รบกวนถามเรื่อง "เทวดาประจำตัว" ครับ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย สหายลำดวน, 18 กรกฎาคม 2013.

  1. สหายลำดวน

    สหายลำดวน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +109
    หลังจากที่ผมประสบอุบัติเหตุแล้ว ท่านอาจารย์ที่ผมให้ความเคารพท่านบอกว่า "เทวดาที่คุ้มครองปกปักรักษาตัวผมนั้น ท่านไม่มีพลัง เปรียบเหมือนคนกำลังป่วยเลยช่วยอะไรผมไม่ได้" ผมเลยเรียนถามท่านว่า "ปกติเวลาทำบุญใส่บาตรผมก็มักจะอุทิศผลบุญให้กับเทวดาที่คุ้มครองผมด้วยทุกครั้ง แล้วทำไมท่านจึงไม่ได้รับผลบุญนั้น" ท่านอาจารย์เลยบอกว่า "บุญที่เราอุทิศให้ท่านนั้น เรียกว่า บุญฤทธิ์ แต่เทวดาท่านต้องมี อิทธิฤทธิ์ ด้วยจึงจะช่วยคนได้" ผมจึงเรียนถามต่อว่า "แล้วจะทำให้เทวดาท่านมีอิทธิฤทธิ์ได้อย่างไรบ้าง" อาจารย์ท่านบอกว่า "อิทธิฤทธิ์นี้คนเราปกติทำให้ท่านไม่ได้หรอก เราต้องให้คนที่มีบุญบารมีสูงกว่าเป็นคนทำให้ เทวดาท่านจึงจะได้รับ" หลังจากปรึกษาท่านเสร็จผมก็กลับบ้าน ผ่านไปหลายวันจึงนึกได้ว่ามีคำถามบางอย่างที่ลืมถามท่านแต่ก็ไม่กล้ากลับไปรบกวนท่าน ไม่ทราบท่านใดพอจะช่วยแนะนำได้บ้างครับว่า "ผมต้องไปให้ผู้มีบุญบารมีที่ว่านี้ทำอะไรให้บ้าง และอีกอย่างผู้มีบุญบารมีที่ท่านว่าหมายถึงใคร ต้องเป็นพระที่มีปฏิปทาสูงใช่หรือไม่ ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยรู้ว่าท่านเป็นใครบ้าง"
     
  2. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    เรื่องเทวดาประจำตัวนี่ ก็เคยได้ยินได้ฟังมาบ่อย และคิดว่าหลายคนคงเคยได้ยิน
    ส่วนตัวก็ไม่ทราบแน่ชัดและไม่เคยศึกษาลงไปว่า ท่านจะมีคุณสมบัติอะไร อย่างไร หน้าที่อะไรบ้าง เพราะหลายแหล่งก็ให้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆกันไป จะเหมือนๆกันก็หลักใหญ่ๆคือมาช่วยแนะนำประคับประคองให้บุคคลที่ตนดูแล ดำเนินชีวิตไปตามครองธรรม

    เอาว่าขอแชร์ความคิดส่วนตัวดังนี้ ไม่ยืนยันว่าถูกต้องหรือให้ไปอ้างอิงเป็นแนวทาง
    ตัวเองก็ไม่เคยเห็นเทวดาหรือได้คุยกับเทวดา ฉะนั้นขอคิดแบบชาวพุทธคือหลักเหตุหลักผล คิดถึงตัวเราที่เป็นมนุษย์เดินดินธรรมดานี่แหละ
    ตัวเรามีอิทธิฤทธิ์ไหม -- คนอื่นไม่ทราบ แต่ตัวเองไม่มี
    ในโลกนี้มีท่านผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ที่เป็นมนุษย์และยังมีชีวิตอยู่ไหม -- คิดว่ามีในประเทศไทยนี้หละ น่าจะไม่น้อยด้วย
    สมมุติว่าตัวเราเองอยากมีอิทธิฤทธิ์ เราก็เลยไปหาท่านผู้ทรงฤทธิ์นั้น แล้วบอกท่านว่า ท่านคะช่วยหนูหน่อย หนูอยากมีอิทธิฤทธิ์ ท่านช่วยแบ่งให้หนูที -- คิดว่าท่านแบ่งให้ได้ไหม ถ้าได้จะได้ยังไง จับกระหม่อมมาเป่าพรวดลงไป หรือ ท่านจะบอกว่างั้นหนูมาร่ำเรียนกับอาจารย์นี่ ต้องปฏิบัติอย่างนี้นะ.........

