื่อมถอยไปตามกาลเวลานั่นเอง เพราะของแบบนี้ ตัวร่างทรงเองต้องรักษาศีล หมั่นเจริญในศีล ภาวนาด้วย แต่เท่าที่ดูจะกลายเป็นการที่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องกิเลศมากไปนั่นเอง ซึ่งนับวันก็จะเสื่อมลงๆ เพราะอะไร ก็เพราะมีเรื่องเงินๆทองๆเข้ามาข้องเกี่ยวข้องนั่นเอง สิ่งที่มาลงทรงก็เพลิดเพลินไม่ได้บำเพ็ญบารมีหรือช่วยเหลือใคร ตัวคนทรงเองก็เพลินกับการนั่งนับเงินหรือหายใจเข้าออกเป็นเงิน แทนที่จะช่วยเหลือคนโดยบริสุทธิ์ใจ

    เมื่อเรื่องแบบนี้เข้ามาเกี่ยว การเสื่อมของญาน(ถ้ามีนะ)ย่อมตามมา จากที่เคยเชี่ยวชาญมีบารมีกลับกลายเป็นว่า เริ่มดำน้ำส่งเดช เพราะเคยเห็นมามากต่อมาก แรกๆดี แต่ไปๆมาๆเริ่มมั่วแล้ว เมื่อการศรัทธาของคนไม่เสื่อมคลาย ก็ยังยึดติดว่ายังดีเหมือนเดิมอยู่นั่นแหละ ก็เหมือนไปนั่งไหว้กล้วยออกลูกเป็นพยานาค นั่งกราบไหว้จอมปลวกนั่นเอง ก็เพราะความศรัทธาโดยไม่นึกเฉลียวใจของบางคนนั่นเองครับ

    ผู้เขียนเคยต่อว่าคนที่นั่งไหว้จอมปลวกแถวบ้านว่า ปลวกมันมาขึ้นบ้าน มันมาทำให้บ้านพัง ยังจะไปนั่งไหว้มันอีกหรือ ก็ได้รับคำตอบมาว่า ไม่ศรัทธาก็ไม่ต้องมาว่า เรื่องอย่างนี้ ไม่เชื่อก็อย่ามาลบหลู่(เล่นคำฮิตซะด้วย) เดี๋ยวเจ้าพ่อจอมปลวกทรงโกรธ ไปเล่นงานเอ็งแน่ ไม่รู้เรื่องแล้วอย่ามาพูดให้เสียหาย ผู้เขียนก็หยุดนึกในใจว่า ขืนเจ้าพ่อจอมปลวกมาเล่นงานเรา คงต้องเจอน้ำยาราดปลวกแน่ๆ ดูซิว่าเจ้าพ่อจอมปลวกจะสู้น้ำยาราดปลวกได้ไม๊ แต่คิดเฉยๆนะ ไม่ได้บอกออกไป กลัวโดนรุมน่ะ เพราะที่นั่งไหว้มันมีหลายคน

    ภควัณตัง​
     
  5. udorn

    udorn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +19
    ผมชอบเรื่องที่คุณภควัณตังไปพบอดีตภรรยาที่อยู่อีกภพน่ะครับ อยากรู้เรื่องต่างภพ ต่างมิติมีมาเล่าไหมครับ ขอบคุณครับ:cool:
     
  6. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    หากเป็นแฟนพันธุ์แท้ ต้องรออ่านนะครับ มีหลายตอนในสมุดบันทึกครับ ยังไม่ได้เอาลงคอมส์ครับ ก็จะทะยอยนำลงให้อ่านกันในโอกาศต่อๆไปนะครับ ช่วงนี้งานราษฎร งานหลวงเข้ามาเพียบครับ ของเก่าในสมุดบันทึกยังไม่ได้พิมพ์ลงเลย ของใหม่ยังมีอีกหลายเล่มครับผม ถ้านำเอาไปพิมพ์ขายคงจะได้หลายเล่มครับ แต่ที่นี่ อ่านฟรีครับผม แต่ต้องรอเพื่อจะทะยอยนำลงให้อ่านกันครับ

    ภควัณตัง​
     
  7. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    วันนี้วันพระ จึงขออนุญาตจากญาติธรรมงดโพส 1 วันครับ เพื่อเจริญสมาธิภาวนาครับ ขอขอบคุณทุกโพสครับผม

    ภควัณตัง ​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • buddha-033.jpg
      buddha-033.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.5 KB
      เปิดดู:
      77
  8. narit46

    narit46 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +6
    อนุโมทนา สาธุ ครับ ชอบมากครับ อ่านแล้วได้ข้อคิดดี ครับ
     
  9. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    แม่ชีนิรนาม​


    บ่าย 3 โมงวันหนึ่งเป็นวันหยุดของผู้เขียน จึงนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน ปรากฏว่ามีแม่ชีท่านหนึ่งเดินตรงมาหาผู้เขียน แล้วถามว่า

    “บ้านนี้ใช่ไหม ที่มีข่าวว่าแจกองค์พระธาตุ”

    ผู้เขียนพยักหน้ารับอย่าง งงๆ เพราะแม่ชีท่านนี้เท่าที่จำได้ ผู้เขียนไม่เคยเห็นหน้าและรู้จักมาก่อน แล้วจะทราบหรือมาถูกบ้านได้ยังไง แต่ผู้เขียนก็คิดว่า อาจจะมีคนบอกต่อมาก็เป็นได้ จึงไม่ตอบว่าอะไร

    หลังจากนั้นผู้เขียนจึงเชิญแม่ชีท่านนี้นั่งพัก แล้วนำน้ำมาถวายให้ เพราะเห็นเดินมาร้อน สังเกตจากใบหน้าที่มีเหงื่ออยู่เต็มหน้า

    ซึ่งหลังจากแม่ชีท่านนี้นั่งพักและทานน้ำแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าพักผ่อนพอแล้ว จึงถามขึ้นว่า

    “ไม่ทราบว่า แม่ชีทราบได้อย่างไรครับว่าที่นี่แจกพระธาตุ หรือมีใครบอกมาครับ”

    “หลวงปู่บอกมาจ๊ะ ให้มาขอ”

    แกตอบแค่นั้น

    “เอ้อ............หลวงปู่ที่ไหนครับ ที่บอกมา” ผู้เขียนถามต่อ

    “หลวงปู่ที่เขาสอยดาว ที่จันทบุรีน่ะ ที่บอกให้แม่มาขอพระธาตุน่ะ อุบาสก” แม่ชีเรียกแทนผู้เขียนว่าอุบาสก

    ตามที่ผู้เขียนได้เคยแจกองค์พระธาตุไป แต่เท่าที่จำได้นั้น วัดทางเขาสอยดาว ยังไม่เคยมีหลวงปู่ที่ไหน มาขอองค์พระธาตุไปเลย จึงทำให้ผู้เขียน งง อีกครั้ง จึงถามต่อไปว่า

    “เอ.............เท่าที่จำได้นะครับ วัดทางเขาสอยดาวที่จันทบุรี ผมยังไม่เคยแจกให้ใครไปเลยนะครับ ไม่ทราบว่า หลวงปู่ที่ว่านี้ อยู่ที่วัดไหนครับ หรือว่าอยู่ที่วัดอำเภอเขาสอยดาวครับ”

    “หลวงปู่ท่านไม่ได้อยู่ที่วัดหรอกอุบาสก หลวงปู่อยู่ในถ้ำข้างบนยอดเขาสอยดาวน่ะ” แม่ชีตอบ

    “อ้าว เหรอครับ แล้วไม่ทราบว่าหลวงปู่ท่านทราบได้อย่างไรครับว่า ที่บ้านผมมีแจกน่ะ”

    “ท่านรู้ของแกแล้วกันนะอุบาสก อย่าถามอีกเลยเพราะทางมันไกล เมื่อได้แล้ว แม่จะได้รีบกลับ ท่านรู้เลยบอกให้แม่ เดินทางมาขอจากอุบาสกน่ะ”

    “ อ้อ........ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรครับ ด้วยความยินดีและขออนุโมทนาครับ เดี๋ยวผมขอจัดให้แล้วกันนะครับ”

