หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สมัยวัยรุ่นเวลากินอาหารอยู่ที่วัด นั่งล้อมวงกินอาหารเป็นถ้วยๆในถาด...
    การพิจารณาอาหารก็เกิดขึ้น ก่อนการกิน...
    เพื่อให้เรากินอาหาร...
    ไม่ใช่ให้อาหารมันมากินเรา...
    (คือความอยากในการกินอาหาร มันกินเราเข้าเสียก่อนแล้ว ก่อนที่เราจะกินมัน)

    เวลาพิจารณาที่ง่ายที่สุดตอนนั้นคือ มองเห็นว่าอาหารนี้เมื่อผ่านร่างกายอันสกปรกของเรานี้ออกมาแล้วมันจะเป็นเช่นไร...เพ่งไป..เพ่งไป...จนมันเป็นขี้...กลิ่นตามมาด้วยเลย...
    ยามจะกินย่อมรู้สึกผะอืดผะอมตามประสาคนกินขี้...
    เมื่อพิจารณาตามลงไปก็เห็นว่า หนอนก็ดี แมลงวันก็ดี เห็นขี้ว่าเป็นอาหารอันโอชะ...
    ย่อมรู้สึกยินดี นี่เป็นเพราะ อุปทานความยึดมั่นถือมั่นของแต่ละสัตว์ย่อมแตกต่างกันออกไป..

    หากแต่โดยปรมัตถะสัจจะแล้ว...สกปรกก็เป็นสมมติ...สะอาดก็เป็นสมมติ...อาหารก็เป็นสมมติ...ตัวเราเองก็เป็นแต่สมมติ...ความเป็นจริงแล้วมันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง...ไม่ได้เป็นสัตวบุรุษบุคคลตัวตนเราเขา....อุปทานเรานี่เองไปยึดมั่นถือมั่น...จึงมีขี้ มีสกปรก มีอาหาร มีอร่อย ไม่อร่อย น่ากิน ไม่น่ากิน มีสะอาดเกิดขึ้น...

    ในสภาวะธรรมนั้น ก็จะเห็นเพียงธาตุ ผ่านเข้ามา ยังอีกธาตุ คงมีผัสสะ เกิดขึ้น แล้วดับลง...
    มันดำเนินของมันไปอย่างนั้นเอง...

    เมื่อพอพิจารณาไปเห็นเช่นนี้แล้วก็กลับมากินอาหารตามปกติ...เหมือนคนอื่นกิน...แต่ก็ไม่เหมือนคนอื่นกินเสียทีเดียว...

    หลายคนพิจารณาอาหารจนเป็นสิ่งปฏิกูลแล้วก็คงค้างไว้เพียงแค่นั้น ไม่พิจารณาต่อ ปัญหาก็เกิดขึ้นคือ กินอาหารไม่ได้ อย่างนี้มันก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง...
    เจตนาการพิจารณาอาหารคงเพื่อไม่ให้ติดใจในรูป รส กลิ่น ของอาหาร....
    แต่การรู้สึกรังเกียจอาหาร จนรับประทานไม่ได้ มันจะไปต่างอะไรกับพวกที่ติดใจใน รูป รส ของอาหารเล่า...มันก็เหมือนกับคนที่ยึดกันคนละด้านสินะ...
    พวกที่เขาไม่ยึดแล้ว เขาก็ยืนดูเฉยๆเท่านั้นเอง...
    ดูเฉยๆ รู้เฉยๆ ไม่ได้ยึด ก็เลยไม่ได้ละ...เพราะมันสักแต่ว่าเป็นของมันเช่นนั้นเอง...ไม่ได้มีอะไร...
     
  2. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ** มีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่าน ยิ้มได้ทุกครั้งที่เข้ามาอ่านกระทู้ของพี่ระมิงค์ .. มันเป็นความสุขที่บอกไม่ได้ขอบคุณนะคะที่นำสิ่งดี ๆ เข้ามาให้คนหลงทางหลาย ๆ คนได้มีสิ่งเตือนใจ สาธุคะ ...
     
  3. บุษบรรณ

    บุษบรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2,212
    ค่าพลัง:
    +8,603
    :cool:
    555กะลังนั่งจิบกาแฟไปอ่านไป นึกเห็นภาพ กลืนกาแฟไม่ลงเลย:cool:
     
  4. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    “..หวังพระนิพพาน ด้วยความเพียรเท่าฝ่ามือนั้น ลองคิดดู กิเลสเท่ามหาสมุทร แต่ความเพียรเท่าฝ่ามือ นั้นมันห่างไกลกัน ขนาดไหน

    เพียงใช้ฝ่ามือแตะมหาสมุทร ทำความเพียรเพียงเล็กน้อย แต่หมายมั่นปั้นมือว่าจะข้ามโลกสงสาร..”

