ขึ้นตรงต่อพระพุทธเจ้าองค์เดียว (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 24 ธันวาคม 2010.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    [​IMG]

    ขึ้นตรงต่อพระพุทธเจ้าองค์เดียว
    โดย พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


    ต่อไปนี้ญาติโยมทุกๆ คน ให้ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมด้วยความ สงบ ให้เอาใจฟัง อย่าเอาหูฟัง นั่งให้มันสบายๆ ไม่ต้องพนมมือก็ได้ เอามือวางที่หน้าตักของเรา ความรู้สึกของเราอย่าให้มันขึ้นข้างบน อย่าให้มันลงข้างล่าง ให้มันพอดีๆ

    วันนี้มีญาติโยมทั้งหลาย ทั้งใกล้ทั้งไกล ล้วนเป็นชาวพุทธที่มี ศรัทธาแสวงหาธรรมะ แสวงหาทางพ้นทุกข์ วัดหนองป่าพงนี้เป็น แหล่งแห่งหนึ่ง ซึ่งขยายธรรมะให้ประชาชนทั้งหลาย ผู้ที่ไม่เข้าใจให้ เข้าใจ ผู้ที่เข้าใจน้อยก็ให้เข้าใจมากขึ้น จนกว่าที่ว่า “บรรลุธรรม”

    บรรลุธรรมอย่างไร บางคนที่เรียกว่ายังไม่บรรลุธรรม ก็คือยัง ไม่รู้จักธรรมนั่นแหละ เช่นบางคนก็กินเหล้าเมายา เห็นว่ามันดี เป็น ของเลิศของประเสริฐ เมื่อมาฟังธรรมะ ก็บรรลุเข้าถึงธรรม หยุดกิน เหล้า หยุดฆ่าสัตว์ หยุดขโมย หยุดโกหกพกลมต่างๆ เลิกไป แต่ศัพท์ ที่ว่าการบรรลุธรรมนี้ เราก็คิดว่ามันสูงเกินไป ว่ามันเป็นภาษาธรรมะ ที่เราจะไม่ถึงไม่บรรลุ ที่จริงแล้วคำว่า “บรรลุธรรม” นั้นก็คือเข้าไป ถึงธรรมะนั้นเอง

    อย่างเราทุกคนที่มาวัดหนองป่าพงนี้ เดินทางมาถึง วัดหนองป่าพงก็เรียกว่า บรรลุถึงวัดหนองป่าพง คนบรรลุธรรมนั้นก็อย่างเดียวกัน เราทุกคนโดยมากได้ยินคำว่า “บรรลุธรรม” ก็เข้าใจว่าศัพท์นี้มันสูงมาก เพราะว่าชาตินี้เราคงไม่ได้บรรลุ

    ความเป็นจริงนั้น เช่นว่าอันนี้มันบาป แต่เราเห็นยังไม่ชัด ก็ละบาปไม่ได้ เมื่อเราพิจารณาไปปฏิบัติไป จนเห็นชัดว่ามันเป็นโทษ เป็นการกระทำไม่ดี เห็นชัดแน่นอนจนไม่กล้าจะทำอีกต่อไป ไม่กล้าจะเก็บมันเป็นพืชพันธุ์อีกต่อไปแล้ว จนเป็นที่จะต้องวาง ต้องทิ้งมันไป
    (หมายเหตุ 1) ต่างกว่าแต่ก่อน คือท่านว่าบาป บาปเราก็รู้ว่าบาป แต่ว่าเรายังทำบาปอยู่ ยังทำผิดอยู่ ทำชั่วอยู่

    ผู้บรรลุธรรมนั้นคล้ายกับว่า เรามองเห็นงูเห่าที่มันเลื้อยไป เราก็รู้ว่างูนั้นเป็นอสรพิษ ถ้ามันกัดใครมันก็จะถึงตายหรือเจียนตาย อันนี้เรียกว่าเรารู้ในงูเห่าตามความเป็นจริง แล้วก็ไม่กล้าไปจับงูนั้น ใครจะบอกอย่างไรก็ไม่กล้าจับ คือเราบรรลุถึงพิษของมัน ความชั่วทั้ง หลายก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นโทษของมันก็ไม่อยากทำ ขอให้เรา ปฏิบัติไปพิจารณาไป มันก็จะเลิกจะถอนของมันเอง เมื่อมันบรรลุถึง ธรรมะเมื่อไรมันก็จะรู้จักธรรมะ เมื่อรู้จักธรรมะมันก็จะเป็นธรรมะขึ้นมา

    ฉะนั้น ที่พวกเราพุทธศาสนิกชนทั้งหลายมาในวันนี้ ได้มาปรารภ เป็นบุญวิสาขบูชา เพ็ญเดือนหก อันคล้ายวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประสูติ หรือเป็นวันที่ท่าน ตรัสรู้ธรรม หรือเป็น วันที่ท่านปรินิพพาน ทั้งสามกาล เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เป็นกรณี พิเศษ ที่ชาวพุทธทั้งหลาย ทั่วทุกสารทิศ เห็นวัดไหน ครูบาอาจารย์ที่ ไหน ได้สอนธรรมที่พอสมควร เราก็ไป เลื่อมใสตรงไหนเราก็ไปตรงนั้น ที่เราทั้งหลายรู้จักบาปบุญคุณโทษ ได้บวชกุลบุตร กุลธิดา ได้ ประพฤติปฏิบัติจนถึงบัดนี้ ก็เพราะบุญคุณของท่าน เป็นบุญคุณอัน เลิศประเสริฐที่สุด ที่ควรระลึกถึงในเวลาสำคัญ เรียกว่าเป็น พุทธานุสติ ระลึกถึงพระคุณ ของท่าน ที่ท่านได้อุตส่าห์พยายามบุกบั่นทำพระ ศาสนาจนมาถึงบัดนี้ ฉะนั้น พระคุณอันนี้ เราจะละทิ้งไม่ได้ จำเป็นที่ จะต้องมากราบไหว้ มาสร้างคุณงามความดีในวันนี้ก่อน