    เมื่อถูกตัดบทอย่างนั้นผู้เขียนจึงเดินเข้าไปในบ้าน เพื่ออาราธนาขอองค์พระธาตุจากบนหิ้ง เพื่อนำไปให้แม่ชีที่ว่านี้ ตามที่ได้กล่าวขอเอาไว้ หลังจากยื่นองค์พระธาตุให้แล้วผู้เขียนรู้สึกว่าตัวแม่ชีนี้จะมีความดีใจเป็นพิเศษ ให้ศีลให้พรผู้เขียนมือไม้ที่ประคององค์พระธาตุสั่นเลย คงจะด้วยความดีใจ แล้วกำชับกำชาผู้เขียนว่า ขอให้แจกให้คนที่เลื่อมใสศรัทธามากๆนะ เพราะเป็นของหายาก ไม่เหมือนที่อื่นที่เคยเห็นมา ระหว่างนั้น ผู้เขียนจึงชวนคุยต่อว่า


    มีต่อครับ

    ภควัณตัง​
     
  10. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    “เอ้อ........ไม่ทราบว่าแม่ชีชื่ออะไรครับ เผื่อผมมีโอกาสผ่านไปทางจันทบุรี ผมจะได้เข้าไปเที่ยวหาน่ะครับ”

    “แม่ชื่อว่าปทุมทิพย์จ๊ะ คงจะไม่ค่อยสะดวกหรอกจ๊ะ เพราะแม่อยู่ในถ้ำกับหลวงปู่ บนยอดเขาสอยดาวน่ะ มีแต่ป่าทึบ ขึ้นลงลำบาก ถนนขึ้นไปก็ยังไม่มี ต้องเดินลัดป่าขึ้นไปจ๊ะ เอาไว้เมื่อแม่มีโอกาส แม่จะแวะมาเยี่ยมหาแล้วกันนะ แม่ก็คงจะขอตัวกลับก่อน เพราะเดี๋ยวมืดค่ำกลางทางจ๊ะ”

    เมื่อบอกอย่างนั้น ผู้เขียนจึงลุกขึ้น ทำท่าจะไปเอารถเพื่อจะออกไปส่งที่คิวรถในเมือง ตัวแม่ชีเมื่อเห็นผู้เขียนทำท่าจะไปส่งจึงบอกว่า

    “อุบาสก ไม่ต้องไปส่งแม่หรอกจ๊ะ เดี๋ยวแม่เดินไปเอง นั่งพักผ่อนต่อเถอะนะ”

    ผู้เขียนจึงตอบว่า

    “ให้ผมไปส่งเถอะครับ กลัวจะมืดซะก่อนที่จะถึงจันทร์น่ะครับ นี่ก็บ่าย 5 โมงแล้ว ยังต้องขึ้นไปบนเขาอีก กลัวว่าจะมืดซะก่อนนาครับ”

    “ไม่เป็นไรหรอกอุบาสก ยังไม่ทันมืดหรอก เดี๋ยวแม่ก็ถึง”พร้อมทั้งยิ้มให้ ก่อนรีบเดินดุ่มๆไป

    ตัวผู้เขียนก็คิดตาม ระยะทางจากระยองไปจันทบุรี อย่างเร็วสุดน่าจะใช้เวลาเกือบๆ2ชั่วโมง สำหรับรถโดยสารที่ไม่ใช่รถส่วนตัว เพราะกว่ารถจะออกจากท่า แล้วตัวแม่ชีบอกว่า ถึงยังไม่ทันมืดได้ยังไง เพราะยังจะต้องเดินขึ้นเขา ตามที่แกบอกอีก คิดไปก็ขำๆในใจ ว่าเราเพี้ยนหรือว่าแม่ชีแกคำนวณระยะทางผิดกันแน่ แล้วก็นึกต่อไปว่า บนยอดเขาสอยดาว มีวัดอยู่บนนั้นด้วยเหรอ หรือมีวัดสร้างใหม่ ก็ไม่ได้คิดเอะใจอะไร

    เวลาผ่านไปเดือนเศษ ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปทำธุระที่จันทบุรี จึงได้สอบถามคนที่รู้จักและตัวแกอยู่ทางแถบอำเภอสอยดาว ที่จันทบุรีว่า

    “พี่พอจะทราบไม๊ว่า บนยอดเขาสอยดาว มีวัดชื่อว่าวัดอะไร หรือมีวัดที่พึ่งสร้างใหม่ และบนวัดมีถ้ำด้วยน่ะ พอทราบไม๊ครับ”

    คำตอบที่ได้มาคือ มีแต่วัดเขาสอยดาวเหมือนกัน แต่วัดอยู่ด้านล่าง ไม่ได้อยู่บนยอดเขา และไม่มีถ้ำ ส่วนบนยอดเขาเท่าที่รู้ ไม่มีวัดอะไรขึ้นไปสร้าง และเมื่อผู้เขียนถามถึงชื่อแม่ชี ก็ไม่มีคนรู้จักเช่นกัน

    จึงเป็นที่มาของเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ยังหาคำตอบตัวเองไม่ได้ว่า แม่ชีปทุมทิพย์ที่มาหาคือใคร อยู่ที่ไหนกันแน่ และหลวงปู่ที่บอกว่าอยู่ในถ้ำบนยอดเขาสอยดาว อยู่ตรงไหน ทำไมคนที่นั่นไม่มีใครทราบหรือรู้จักมาก่อน จึงไม่รู้ว่าจะสรุปอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ก็คงต้องอ้างเหตุของปัจจัตตัง คือรู้เฉพาะตน ไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ เหมือนกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมา

    ภควัณตัง​
     
  11. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    เรื่องเล่าจากวังน้ำเขียว​


    อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เชื่อว่าหลายๆคนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีหรืออาจจะเคยไปพักหรือไปเที่ยว ส่วนตัวผู้เขียนเองระยะหลังมานี้ก็เคยไปพักหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยจะซ้ำที่นัก ทำไมน่ะหรือ ลองอ่านตัวอย่างของเรื่องนี้แล้วกัน บางที่พักสบายแต่บางที่อาจจะสยองนิดๆ หากว่าไม่ถูกที่ถูกทาง ที่นี่เขาบอกว่าเรื่องโอโซนเป็นอันดับ 1หรือ2 ผู้เขียนก็จำไม่ค่อยได้ เอาเป็นว่ามีกลิ่นไอของโอโซนบรรยากาศดีก็แล้วกัน

    เมื่อประมาณปี 53 ช่วงใกล้ปลายปี(ประมาณธันวาคมตามวันที่บนรูป) หลังจากนัดแนะกับบรรดาญาติๆ เพื่อจะขอหยุดพักผ่อนจากงานประจำ เพื่อเดินทางท่องเที่ยวช่วงปลายๆปี ก็จะเป็นอย่างนี้กันทุกๆปี(ปกติครอบครัวผู้เขียนและบรรดาญาติๆปีหนึ่งๆจะหาโอกาสเดินทางท่องเที่ยวกันเป็นประจำแทบจะทุกปี บางครั้งช่วงปลายปี กลางปีหรือต้นปี ก็ว่ากันไป อยู่ที่ช่วงเวลาไหน ไม่ติดธุระหรือลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ บางครั้งก็ต้องนัดแนะกันให้ดี จะได้หยุดพร้อมๆกัน อย่างตัวผู้เขียนก็จะลาหยุดพักผ่อนครั้งละประมาณ3-5วัน ก็จะนัดแนะพากันออกเที่ยวนอกสถานที่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

    บางคนบอกว่า ก่อนจะเที่ยวรอเก็บเงินเก็บทองให้ได้เยอะๆก่อนถึงจะค่อยไป ซึ่งตามความคิดของผู้เขียนกลับคิดอีกอย่างคือ การที่คนเราหวังจะคอยเก็บเงินให้ได้เยอะๆแล้วค่อยไปนั้น โอกาศที่จะได้ไปนั้นอาจจะสมหวังซักไม่เกิน10-20% เพราะอะไรเหรอครับ ก็เพราะเมื่อสามารถเก็บเงินได้ซักก้อน ก็ต้องมีเรื่องจะต้องใช้จ่ายอีก การจะเอาเงินก้อนไปท่องเที่ยวนั้นโอกาสแทบจะเป็นไปได้ยาก บางคนเริ่มต้นเก็บเงินเพื่อการท่องเที่ยวเอาไว้หวังไปเที่ยวในตอนแก่ แต่เชื่อไม๊ว่า พอแก่ไปไหนไม่รอด จะเดินเหินก็ลำบาก การที่คิดจะไปท่องเที่ยวนั้นจึงยากเต็มทน ถึงไปก็คงไม่สนุก กลับกลายต้องไปเป็นภาระกับผู้อื่นอีก ทั้งชีวิตก็เลยไม่ต้องไปไหน ต้องนอนรออยู่กับบ้าน