    ถ้าเรื่องอิทธิฤทธิ์เป็นเรื่องที่อาจจะขบคิดได้ยาก ลองเทียบเคียงว่า อิทธิฤทธิ์เป็นวิชาศัลยแพทย์ เราอยากเป็นศัลยแพทย์ ทำไงดี
    เราไปหาอาจารย์ศัลยแพทย์ระดับ ศ.ดร.นพ. เลยละกัน เอากันสุดๆ แล้วบอกท่านว่า อาจารย์คะ หนูอยากเป็นศัลยแพทย์บ้าง ไม่ต้องถึงขั้นสุดยอดแบบอาจารย์หรอกคะแค่เป็นศัลยแพทย์ได้หนูก็เอาแล้ว
    คิดว่าท่านอาจารย์ศัลยแพทย์ท่านนั้นจะแนะนำอย่างไร -- เอาหนู อาจารย์แบ่งเลือดของอาจารย์ให้หนู 20 cc นะ เดี๋ยวให้พี่พยาบาลฉีดเข้าเส้นเลือดหนูเลยนะ รับรองความรู้ศัลยแพทย์ในเลือดของอาจารย์จะเข้าไปถ่ายทอดเข้าในสมองหนู พรุ่งนี้หนูมาช่วยอาจารย์ผ่าตัดคนไข้ได้เลย หรือ หนูจ๋า หนูไปสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ให้ได้ก่อนนะ เรียน 6 ปี จบมาเป็น inturnship ไปทำงานใช้ทุนอยู่ รพ ชุมชน 2 ปีนะหนู แล้วมาเรียนต่อเฉพาะทางศัลยแพทย์นะหนู คิดซะว่าเร็วๆก็น่าจะ 10 ปีละหนู แต่ถ้าเป็นแพทย์ประจำบ้านทั่วไปไม่เรียนเฉพาะทางละก็ ผ่าตัดธรรมดาทั่วไป เช่น ผ่าตัดไส้ติ่งละก็ได้อยู่ เลือกเอาละกันหนู แต่วันนี้กลับบ้านไปอ่านหนังสือก่อน

    คือในความคิดส่วนตัวแล้ว เทวดาท่านน่าจะต้องดิ้นรนไปหาทางเพิ่มหรือฟื้นฟูอิทธิฤทธิ์ของท่านเองและคงไม่เร็วเพียงชั่วข้ามคืนหรือชั่วเคี้ยวหมากแหลก
    แล้วทีนี้เราจะเอาอะไรมาเป็นเกราะป้องกันตัวเราจากเคราะห์ร้ายหรือวิบากกรรมได้ละ เดี่ยวทำธุระเสร็จแล้วจะมาขออนุญาติแชร์ต่อ
    แต่ที่แชร์ไปข้างบน ขอบอกอีกทีว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวนะ ถูกผิดไม่ยืนยัน เรามาช่วยๆกันแชร์หรือหาข้อมูลจากท่านผู้รู้ หลายๆท่านกันดีกว่า
     
  3. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    คุณลงมือปฏิบัติ วิปัสสนาญาณ จะช่วยเทวดาประจำตัว ส่วนใหญ่ มักเป็นพ่อแม่ พี่น้องในอดีต ตัวเราต้องมีพลังก่อน ผลบุญอย่างเดียวก็จะได้จริง แต่พลังแบบนี้คณะที่ติดตามมาด้วยกันจึงจะได้ตามคุณไปด้วย ไม่มากก็น้อย ลงมือปฏิบัติสมถะ วิปัสสนา ถ้าได้อาจารย์ที่ไม่มีกายเนื้อมาสอนคุณและคณะจะได้อะไรๆ มากขึ้นกว่าเดิม
     