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  5. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    โอ๊ยยยยย...เจ็บ :'(
    อ่านในเฟซก็เจอ อ่านที่นี่ก็เจอ เหมือนโดนว่าเลยยยย อ่ะ
     
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เฮียผมเคยเทศนาเรื่อง นิพพิทาญาณ ให้ฟัง ทำนองว่า เป็นความรู้สึกเบื่อหน่าย..
    ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องผ่าน นิพพิทาญาณก่อน แล้วถึงจะเข้าโคตรภูญาณ ผ่านโคตรภูญาณได้แล้วถึงจะเข้าเขตอริยะบุคคล..เมื่อผ่านครบ 3 รอบก็จะเข้าสู่เขตอรหัตผล...

    ฟังแล้วงงดีไหมล่ะ...งงเหมือนกัน...

    การต่อมาศิษย์ผู้พี่กระผมนี่ ท่านบ่นกับผมว่า ท่านเบื่อหน่ายมากกับชีวิต ชีวิตนี้เกิดมาเป็นทุกข์ ร่างกายนี้มันไม่มีดีเลยนะ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น...พี่ท่านนี้จึงขอให้ตายวันตายพรุ่ง ขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดกรุณา ให้ตายภายในอาทิตย์นี้ เดือนนี้หรือในปีนี้ด้วยเถิด...พี่ท่านนี้อยากจะเข้านิพพาน ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เพราะว่าชีวิตนี้มันเป็นทุกข์...

    ผมฟังแล้วก็มึน...ฟังเฮียแกเล่าแล้วงง..ฟังศิษย์พี่พูดแล้วมึน...ประสาคนที่ยังหลงทางอยู่ในวัฏฏะสงสารอย่างผมเนี่ย...
    การเกิดเป็นทุกข์อย่างไรนี่พิจารณาแล้ว ก็เป็นทุกข์เช่นนั้นจริงๆ ความแก่ ความป่วย ความตาย นี่ก็เป็นทุกข์จริงๆ...
    ความโศกความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจทั้งหลาย นี่ผมเห็นว่าเป็นทุกข์...

    รวมความแล้วสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นทุกข์จริงๆ....
    สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วบนโลกนี้ ขึ้นชื่อว่าจะไม่ดับไปเป็นไม่มี...
    แม้แต่ทุกข์ก็ตาม...ทุกข์นี้เองก็ไม่ได้เที่ยง ทุกข์นี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป...
    เมื่อทุกข์ดับไปแล้วก็ยังเกิดขึ้นใหม่ได้...เป็นวนเวียนวัฏฏะอยู่เช่นนี้เอง...

    ความเบื่อที่ผมเห็นคือเบื่อในการเกิด เพราะย่อมดำเนินไป และดับไปเช่นนี้เรื่อยๆ...
    เช่นเดียวกันกับความเบื่อ เมื่อความเบื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปเป็นธรรมดา...
    ก็เห็นว่าความเบื่อนี้ก็ไม่เที่ยง....
    สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ควรหรือจะยึดถือว่าเราว่าตัวว่าตนของเรา...
    ไอ้เบื่อแบบนี้ นี่ก็โลกเขาเบื่อกัน...เราก็เพียงรู้ว่า เบื่อแบบนี้เขามีกันอยู่...เพื่อไม่ให้หลงระเริงไปกับทางโลก...

    เมื่อเห็นแบบนี้แล้วความรู้สึกว่าอยากจะตายวันตายพรุ่งมันเฉยไปแล้ว เพราะที่จริงแล้วเรามันตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก หรือแม้กระทั่งสิ้นสุดลมหายใจ ในท้ายที่สุดแล้วทุกคนเกิดมาย่อมตาย..จะยินดีก็ตาย จะยินร้ายก็ตาย จะทั้งยินดีและยินร้ายก็ตาย จะทั้งยินดีก็ไม่ใช่จะยินร้ายก็ไม่ใช่ก็ต้องตาย...