    มาคิดได้อีกทีมันก็สายเกินไปเสียแล้ว การไปท่องเที่ยวนั้นไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเยอะแยะก็สามารถไปได้ หากเราเที่ยวอย่างมีสติ ไม่ฟุ้งเฟ้อ เที่ยวแบบพอเพียง คือมีกำลังทรัพย์แค่ไหนก็เที่ยวแค่นั้น หรืออาจจะไปแบบครอบครัวใหญ่อย่างผู้เขียน ก็ไม่ได้สิ้นเปลืองเงินทองมากมายนัก เพราะส่วนมากก็จะแชร์กันออก ทั้งเรื่องที่พัก เรื่องอาหารการกิน บางครั้งคิดว่าน่าจะหมดเยอะ แต่เมื่อเฉลี่ยกันออกแล้ว หมดแค่ไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องมีเงินมากถึงค่อยไปเที่ยว ก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลแล้วกัน อยู่บ้านตังส์ก็ไม่เสีย

    ซึ่งในครั้งที่ผู้เขียนเดินทางในครั้งนี้บรรยากาศเหมือนเปิดโอกาสให้ ระหว่างที่ไปรีสอร์ทต่างๆที่เข้าไปสำรวจค่อนข้างเงียบและว่างหลายรีสอร์ท อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ในระหว่างการตระเตรียมต้อนรับของบรรดารีสอร์ท ซึ่งคาดว่าอีกไม่น่าเกินวันสองวัน คนก็จะแห่กันมาเที่ยวค่อนข้างมาก หรืออีกนัยหนึ่งคือ ที่ผ่านมาอาจจะมีปัญหากับทางการ เรื่องรีสอร์ทปลูกล้ำผืนป่า ก็อาจจะเป็นไปได้จึงค่อนข้างเงียบเหงาพอสมควรในช่วงที่ผู้เขียนไป

    ครอบครัวของผู้เขียนเป็นลักษณะที่ไปกันหลายคน ทั้งเด็กและคนโตก็ประมาณ 12-13 ชีวิต การที่จะพักรีสอร์ทที่มีขนาดห้องพักเล็กๆ ก็กลัวว่าจะเกิดความเหงากัน คือไม่อยากแยกที่นอนว่างั้นเถอะอยากพักรวมๆกัน ส่วนมากจึงอยากจะพักรวมกันทั้งหมดหากว่าเป็นไปได้ จึงพยายามหาบ้านพักที่สามารถรองรับได้หลายคนหน่อย ก็คือพยายามหาบ้านพักหลังใหญ่ พักได้ 10-12 คน โดยตั้งข้อแม้ว่า จะเช่าแค่หลังใหญ่เพียงหลังเดียว เพราะไม่อยากแยกที่นอนกันดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพื่อช่วงค่ำ จะได้สนุกสนานเฮฮากันได้เต็มที่ เพราะมีเด็กๆไปด้วย 4-5 คน จึงเป็นอันว่าต้องตะลอนหาบ้านพักกัน ค่อนข้างยากนิดหนึ่ง

    18.00 น.ใกล้มืด เจอรีสอร์ทอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งรีสอร์ทที่ว่านี้ ขับเลยเข้าไปทางวังสมบูรณ์(ขอสงวนชื่อรีสอร์ทแล้วกัน) เมื่อผู้เขียนเดินเข้าไปสอบถามกับคนดูแล(ทราบทีหลังว่าเป็นผู้จัดการรีสอร์ท) ว่ามีบ้านหลังใหญ่ๆให้เช่าไหม ตามที่ผู้เขียนตั้งใจหาไว้ ก็ได้รับคำตอบว่า

    “ไม่มีค่ะ มีแต่บ้านหลังเล็ก สามารถพักได้หลังละ2-3คนค่ะ ถ้ามาหลายคน คงอาจจะต้องเช่าหลายหลังหน่อยนะคะ”

    ผู้เขียนหันไปมองญาติๆที่มาด้วยกัน ซึ่งรอคอยคำตอบอยู่ว่าจะได้หรือเปล่า และก็ได้เดินไปอธิบายบอกตามที่คนดูแลรีสอร์ทบอกมา(ญาตินั่งคอยบนรถ)

    “เอ้อ..........ไม่มีหลังใหญ่ๆหลังเดียวเหรอครับ คือว่าเราไม่อยากพักแยกห้องกันน่ะครับ ส่วนเรื่องราคาเราไม่เกี่ยงหรอกครับ”

    ผู้เขียนถามขึ้น หลังจากเดินกลับมาอีกครั้ง คนดูแลรีสอร์ทนิ่งไปชั่วครู่ เหมือนกำลังคิดหรือตัดสินใจอะไรสักอย่าง

    “คือจริงๆแล้วก็มีนะคะ 20 คน ก็พักได้ค่ะ แต่ไม่เคยให้ใครเช่าหรอกค่ะ เพราะเป็นบ้านพักส่วนตัวของท่านเจ้าของน่ะค่ะ แต่มาระยะหลังๆมานี้ ท่านไม่ค่อยสบาย จึงไม่ค่อยได้มาพักค่ะ อีกอย่างท่านอยู่กรุงเทพ จึงเดินทางมาไกล สุขภาพท่านไม่ค่อยดีน่ะค่ะ ยังไงแล้วขออนุญาตโทรไปสอบถามท่านก่อนนะคะ ว่าจะให้เข้าพักได้หรือเปล่าค่ะ”

    ผู้เขียนรู้สึกโล่งใจ ที่จะได้ไม่ต้องตะลอนหาที่พักอีก ระหว่างนั้นคนที่ดูแลรีสอร์ท ก็เดินห่างออกไป เพื่อโทรพูดคุยอยู่กับคนที่เธออ้างว่าเป็นเจ้าของรีสอร์ทตามที่เธอบอก ใช้เวลาพูดคุยและโต้ตอบกันประมาณเกือบๆ 10 นาทีเห็นจะได้

    จนผู้เขียน จากที่โล่งใจในตอนแรก กลายเป็นเริ่มใจคอไม่ค่อยดี ว่าอาจจะไม่ได้เข้าพักหรือคงต้องหารีสอร์ทใหม่แน่ๆ เพราะดูว่าใช้เวลาคุยอยู่นานสองนาน ยังหาทีท่าสรุปยังไม่ได้ เจ้าของที่เธอบอก คงจะไม่อนุญาตให้เราเข้าพักแน่ๆ

    ผู้เขียนจึงยืนคอยอยู่อย่างนั้น ประจวบกับบรรยากาศเริ่มมืดแล้ว เสียงคนที่นั่งรอที่รถเริ่มบ่นกันพึมพำให้ได้ยินแว่วๆมา จนอดรนทนไม่ไหว จึงเดินตรงไปที่คนดูแลรีสอร์ทซึ่งกำลังโทรคุยอยู่ พร้อมกับยื่นไม้ตายพูดบอกกับเธอว่า

    “เอ้อ............น้อง บอกเจ้าของรีสอร์ทด้วยสิว่า คนที่มาพักเป็นข้าราชการอยู่ที่..............(ขอสงวนที่ทำงานครับ) จะมาขอพักแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็จะย้ายออก ยังไงแล้วขอความอนุเคราะห์ให้ด้วยแล้วกัน เพราะมืดแล้ว” ผู้เขียนพูดดังพอประมาณ เพื่อต้องการให้ คนที่กำลังคุยสายอยู่ ให้ได้ยินด้วยกัน

    คนดูแล เมื่อได้ยินผู้เขียนบอกชื่อหน่วยงาน จึงหันหน้ามาทางผู้เขียน พร้อมกับทำสีหน้าไม่เชื่อ ผู้เขียนจึงควักบัตรในกระเป๋าแล้วยื่นบัตรข้าราชการให้ดู(บัตรข้าราชการของพี่สาว) เธอจึงหันไปคุยบอกกับเจ้าของ ที่กำลังคุยสายด้วยให้ทราบ

    ผู้เขียนใช้ไม้นี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ คนดูแลหลังจากคุยอีก2-3คำก็วางสาย(ไม่ต้องรายงานมาก เพราะทางสายอีกฝ่าย คงจะได้ยินผู้เขียนบอกนั่นเอง) แล้วบอกกับผู้เขียนว่า

