คู่บารมี จริงหรือ? (กับท่านผู้ทรงอภิญญา)

สมัยหนึ่ง นานมาแล้ว นานมาก

พระเดช พระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

บวชได้พรรษาแรก เพระาเป็นทหาร

ลาเค้ามาบวช พรรษาเดียว ก็จะสึก และก็กลับไปรับราชการเหมือนเดิม

แต่ใจจริงๆ ของหลวงพ่อทั้งสามองค์

หลวงพ่อพ่อฤษีลิงดำ หลวงพ่อิฤษีลิงเล็ก หลวงพ่อฤษีลิงขาว

ใจน่ะปราถนา บวชไม่สึก...

พรรษาแรกที่บวช ก็ปฎิบัติธรรม แบบทุ่มเททั้งชีวิต แบบยอมตาย


แต่ผลท่ีได้ก็คือ


จากที่ได้ศึกษามา (ท่านทั้งสามทรงสมาบัติแปด ตั้งแต่พรรษาแรก)

พออกพรรษา

หลวงพ่อทั้งสามองค์ ก็มานั่งปรึกษา นั่งคุยกันว่า เราทั้งสามองค์

ตอนทรงสมาธิ ก็ดีอยู่หรอก แต่พอออกจามสมาธิแล้วนี่สิ

โลกมันมีแต่ความสวยงาม เงินก็ยังเป็น ทองก็คือทอง ทุกอย่งามีค่าไปหมด

ผู้หญิงก็สวย มันดีไปหมด อยากมี อยากได้ไปหมดเสีทุกอย่าง..

อย่ากระนั้นเลย พวกเรา พวกเราทั้งสาม สึกดีกว่า

สึกไปอยุ่ะมันเสียให้ชุ่มปอด ชุ่มใจ แล้วค่อยบวชใหม่

พอคุยกัน ยังไม่ทันขาดคำ

หลวงพ่อปาน มาจากทางไหน ไม่มีใครทราบ

เอาไม้ตระพต เคาะ ชาน กุฎิพำนักพัก ป๊อกๆๆ

และก็พูดขึ้นว่า

นี่พวกแก คิดว่าสึกกันรึ??

ไอ่ที่พวกแกคิดน่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้

สึกไปอยู่กับกิเลสไห้ชุ่ม แล้วค่อยมาบวชใหม่

ไม่มีทาง ฉันบอกเลย

มีแต่จะพอก จะเพิ่ม จะมีแต่ถอนไม่ออก!!!

 

เพราะว่าชาตินี้ท่านพ่อจะลงมาสร้างเนกขัมบารมี ท่านแม่ ซึ่งเ็ป็นคู่บารมีอันดับ 1 จึงไม่ได้ลงมาเกิด ถ้าท่านแม่ลงมาเกิดด้วย หลวงพ่อก็ไม่ได้บวช และก็จะไม่มีหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วย หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยพูดไว้เองด้วยว่า "ถ้าชาตินี้แม่แกลงมาเกิดด้วย ข้าก็ไม่ได้บวช"

ถ้าท่านจะเปิดประเด็นนี้ ท่านเองควรศึกษาให้รอบด้านเสียก่อน ไม่ใช่คิดอะไรด้านเดียว ซึ่งมันก็ไม่ตรงความจริงเสียทีเดียว

 

งมงาย....ฟังเขาเล่ามา เชื่อไปหมดทุกอย่าง....น่า สงสาร
ไปเรียนวิชาพระพุทธเจ้าดีกว่า กาลามสูตร 10 ประการ
น่ะเอ่มาพิจารณาเยอะๆ..พอเขาเล่าอะไรสนุกๆก็เชื่อเขานับถือเขา...

งมงาย

 

คนหาก เห็นธรรมแล้ว มันไม่มีหรอก คู่ บารมี บุพเพสันนิวาส...