  4. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    ถ้ามีการถ่ายทอดพลัง ถ่ายทอดฤทธิ์ หรือพลังอะไรก็ได้เหมือนในหนังจีนกำลังภายในได้ ทุกคนในโลกก็คงเก่งกันหมด แต่ในทางพระพุทธศาสนา คนธรรมดา ก็สามารถเทียบชั้นกับเทวดาได้ ก็คือ มีศีลที่บริสุทธิ์ เข้าถึงธรรม ขั้นโสดาบัน เทวดายังเกรง ดูอย่าง ในสมัยพุทธกาล ท่านอณาบิณฑิกะเศรษฐี เทวดายังต้องเกรง
     
  5. jomaker

    jomaker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2012
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +2,264
    มีจริงๆครับ ส่วนใหญ่จะเป็นบรรพบุรุษ หรือคนในอดีตชาติที่เคยรู้จัก จะมาปกป้อง คุ้มครอง

    มีครั้งนึงตอนเรียนมหาลัย เพื่อนผมได้ชวนไปงานปีใหม่ที่บ้าน ไปทั้งหมด4คน ได้เจอกับพ่อเพื่อนมีหน้าที่ตำแหน่งใหญ่โตการงานดี
    กินกันไป เฮฮากันไป สักพัก พ่อเพื่อนบอกให้ทุกคนไปหยิบส้ม แล้วปลอกผลส้มให้ดูทีละคน พ่อเพื่อนก็บอกลักษณะนิสัยแต่ละคนเป็นแบบนี้ใช่ไหม ซึ่งตรงทุกคน
    คราวนี้ พ่อเพื่อนให้ เอาตะเกียบมา แล้วให้เรากำปลายตะเกียบ พ่อเค้าจับอีกฝั่ง
    และบอกว่าอยากรู้เรื่องอนาคตให้ปิดตาแล้วถามในใจ เริ่มถามทีละคน บางคนก็ถามเรื่องความรัก บางคนถามเรื่องเรียน
    ซึ่งที่น่าแปลกใจคือ หลังจากที่ทุกคนถามในใจโดยไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ พ่อเพื่อนสามารถตอบในเรื่องที่เราถามได้ตรงๆกับคำถามเลย โดยทั้ง4คนถามแทบจะถามคนละเรื่อง
    ผมถึงถามพ่อเค้าว่าทำไมถึงรู้ พ่อเค้าบอกว่า พ่อเค้าฝึกกรรมฐาน สมาธิ จนสามารถเห็นอีกภพนึง พวกผีท้องถนน เค้าก็เห็น และสื่อได้
    ที่เค้ารู้ว่าเราถามอะไรไป เพราะเค้าสื่อถึงองค์ประจำตัวของแต่ละคน
    แต่องค์แต่ละคนจะมีขอบเขตในการบอก เรื่องไหนบอกได้ ไม่ได้

    ตอนนั้นยังไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ แค่คิดแค่ว่าแปลกดี
    เป็นเรื่องจริงที่เจอกับตัว เลยเชื่อเรื่ององค์ประจำตัว และเชื่อว่าอีกภพนั้นมีจริง และเชื่อเรื่องว่าทุกอย่าง มันมีการกำหนดชะตาชีวิตตามบุญกรรมที่ทำมากันแล้ว แต่มีข้อแม้ว่าโชคชะตาเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา กรรมเก่าแค่ขีดเขียนทาง แต่บุญกรรมใหม่คือตัวที่เราจะเป็นไปยังไงในชาตินี้
     
  6. ปิญญ์

    ปิญญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +385
    เคยสัมผัสถี่มาก ตอนไปบวชชีพราหมณ์ ก่อนไป เ้ค้าเตือนเรื่องเราจะไปเจออะไรหนักๆ ระหว่างปฏิบัติธรรม เวลาเราจะปวด จะเจ็บ จะผิดปกติตรงไหน เค้าจะมาสะกิดเตือนตลอด จนวันที่ 4 เราเริ่มอยู่ตัวไม่เจ็บไม่ปวด เค้าก็จะไม่ค่อยทักเรา ตอนไปบวช ศีลบริสุทธิ์ สัมผัสเค้าได้ชัดเจนมาก เหมือนถามตอบโต้ได้ด้วยค่ะ แค่คิดเค้าก็ตอบเป็นสัมผัสค่ะ

    เลยรู้ัชัดเจนว่า มีอยู่จริงและอยู่เคียงข้างเราเสมอ
     
  7. xfiless

    xfiless สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +6
    เทวดาที่มารักษามนุษย์เราเรียกว่า้เทวดารับจ้าง ที่เขาไม่มีพลังน่าจะเกิดจากการอุทิศไปให้เขาไม่ถูกวิธีมากกว่า