    ธรรมดาของโลกมันเป็นอย่างนั้น...ธรรมดาสังขารมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น...
    จะไปอยากตายทำไมกันนะ...หรือจะพูดเพื่อให้คนอื่นยกย่องว่าตัวนี้ได้นิพพิทาญาณแล้ว..
    ความเบื่อหน่ายที่ผมเห็นคือการเป็นวงรอบที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นวงเวียน ที่ผมเรียกว่าวัฏฏะ...
    เมื่อเห็นความเบื่อหน่ายนี้แล้ว ก็ไม่ได้มามัวยึดติดกับความเบื่อหน่ายอันไม่เที่ยงนี้อยู่หรอกนะ...

    เราเพียงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น...
    เห็นอะไร...
    เห็นว่ามันยังไม่แน่...อย่างที่หลวงพ่อชา ท่านกล่าวเอาไว้ไม่มีผิด..


    แล้วก็เลยไม่เข้าใจหรอกนะว่า
    นิพพิทาญาณกับโครตภูญาณที่เขาพูดๆกันนั้น เป็นยังไง...
    คงแต่จะก้มหน้าก้มตาฝึกไป ฝึกไป...ยังหลงทางอยู่
    แต่..สักวันนึงอาจจะได้พบหนทางที่ถูกต้องก็ได้นิ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2013
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    "แล้วก็เลยไม่เข้าใจหรอกนะว่า
    นิพพิทาญาณกับโครตภูญาณที่เขาพูดๆกันนั้น เป็นยังไง...
    คงแต่จะก้มหน้าก้มตาฝึกไป ฝึกไป...ยังหลงทางอยู่
    แต่..สักวันนึงอาจจะได้พบหนทางที่ถูกต้องก็ได้นิ.."

    สำหรับติงมันมืดมิด ยิ่งกว่าคืนเดือนมืดอีกเจ้าค่ะ
     
  8. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    เมิลเพิ่งฟังท่านจิตโตเทศน์เรื่องนี้เหมือนกัน ก็วิปัสสนาญาณ ๙ นะมันอารมณ์ต้องหน่าย บีบคั้นจนอยากจะหนีไป ต้องปฎิบัติแบบไม่เอาอีกแล้วโลกนี้ต้องหนีไปให้ได้ นิพนิพพิทานุปัสสนาญาณเพิ่งจะเป็นข้อ 5 จากทั้งหมด 9 ข้อ ต้องพิจารณาให้ครบถึงสังขารุเบกขาญาณาแล้วก็กลับไปกลับมาอะคะ
    6. มุญจิตุกัมยตาญาณ หมายถึง ญาณอันคำนึงด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย คือ เมื่อหน่วยสังขารทั้งหลายแล้วย่อมปรารถนาที่จะพ้นไปเสียจากสังขารเหล่านั้น
    7. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทางหลุดพ้น คือ เมื่อต้องการจะพ้นไปเสียจากสังขารจึงกลับหันไปยกเอาสังขารทั้งหลายขึ้นมาพิจารณากำหนดด้วยไตรลักษณ์เพื่อมองหาอุบายที่จะปลดเปลื้องหรือหาทางหลุดพ้น
    8. สังขารุเปกขาญาณ หมายถึง ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือ เมื่อพิจารณาสังขารต่อไปย่อมเกิดความรู้เห็นสภาวะของสังขารตามความเป็นจริง ว่ามีความเป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา จึงวางใจเป็นกลางได้ไม่ยินดียินร้ายในสังขารทั้งหลาย ญาณจึงมุ่งสู่นิพพาน โดยเลิกละความเกี่ยวพันกับสังขารอีก
    9. สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ หมายถึง ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยั่งรู้อริยสัจ คือ เมื่อวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลายและญาณมุ่งสู่นิพพานแล้ว ญาณก็จะส่งผลต่อการตรัสรู้อริยสัจ ย่อมเกิดขึ้นในลำดับต่อไป เป็นขั้นสุดท้ายของวิปัสสนาญาณต่อจากนั้นก็จะทำให้สำเร็จเป็นอริยบุคคลต่อไป

    เพิ่งมาอ่านเจอกระทู้พี่ สนุกดีคะ ได้เกร็ดความรู้ดี ๆ เพียบเลย ขอติดตามอ่านเป็นแฟนคลับอีกคนนะคะ
    เมิลคะ
     