คำพุดพวกนี้ เป็นคำปรุงแต่งของพวก ที่ พลาดท่า แล้วเอามาอ้าง จะว่าไป เรียกว่า การ ลด
กระแส ความกด ดันของสังคม หรือ ลดการ เสียดสี จากปากคนอื่น

และ เพื่อยก ตนเองให้ ดุดี ว่าเป็นคนดี ที่ ก้าวไม่พ้น เรื่องอำนาจ ของการมีคู่เพราะเคย อธิษฐานกันมา..สงัเกตุ ดีัๆ

คำพุด แบบว่าบุพเพสันนิวาส หรือ คำว่าคู่บารมีเนี่ย..คนที่อ้างคำนี้ เพราะ ที่แท้ ตัวเอง อยากเสพกาม..จนทนไมไ่หว เลย หาข้ออ้าง ว่า เป็น นั่นเป็นนี่..เพื่อ ที่จะออกไป เสพ กาม.....................

 

แล้ว..พ่อของลูก...:z14...ของพระนางวิสาขามาจากไหนครับ...:z15.?

 

อย่าเอามาปนกันครับ เล่าเป็นตอนๆ เป็นเรื่องๆไป

ทราบๆ การเล่าเรื่อง กับการใช้ชีวิต

มีลมหายใจจริงๆ หลวงพ่อ กับหลวงปู่ปาน

กับการท่านแม่ศรี บอกกับหลวงพ่อ.สมาธิ


การปฏิบัติ เค้าวัดกันเป็นขั้นตอนๆ ทีาละสเต็บๆ


หลวงพ่อโดนทดสอบ ทุกระยะ

 

นี่คู่บารมีเค้าเกื้อกูลกัน แบบพระเจสันยังกับแฟน (หรือหลวงพ่อ)

ที่คุณเล่าน่ะ ทำไห้คนสับสน

ต้องลูกศิษย์ หลวงพ่อถึงจะเข้าใจได้

และอีกอย่าง

คนที่พูด หรือท่านที่พูด ไม่ใช่หลวงพ่อ เป็นคนพุด

หลวงพ่อท่านมาเล่าให้ฟังอีกที

ท่านแม่ศรี..ท่านพูด

หลวงพ่อเจอท่านแม่ศรี ที่ สวรรค์ ชั้นดาวดึงส์

พระอินทร์ท่านบอกว่าเป็นคู่บารมีกับหลวงพ่อมาเป็นแสนๆชาติ

หลวงพ่อท่านก็เลยถาม ท่านแม่ศรีว่า ทำไมไม่ลงไปเกิดด้วยละ ชาตินี้

ท่าแม่นศรี ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าฉันลงไปเกิด คุณ หมายถึงพระหนุ่ม

ตอนนั้นหลวงพ่อบวชใหม่ๆ คุณไม่ได้บวชแน่ หรือถ้าบวชก็ทนไม่ไหว

ต้องสึก..

นี่เรื่องเป็นแบบนี้ คุยกันในวงลูกศิษย์หลวงพ่อก็พอนะครับ

 

ยางวิสาขา เดิมที อยู่เมือง สาเกด...สมัยยังเด็กสาว ก็มีพ่อแและแม่เป็นที่พึ่ง แม้จะมีความศรัทธาในพุทธศาสนา แต่จิตยังไม่ลงหยั่งในธรรมจริง..ยังไม้ถึงคุณธรรมจริง..และที่สำคัญ นางเคยอธิษฐาน ขอเกิดมาเป็น อุปัฎฐาก ในสมัยที่มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น....


ส่วน ผัวของนาง นั้นเป็นใครมาจากไหน หรอ...เขาเป็น บุตรของเศรษฐี เมืองสาวัตถี...ที่นับถือ ศาสนา เชน....การได้สมรส กันนับเป็นเรื่องเป็นไปของ วิถีของสังคม.ที่เศรษฐี เขามองกกันในกลุ่มฐานันดรศักดื์ที่ เสมอกัน..ไม่ใช่เรื่องแปลก....เบื้องหลังการมีครอบครัวมันคือ การละทิ้งอัตตา ตัวตนไม่ลง ซึ่งมันเป็นวิถี ของกิเลสโลก หาก ผู้ใดเห็นธรรมจน จิตหยั่งได้ ถึงอริยเจ้าแล้ว..ไม่มีทางจะแสวงหา กามมา พะรุงพะรังจิตตนแน่ๆ...