    พระผู้มีพระภาคของเรานั้นก็เป็นคนอย่างเรานี่เอง ไม่ใช่มาร ไม่ใช่พรหม ไม่ใช่อื่น เป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่อัศจรรย์ เป็นมนุษย์ ที่แปลก มนุษย์ผิดปกติ ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาเรา มนุษย์ถ้าผิด ปกติแล้วมีสองอย่าง คือผิดปกติไปในทางสูง ก็เรียกว่าพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์เจ้า เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นไปเลย ถ้าผิดปกติลงข้างล่าง ก็เป็นบ้าเท่านั้นแหละ เห็นไหม เป็นบ้า เป็นโรคประสาท ผิดปกติ เหมือนกัน ผิดปกติมาทางข้างล่างข้างต่ำ ส่วนปุถุชนธรรมดา สามัญ ชนธรรมดา ก็เป็นมนุษย์ที่อยู่ระหว่างกลาง ยังไม่เป็นโรคประสาท และยังไม่เป็นพระอริยเจ้า แต่แล้วก็จะเป็นได้ทั้งสองอย่าง เป็นได้ทั้ง พระอริยเจ้า เป็นได้ทั้งบ้า แต่ส่วนมาก ก็อยากดึงไปข้างล่างมากกว่า

    ทุกวันนี้มันจึงมีความสับสนในบางคนที่ไม่รู้จัก คือเห็นคนบ้า มา ก็ไปเที่ยวกราบขอเลข นึกว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะอะไร เพราะ มันแปลกจากคนธรรมดา เราก็คิดเอาเองว่านี่เป็นพระอรหันต์ คนนี้ก็ ไปกราบ คนนั้นก็ไปกราบ ความเป็นจริงกราบผีบ้า เราไม่รู้จัก เพราะ มันเป็นคนที่ผิดปกติเหมือนกันทั้งสองอย่าง แต่เราไม่รู้เรื่อง สูงเกินไป เราก็ไม่รู้จัก ต่ำลงไปกว่านั้นเราก็ไม่รู้จัก เพราะเราเป็นคนครึ่งๆ กลางๆ ฉะนั้นคนครึ่งๆ กลางๆ จึงเป็นมนุษย์ที่ควรฝึก เพราะว่าจะฝึกให้ดีก็ได้ ให้ชั่วก็ได้ เป็นมนุษย์ที่ควรฝึก เป็นสรรพสัตว์ที่ควรตรัสรู้ธรรม จึงไม่ ควรนิ่งนอนใจ มันจะเป็นดีก็ได้ เป็นชั่วก็ได้ เป็นบ้าก็ได้ เป็นพระอริย เจ้าก็ได้ ส่วนคนอื่นนั้นเราจะรู้จักได้ยาก คุณงามความดีของคนอื่น เราจะรู้ได้ยาก เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นปัจจัตตัง มันเชื่อไม่ ได้ด้วยการบอก ต้องให้ไปปฏิบัติ ให้ไปรู้เองเห็นเอง


    พระ พุทธเจ้าของเรานั้นถึงแม้ว่าท่านจะปรินิพพานไปแล้ว แต่ท่านก็ไม่ได้เอาอะไรไปด้วย ธรรมะสักนิดหนึ่งท่านก็ไม่ได้เอาไป ท่านวางไว้ในโลกนี้ทั้งหมด แต่พวกประชาชนเราทั้งหลายนั้น บางคนก็น้อยใจ “แหม ถ้าเราได้เกิดพร้อมพระพุทธเจ้า เราก็คงได้เป็นพระ อรหันต์ คงจะได้ปฏิบัติ” พูดคำนี้ขึ้นมาแล้วก็น้อยใจ นึกว่าเราไกลจากพระพุทธเจ้า นึกว่าพระพุทธเจ้าเก็บของหนีหมดแล้ว เราเลยไม่มีโอกาสที่จะได้ประพฤติปฏิบัติเป็นสุปฏิปันโนในชีวิตนี้ อย่างนี้ก็คิดไป คนเราคิดไปตามประสาคน

    ความเป็นจริงนั้น ธรรมะทุกอย่างพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เอา หนีไปไหน ยังสมบูรณ์อยู่อย่างเก่า และที่ว่าท่านปรินิพพานไปแล้วนั้น ความเป็นจริงนั้นท่านยังไม่ได้ปรินิพพาน ท่านยังอยู่ พระพุทธเจ้ายัง อยู่ ถ้าใครไม่รู้จักก็เสียใจตกใจ ว่าเกิดมาไม่ทันพระพุทธเจ้า ความเป็นจริงนั้น พระพุทธเจ้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะธรรม ท่าน บรรลุธรรมะจึงให้นามท่านว่า พระพุทธเจ้า ส่วนธรรมที่ท่านบรรลุ เปลี่ยนเป็นพระพุทธเจ้านั้นยังอยู่ คือสัจจธรรมยังอยู่ พระพุทธเจ้าหลายๆ องค์จะเกิดขึ้นมาก็ตาม ไม่เกิดก็ตาม จะมีพระพุทธเจ้าก็ตาม ไม่มีพระพุทธเจ้าก็ตาม ธรรมะนี้ยังอยู่ ธรรมเครื่องตรัสรู้ยังอยู่ ไม่ได้ สูญหายไปไหน ใครทำเมื่อไรก็ยังได้ ยังเป็นอยู่ เพราะเป็นสัจจธรรม ดังนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสสอนให้เป็นผู้ทำให้มาก เจริญให้ มาก ด้วยศรัทธาของเรา

    เมื่อปัญญาเกิดก็จะเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็น ธรรมะก็จะได้เห็นพระพุทธเจ้า เพราะความจริงแล้วมันเป็นอันเดียว กัน พระพุทธเจ้าองค์ที่ว่านี้ไม่มีรูป แต่คือหลักวิชาการ หลักการวิชา การที่จะให้เป็นพระพุทธเจ้านี้ ไม่ได้เสียหายไปที่ไหน ส่วนพระพุทธ เจ้าโดยสรุปก็คือ เป็นคนธรรมดาที่ไปเรียนวิชาอันนั้น ไปรู้วิชาอันนั้น จนกว่าที่ท่านรู้จักทุกข์ ท่านรู้จักเหตุเกิดของทุกข์ ท่านรู้จักความดับ ทุกข์ ท่านรู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ท่านรู้สี่อย่างนี้เท่านั้น ไม่ ต้องรู้อะไรมาก รู้ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกข์ก็หาที่เกาะไม่ได้ ตัวทุกข์ นี้มันไม่มีเพราะเหตุมันไม่มีแล้ว รู้จักเหตุมันแล้ว ดับเหตุมันแล้ว ผลก็ คือตัวทุกข์มันดับไป วิชาความรู้อันนี้ยังอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา โลก นี้มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน สัจจธรรมนี้ยังมีอยู่