    “ตกลงค่ะ ท่านเจ้าของบอกให้เข้าพักได้ค่ะ ท่านบอกว่าให้พวกคุณเข้าพักตามสบายค่ะ ไม่ต้องเก็บค่าที่พักค่ะ แต่คงต้องรอสักครู่นะคะ จะให้เด็กเข้าไปดูแลจัดสถานที่ให้ค่ะ”

    ผู้เขียนก็ งง กลับกลายเป็นว่า เราได้ที่พัก พร้อมทั้งยังไม่ต้องเสียค่าเช่าอีกเหรอ อะไรมันจะฟลุ๊กขนาดนั้น(แต่ตอนเช้าตอนย้ายออก ก็ไห้ทริปเด็กที่มาจัดสถานที่ให้พอสมควรครับ)

    เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ขบวนรถของผู้เขียนก็พากันขับเข้าไปยังบ้านหลังดังกล่าว ภายในบริเวณรีสอร์ทนั่นเอง ซึ่งก็เริ่มมืดแล้ว

    สิ่งแรกที่ทุกคนลงจากรถ เมื่อมองเห็นตัวบ้านต่างก็ร้องพร้อมกันว่า

    “โอ้......โห”

    เพราะเป็นบ้านหลังใหญ่มาก คาดว่าคงจะปลูกด้วยไม้สักทั้งหลัง การที่ผู้เขียนเดินสำรวจคร่าวๆ พื้นก็ยังเป็นไม้แดงกับไม้มะค่า ด้านในบ้านใช้เสาไม้ต้นใหญ่ทั้งต้น(ซุง) ทั้งตะเคียนและมะค่า เฟอร์นิเจอร์ล้วนทำจากไม้แดงและไม้สักทอง มีห้องโถงกลางบ้านจุคนได้ไม่ต่ำกว่า10คน ชั้นล่างมีห้องนอน 5 ห้องนอน ชั้นบนมีห้องโถงเหมือนชั้นล่างแต่เล็กกว่านิดหน่อยและมีห้องนอนอีก5ห้องนอน แถมมีห้องนอนใต้หลังคาที่ยื่นไปด้านหลังอีก มีระเบียงยื่นออกไปด้านหลังครึ่งวงกลมตามตัวบ้าน สำหรับห้องน้ำ ชั้นล่างมี3ห้อง ชั้นบนมี2ห้อง มันอลังการกว่าที่ทุกคนคาดคิด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันใหญ่จริง”

    เมื่อจับจองห้องพักกันเสร็จเรียบร้อย(ผู้เขียนได้ที่นอนชั้นล่างใกล้กับโถงกลางห้อง อยู่ทางด้านปีกขวามือเมื่อมองเข้ามาภายในตัวบ้าน ซึ่งใกล้กับห้องน้ำ) ก็ถึงเวลาสารถี(ผู้ชาย)เอารถออกไปหาซื้อของกินกัน ปล่อยให้บรรดาสุภาพสตรีและเด็ก อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวกันไป

    กว่าจะเสร็จจากการนั่งกินข้าวเย็นกันก็เกือบๆ3ทุ่ม ต่างแยกย้ายกัน ใครใคร่นอนก็ไปนอน ใครไม่อยากนอนก็นั่งเล่น ดูทีวี นั่งกินเบียร์ เด็กๆก็กระโดดโลดเต้นกันที่ห้องโถงกลางจนดึก จึงค่อยๆเงียบลงๆ เพราะแยกกันไปนอน พวกที่นั่งดื่มหลังจากหมดที่ซื้อมาแล้ว ก็ต้องเก็บแรงไว้วันรุ่งขึ้น เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ ต่างก็แยกย้ายกันไปนอน

    ผู้เขียนหลังจากนั่งคุยกับญาติพอสมควร ก็ขอแยกตัวกลับเข้าห้องนอนตั้งแต่ก่อน 4 ทุ่มเล็กน้อยพร้อมกับภรรยา

    “โครม ครืด ครืด ครืด”

    ผู้เขียนมาสดุ้งตื่นตกใจอีกที เมื่อประมาณเที่ยงคืน เมื่อได้ยินเสียงดังเหมือนดังอยู่กลางห้องโถง เหมือนกับอะไรหล่นจากที่สูงลงมาบนพื้นกระดาน พร้อมกับเสียงเหมือนกับใครกำลังลากอะไรสักอย่าง แต่ด้วยความว่าอาจจะคิดไปเองหรือหูแว่วไปเอง ใครคนใดคนหนึ่งในคณะที่มาด้วยกัน อาจจะละเมอตกจากเตียงก็เป็นได้ ผู้เขียนจึงนอนเฉยเสีย แต่ก็พยายามเงี่ยหูฟังว่าเสียงอะไรแน่ จนเริ่มเคลิ้มหลับก็ต้องสดุ้งตกใจซ้ำสอง

    “โครม โครม โครม ครืด ครืด ครืด ครืด ครืด”

    ทีนี้เสียงดังติดๆกันเลย พร้อมทั้งเสียงลากดังกว่าเก่าและรู้สึกสะเทือนมาถึงเตียงที่ผู้เขียนนอนอยู่ ผู้เขียนจึงตัดสินใจลุกขึ้น หันไปมองภรรยาที่นอนข้างๆเห็นนอนเงียบอยู่ คาดว่าคงเหนื่อยจากการเดินทาง จึงหลับไม่รู้สึกอะไรเลย

    ผู้เขียนลุกขึ้นเดินออกไปที่ประตู ทำทีจะออกไปเข้าห้องน้ำ หากว่าอาจจะมีใครแกล้งเล่นอะไร เพื่อต้องการให้ตื่นลุกออกมาเป็นเพื่อนก็ได้

    เมื่อเปิดประตูออกไป ตัวผู้เขียนเองนึกแปลกใจที่ไม่เจอใครเลยในห้องโถง ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีร่องรอยหรือคนยืนอยู่ มองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติ แล้วเสียงที่ได้ยิน มันน่าจะอยู่บริเวณแถวนี้เพราะอยู่หน้าห้องผู้เขียนพอดี แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้ ผู้เขียนจึงคิดว่า ไหนๆก็เดินออกมาแล้ว ก็เดินไปเข้าห้องน้ำซะเลย จะได้ไม่ออกจากห้องมาเสียเที่ยว


    ยังมีต่อครับ

    ภควัณตัง​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤษภาคม 2013
  12. Arnna

    Arnna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +724
    รออ่านต่อคะ
     
  13. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    เมื่อขณะผู้เขียนกำลังเดินออกจากห้องน้ำ สิ่งหนึ่งที่รู้สึกสดุดใจเมื่อเหลือบตามองไปทางห้องโถงกลางคือ คล้ายๆเห็นมีเงาดำวูบหนึ่งเร็วมากวิ่งผ่านหน้าไป แต่ก็รู้สึกเฉยๆและไม่ได้ใส่ใจมากนัก คิดว่าเราตาฝาดไปเอง เพราะพึ่งออกมาจากห้องนอน ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร แต่เรื่องกลับไม่เป็นดังคิด

    ขณะที่ผู้เขียนกำลังเคลิ้มหลับ ก็ต้องสดุ้งตกใจเป็นครั้งที่ 3 เสียงโครมที่ประตูห้องนอนผู้เขียน ประตูห้องนอนเหมือนถูกแรงกระแทกจากภายนอก จากแรงกระแทกเหมือนลูกบิดประตูหลุด ทำให้ประตูเปิดอ้าออก แสงจ้าจากห้องโถงกลางสาดเข้ามาเต็มๆ(ไม่ได้ปิดไฟห้องโถงกลาง) พร้อมกับสิ่งที่ผู้เขียนเห็นเป็นสิ่งแรกคือ เงาดำผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูก โผล่พรวดเข้ามายืนจังก้าห่างจากปลายเท้าผู้เขียนที่นอนอยู่(ประตูอยู่ทางด้านปลายเท้าหรือปลายเตียงเยื้องไปทางขวามือประมาณเมตรกว่าๆ) เงาดำนั้นเมื่อโดนแสงไฟจากห้องโถงกลางสาดผ่านร่างเข้ามา ผู้เขียนรู้สึกตกตะลึงกับเงาดำนั้นที่ค่อยๆชัดขึ้น จากแสงที่สาดมาจากห้องโถงกลาง พร้อมแสยะยิ้มเห็นฟันซี่ดำๆห่างๆ ลูกตาเหมือนจะเกือบหลุดจากเบ้าตา ผมเผ้าเป็นกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกใจวูบลงอีกครั้งเมื่อร่างที่2 ที่3 ลักษณะไม่ต่างกัน วิ่งพรวดเข้ามาสมทบอีก