ในชั้น โสดาบัน ..ยังมี ๓ ระดับ...๑. เอกพีชี ๒. โกลังโกละ ๓. สัตตักขัตตุปรมะ

ความเข้มข้นของจิตในระดับของ คุณธรรมยั
มีแยกแยะไป...ใครที่ถึงคุณธรรมแล้ว แค่กาย และ จริต สาว.งไม่อาจทำให้ใจหวั้นไหวได้เลย...

 

ถ้าถามหลวงพ่อท่านจริง คงโดนเผ่นกบาลแยก เนื่องจากไม่ อัตนา โจทยัตตานัง

 

เคยถึงสภาวะของการทรงสมาธิได้ตลอดเวลา ที่มันมีความสุขละเอียดมากกว่าการเสพเมถุนธรรม หรือยังครับ?

 

มีอยุ่ช่วงหนึ่ง เจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ)

มีดำริว่าจะสึก คิดจะสึกว่างั้นนะ

ขณะที่ท่านเจริญสมาธิ ร.6 มายืนพิงอยู่ท่ีข้างหน้าต่าง

และได้บอกกับท่านว่า

คนที่สึกไปแล้ว ไปมีครอบครัวครองเรือน แล้วเป็นคนดี ดีอย่างโลกๆ มีถมเถไป มากต่อมาก

แต่คนที่บวชแล้ว เอาดีได้อย่างท่านนี่ หายาก เต็มทน มันมีน้อยยิ่งกว่าน้อย

ตั้งแต่นั้นมา ท่านเจ้าคุณนร ก็ไม่มีดำริ คิดจะสึกอีกเลย..

 

เอ!..เคยอ่านพระนางวิสาขาท่านบรรลุธรรม

ขั้นโสดาบันตอนอายุเพียง ๗ ขวบ...;aa27...ไม่ใช่หรือครับ

การมีดวงตาเห็นธรรมกับการบรรลุธรรมต่างกันไหมครับ

อย่างตอนที่ท่านโกญฑัณญะสำเร็จเป็นบุรุษที่๑

พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทาน อัญญาสิวะตะโพโกณฑัญโญ

น่าจะแปลว่าโกณฑัญญะเห็นแล้วหนอ ท่านจึงได้รับ

ฉายา อัญญาโกณฑัญญะ


หมายเหตุ หากข้อความผิดพลาด..ผิดเพี้ยน..ขาดตก

กราบขอขมาอภัยในธรรมเหล่านั้น..รบกวนท่านผู้รู้เมตตา

ช่วยแก้ไขด้วยครับ..กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาล่วงหน้าครับ.

 

บาปกรรม

 

ใช่ๆๆ

ต้นซ่าส์
สมาชิก

วันที่สมัคร: Apr 2011
ข้อความ: 16
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 0
ได้รับอนุโมทนา 29 ครั้ง ใน 6 โพส
พลังการให้คะแนน: 0



คู่บารมีต้องแบบของ พระเจสัน ครับ


ใช่ อันนี้แหละถูกครับ ต้องช่วยเหลือ สนับสนุนค้ำจุนกัน

 

พระเจสัน ท่านต้องการบวชจริงๆ เพราะจิตท่านเข้าถึงธรรมแล้ว ถึงผู้หญิงจะรั้งไว้ก็คงไม่ได้แล้ว ท่านใจเด็ดจริงๆ

 

สละ ชีวิต สละทุกอย่าง มานับาชาติไม่ถ้วนแล้ว..

บารมี พุทธภมูิ กำลังใจที่เด็ดเดี่ยว(16อสงไขย์) อย่างหลวงพ่อฤษี คิดหรือว่าใครจะ

เอาท่านอยู่ ยาก ขอบอก


สมัยบวชเป็นเณร เอาบาต เทินศรีษะ อธิษฐานเพื่อกลับมาช่วยชาติ

อธิษฐานว่า ถ้ามีโอกาส กลับมาเกิดอีกฉันใด ขอช่วยเหลือชนชาติไทย

ให้หลุดจากการปกครอง ของขอมดำ (สมัยเชียงแสน)

แล้วท่านก็ยืนเข้าสมาธิ โดยไม่ถอยออกเลย และไม่ได้อธิษฐานให้กายทรงอยู่

นานวัน ร่างก่ายอดอาหาร อดน้ำ อดข้าว สุดท้ายก็ตาย

ในที่สุด....ต่ออีกยาว..ฯลฯ