    เปรียบให้ฟังว่า คนที่เป็นครูนั้นคือใคร ก็คือคนที่ไปเรียนวิชา ครู จนสอบได้ตามหลักการของเขา แล้วก็ให้ไปสอนนักเรียน ได้ชื่อว่า เป็น “ครู” ถ้าว่าครูนี้ตายไป แต่วิชาของครูไม่ได้ตาย ยังอยู่ ใครยัง เรียนต่อไปก็ยังเป็นครูได้อีก วิชามันไม่หาย วิชามันไม่ตาย ครูคนที่ ตายนั้นไม่ได้เอามันไปด้วย มันยังอยู่ ธรรมที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกันอย่างนั้น

    ฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้แล้ว พวกเราก็พอจะมองเห็น ธรรมะ จะมีศรัทธาในการปฏิบัติ แต่ถ้าเข้าใจว่าท่านปรินิพพานแล้วก็ หมด ไม่เห็นพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้า มันก็ไม่เห็นบาป ไม่ เห็นบุญ คนเรานั้นก็ทำได้ทั้งบุญทั้งบาปนั่นแหละ เขาว่าบุญก็บุญไป อย่างนั้น เขาว่าบาปก็บาปไปอย่างนั้น มันเห็นไม่ชัด ไม่เห็นตัวบาป ไม่เห็นตัวบุญตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติ ของพวกเราทั้งหลาย มันจึงเป็นหมันอยู่ในเวลานี้

    แค่จะให้ถึงพระรัตน ตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งก็ยังไม่ค่อยจะได้กัน ยังไม่เชื่อท่าน ยังไม่เชื่อพอ ยังไปดูหมอดู ไปดูฤกษ์ ต้องให้หมอบอก ว่าทำอย่างนั้นๆ สะเดาะเคราะห์อย่างนั้นๆ เท่านี้ก็เสียแล้ว นี่เรียกว่า ไม่ถึงพระรัตนตรัยแล้ว ฉะนั้นมันถึงยากถึงลำบาก ไม่รู้จะเอาอะไรต่อ มิอะไร วุ่นวาย ไปหาหมอผีบ้าง หมอเทวดาบ้าง หมอสารพัดอย่าง เพื่อจะมาแก้ไข เมื่อคิดแล้วมันจึงยังห่างไกลมาก แต่ว่าเข้าวัดทุกคน ทำบุญทุกคน แต่ก็เป็นขโมยเกือบทุกคน โกหกเกือบทุกคน อะไรๆ ก็ทุกคน มันทุกคนไปทุกๆ อย่าง

    อาตมาสลดใจเรื่องหนึ่ง พระฝรั่งรูปหนึ่ง คือพระสุเมโธ มาอยู่ ด้วย ก็ศึกษาธรรมะตรงไปตรงมา เราก็สอนว่า อันนี้เป็นบาปให้ละ เสีย อันนี้มันเป็นบุญ มาอยู่ด้วยหลายปีเหมือนกัน เมื่ออยู่มาพอ สมควรแล้ว ก็ให้ท่านไปอยู่วัดป่านานาชาติ เมื่อไปอยู่แล้ว ท่านสุเมโธ ก็ตั้งใจ ถึงวันพระ ชาวบ้านก็มาสมาทานอุโบสถศีลกัน ท่านก็ดีใจว่า คนไทยนี่รับศีลรับพรหลาย มีศีลมีธรรมมาก แต่อยู่ๆ ไปไม่กี่วัน ท่านก็ ไปเห็นคนที่รับศีลไปกินเหล้า เมื่อเดินบิณฑบาตไปก็ไปเห็นทอดแห อย่างนี้ท่านก็หมดเลย

    วันหนึ่งก็กลับมากราบว่า “หลวงพ่อ ทำไม่เป็นอย่างนั้นเล่า เมื่อคืนก็มาสมาทานศีลกันแล้วว่า จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่กิน เหล้า ทำไมไปทำกันอีกอย่างนี้”

    นี่คือความจริงของเขา ถ้าทำอย่างนี้มันจะเป็นการเป็นงาน ไหม มันจะได้ผลไหม กำลังใจของท่านอ่อนไปมาก เพราะคิดว่า ถ้า ใครสมาทานศีลในพระพุทธศาสนาแล้วก็เลิกละกัน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กิน เหล้า แต่นี่มันอยู่อย่างเก่า รับศีลก็รับไปเถอะ เหล้าก็กินไปเถอะ ทั้ง สองอย่าง ฝรั่งดูไม่ออก ไม่รู้ข้างหน้าข้างหลังมันเป็นอย่างไร ท่านก็ เลยลำบากไม่สบายใจ อาตมาก็ว่า “สุเมโธ อย่าไปคิดมันมากซิ ให้ เข้าใจว่าสอนพวกเด็กๆ มันเป็นอย่างนั้น อย่าไปถือเลย เมื่อมีความรู้ ความเห็นขึ้นมา เขาจะละไปเองล่ะ” ดังนั้น ท่านก็อยู่ได้

    อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา มันไม่เข้าถึงที่สุด อยากจะ บรรลุธรรม อยากจะประพฤติธรรม แต่ว่าไม่รู้จักกำหนดจิตใจของเจ้า ของ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นมาในจิตไม่รู้จักกำจัด บางคนก็ส่ง เสริมมันเสียด้วย ไม่รู้จักบำบัดมัน มันเป็นอย่างนี้

    อย่างฝรั่งคนหนึ่งก็พูดว่า ประเทศไทยมีพุทธศาสนา ทำไมถึง มีขโมยมาก อาตมาก็ว่า “สหรัฐมีกฎหมายห้ามขโมยไหม ?” “ห้าม” “มีขโมยไหม ?” “มีครับ” “อ้าว ทำไมล่ะ ทำไมมีขโมยละ ทำไม กฎหมายไม่ฆ่ามันซะ ?” อย่างเดียวกันอย่างนั้น จะไปโทษพุทธ ศาสนาว่าศาสนาเป็นขโมย ไม่ใช่หรอก คนมันเป็นขโมย เหมือนกฎหมายสหรัฐห้ามไม่ให้ขโมย แต่คนก็ยังเป็นขโมยกัน เป็นเพราะคน ไม่ใช่เป็นเพราะกฎหมาย