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=pA9xqMOJFPI"]??????????? ?????????????? 1 - YouTube[/ame]

    ทำบุญเสร็จให้อุทิศทันที ไม่ใช่ตอนกรวดน้ำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2013
  8. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    การที่คนเราจะเสวยทุขเวทนาอันเนื่องจากอกุศลวิบาก หรือสุขเวทนาจากกุศลวิบาก ก็เป็นเพราะผลจากการกระทำของเรานั่นก็คือที่เรียกว่า กรรม นั่นเอง จิตวิญญาณอื่นๆก็เช่นกัน เทวดาเองก็กำลังเสวยสุข สัตว์นรกกำลังเสวยทุกข์ สรุปทุกจิตวิญญาณในวัฏฏสังสาร ต้องมีการเสวยผลของกรรมทั้งดีและชั่ว ที่ตนได้กระทำมาและกำลังกระทำอยู่
    คนเราหนึ่งคนทำกรรมดีและชั่วมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ สั่งสมมาเรื่อยๆทุกภพทุกชาติชดใช้(เสวยกรรม)ไปแล้วบ้าง ยังไม่ได้ชดใช้ก็มากโข เพราะถ้าหมดกรรมโดยสิ้นเชิงแล้วก็นิพพานไปนานแล้ว ในขณะเวลาหนึ่งๆก็จะมีผลกรรมหนึ่งๆส่งผลต่อคนๆหนึ่งอยู่ตามลำดับและความหนักเบาของมัน เรื่องนี้ลองหาศึกษาเอาละกันคะถ้าสนใจละเอียด
    ถ้าท่านเคยอ่านนิทานชาดกหรือธรรมจากครูบาอาจารย์ ท่านก็อาจเคยได้รู้ว่า พอจุติ(ตาย)จากการเป็นเทวดาก็ไปเกิดในนรก นั่นคืออกุศลกรรมจ่อรอส่งผลอยู่หลังจากเสวยกุศลวิบากจนหมดแล้ว มันมีลำดับของมัน
    ฉะนั้น การที่คนๆหนึ่งได้ประสบเคราะห์กรรมที่ร้ายก็เป็นผลจากอกุศลกรรมที่เคยทำมาแล้วหรือรวมกับที่กำลังได้กระทำสั่งสมต่อเนื่องมา และได้เวลาที่มันจะสำแดงผลของมัน ณ เพลานี้พอดี
    สมมุติ เรากำลังทำธุระอยู่นอกบ้าน(ไกลบ้าน) กำลังทำธุระของเราอย่างปรกติดีอยู่ จู่ๆฝนตก เราเผอิญเอาร่มติดตัวมาด้วย เราก็กางร่มกันเปียกฝนได้ ฝนก็เปรียบในที่นี้ว่าเป็นอกุศลวิบาก (ท่านอย่าพึ่งแย้งว่าถ้าตกปรอยๆฝอยๆก็เย็นสบายดีนะ 5555) ร่มที่ติดไปก็เหมือนกุศลผลบุญที่สั่งสมไว้
    เกิดฝนนั้นเป็นฝนตกบวกลมกรรโชกแรง ร่มที่ติดมาด้วยกันไม่อยู่ก็เลยเปียกแต่ดูแล้วสภาพยังดีกว่าไม่มีร่มเลย นั่นคือว่าวิบากอกุศลกรรมนั้นหนักหนากว่ากุศลผลบุญที่มีอยู่ เลยต้องเปียกฝนบ้าง
    แต่เกิดอกุศลกรรมที่เคยทำไว้เป็น ครุกรรมหรือกรรมที่หนัก ก็เปรียบเหมือนฝนที่ตกนั้นเป็นฝนที่มากับลมพายุ ร่มที่เตรียมมาถูกพัดหักเปิดเปิง ดีไม่ดีตัวท่านเองก็ปลิวไปตามลมพายุหกล้มหัวร้างข้างแตกด้วย