    ทั้ง 3 ค่อยๆเดินตรงเข้ามาทางปลายเท้าผู้เขียน ลักษณะอาการดูไม่ค่อยเป็นมิตรนัก เพราะแสดงอาการขู่คำรามเสียงแหบๆ เสียงพูดฟังไม่ออกว่าพูดว่าอะไร ออกมาจากลำคอ ยิ่งตัวที่2และ3ที่เข้ามาสมทบทีหลัง ยิ่งส่งเสียงคำรามน่ากลัว เสียงแหบพร่า พร้อมทั้งแลบลิ้นยาวออกมาจากปาก มองเห็นน้ำลายไหลยืดลงเป็นทาง ทั้งกลิ่นที่เหม็นตลบอบอวลภายในห้อง เหมือนใครเอาหมาเน่า เอามาโยนใส่ไว้ในห้องสัก 10 ตัว กลิ่นฉุนจมูกแทบจะนอนอยู่ไม่ได้

    ลักษณะอาการที่ทั้ง 3 ตัวที่แสดงออกมา สิ่งที่ผู้เขียนนึกในลำดับแรกคือ สร้อยประคำของหลวงพ่ออุตมะ ที่วางไว้บนหัวนอน เพราะเวลาผู้เขียนเดินทางไปไหนจะห้อยคอติดตัวไปด้วยตลอด เขาบอกว่า กันภูตผีปีศาจได้ชงัดนัก แต่ต้องเป็นของแท้นะ ของเทียมไม่ทราบว่ากันได้หรือเปล่า เพราะเดี๋ยวนี้มีของเทียมเยอะมาก

    เมื่อย้อนหลังไป ผู้เขียนเคยไปช่วยพี่ชายซ่อมแซมพวกโบสถ์ วิหาร เมรุ ที่ชำรุด(พี่ชายรับเหมาก่อสร้าง) บางครั้งต้องการเร่งงานให้เสร็จโดยเร็ว (เพื่อจะได้ตังส์เร็วเพราะจะได้ไปทำที่อื่นอีก) ผู้เขียนเคยนั่งเอาอิฐทนไฟ เรียงและก่อฉาบใหม่ เพื่อซ่อมเมรุที่ชำรุดอยู่ในเตาเผาเมรุ ตั้งแต่เช้าบางครั้งถึง ตี 3ตี 4 บางทีนั่งกินข้าวในเตาเผาน่ะแหละ เพราะการที่จะคลานออกมาทำให้เสียเวลาเพราะบางครั้งพี่ชายก็จะลำเลียงก้อนอิฐก้อนใหญ่ๆ(อิฐทนไฟ)ใส่ป้อนเข้ามาทางปากเตา เพื่อจะให้คนที่ทำงานอยู่ข้างในหยิบเอาไปใช้โดยง่าย ทำให้การคลานออกมาไม่สามารถออกมาได้

    คนอยู่ข้างในก็ต้องคุดคู้อยู่ในเตาจนกว่าจะเสร็จงานหรือใกล้เสร็จ ถึงจะได้ออกมาสูดอากาศข้างนอก บางครั้งในขณะรื้ออิฐเก่าที่แตกหักออก ในซอกอิฐนั้น มีแต่เถ้ากระดูกที่ป่นเป็นผง คลุ้งไปหมด เสื้อผ้าที่ใส่เข้าไปไม่ต้องพูดถึง มีแต่ขี้เถ้าของคนที่โดนเผาไปแล้ว ไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันศพ จนกว่าเมรุเผาศพจะชำรุด ถึงค่อยว่าจ้างช่างมาทำการซ่อมแซม ซึ่งบางทีก็จะมีเศษชิ้นกระดูกเป็นชิ้นๆคาอยู่ในซอกอิฐที่ชำรุด เพราะเวลาเผา เศษกระดูกที่แตกออกในขณะเผา หล่นลงไปในตะแกรงที่รองอยู่ด้านล่างไม่หมด ก็จะติดค้างอยู่ตามซอกอิฐ ผู้เขียนก็ต้องใช้มือ หรือไม้กวาดด้ามสั้นๆปัดกวาดทำความสะอาดออก เพราะจะต้องก่ออิฐแทนของเก่า เรื่องกลิ่นคงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะอุดอู้อยู่ข้างใน มีแต่กลิ่นสาปสาง เหม็นไหม้ สารพัดบรรยาย ก็จะเป็นอยู่อย่างนี้บ่อยๆ หากว่าเจอเครสเร่งด่วน ในการซ่อมเมรุหรือซ่อมเตาเผาผี

    ในครั้งแรกที่ไปช่วยทำตรงนั้น แม้เพียงระยะสั้นๆ แต่ช่วงแรกๆก็รู้สึกอดหวั่นไหวไม่ได้ เพราะบางครั้งต้องอยู่จนมืดค่ำ บางครั้งอิฐที่ใช้ทำไม่พอ พี่ชายก็จะเป็นคนออกไปซื้อที่ร้านวัสดุก่อสร้างในตัวเมือง ซึ่งร้านที่ว่านี้บางวัดที่ไปรับจ้างทำอยู่ห่างจากสถานที่ขายอิฐ 40-50 กิโลก็มี ปล่อยให้ผู้เขียนอยู่ในเตาเผาศพเพื่อทำงานต่อจนมืดค่ำหรือดึกดื่นคนเดียว ก็มีบ่อยๆ จากที่กลัวมากๆ ก็ค่อยๆชิน ตามระยะเวลา

    “ เมื่อใดที่มึงคล้องประคำหลวงพ่ออุตมะนะ มึงไม่ต้องกลัวเรื่องผีเรื่องสางทั้งนั้น ไม่มีผีห่าอะไรมาทำอันตรายมึงได้หรอก ขนาดคนผีเข้า มึงเอาสร้อยประคำไปคล้อง ผียังออกอยู่ไม่ได้เลย ไม่เชื่อเจอใครผีเข้า มึงลองเอาไปคล้องดู ถ้าผีไม่ออกกูกล้าท้าให้มาถีบกูเลย มึงจะไปกลัวอะไร ต่อให้โคตรผีอีก มึงไม่ต้องกลัว”

    พี่ชายมันบอกไว้อย่างนั้น แถมท้าพิสูจน์อีก แต่จริงๆแล้วเป็นอย่างไรผู้เขียนไม่รู้ เพราะคนเรามันไม่เคยมาก่อน ก็ต้องกลัวเป็นของธรรมดาแหละนะ จนหลายๆงานเข้า โดยไม่มีอะไรตามที่พี่ชายมันบอกจริงๆ ผู้เขียนก็เริ่มรู้สึกชินๆ แม้จะเคยเจอจังๆหลายหน แต่ด้วยใจที่คิดว่า มีประคำหลวงพ่ออยู่กับตัว เลยไม่กลัว กลับจะวิ่งเข้าใส่ซะอีก หากเจอจังๆ จากความหวั่นไหวที่เคยมีมากตอนแรกๆก็เริ่ม ไม่ค่อยหวั่นไหวมากนัก(สงสัยชินกับกลิ่นผี หรืออาจจะเป็นสีทนได้ก็ไม่รู้นะ) อาจจะรู้สึกตกใจในเวลาปุบปับ แต่จะฮึดสู้ในเวลาต่อมาทันที เพราะใจไม่กลัวตั้งแต่ตอนแรกดังที่บอก

    เรื่องทำนองนี้ มีคนเคยท้าผู้เขียนว่า ให้ผู้เขียนเดินเข้าไปที่เมรุยังวัดๆหนึ่งที่ลือกันว่าเคยมีคนเห็นผีเปรตร้องเสียงดัง ช่วงวันเข้าพรรษา อาจจะมาขอส่วนบุญก็เป็นได้ หากว่าผู้เขียนกล้าเข้าไป จะเรี่ยไรกันออกค่าอาหารหนึ่งโต๊ะ แบบดีๆและเต็มที่เลย แต่มีข้อแม้ว่า ให้เข้าไปตั้งแต่ 4 ทุ่ม ให้กลับออกมาอีกทีตอนตี3 และไปนั่งคอยบนเมรุเผาศพ จนกว่าจะได้เวลากลับ โดยคนที่ท้าเอากล้องวีดีโอไปวางและตั้งถ่ายไว้ที่เมรุ ดังนั้นจะหนีไปนั่งตรงอื่นไม่ได้ เพราะกล้องจะบันทึกภาพไว้ตั้งแต่แรกจนได้เวลากลับ หากผิดข้อแม้ข้อหนึ่งข้อใด ถือว่าเป็นโมฆะ และไม่เอาความใดๆทั้งสิ้น และไม่รับผิดชอบใดๆหากว่าโดนผีหลอกเต็มๆ