    ดังนั้นอาตมาจึงสอนอยู่แถวๆ นี้ล่ะ ไม่ต้องไปไกล ไม่ต้องไป สอนไปในพระไตรปิฎกหรอก สอนแค่ว่าคนที่ไม่รู้จักบาปนี่ทำไมมันจึงจะรู้สึก สอนถึงหัวใจมันเลย หัวใจพระพุทธศาสนาก็คือ ไม่กระทำบาปทั้งปวง นั่นล่ะอันหนึ่ง แล้วก็ทำจิตให้เป็นบุญเป็นกุศลอย่างหนึ่ง แล้วก็สอนทำใจให้ผ่องใสอีกอันหนึ่ง แต่ว่าเมื่อเราทำนะ มันไม่เอา อย่างนั้น สูตรทั้งหลายมีหมด หัวใจศาสนามันก็มี ตับศาสนามันก็มี เรียนกัน แต่ว่าเรียนแล้วเอาไปเป่าผีซะ
    (หมายเหตุ 2) สัพกะระณีเอา ไปกับผีซะ มันแปลกไปอย่างนั้น เอาตับให้มันดีกว่าเขาล่ะ มันก็ยังไม่ กิน เอาหัวใจมันให้ ก็ไม่กินอีก จะเอาอะไรให้มันก็ไม่เอา แล้วก็มาพูด ว่าไม่ได้เรียนไม่รู้จัก จะไปเรียนอะไรมากมาย ท่านย่อให้แล้วแต่เราก็ ไม่รู้จัก เอาไปทำอย่างอื่นหมด ชอบทำแต่ที่เรียกว่าไม่รู้เรื่อง


    ดังนั้น เราจึงต้องประพฤติปฏิบัติไปจนกว่ามันจะเข้าใจ เหมือนน้ำที่เราหยดลงไปอย่างนี้ หยดห่างๆ (หมายเหตุ 3) ปั๊บ ปั๊บ ปั๊บ เราเร่งกามันขึ้น หยดของน้ำมันก็ถี่เข้า ปั๊บปั๊บปั๊บปั๊บ เร่งขึ้นไป มันก็ติดกันจนไหลเป็นสาย หยดแห่งน้ำมันหายไปไหน มันเป็นสาย ของน้ำ ถ้ามันติดกันแล้วเขาไม่เรียกว่าหยดน้ำ เขาเรียกว่าสายน้ำ สายน้ำมันเกิดจากอะไร มันเกิดมาจากหยดน้ำ นี่มันต้องเป็นอย่างนี้ มันจะต้องค่อยๆ ไปอย่างนั้น ประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลาไป การประพฤติปฏิบัติทำไมมันจะไม่ขัดใจเจ้าของละ อาตมามันขัดจนได้ บวชมาถึงขนาดนี้

    ขัด โอ้โธ่ ! มาฉันข้าวมื้อเดียว เด็กรุ่นๆ จะทำอย่างไร ฉันมื้อ เดียว ไปนั่งภาวนามันก็หิว นั่งอยู่ ตอนกลางวันใจมันก็เดินไปตลาด โน่น ไปหาก๋วยเตี๋ยวกิน กินโน่น ไปโน่น สารพัดอย่าง มันจะไปแต่เรา ก็ไม่อยากให้มันไป ขัดใจก็ไม่รู้จะทำอย่างไร กิเลสมันหลาย จำเป็น จะต้องอดทน บางทีปฏิบัติไปท้องไม่สบาย ไปให้หมอตรวจก็ว่า “ท่าน ไม่ได้หรอก มันเป็นโรคกระเพาะ ท่านต้องฉันข้าวสองสาม เวลา” บางก็ทีบังคับให้ฉันข้าวเย็นอีกเสียด้วย “อ้าวโยม ให้ฉันข้าว เย็น มันก็กินข้าวเย็นเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ฉันหรอก” สารพัดอย่าง จึงต้องอดทนต่อสู้ ขึ้นต่อพระพุทธเจ้าองค์เดียว ท่านให้ฉัน เอกา ท่านบอกว่าดีไม่ดีโรคมันหายอีกด้วย หมอบอกว่าขาดอาหารนะ ไปคนละทางเลย เราเป็นคนปฏิบัติ ไม่รู้จะทำอย่างไร อย่างหมอ รักษานี่เขาก็ดี แต่หมอเป็นมะเร็งมันก็มีนะ หมอเป็นมะเร็งตายเลย เพราะฉะนั้น เราจะทำอย่างไรแล้วก็ต้องทำด้วยปัญญา ขึ้นตรงต่อ พระพุทธเจ้าองค์เดียว ท่านว่าให้ละบาปก็ให้ละไปเสีย บำเพ็ญบุญก็บำเพ็ญไปเสียเท่านี้ก่อน จิตใจมันก็ผ่องใสสะอาด

    เหมือนกับคนๆหนึ่ง ครั้งแรกไปตะครุบกบ จับมาหักขามันทุก ตัวเลย หักขามันไม่พอหักขาน้อยๆมันอีก ต่อมาแกก็ตะครุบมันเฉยๆ ขาไม่หัก เรียกว่ามันเบาลงละ อีกต่อมาไม่อยากจะทำ บางทีตะครุบ แล้วก็วาง ก็คิดว่าไม่เอา พอไม่เอาก็นึกถึงหน้าลูกหน้าเมียที่บ้าน ก็จับอีก จนกว่ามันเห็นชัดในใจของเจ้าของแล้วมันก็เลิก ตะครุบก็ไม่ ตะครุบ จับก็ไม่จับมัน เลิก แต่มันก็ยากอยู่ จึงต้องอาศัยความอดทน อาศัยการประพฤติปฏิบัติของเขา

    ถึงแม้ว่าเราจะมาเป็นนักบวช บางคนก็ดูเผินๆ ก็เห็นว่านัก บวชมันสบาย ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ตีสามลั่นระฆัง ก๊งๆๆ แล้ว หกโมงอุ้มบาตรไปโน่นสองกิโล สามกิโลโน่น เดี๋ยวอันนั้นเดี๋ยวอันนี้ สารพัดอย่าง ถ้าใครไม่มีศรัทธาจริงๆ อยู่ยากลำบาก ฉะนั้นพระพุทธ เจ้าท่านจึงให้ฝึก แต่คนเรามันก็ไม่อยากจะฝึก