  9. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    โพสต์มาให้เพื่อนธรรม ได้ร่วมอนุโมทนาบุญครับ  เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ พค ๕๖ นี้ เราได้ทำบุญร่วมบริจาค
    เงินเพื่อร่วมซื้อที่ดิน ในการสร้างที่จอดรถของวัด วัดไทย แอลเอ เป็นจำนวนเงิน ๒,๒๒๓ เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย ๖๖,๖๙๐ บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC09018.JPG
      DSC09018.JPG
      ขนาดไฟล์:
      458.4 KB
      เปิดดู:
      65
    • DSC08771.JPG
      DSC08771.JPG
      ขนาดไฟล์:
      532.3 KB
      เปิดดู:
      58
  10. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    กราบอนุโมทนาเจ้าค่ะท่านอาจารย์
     
  11. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    สาธุ สาธุ สาธุ .. อนุโมทนามิ
     
  12. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    เมื่อเช้าวานนี้ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ได้มีโอกาสทำบุญกับพระป่า วัดหนองป่าพง และวัดสาขา เกิดปิติและเป็นบุญอย่างมาก จึงขอนำบุญมาฝากทุกๆคนด้วยค่ะ ...
    ตอนนี้คณะพระท่านได้เดินทางไปอินโดนีเซียแล้ว และจะกลับมาอีกในวันที่ ๑๖ ก่อนเดินทางกลับเมืองไทยค่ะ สาธุ ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. tassumalee

    tassumalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    1,579
    ค่าพลัง:
    +8,825




    ขออนุโมทนาบุญร่วมด้วยอีกคนนะคะ....สาธุ
     
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    โพสต์มาให้เพื่อนธรรม ได้ร่วมอนุโมทนาบุญครับ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ พค ๕๖ นี้ เราได้ทำบุญร่วมบริจาค
    เงินเพื่อร่วมซื้อที่ดิน ในการสร้างที่จอดรถของวัด วัดไทย แอลเอ เป็นจำนวนเงิน ๒,๒๒๓ เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย ๖๖,๖๙๐ บาท


    ขอโมทนากับทั้งสองท่านด้วยครับ...
    ช่วงที่ผ่านมาเวปรวนๆ ไม่ค่อยได้เข้ามาตอบ...
     
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    บังเอิญไปเจอบันทึกเรื่องราวการฝึกมโนมยิทธิสมัยรุ่นๆ...จะลองทะยอยลงไว้ ถ้าไม่เอียนกันซะก่อน..แต่ต้องขอลบชื่อตัวบุคคลในบันทึกออกก่อน..เพราะแต่ละคนยังมีตัวตนอยู่..จะได้ไม่เป็นการรบกวนจิตใจท่านทั้งหลายเหล่านั้น...

    เมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิ​

    เวลานั้นเป็นปี พ.ศ. 2530 พี่ชายคนที่ ห้า เราเรียกแกว่า เฮียโหงว บอกว่าป้าที่โรงแรมที่แกเป็นกุ๊กอยู่นั้น ชวนให้ไปฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลม หรือ พหลโยธิน 8 กับหลวงพ่อ ฤษีลิงดำ ลูกศิษย์ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค โดยเอาประวัติ หลวงพ่อปานมาให้อ่านก่อน หนังสือเขียนโดยหลวงพ่อฤษีฯ ชอบมาก เพราะดูว่ามีอิทธิฤทธิ์ มากดี สนุก เลยตั้งใจไว้ก่อนเลยว่า ชาตินี้จะเป็นจะตายต้องฝึกวิชานี้ให้ได้ เอาไงเอากัน จึงได้ชวนกันไป

    เริ่มต้นก็เอาดอกไม้ธูปเทียนกับเงินอย่างน้อย 1 บาท ใส่ถาดสำหรับบูชาครู ดอกไม้ต้อง 3 สี ซึ่งทางวัดได้จัดเตรียมไว้ให้ก็แล้วแต่จะทำบุญ วันนั้นเป็นวันเสาร์ ปกติจะสอนทุกเสาร์-อาทิตย์ แรกของต้นเดือน ครูฝึกซึ่งเป็นฆารวาสนั้นจะนั่งตรงกลาง เมื่อกราบพระ บูชาพระรัตนไตรเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะเปิดเทปหลวงพ่อว่าด้วยเรื่องการฝึกมโนมยิทธิ และแนะนำให้ตัดกาย โดยพิจารณาว่าเป็นของสกปรกก่อน โดยดูจากผมที่สะอาดนั้นถ้าไม่สระสัก อาทิตย์ นึง ก็เหม็น หน้าถ้าไม่ล้างฟันไม่แปรง สักสามวันเจ็ดวัน รับประกันไม่มีใครเข้าใกล้แน่มัน เหม็นไปหมด ก็ไล่มาตลอดจนถึง ขี้ เยี่ยว ท่านใช้คำนี้ เพราะมันเห็นภาพชัดเจนดี ร่างกายจึงเป็นถุงหนังห่อหุ้มด้วยสิ่งสกปรกโสโครกเพียงอย่างเดียว จนสุดท้ายเมื่อก็ตาย ขึ้นอืด เหม็นเน่า กลายเป็นกระดูก และ เถ้าธุลี ไม่มีตัว ไม่มีตน เอาอะไรไปไม่ได้ ท่านให้เห็นตามความเป็นจริงดังนี้ เมื่อพิจารณาแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกายนี้ ร่างกายนี้ไม่มีในเรา การยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้ก็ไม่พึงมีสำหรับเรา ท่านว่าใช้ปัญญาเพียงเล็กน้อยเท่านี้ก็รู้ ก็เห็นจริงตามท่านว่าไม่สงสัย