    ผู้เขียนก็ตอบตกลง โดยคล้องสร้อยประคำหลวงพ่ออุตมะ เดินทางเข้าวัดตามที่ตกลงกันไว้ และกลับออกมาตามกำหนด โดยมีกล้องบันทึกภาพยืนยัน ก็ได้อิ่มท้องสบายใจ ส่วนใครจะขอลองบ้าง ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะ แต่ต้องดูสภาพจิตใจตัวเองด้วย ใจไม่แข็ง ศีลไม่จัด ขอร้องว่าอย่าลองดีกว่า เพราะเป็นอะไรไป มันได้ไม่คุ้มเสีย บางคนไม่ยอมรับความจริงว่ากลัวผี บอกกลัวความเงียบไปโน่น ก็อ้างไปได้เหมือนกัน

    ก่อนที่ผีทั้ง 3 ร่างจะเข้าถึงตัวผู้เขียนและ ก่อนที่ผู้เขียนกำลังเอื้อมมือไปคว้าสร้อยประคำนั้น เสียงหนึ่งเหมือนอยู่ข้างตัวผู้เขียน แต่อยู่คนละซีกกับภรรยาที่นอนอยู่ ตวาดออกไปเสียงดังลั่น จนผู้เขียนรู้สึกว่าตกใจกับเสียงนั้นเพราะไม่คาดคิดว่า ใกล้ๆตัวจะมีใครมาแอบซุกอยู่อีก


    ภควัณตัง
     
  14. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    “อย่าทำอะไรเขา”

    ด้วยความตกใจจากเสียงแปลกปลอม ผู้เขียนเลยเอี้ยวตัวมองไปด้านข้างๆตัว สิ่งที่ผู้เขียนเห็นคือ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเกือบจะชิดขอบเตียงที่ผู้เขียนนอนอยู่ มีลักษณะผมยาวเป็นเส้นตรงไปจนถึงกลางหลัง ท่าทางสวยสง่า มองตรงไปยังผีทั้ง 3 ตัว ไม่วางตา เธอผู้นี้ผิวขาวสว่างเมื่อกระทบกับแสงไฟที่ส่องจ้าเข้ามา ดวงตาใสกลมโต คิ้วโก่งงามได้รูป ห่มผ้าสไบเฉียงแบบคนโบราณ เสื้อด้านในสีเขียวสด มีสไบพาดบ่าสีขาวนวลขลิบทอง มีแสงระยิบระยับออกมาจากผ้าที่ใส่และสไบที่พาดเฉียงบ่าไว้ ที่สำคัญมีกลิ่นหอมอ่อนๆโชยออกมาจากตัว ขับกลิ่นเหม็นเขียวไหม้ในตอนแรกให้ค่อยๆจางไป ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย มีแต่กลิ่นเหม็นเน่าอย่างเดียว

    ขณะที่ผู้เขียนกำลังพินิจพิจารณาตกตะลึงกับภาพที่เห็น หญิงนางที่นั่งอยู่ข้างๆผู้เขียนก็พูดต่อ โดยที่ไม่ได้สนใจผู้เขียนว่ากำลังนอนมองพิจารณาเธออยู่ใกล้ๆ

    “พวกท่านทำอะไรเค้าไม่ได้นะ เค้าไม่ใช่เจ้าของบ้านที่พวกท่านเคยทำ เค้าไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร ทำกับคนไม่รู้ มันเป็นบาปกรรมที่จะต้องชดใช้ในปรภพหน้า และเป็นเวรกรรมที่จะต้องรอการชดใช้ต่อๆไปอีก”


    “ข้าไม่รู้หรอก ว่าอะไรเป็นอะไร ใครจะทำหรือไม่ทำ พวกมันบังอาจเอาข้ามา หรือเข้ามาข้องเกี่ยวล่วงเกินข้า มันผู้นั้นต้องตายทั้งหมด” เจ้าตัวหัวหน้าฝูงที่เข้ามาตนแรก อ้าปากพะงาบๆเหมือนตะโกนออกมา น้ำลาย 2 ข้างปากไหลยืดออกมาตามมุมปาก เห็นฟันซี่ดำๆยื่นพ้นขอบปากออกมาเหมือนจะหลุด

    “เขาพวกนี้แค่มาขอพักอาศัยชั่วคราว ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพวกเจ้า และไม่ได้เป็นคนที่เอาเจ้ามา หากพวกเจ้าอาฆาตแค้นทั้งหมด ก็ไม่สมควรทำ เมื่อมีความพยาบาท พวกเจ้าก็สมควรจะไปทำกับคนที่ล่วงเกินกับเจ้า แต่ไม่ใช่กับคนพวกนี้”นางคนที่นั่งข้างผู้เขียน พยายามอธิบายบอกเสียงดังกังวาน

    “ทำไม เจ้าต้องปกป้องพวกมัน”เจ้าตัวที่ยืนข้างๆตัวหัวหน้า เอียงคอถาม ทั้งยกมือชี้มาที่ผู้เขียน เล็บแหลมยาวงองุ้มกระดำกระด่าง ดวงตาเบิกโปนเหมือนจะหลุดจากเบ้าตา ห่างจากตัวผู้เขียนไม่มาก

    “มันเป็นอะไรกับเจ้า” เจ้าตัวเดิมยังไม่หายสงสัย

    “ เขาเคยเป็นผัวข้า และข้าก็จะไม่ให้พวกเจ้าทำอะไรเขาได้”

    เธอตอบอย่างไม่สะทกสะท้านหรือสนใจผู้เขียนที่นอนฟังอยู่เลย เล่นเอาผู้เขียนเริ่มคิดหนักว่า

    “เวรแล้วกู ดันเคยเป็นผัวผี กูจะซวยไม๊วะเนี่ย”

    เหมือนเธอคนที่นั่งอยู่ข้างผู้เขียนจะรับรู้ว่าผู้เขียนนึกอย่างไร หันมาตอบผู้เขียนแบบหัวเราะๆว่า

    “ไม่ซวยหรอก เสร็จเรื่องจะได้ไปอยู่ด้วยกันกับน้อง”

    พร้อมกับหัวเราะเสียงแหลมเย็น เล่นเอาผู้เขียนเย็นวาบไปทั้งตัว ยิ่งกว่าเห็นเจ้า 3 ตัวก่อนหน้านั้นอีก ความคิดสับสนเริ่มมากระหน่ำผู้เขียนซ้ำเข้าไปอีก คิดมากจากผีทั้ง 3 ตัวที่จะเข้ามาทำร้ายก็มากพอแล้ว นี่ดันมานอนอยู่ข้างๆผีสาวอีก มันไม่ซวยตอนนี้ แล้วจะไปซวยตอนไหนล่ะ ก่อนที่ผู้เขียนจะคิดเตลิดเปิดเปิงไปอีก เธอผู้นั้นก็กล่าวกับบรรดาผีทั้ง 3 ตัวต่อว่า

    “เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว พวกเจ้ายังจะมีใครกล้าจะมาทำร้ายเขาคนนี้ไหม”

    “ในเมื่อแม่นางตะเคียนมีจิตผูกพันขออย่างนี้แล้ว พวกฉันก็คงจะงดเว้นให้สักครั้ง แต่ก็คงจะไม่ให้ได้ทุกครั้งหรอกนะ ไอ้คนพวกนี้มันใจบาปหยาบช้า เห็นแก่ได้ ข้าอยู่ของข้าดีๆมีความสุข พวกมันก็มาทำลายวิมานของพวกข้า พวกมันบังอาจลบหลู่พวกข้าจนไม่มีที่อยู่ พวกมันต้องรับใช้กรรมที่พวกมันก่อ”