    ไปพบตาแก่คนหนึ่งอายุตั้งหกสิบเจ็ดสิบแล้ว ยังกินเหล้ากิน เมาไม่รู้เรื่อง ก็บอกว่า “โยมขอเถอะ อาตมาขอเถอะ อย่าทำเถอะ แก่แล้ว” “โอ้ เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้ว ให้ผมขออีกสักปีเถอะ” อ้อนวอน ขอกินเหล้าอีกสักปีจึงจะเลิก มันเสียดายเหลือเกิน คือมันไม่ได้ พิจารณานั่นเอง ฉะนั้นความชั่วมันถึงไม่หลุดจากเราไป ใจของเรามัน ก็ไม่ผ่องใส ไม่ละบาป ไม่ละความชั่วแล้วจิตใจไม่ผ่องใสหรอก เกิดเป็นบุญขึ้นยาก

    ถ้าหากไม่ทำความผิดแล้วเป็นศีลนะโยม กาย วาจา เป็นศีล พอเป็นศีลปุ๊บ ศีล สมาธิติดต่อกันเลย สมาธิคือความตั้งใจมั่น คือ เมื่อมันเห็นชัดในการละ มันเห็นชัดในการวางมันเห็นชัดในการที่ไม่ ทำอย่างนั้น มันมั่นอยู่อย่างนั้น ใครจะพูดไปตรงไหนมันก็มั่น นี่เรียกว่า สมาธิมันมั่น ถ้ามีศีลแล้ว สมาธิแล้ว ปัญญามันก็เกิดเท่านั้น แหละ มันไม่อยู่หรอก เกิดปัญญารู้รอบสิ่งทั้งหลาย ท่านจึงว่าหลัก พุทธศาสนาของเรา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฉะนั้นจึงให้เราทำ ให้เรา ภาวนา มันจะมีกำลังเป็นเหตุให้ศีลดีขึ้น สมาธิดีขึ้น ปัญญาดีขึ้น มัน เป็นไวพจน์รอบกันอยู่เสมอเลยทีเดียว

    การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นสิ่งที่ควรจะทำ ถึงทำไม่ได้หมดก็ พยายามทำ ทำไมถึงต้องทำ เพราะสิ่งทั้งหลายที่จะเป็นของมันจริงๆ มันไม่มีอะไร ตายแล้วก็ทิ้งไว้ในโลกนี้ คนมีมากก็ทิ้งไว้มาก คนมีน้อย ก็ทิ้งไว้น้อย อันนี้มันก็น่าเจ็บใจเหมือนกันนะ ลองคิดดูซิ ฉะนั้น เรา ควรพยายามทำ ถึงแม้ภพนี้มันไม่ถึงที่สุด ก็ให้มันเป็นประโยชน์ในภพหน้า เหมือนผลไม้เรากินดูมันก็หวาน เมล็ดมันน่าจะเอาไปปลูกนะ แต่เอาไปต้มซะ เอาไปคั่วซะ เลยหมดพันธุ์มันเลย

    พูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงหลวงตากับเณรน้อย คือเขาเอาขนุนมา ถวายหลวงตา พอฉันเข้าไป โอ้ มันหวานเหลือเกิน พอหวานปุ๊บ ก็ อยากจะได้พันธุ์มัน ก็ถามเณรน้อยว่า “น้อย ฉันขนุนไหม ?” “ฉันครับ” “อร่อยไหม ?” “อร่อยครับ” “เมล็ดมันทำอย่างไร ?” “เอาไปต้ม” หลวงตาพูดไม่ได้เลย มันไปคนละเรื่องกัน หลวงตาว่าจะ เอาไปทำพันธุ์ เณรน้อยว่าเอาไปต้ม มันก็หมดไม่เหลือ รสมันดีมัน อร่อยเราก็รู้จัก เมล็ดมันน่าเอาไปทำพืชทำพันธุ์ แต่นี่เอาไปต้มเลย มันก็เสร็จเท่านั้นแหละ ไม่มีเหลือ นี่มันสั้นขนาดนี้ คิดๆ ดูก็ขันเหมือนกันนะ

    มนุษย์เรานี่ อย่างคำว่า “โลก” นี่แต่ก่อนอาตมาก็เถียงพระพุทธเจ้าเหมือนกันนะ ท่านว่า “มันไม่ใช่ตน มันไม่ใช่ของของตน” เรา ก็ฟังไม่ได้ คือความอยากมันหลาย มันก็ทับไปเลย ความเป็นจริงพวก ที่เขามีธรรมะ แล้วเขาเอาธรรมะมาใช้ มันก็ยิ่งรวยธรรมะ ยิ่งสบาย ยิ่งมีปัญญา ยิ่งแปรเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ใช่มันเสียหายไปตรงไหน มีอยู่ อย่างเก่านั่นแหละ ได้ประโยชน์เสียด้วย
    (หมายเหตุ 4) คนไม่มีธรรมะ นั่นซิมันทุกข์ หาจนไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักถอย ทำแต่งานไม่ต้องกินผลงาน ทำแต่งานเท่านั้นแหละ ฉะนั้น พวกเราทุกคนที่เรียกว่ามันพอ สมควรแล้วก็เบาลง พยายามทำให้เบา พยายามทำสิ่งใดที่มันไม่เป็นบาปนั่นละ