    จากนั้น ท่านให้นั่งบริกรรมคำว่า นะ มะ พะ ธะ หายใจเข้า ว่า นะ มะ หายใจออกว่า พะ ธะ ท่านว่าเป็นคำบริกรรมเพื่อให้เกิดอภิญญา เมื่อบริกรรมได้ประมาณ สิบ นาที ก็จะมีครูฝึกมานำ ให้พิจารณากายอีกรอบหนึ่ง แล้วให้นึกถึงพระพุทธรูปที่ชอบให้ปรากฏขึ้นในใจ ก็นึกถึง อาฮุดกง คือเป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัย ที่บ้าน อันเป็นองค์ที่ได้กราบเป็นอาจารย์ไว้เมื่อสมัยเด็ก หลังจากนั้นครูฝึกก็ให้น้อมจิตเข้าไปกราบพระพุทธรูป และเมื่อทำได้แล้วให้เกาะที่ฐานพระแล้ว ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดประทานบารมีโปรดสงเคราะห์ นำข้าพระพุทธเจ้า ไปยังพระจุฬามณีเจดีย์สถาน ด้วยเถิด ............


    วันเสาร์นั้น ครูฝึกถามว่าเห็นอะไรไหม ๆ ๆ ก็บอกว่าไม่เห็น แต่ความจริงเห็น คือเห็นความมืดชัดเจนแจ่มใสมาก นอกจากความมืดไม่เห็นอะไร ก็เป็นอันว่าครั้งแรกในการฝึกก็ล้มเหลว แต่ ไม่ล้มเลิก วันพรุ่งนี้จะมาอีก เพราะตั้งใจมั่นว่าต้องฝึกวิชานี้ให้ได้ ในวันนั้นก็มีหลายคนฝึกได้ไปได้เห็นได้ แต่เราก็สงสัยอีกว่านึกคิดไปเองหรือเปล่า จินตนาการไปเองไหม สะกดจิตไม่น่าจะได้เพราะดูครูฝึกคงไม่สามารถ


    วันอาทิตย์ มาใหม่ เอาอีกที ก็มาพร้อมกับเฮียโหงว เหมือนเดิม ทำบุญดอกไม้ธูปเทียน บูชาครูทำการไหว้พระรัตนตรัย ที่ขึ้นต้นว่า โยโสภะควา..... สมาทานพระกรรมฐาน ตัดร่างกายเหมือนเมื่อวาน พอทำสมาธิได้ประมาณสิบนาที ครูฝึกก็เข้ามานั่งกลางวง แนะนำให้ตัดร่างกายแล้วนึกพระพุทธรูปที่ใจชอบ ก็นึกถึงองค์เดิม

    แต่คราวนี้องค์พระเปลี่ยนไปเป็น พระประธานแบบทรงเครื่องเหมือนพระศรีอาริยเมตตรัย ก็ไม่เป็นไร ก็น้อมจิตเข้าไปกราบท่าน ก็ทำเหมือนนึกเอาเองว่าเราเข้าไปกราบท่านแล้ว ครูฝึกว่าเห็นอะไรก็บอกไปตามนั้น ว่าความจริงรู้สึกเหมือนเรานึกไปเองแล้วบอกเขา เขาก็คงไม่รู้ เราก็ว่าของเราไปจ้อย เขาบอกว่าให้เกาะฐานองค์พระเราก็นึกว่าเราเกาะเอาไว้แล้ว ก็ไม่อยากจะขัด เกาะหรือยัง เราก็ว่าเกาะแล้ว ก็ให้อธิษฐานว่า ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดประทานบารมีโปรดสงเคราะห์นำข้าพระพุทธเจ้าไปยังพระจุฬามณีเจดียสถานด้วยเถิดพระเจ้าข้า ก็ทำตามไปยังงั้นแหละ