    เจ้าตัวหัวหน้าลดความก้าวร้าวลง และผู้เขียนก็พึ่งจะรับรู้ว่า นางคนที่นั่งอยู่ข้างๆผู้เขียนเป็นผีนางตะเคียน ก็ยิ่งใจคอไม่ดี เพราะในบรรดาผี ที่ว่าเฮี้ยนๆที่เคยได้ยินบอกต่อๆกันมา มันธรรมดาซะที่ไหนกันล่ะ ครั้นจะลุกหนีก็กระดิกตัวไม่ได้ในขณะนั้น เหมือนมีอะไรกดทับกลางลำตัวอยู่ ขยับตัวไม่ได้เลย ได้เพียงกลอกตาดูไปมา ระหว่างโต้ตอบกันได้เท่านั้น จะว่าฝันก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะลองใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จิกกัน ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ สรุปว่าฝันซะทีเดียวก็คงไม่ใช่ ภาพทุกภาพที่เห็น เสียงทุกเสียงที่ได้ยิน มันช่างชัดเจน

    “ทุกวันนี้มันผู้นั้นจึงต้องชดใช้กรรมที่มันก่อ อีกไม่นาน มันจะต้องมาเป็นบริวารของพวกข้า แล้วเจ้าไม่นึกโกรธเคียดแค้นพวกมันหรอกหรือ ที่พวกมันทำกับพวกเรา แม่นางตะเคียน”

    “ทุกวันนี้ ข้าจำศีลภาวนา อโหสิกรรมให้คนที่ทำกับข้า เพื่อจะได้ไม่ต้องมาจองเวรกันอีก ข้าจะได้ไปสู่ภพภูมิใหม่ และข้าก็รอให้ใครคนใดคนหนึ่งมาปลดปล่อยข้า เพื่อเข้าสู่ภพภูมิใหม่ และเขาคนนั้นที่จะปลดปล่อยข้าก็มาแล้ว อยู่ข้างๆข้านี่ไง ดังนั้นพวกเจ้าจะทำอะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น ถือว่าข้าขอให้ละเว้นแล้วกัน”

    ผีทั้ง 3 ตนลดบทบาทที่จะจ้องกระโจนเข้าทำร้ายผู้เขียนลง ต่างยืนฟังอย่างสงบห่างจากปลายเท้าผู้เขียนที่นอนอยู่ไม่เกิน 1 ฟุต ต่างค่อยๆถอยหลังออกจากประตูห้องทีละตัวๆ จนเหลือตัวสุดท้าย ทำท่ายืนขวางประตูไว้สักครู่ ขะเม่นมองผู้เขียนเหมือนกับกำลังตัดสินใจว่าจะกลับออกไป หรือจะเข้ามาโจมตีผู้เขียนต่อดี แต่เมื่อมันหันมองไปทางนางคนที่นั่งอยู่ข้างผู้เขียน ก็รีบหลบตา พร้อมทั้งร่างนั้นค่อยๆจางไปๆ และหายไปในที่สุด จนเห็นแสงที่ส่องเข้ามาจากห้องโถงกลางชัดเจนขึ้น

    เมื่อไม่มีสิ่งอื่นให้ผู้เขียนสนใจ ผู้เขียนจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง และหันประจันหน้ากับนางคนที่อยู่ใกล้ๆตัวทันที เมื่อตาต่อตาประสานกัน ห่างกันไม่ถึง 1 ฟุต ตานั้นสวยใส ดวงตาเป็นประกาย พร้อมมีรอยยิ้มจากมุมปากที่ได้รูป ไม่ได้แต่งหน้าหรือทาปาก แต่ก็สวยอย่างธรรมชาติ เหมือนนางในวรรณคดีไม่มีผิดเพี้ยน สิ่งหนึ่งที่วูบเข้ามาเหมือนความฝันคือ ภาพๆหนึ่งที่เหมือนถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับรีไวด์ (rewind) เครื่องฉาย ย้อนกลับสู่อดีตอันนานแสนนาน ที่ผู้เขียนไม่ได้มีอยู่ในความทรงจำกับอดีตแบบนี้มาก่อนเลย


    ภควัณตัง​
     
  15. R-LOM-:D

    R-LOM-:D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +109
    เขียนได้น่าติดตามมากครับรอๆอ่านต่อครับ
     
  16. udorn

    udorn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +19
    กระทู้นี้สุดยอดแล้วครับท่าน....เรื่องจริงหรือปล่าวเนื่ย..!!! :cool:
     
  17. narit46

    narit46 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +6
    อ่านเพลินดีครับ รออ่านต่อครับ
     
  18. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    สิ่งที่เห็นในตอนนั้นคือ ภาพที่ผู้เขียนนอนหนุนตักสตรีนางหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม บ่งบอกถึงอายุว่าต้นไม้ต้นนี้น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าเป็นร้อยๆปีแน่ เพราะแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นบริเวณกว้างโดยรอบ ลำต้นใหญ่มหีมาไม่ต่ำกว่าคน 20 คนโอบ รอบๆบริเวณสว่างไสว แต่ก็รู้สึกเย็นตา เมื่อเพ่งมองสำรวจมองเห็นทิวเขาเบื้องหน้าสลับซับซ้อนอยู่ไกลลิบๆข้างหน้าโน้น ด้านหน้าเป็นลำธารใส ไหลรินเป็นชั้นๆ เสียงน้ำกระทบโขดหินฟังเพลินใจ มองเห็นโขดหินลดหลั่นสลับกันเป็นชั้นๆ ดูสวยงามตา เสียงนกร้องแว่วมาไกลๆ

    ด้านหน้าก่อนจะถึงลำธารเป็นทุ่งดอกไม้ที่สวยแปลกตา คล้ายๆกับดอกบานชื่นแต่คงไม่ใช่ ต่างแข่งกันออกดอกสลับสีสดใส แม้บางสีจะไม่เคยเห็นก็ตามดูพราวตาไปหมด ผีเสื้อสารพัดสีบินไต่ตอมอยู่ทั่วไป บรรยากาศชวนให้เคลิบเคลิ้มและน่าหลงใหลเป็นยิ่งนัก

    สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจคือ อิริยาบถที่ผู้เขียนนอนหนุนตักสตรีนางหนี่งอยู่ นางนั้นคือใคร เกี่ยวพันกับเราได้อย่างไร แล้วทำไมเราถึงได้มานอนอยู่ตรงนี้ได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นสบดวงตากลมโตคู่นั้น สิ่งที่เห็นคือดวงตาคู่นั้นก้มลงมองสบตากับผู้เขียนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ดวงหน้าเธอผู้นั้นสวยใสสะอาดตา วงคิ้วโก่งได้สัดส่วน ปากสวยได้รูป ไร้เครื่องแต่งหน้าแต่ก็สวยใสอย่างไร้ที่ติ ตามแบบธรรมชาติที่ไร้เครื่องสำอางมาแต่งแต้ม ที่แปลกกว่านั้นคือ นางคือคนที่ผู้เขียนพึ่งสบตากันเมื่อไม่นานมานี้นั่นเองที่รีสอร์ท เพราะเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่ ก็เป็นชุดเดียวกันกับที่ผ่านมา

    “น้องอยากให้วันเวลาเช่นนี้ อยู่กับเราตลอดไปและตลอดกาลจังเลย พี่ล่ะคิดเช่นไร”

    เธอนางนั้นเอ่ยขึ้นขัดจังหวะที่ผู้เขียนกำลังหลงใหลเคลิบเคลิ้มกับบรรยากาศรอบๆข้างตัว

    “อืม.............แล้วนี่ผมอยู่ที่ไหนนี่ แล้วเธอเป็นใคร แล้วผมมาที่นี่ได้ยังไง แล้วที่นี่เรียกว่าอะไร”

    ผู้เขียนเริ่มตั้งคำถามเป็นชุด เพราะนึกแปลกใจในสถานที่ตั้งแต่เริ่มแรกอยากจะถามทั้งหมด แต่ช่วงเวลานั้นนึกได้เพียงแค่นี้ก่อน แล้วผู้เขียนทำท่าว่าจะลุกขึ้นนั่ง แต่ก็เป็นได้แค่ทำท่า เพราะเธอนางนั้นเอามือกดหัวผู้เขียนไว้เป็นสัญญาณบอกว่าไม่ต้องลุกไปไหน ให้นอนอยู่แบบเดิม ผู้เขียนจึงจำใจต้องนอนลงเหมือนเดิมอีกครั้ง พร้อมกันนั้นเธอนางนั้นก็เผยอยิ้มที่มุมปากหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี จนได้กลิ่นเนื้อตัวของเธอที่หอมฟุ้งติดจมูก

    “แน่ะ.........คนขี้โกง มานอนหนุนตักเค้าแล้วยังมีหน้ามาถามอีกหรือว่าน้องเป็นใคร หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เมียพี่หรือเป็นอะไรกัน เค้าจะยอมให้มานอนหนุนตักอยู่แบบนี้เหรอจ๊ะ หรือว่าพี่เคยไปนอนหนุนตักใครอื่นมาเยอะแล้ว”

    “เอ้อ.............”