    อาตมาเคยไปพบนายพรานคนหนึ่งอยู่ที่ต่อเขต เป็น นายพรานตั้งแต่อายุสิบหกปี จนแก่ อาตมาไปเห็น โอ้ บ้านเป็น กระต๊อบเล็ก กับมีกระบอกปืน แกไม่เอาอะไรโยม เอาแต่ไปยิงช้าง เอางามัน อาตมาก็มาคิดว่า “โอ เรานี่ ถ้าหากว่าจะโปรดคนคนนี้ได้ แล้ว เห็นว่าจะได้บุญหลายละมั้ง” ก็เลยแวะเข้าไปที่เขาอยู่ อาตมาก็ เลยไปพูด “โยม ทุกวันนี้ทำอะไร ทำมาหากินอะไร” แกก็ว่า “ยิงช้าง เอางามันไปขาย” “โอ้ แล้วกัน ฟันของโยมนะเสียดายไหม มีคนมา ถอนจะว่าอย่างไรไหม อาตมาว่าเปลี่ยนอาชีพอื่นไม่ได้หรือโยม งาช้างนั้นกว่ามันจะได้เมตรหนึ่ง หรือห้าสิบ เจ็ดสิบนี่ ช้างมันรักษา ของมันอยู่ไม่รู้กี่สิบปีนะ” เราอธิบายให้ฟัง เขาก็นั่งฟังแล้วก็ตอบว่า “โอ้ย ก็มันอยากได้นี่น้า” เราก็อธิบายไปอีก มันก็ตอบว่าแต่ความ เดียว “มันอยากได้นี่น้า” เราก็อธิบายต่อไปอีก มันก็ไปไม่ได้ “มัน อยากได้นี่น้า” มันก็ว่าอยากได้อยู่อย่างนั้น มันแน่นมันหนา มันไม่มีทางไป ได้ปลูกพืชปลูกผักมันก็ได้กินแล้ว นี่ไปหาช้างยิงหลายปีก็ไม่ ค่อยจะได้งามัน มันเป็นกรรม พระพุทธองค์ท่านสอนให้เราทำมาหา กินไปในทางที่ชอบ สัมมาอาชีวะ อย่าไปทำบาปเบียดเบียนตน เบียด เบียนผู้อื่น มันก็มีทางพอหาได้ แต่ว่ามันไม่หาไม่ทำ มันจะเอาแต่สิ่งที่มันเป็นบาปนั่นละ มันไม่เห็นจะพูดอย่างไรมันก็ไม่เห็น คือ มันไม่ได้ภาวนากันนั่นเอง

    อย่างที่พวกเราที่พากันมาเข้าวัดอย่างนี้ มันก็บางไปพอ สมควรแล้ว พอรู้เรื่องแล้ว ถึงละบาปยังไม่หมดก็พอครึ่งๆ กลางๆ จะ พยายามละพยายามถอน ถึงวันนี้ยังไม่ได้ พรุ่งนี้ก็พยายามอยู่เรื่อยๆ ทำให้มันเป็นนิสัย ให้มันเป็นปัจจัย ถ้าเรานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว แต่เราไม่ทำความดี อย่างนี้มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีความหมาย ดังนั้น ท่านจึงให้ละ พูดง่ายๆ ว่า ละบาปบำเพ็ญบุญ แต่ เดี๋ยวนี้มันละบุญบำเพ็ญบาปกันเสียแล้ว แต่ก่อนมันเอาม้าออกหน้า รถเดี๋ยวนี้มันเอารถออกหน้าม้า ท่าสอนว่าละบาปบำเพ็ญบุญ มันก็ทำมาๆ มันไม่ทันใจ มันก็ละบุญบำเพ็ญบาป เลยมันกลับไปซะ มัน เป็นอย่างนี้



    หมายเหตุจากผู้จัดทำ (คุณเจริญชัย เจริญทั้งเมือง)

    เรื่องนี้ผมใช้หนังสือ กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว ซึ่งจัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ธรรมสภา มาเป็นต้นฉบับ พิมพ์เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม แต่ยังได้คงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความคาดว่า ต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด หรือข้อความที่ไม่ชัดเจน โดยได้ใส่วงเล็บ กำกับไว้ ณ จุดที่แก้ไขแล้ว ดังรายละเอียดต่อไปนี้

    จุด 1 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ไม่กล้าจะเก็บมันเป็นพืช พันธุ์อีกต่อไปแล้ว จะเป็นที่จะต้องวาง ต้องทิ้งมันไป” แก้เป็น “ไม่ กล้าจะเก็บมันเป็นพืชพันธุ์อีกต่อไปแล้ว จนเป็นที่จะต้องวาง ต้องทิ้ง มันไป”

    จุด 2 ตรงนี้ไม่ได้ผิดหรอก แต่ขอเปลี่ยนสักนิด คือต้นฉบับ เดิมเป็นข้อความว่า “ตับมันก็มี หัวใจมันก็มี เรียนกัน แต่ว่าเรียนแล้ว เอาไปเป่าผีซะ” ผมอ่านครั้งแรกก็งงเหมือนกัน ตับอะไร ? เห็นบอกว่าเอาไป เป่าผี หรือว่าเป็นผีปอบ กินตับคน ต้องอ่านย้อยไปย้อยมาถึงเห็นว่า ก็คือ หัวใจกับตับของศาสนานี่เอง เคยเห็นแต่ใช้คำว่า “หัวใจ” เพิ่งจะมาเห็นมี “ตับ” แถมมาด้วยก็คราวนี้แหละ ความจริงสำนวนนี้ก็ดีนะ พอผมตีความออกก็ยังนึกขำเลย แต่กลัวคนอื่นจะตีความไม่ออกกัน แล้วก็จะโยนทิ้งทั้งเรื่องไม่อ่านต่อ ขอความปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า จึงเปลี่ยนเป็นข้อความว่า “หัวใจศาสนามันก็มี ตับศาสนามันก็มี เรียนกัน แต่ว่าเรียนแล้วเอาไปเป่าผีซะ”

    จุด 3 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “หยุดห่างๆ” แก้เป็น “หยดห่างๆ”

    จุด 4 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “เอาธรรมะมาใช้ มันก็ยิ่ง รวยอยู่อย่างเก่านั่นแหละ ยิ่งสบาย ยิ่งมีปัญญา ยิ่งแปรเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ใช่มันเสียหายไปตรงไหน ได้ประโยชน์เสียด้วย” แก้เป็น “เอาธรรมะมาใช้ มันก็ยิ่งรวยธรรมะ ยิ่งสบาย ยิ่งมีปัญญา ยิ่งแปรเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ใช่มันเสียหายไปตรงไหน มีอยู่อย่าง เก่านั่นแหละ ได้ประโยชน์เสียด้วย”



    ที่มา ::
     
  2. evatranse

    evatranse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +571
    [​IMG]
     