    ครูฝึกถามว่าเห็นอะไร ก็บอกว่าเห็นพื้นขาวๆ บริเวณนั้นมองไม่ชัดเหมือนมีหมอกบางๆ ข้างหน้าเห็นเหมือนอ่างน้ำมีดอกไม้ อ่างน้ำสีขาว เขาก็ถามต่อว่า แล้วเห็นใครอยู่ข้างๆบ้าง ความจริงรู้สึกเหมือนเป็นครูฝึกยืนอยู่ข้างๆเยื้องไปด้านหลังทางขวามือเรา แต่ไม่กล้าบอกพอไม่แน่ใจก็บอกไม่เห็น เขาก็ถามย้ำอีกว่าเห็นใครอยู่ข้างๆ เราไม่แน่ใจก็ไม่บอกหรอก เขาให้มองไปข้างหน้าว่าเห็นอะไร ก็เห็นเป็นกำแพงขาว แต่เรายังไม่ได้ตอบคนอื่นๆเขาตอบก่อน เราก็สงสัยว่าทำไมมันเห็นตรงกันนะ ทั้งที่เรายังไม่ได้พูด เห็นประตูทางเข้า ครูฝึกก็ให้เดินเข้าไป แต่ภาพที่เห็นเหมือนเรานึกคิดจินตนาการไปเอง

    เข้าไปก็เห็นมีคนนั่งอยู่บนแท่นแก้วห้อยเท้ามีมณฑปครอบอยู่ ชุดทรงเหมือนพระเอกลิเก ครูฝึกเขาถามปั๊ปภาพนี้ก็ปรากฏปุ๊ป ก็ตอบเขาไป เขาก็ว่าถูก เราก็ว่าเรามั่วนึกเอาเองตะหาก เขาก็ถามว่าเห็นใครอีก เราก็ว่าไม่เห็น เขาว่าให้เราอธิษฐาน ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดประทานบารมีโปรดสงเคราะห์ หากมีเทพพรหมองค์ใดอยู่ในบริเวณนี้ก็ขอได้โปรดปรากฏองค์ให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นด้วยเถิดพระเจ้าข้า ก็ปรากฏ (ในความนึกคิดเอาเองหรือเปล่าไม่รู้) มีคนใส่ชุดลิเกมีชฎา สีสันเสื้อต่างๆกัน นั่งพนมมือไหว้กันอยู่ทั่วไปทั้งบริเวณ ครูฝึกก็บอกว่าองค์ที่นั่งอยู่บนอาสนะแก้วนั้นคือองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนที่เห็นที่เหลือนั้นเป็นพระอรหันต์บ้างพรหมเทวดาบ้างมาฟังเทศขององค์สมเด็จฯ จากนั้นครูฝึกก็นำให้กราบองค์สมเด็จฯ เสร็จแล้วก็ให้แยกกายออกเป็นหลายๆกายแล้วไปกราบทุกๆองค์ที่อยู่ในบริเวณนั้น โดยพร้อมเพียงกัน


    เมื่อสมควรแก่เวลาครูฝึกจึงได้ให้ขอบารมีองค์สมเด็จฯให้พาเราไปยังพระนิพพาน ก็ให้รวบรวมกำลังใจเกาะองค์ท่านไป ภาพพระนิพพานก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า มีกำแพงแก้วล้อมลักษณะเป็นสีขาว ครูฝึกก็ให้อธิฐานขอให้เห็นภาพตามความเป็นจริง กำแพงแกก็เปลี่ยนเป็นแก้วผลึกใส แต่มองผ่านไปไม่ได้ที่ประตูทางเข้ามีใครก็ไม่รู้ยืนอยู่สองข้างประตู คงจะเฝ้าประตูกลัวประตูจะหายมั๊ง ก็กราบสวัสดีแล้วขอเข้าไปแกก็ปล่อยให้เข้า ไม่มีใครผลัก ประตูก็เปิดเอง ก็เหมือนเรานึกเอาเอง ครูฝึกเขาให้ดูบนยอดซุ้มประตูว่าเหมือนอะไรก็เหมือนซุ้มประตูทางเข้าโบสถ์วัดท่าซุง คือมีรูปเหมือนมณฑป สามยอดอยู่เรียงกัน เราก็ว่าตามเขาไป พอเข้าไปก็พบวิหาร แต่ไม่มีผนัง มีแต่เสากับหลังคามณฑป แล้ว ภาพแรกที่เห็นขณะนั้นคือ พระพุทธรูปนั่งสมาธิมีมวยผมกลมทั้งองค์เป็นสีขาวพระกร และองค์ท่านเกลี้ยงเกลาเรียบมีลักษณะเหมือนผ้ารัดปะคดอยู่ที่เอวดูแล้วคุ้นๆตาพอนึกได้ว่าเหมือนพระพุทธรูปที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ปั้นเอาไว้นั่นเอง ทำไมมาเห็นอยู่ที่นี่ได้ องค์ใหญ่ไม่ใช่เล่นเลย