    สิ่งที่ผู้เขียนนึกจะถาม แต่นึกไม่ออกในขณะนั้น จำต้องรอคำตอบจากเธอ

    “พี่นี่เป็นเอามากนะ แม้ขณะนี้ก็ยังหลงลืมอีก ไหนบอกมาซิจ๊ะว่าจำอะไรได้บ้างเกี่ยวกับตัวน้อง”

    “อืมมม.......จำไม่ได้เลย ไหนเธอลองเล่าคร่าวๆซิว่า เธอคือใคร แล้วที่นี่คือที่ไหน เพราะจำได้แค่เพียงในขณะนั้นนอนอยู่ที่รีสอร์ทเท่านั้น แล้วหลงมาที่นี่ได้ยังไง ไม่เข้าใจ และ งง มาก” ผู้เขียนตอบไปตามนั้น

    “รีสอร์ทที่ไหนกันเล่า ใช่อยู่ที่นั่นเค้าอาจจะเรียกว่ารีสอร์ท แต่ที่นี่ไม่ใช่รีสอร์ทหรอกนะจ๊ะ ที่นี่คือบริเวณบ้านของเราในอดีตกาลไงล่ะจ๊ะ จำไม่ได้หรือ น้องชื่อผกาวดีในขณะนั้นไง เราเคยอยู่ด้วยกันที่นี่เมื่ออดีตกาลนานมาแล้วหลายสิบชาติที่ผ่านมา หลังจากที่พี่จากน้องไปเพื่อไปเกิดยังภพภูมิใหม่หลายสิบชาติ แต่น้องก็ยังวนเวียนหวนคืนกลับมาสู่ที่นี่หลายภพหลายชาติ เพื่อต้องการที่จะมารอคอยพบกับพี่ตามสัญญาที่น้องเคยให้ไว้กับพี่ ณ.สถานที่นี้อยู่ตลอดเวลา พี่อาจจะลืมไปแล้วว่า น้องเคยสัญญากับพี่ว่า ไม่ว่าน้องจะเกิดมาชาติภพไหนๆก็ขอให้เราได้ครองคู่อยู่เป็นผัว เป็นเมียกันตลอดไป ทุกภพทุกชาติ แต่ที่ผ่านมาน้องเหมือนมีบ่วงกรรมที่ติดตาม ทำให้น้องต้องพลัดพรากจากกับพี่อยู่ตลอดเวลาในหลายภพชาติที่ผ่านมา น้องจึงต้องรอให้พี่มาช่วยแก้ไขให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมนั้นจ๊ะ”

    “เพื่อให้พี่มาช่วยแก้ไขสัญญาที่น้องเคยให้ไว้กับพี่ ให้หลุดพ้นออกจากกัน หาไม่ยังงั้น น้องคงต้องทนเจ็บปวดทรมานกับการรอคอย เพื่อจะได้อยู่เคียงคู่กับพี่อีกนานแสนนาน จนหาไม่จ๊ะ น้องรอคอยพี่มานานแสนนาน เพื่อจะขอพบกับพี่อีกครั้ง แม้การพบในครั้งนี้จะเป็นการพบครั้งสุดท้ายของเราก็ตาม หรือแม้พี่จะไม่มีความรักให้กับน้องเหมือนอย่างเคยแล้วก็ตาม แต่น้องก็จะบอกกับพี่ว่า น้องยังรักพี่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามานานกี่สิบกี่ร้อยชาติ แต่น้องก็ยังคงมั่นคงกับคำสัญญาที่น้องให้ไว้กับพี่เสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยจ๊ะ”

    ดวงตาสวยคู่นั้นมีน้ำตาไหลออกมามากมาย หยาดน้ำตาไหลเป็นทาง ตกลงมากระทบแก้มผู้เขียนที่นอนแหงนหน้ามองเธออยู่บนตักในขณะนั้น เธอผู้นั้นค่อยๆเอาผ้าสไบบางๆเช็ดคราบน้ำตาของเธอ และยังเอื้อมมือมาเช็ดยังแก้มผู้เขียนที่เปียกไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาจากดวงตาของเธอผู้นั้น เสียงสะอื้นอยู่ในลำคอเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความเสียใจอย่างมากมาย จากเหตุการณ์ที่ตัวเธอนั้นได้ประสพพบเจอมาเพียงลำพัง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดังที่เธอเล่าบอกให้ผู้เขียนฟัง

    ผู้เขียน เมื่อได้ฟังคำตอบรู้สึกอึ้ง ใจอ่อนลงยวบทันที จนต้องเอื้อมมือขึ้นไปช่วยเช็ดคราบน้ำตาเธอที่พวงแก้มทั้งสองข้าง เธอผู้นั้นเอื้อมมือขึ้นมากุมมือผู้เขียนเอาไปไว้แนบอก พลางก้มหน้าลงแนบ จนผู้เขียนรู้สึกถึงหยดน้ำที่ไหลจากตา หยดแทรกลงมากระทบกับมือที่เธอเอาไปแนบกับอกไว้ เป็นภาพที่รู้สึกสลดหดหู่ใจเป็นอย่างมาก

    มันเป็นไปได้ยังไงกับอดีตชาติแบบนี้ ทำไมเราเองถึงไม่รู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ความจริงมันน่าที่จะนึกอะไรออกบ้าง แต่ที่ผ่านมาไม่มีวี่แววให้ระลึกรู้หรือสะกิดใจบ้างเลย ก็แปลกดี อาจจะเป็นเพราะเราเองระลึกชาติแต่หนหลังไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถที่จะจดจำย้อนอดีตได้นั่นเอง

    ทำให้ผู้เขียนย้อนนึกย้อนถึงเรื่องเขียนที่เคยเขียนไว้ในครั้งก่อนหน้านั้นว่า การไปสัญญิงสัญญา ไปสาบทสาบานกับใครเอาไว้ อำนาจของคำสาบาน หรือคำอธิฐานด้วยตัวเองนี่แหละ ที่จะผูกมัดตัวเองไว้ ไม่ให้หลุดจากกรรม โดยเฉพาะเรื่องของความรัก

    คนที่สาบานว่า จะขอรักเธอไปจนตลอดชีวิต เกิดชาติหน้าฉันท์ใด ก็จะขอรักแต่เธอคนเดียว ไม่ขอรักใครอื่น พึงเข้าใจด้วยว่า คนเราเกิด จะเกิดชาติใหม่เป็นหญิงหรือชาย เกิดช้าหรือเร็ว ก็แล้วแต่กรรมของตัว ถ้าบังเอิญเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่คู่สาบานยังไม่ได้มาเกิด หรือไปเกิดในชาติภพอื่น หรือยังตกค้างอยู่เป็นวิญญาณเร่ร่อน ด้วยอำนาจคำสัญญานั้น จะทำให้ไม่มีโอกาส สมหวังเรื่องคู่ครอง เรื่อยไปจนกว่าจะถึงภพชาติที่ได้เกิดมาเจอกันอีกครั้ง

    “แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะ จะให้แก้ไขยังไงดี”

    ผู้เขียนย้อนถาม เพราะนึกอะไรไม่ออกจริงๆในขณะนั้น ประจวบกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำให้ขณะนั้นรู้สึกตัวว่าตัวเราเองก็คงมีส่วนผิดร่วม ที่ปล่อยให้เธอเฝ้ารอคอย แม้การรอคอยนั้น ตัวเราเองอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรก็ตามกับอดีตที่เคยผ่านมา ที่เป็นเหตุให้เธอเองต้องมาตกระกำลำบากกับตัวเรา เพียรเฝ้ารอเรา ได้ถึงเพียงขนาดนี้

    มีต่อครับ​

    ภควัณตัง​
     
  19. Noinea

    Noinea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +1,902
    :boo::boo:แล้วผีที่จะเข้ามาทำร้ายคุณภควัณตัง คืออะไรเหรอคะ เจ้าของบ้านไปทำอะไรเขาไว้
     
  20. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +631
    ใจเย็นๆน่าโยม......รออ่านต่อนะ เรื่องยังไม่จบตอนจ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...