  3. parapuda

    parapuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +250
    อนุโมทนาสาธุ ในบุญกุศล ในบูรณาการพระศาสนาทั้งปวง ^^
    อนุโมทนา Express gratitude Buddha ۩ - YouTube
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    http://www.facebook.com/UniversalReligionNirvana
    ศาสนาสากล - Universal Religion
    - มีธรรมชาติทั้งหมดเป็นองค์ความรู้ และอุดมสุข ให้ิผู้นับถือและปฏิบัติพัฒนาศักยภาพตนได้ตามลำดับตามอุดมสุขของตนได้จนถึงเป็นพระเป็นเจ้า หรือศาสดา ตามอุดมคติและความรู้สูงสุดของศาสนา ปรัชญา อภิปรัชญา รวมถึงศิลปะเเละวิทยาการทั้งหมด ในประวัติศาสตร์โลกรวมกัน ตามจริตและความเหมาะสมของอุดมสุขของมนุษยชาติทุกคนโดยให้บังเกิดสันติภาพความเจริญก้าวหน้าและอารยะธรรม ศิลปะและวิทยาการ สรรค์สร้างความสมบูรณ์ ผาสุก ตลอดไป.
    - There is a natural body of knowledge and practice development Ideal of happiness thier Anglicans and their respectively Ideal of happiness their God or prophet according to the highest ideals and knowledge of religion, philosophy, metaphysics and science all artistic undertakings. In the history of the world together. By happiness sense of humanity and decency of all people to bring peace, prosperity and civilization. Arts and Sciences. Create the perfect bliss forever.
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ญาณทัสสนวิสุทธิ-Mystics Tuscan pine LDS.(translation by google 4/6/2013 6:22 PM)
    ความบริสุทธิ์วิเศษด้วยความรู้ความรู้ความเห็นในทางดำเนิน หมายถึง วิปัสสนา
    ญาณที่มีกำลังตั้งแต่อุทยัพพยญาณที่พ้นจากอุปกิเลสแล้ว จนถึงสัจจานุโลมิกญาณ
    อันเป็นวิปัสสนาญาณที่ถึงยอด ( อุทยัพพยญาณที่ ๔ ภังคานุปัสสนาญาณที่ ๕
    ภยตุปัฏฐานญาณที่ ๖ อาทีนวานุปัสสนาญาณที่ ๗ นิพพิทาญาณที่ ๘ มุญจิตุกัม
    ... ยตาญาณที่ ๙ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณที่ ๑๐ สังขารุเปกขาญาณที่ ๑๑ อนุโลม
    ญาณที่ ๑๒ )
    Youtude : [ame=http://www.youtube.com/watch?v=e4vqZcIPVYk]ความจริงไม่มีใครทุกข์ - YouTube[/ame]
    วิสุทธิ>Religion Nirvana
    วิสุทธิ - วิกิพีเดีย
    Thailand>นิพพาน - วิกิพีเดีย
    "นิพพาน" จากบาลี Nibbāna निब्बान ประกอบด้วยศัพท์ นิ (ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) รวมเข้าด้วยกันแปลว่า ไม่มีการพัดไป ไม่มีสิ่งร้อยรัด คำว่า "วานะ" เป็นชื่อเรียก กิเลสตัณหา กล่าวโดยสรุป นิพพานคือการไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ อันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
    ในทางมหายานได้กล่าวไว้ใน ธรฺม ธาตุ ปรกฺฤตย อวตาร สูตฺร(入法界體性經 ) โดยอธิบายว่า ธรรมธาตุของนิพพานนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิด ไม่ดับ ไม่สกปรก ไม่บริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อน ไม่แปรปรวน ไม่มีผู้ใดดับได้ จึงไม่มีผู้ใดเกิด นิกายมหายานส่วนใหญ่มักมุ่งสู่การไปเกิด ณ แดนสุขาวดี (หนึ่งในพุทธเกษตร ซึ่งเป็นโลกธาตุที่พระอมิตตายุสสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เนรมิตขึ้น ) โดยมีคติการบรรลุธรรมคนเดียวเป็นการเห็นแก่ตัวดังนั้นจึงอยู่ช่วยสรรพสัตว์จนถึงคนสุดท้าย
    English>Nirvana - Wikipedia, the free encyclopedia
    Nirvāṇa (Sanskrit: निर्वाण; Pali: निब्बान nibbāna; Prakrit: णिव्वाण) is an ancient Sanskrit term used in Indian religions to describe the profound peace of mind that is acquired with moksha (liberation). In shramanic thought, it is the state of being free from suffering. In Hindu philosophy, it is union with the Brahman (Supreme Being).
    The word literally means "blown out" (as in a candle) and refers, in the Buddhist context, to the imperturbable stillness of mind after the fires of desire, aversion, and delusion have been finally extinguished.[1]
    ------------------------------------------------------------------------------
    ปรัชญา-Philosophy
    Thailand : ปรัชญา - วิกิพีเดีย
    คำว่า ปรัชญา มีที่มามาจากภาษาสันสกฤต หมายถึงความรู้อันประเสริฐ โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า ปฺร ที่แปลว่าประเสริฐ กับ คำว่า ชฺญา ที่แปลว่ารู้ ซึ่งเป็นศัพท์บัญญัติโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ แทนคำว่า philosophy ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า Φιλοσοφία ฟีโลโซเฟีย ในภาษากรีกโบราณ ซึ่งแยกได้เป็นคำว่า φιλεῖν ฟีเลน แปลว่าความรัก และ σοφία โซเฟีย แปลว่าความรู้ เมื่อรวมกันจึงมีความหมายว่า "การรักในความรู้" หรือ ปรารถนาจะเข้าถึงความรู้หรือปัญญา
    ปรัชญา ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และหลักแห่งความจริง กล่าวคือ ในบรรดาความรู้ทั้งหลายของมนุษยชาตินั้น อาจแบ่งได้เป็นสองเรื่องใหญ่ ๆ
    เรื่องที่หนึ่ง คือ เรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น ฟิสิกส์ มีเป้าหมายในการศึกษาเพื่อหาความจริงต่าง ๆ และเข้าใจในธรรมชาติมากกว่าสิ่งรอบตัวเพราะรวมไปถึงจักรวาลทั้งหมดอย่างลึกซึ้ง ชีววิทยา มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เคมี มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับธาตุและองค์ประกอบของธาตุ เป็นต้น
    เรื่องที่สอง คือ เรื่องเกี่ยวกับสังคม เช่น เศรษฐศาสตร์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของสังคม รัฐศาสตร์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองของสังคม นิติศาสตร์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับระบบกฎหมายของสังคม เป็นต้น
    เป้าหมายในการศึกษาของปรัชญา คือการครอบคลุมความรู้และความจริงในทุกศาสตร์และในทุกสาขาความรู้ของมนุษย์ รวมทั้งชีวิตประจำวันของตนด้วย ผลจากการศึกษาของปรัชญาก็สามารถนำไปใช้อ้างอิงได้ ผู้รอบรู้ด้านปรัชญามักขนานนามว่า นักปรัชญา ปราชญ์ หรือ นักปราชญ์
    English : Philosophy - Wikipedia, the free encyclopedia
    Philosophy is the study of general and fundamental problems, such as those connected with reality, existence, knowledge, values, reason, mind, and language.[1][2] Philosophy is distinguished from other ways of addressing such problems by its critical, generally systematic approach and its reliance on rational argument.[3] In more casual speech, by extension, "philosophy" can refer to "the most basic beliefs, concepts, and attitudes of an individual or group".[4]