    ครูฝึกถามก็บอกไปตามเห็น ครูฝึกจึงให้พิจารณากายอีกรอบ ให้ตัดกาย ไม่ให้มีความยินดีหรือเยื่อใยในการนี้แล้วขอดูองค์สมเด็จฯอีกครั้ง จึงได้เห็นพระพุทธองค์ทรงประทับนั่งห้อยพระบาทอยู่บนบัลลังค์ คือเป็นแท่นเหมือนตั่งบ้านเราแต่ว่าเป็นแก้วผลึก องค์สมเด็จฯเองก็ทรงชฎาและชุดเหมือนพระเอกลิเก มีทับทรวง และรัดแขนทั้งสองข้างเป็นปลายแหลมๆชี้ขึ้น มีข้อพระกร และข้อพระบาท รองเท้าเป็นแก้วปลายงอน กางเกงประมาณขาสามส่วน ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นแก้วผลึกทั้งหมด ก็เป็นอันว่าไม่มีอะไรได้เวลาครูฝึกก็นำกลับเข้าร่างแล้วกราบพระ อุทิศส่วนกุศล

    ออกมาเจอเฮียโหงวก็มานั่งคุยกันว่าเป็นยังไงบ้าง แกก็เป็นคนมีปฏิปทามั่นคงมากคือว่าเห็นความมืดชัดเจนแจ่มใสไม่ยอมเปลี่ยน ส่วนเราก็ได้รับคำยืนยันจากครูฝึกนั้นแล้วว่า สำเร็จหลักสูตรมโนมยิทธิ(มีฤทธิ์ทางใจ)เบื้องต้นแล้ว(แต่ไม่เชื่อ) นั่งหารือกับเฮียโหงวว่าเหมือนนั่งนึกคิดกันเอาเองยังไงไม่รู้ เฮียโหงวแกว่าแกอ่านมามากถ้าจะให้ตอบไปตามนั้นก็ได้อยู่หรอก ตกลงกันว่าคราวหน้ามาอีกคราวนี้เราจะไปลองฝึกกับครูฝึกที่เป็นพระดู เพราะพระคงไม่พูดโกหกหรอก

    เดือนต่อมาก็มาลองฝึกกับหลวงพี่ ทราบในภายหลังว่าคือหลวงพี่อาจินต์ซึ่งเป็นผู้ทำหนังสือธรรมวิโมกข์ให้กับหลวงพ่อนั่นเอง ท่านยืนยัน แต่จริงๆแล้วนั่ง ว่าเจ้าฝึกได้ไปได้ตามนั้นจริง การลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัตินี้ เป็นนิวรณ์ต้องห้าม ก็จบกันเพียงนี้เพราะ Low Battery เต็มทีแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2013
  16. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    กราบโมทนาที่ท่านระมิงค์นำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังค่ะ
    มีความลังเลสงสัยเกิดขึ้นเหมือนกันค่ะ ว่าที่เราเห็นนั่นคิดไปเองหรือปล่าว

    บันทึกการฝึกปฏิบัติ นำมาอ่านครั้งใดก็มีเรื่องอมยิ้มซ่อนอยู่เสมอ
    -Happy Smile_
     
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    จับจองสำรองที่นั่งไว้ก่อน..ว่างแล้วเดี๋ยวเข้าอ่านใหม่
     
  18. ิิblue-lemon

    ิิblue-lemon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2013
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +27
    ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยค่ะท่านอาจารย์ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    จิตที่เป็นกุศลบุญที่ท่านได้อนุโมทนาบุญมา พร้อมทั้งบุญและฌานบารมีที่เราได้บำเพ็ญมาแล้วจงมี ผลใหญ่และอานิสงส์ใหญ่ กลับไปหาทุกท่านเทอญ

    อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาติมิตตา สะขา จะ เม
    บุคคลมาระลึกถึงอุปการะอันท่านได้ทำแก่ตนในกาล-
    ก่อนว่า, ผู้นี้ได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้ได้ทำกิจนี้ของเรา
    ผู้นี้เป็นญาติ เป็นมิตร เป็นเพื่อนของเรา ดังนี้
    เปตานัง ทักขิณัง ทัชชา ปุพเพ กะตะมะนุสสะรัง
    ก็ควรให้ทักษิณาทาน เพื่อผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว
    นะ หิ รุณณัง วา โสโก วา ยา วัญญา ปะริเทวะนา
    การร้องไห้ก็ดี การเศร้าโศกก็ดี หรือการร่ำไรรำพัน
    อย่างอื่นก็ดี, บุคคลไม่ควรทำทีเดียว
    นะ ตัง เปตานะมัตถายะ เอวัง ติฏฐันติ ญาตะโย
    เพราะว่าการร้องไห้เป็นต้นนั้น,ไม่เป็นประโยชน์แก่ญาติ
    ทั้งหลายผู้ละโลกนี้ไปแล้ว ญาติทั้งหลายย่อมตั้งอยู่อย่างนั้น
    อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินนา สังฆัมหิ สุปะติฏฐิตา
    ก็ทักษิณานุปทานนี้แล อันท่านให้แล้ว
    ประดิษญานไว้ดีแล้วในสงฆ์
    ทีฆะรัตตัง หิตายัสสะ ฐานะโส อุปะกัปปะติ
    ย่อมสำเร็จประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ละโลกนี้
    ไปแล้วนั้น, ตลอดกาลนาน ตามฐานะ
    โส ญาติธัมโม จะ อะยัง นิทัสสิโต
    ญาติธรรมนี้นั้น ท่านได้แสดงให้ปรากฏแล้ว
    เปตานะ ปูชา จะ กะตา อุฬารา
    แลบูชาอันยิ่ง ท่านก็ได้ทำแล้ว
    แก่ญาติทั้งหลายที่ได้ละโลกนี้ไปแล้ว
    พะลัญจะ ภิกขูนะมะนุปปะทินนัง
    กำลังแห่งภิกษุทั้งหลายชื่อว่าท่านได้เพิ่มให้แล้วด้วย
    ตุมเหหิ ปุญญัง ปะสุตัง อะนัปปะกันติ ฯ
    บุญไม่น้อย ท่านได้ขวนขวายแล้ว ดังนี้แล.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PICT0539.JPG
      PICT0539.JPG
      ขนาดไฟล์:
      854.7 KB
      เปิดดู:
      63
    • PICT0662.JPG
      PICT0662.JPG
      ขนาดไฟล์:
      960.6 KB
      เปิดดู:
      68
    • white peacock.jpg
      white peacock.jpg
      ขนาดไฟล์:
      156.6 KB
      เปิดดู:
      76
  20. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    อนุโมทนารัมคาถา แปล

    ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง ห้วงน้ำที่เต็มยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด
    เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วในโลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ ฉันนั้น
    อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขออิฏฐผลที่ท่านปราถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว
    ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ จงสำเร็จโดยฉับพลัน
    สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา ขอดำริทั้งปวงจงเต็มที่
    จันโท ปัณณะระโส ยะถา เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มะณี โชติระโส ยะถา เหมือนดังแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี.

    สัพพีติโย วิวัชชันตุ ความจัญไรทั้งปวง จงบำราศไป
    สัพพะโรโค วินัสสะตุ โรคทั้งปวง (ของท่าน) จงหาย
    มา เต ภะวัตวันตะราโย อันตรายอย่ามีแก่ท่าน
    สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ท่านจงเป็นผู้มีความสุข มีอายุยืน
    อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
    จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ
    อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
    ธรรมสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติกราบไหว้ มีปกติอ่อนน้อม (ต่อผู้ใหญ่) เป็นนิตย์ฯ มะณิ โชติระโส ยะถา เหมือนดังแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1 universe.jpg
      1 universe.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.5 KB
      เปิดดู:
      52
    • DSC08951.JPG
      DSC08951.JPG
      ขนาดไฟล์:
      568.3 KB
      เปิดดู:
      47
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...