    The word "philosophy" comes from the Ancient Greek φιλοσοφία (philosophia), which literally means "love of wisdom".[5][6][7] The introduction of the terms "philosopher" and "philosophy" has been ascribed to the Greek thinker Pythagoras.[8] A "philosopher" was understood as a word which contrasted with "sophist". Traveling sophists or "wise men" were important in Classical Greece, often earning money as teachers, whereas philosophers are "lovers of wisdom" and were therefore not in it primarily for the money.
    ------------------------------------------------------------------------------
    อภิปรัชญา (อังกฤษ: Metaphysics)
    Thailand : อภิปรัชญา - วิกิพีเดีย
    English : Metaphysics - Wikipedia, the free encyclopedia
    ------------------------------------------------------------------------------
    ศาสนา (อังกฤษ: religion) หมายถึง ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ตามประมาณการที่มีการค้นพบศาสนาในโลกมีประมาณ 4,200 ศาสนา ในหลักอภิปรัชญาว่าทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาดำรงอยู่และจะเป็นเช่นไรต่อไป มีหลักการ สถาบัน หรือประเพณี ที่เป็นที่เคารพโดยทั่วไป แล้วอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ควบคุม และประสานความสัมพันธ์ของมนุษย์ ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข คือ ให้มีหลักการ ค่านิยม วัฒนธรรมร่วมกันและวิถีทางที่มนุษย์เลือกใช้ในการดำรงชีวิต ให้สังคมเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแนวทางไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยหลักจริยธรรม คุณธรรม ศิลธรรมที่เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
    นอกจากการนับถือศาสนาแล้ว ยังมีความเชื่อไม่นับถือศาสนาด้วย เรียก "อศาสนา" (อังกฤษ: irreligion) และผู้ไม่นับถือศาสนาเรียก "อศาสนิก" (อังกฤษ: irreligious person)
    Thailand : ศาสนา - วิกิพีเดีย
    Religion is an organized collection of beliefs, cultural systems, and world views that relate humanity to the supernatural, to spirituality and, sometimes, to moral values.[note 1] Many religions have narratives, symbols, and sacred histories that are intended to create meaning to life or traditionally to explain the origin of life or the Universe. From their beliefs about the cosmos and human nature, they tend to derive morality, ethics, religious laws or a preferred lifestyle. According to some estimates, there are roughly 4,200 religions in the world.[1]
    Many religions may have organized behaviors, clergy, a definition of what constitutes adherence or membership, holy places, and scriptures. The practice of a religion may also include rituals, sermons, commemoration or veneration of a deity, gods or goddesses, sacrifices, festivals, feasts, trance, initiations, funerary services, matrimonial services, meditation, prayer, music, art, dance, public service or other aspects of human culture. Religions may also contain mythology.[2]
    The word religion is sometimes used interchangeably with faith or belief system; however, in the words of Émile Durkheim, religion differs from private belief in that it is "something eminently social".[3] A global 2012 poll reports that 59% of the world's population is religious, 23% are not religious, and 13% are atheists.[4]
    English : http://en.wikipedia.org/wiki/Religion
    ------------------------------------------------------------------------------
    Spiritual Reality The Ultimate To Meditation.
    Youtube :Spiritual Reality Power Of Meditation (Techniques) 1080P Full HD - YouTube
    วิดีโอนี้บอกเกี่ยวกับการทำสมาธิลึก การเดินทางจากจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุด โดยใช้แบบจำลอง 3 มิติที่วิธีการที่เข้าใจง่ายในเรื่องเทคนิคในการทำสมาธิแบบเต็มรูปแบบ เป็นวิธีการที่ทำให้เราเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับความจริงของชีวิต ในมิติของจิตวิญญาณ ที่สอดผสานกับธรรมชาติและจักรวาลเป็นวิทยาศาสตร์ภายใน ที่ทุกคนสามารถค้นคว้าและเข้าถึงได้โดยวิธีการปฏิบัติ โดยปรับจากสภาพจิตพื้นฐาน ของผู้มีจิตสำนึกในความดีงาม...ขอความสันติสุข ความสงบ บังเกิดมีแด่ทุกท่าน..
    This video tell about deep meditation. A journey from the beginning to the end. The 3D models that how easy meditation techniques in full. Is how we understand the idea. About the reality of life. The dimensions of the soul. To integrate science with nature and the universe is within. Everyone can search and access them by way of practices. Adjusted basis of mental state. Of a sense of decency ... to bring peace, peace be upon all of you.
    Referance:Lakhwinder Singh.
    Copy Right :Meditation Techniques in Hindi
    ●▬▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬●

    SPACE
    Space is an spiritual organization. Space is created by Spiritual Masters. Space is essence of Knowledge of the Spiritual Masters who have perceived the Knowledge through decades of research in other frequency realities, living with self in every moment of their life and understanding and becoming That.
    Space has created Spiritual Reality- journey within video on Meditation and Meditation experiences. Space is now creating Sarrva-science of Consciousness video.
    Contact:
    SPACE

    PC SPACE PVT LTD.,
    205, Gnana Marga,
    Siddartha Nagar,
    Mysore-570011
    Email: pcspacepvtltd@gmail.com
    Contact person: P.N. Chandrashekar
    Phone: 91-821-2470772
    Mobile: 91-9448470772
    Contact person: B.V.Pratap Reddy
    Mobile: 91-9440686588
    Website: Space is Spiritual Organization SriSpace India
     

แชร์หน้านี้

Loading...