    เอาละ สมมุติการไปทำธุระครั้งนี้ท่านไปกับคุณแม่ คุณแม่เป็นคนเตรียมการดีมากท่านพกร่มไปด้วย ฝนตกลงมาท่านก็เอาร่มที่พกมาด้วยกางออก เอาละร่มคันเดียวสองคนก็ยังดีกว่าไม่มีร่ม คุณแม่ที่พกร่มมาด้วยก็เปรียบเหมือนเทวดาประจำตัวและเผอิญท่านมีฤทธิที่จะช่วยได้ ทีนี้เกิดคุณแม่คิดรอบครอบกว่านั้นอีกพกร่มไปสองคันเพราะเห็นว่าไปกันสองคน ก็เปรียบเหมือนเทวดาประจำตัวมีฤทธิ์มาก 2ร่ม2คนย่อมดีกว่า 1ร่ม2คน

    เกิดไปกับคุณแม่ก็จริงแต่ท่านไม่ได้พกร่มไป ฝนตกลงมาก็เปียกอยู่ดี เปรียบเหมือนเทวดาประจำตัวท่านไม่มีฤทธิ์หรือบารมีที่จะช่วยเรื่องฝนตกนี้ได้ แต่ถ้าเป้นเหตุการณ์อื่นที่ไม่ใช่ฝนตกท่านอาจช่วยได้ เช่น เราเกิดเหนื่อยแล้ววิงเวียนศีรษะจะเป็นลมขึ้นมา คุณแม่มียาหม่องยาดมพกมาด้วยพอดี ท่านก็เอายาหม่องยาดมออกมาช่วยให้เราบรรเทาอาการกลับมาสดชื่นเหมือนเดิม นั่นคือเทวดาประจำตัวท่านมีฤทธิ์หรือบารมีที่สอดคล้องกับอกุศลวิบากที่เรากำลังเผชิญพอดีเลย ก็เลยช่วยได้
    ลองพิจารณาดูนะคะ ท่านอาจจะเห็นต่างก็ได้คะ ใครสามารถให้ความกระจ่างกว่านี้ได้ถูกต้องกว่านี้ได้ก็ช่วยๆกันนะคะ เป็นวิทยาทานซึ่งกันและกันคะ
    เพราะผู้รู้เรื่องกรรมดีที่สุดรู้แจ้งแทงตลอดที่สุดก็พระพุทธเจ้าคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2013
  9. toyhonda

    toyhonda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +1,782
    สำหรับตัวเองนะค่ะ เวลาจะสวดมนต์หรือไปทำบุญที่ไหนก็จะชวนเทวดาที่ปกปักรักษาเราอยู่ไปทำบุญด้วยกัน สวดมนต์ด้วยกัน และสุดท้ายเมื่อเราสวดมนต์เสร็จ ก็จะแผ่นเมตตา รวมบุญและอุทิศให้แก่เทวดาที่ดูแลตัวเราด้วย...คิดว่าน่าจะเสริมบุญให้เทวดาได้ในระดับหนึ่ง (ความคิดเห็นส่วนตัวนะค่ะ)
     
  10. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    ทีนี้ถ้าเราเชื่อหลักธรรมที่ว่า ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ไม่มีอะไรบังเอิญหรือเกิดขึ้นมาเฉย ลอยๆ โดยไร้สาเหตุ ฉะนั้นเทวดาประจำตัวที่จะมาดูแลคุ้มครองเราก็ควรเป็นดวงจิตที่เคยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเรามาอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็จะสอดคล้องกับท่านที่ให้ข้อแนะนำว่า เทวดาประจำตัวนั้นท่านได้เคยเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ทวด ของเรามาแต่ก่อน ณ จุดเวลาใดจุดเวลาหนึ่ง
    ท่านจึงสามารถมาอยู่คุ้มครองดูแลเราได้ในขณะนี้ ด้วยบุญสัมพันธ์กันนั่นเอง

    ที่นี้พอเราทำบุญ ไม่ว่า ทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย เราก็อุทิศบุญนั้นๆให้กับใครก็ได้ ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี อย่างนี้ก็น่าจะรับได้หมด ทีนี้เราจะขีดวงจำเพาะเจาะจงลงไปอีก เช่น เทวดาประจำตัวของข้าพเจ้า ของแม่ ของพ่อ ของลูก ของเมีย ข้าพเจ้าด้วยก็ได้ ก็ยิ่งเหมือนกำหนดลำดับความสำคัญให้ท่านได้รับก่อน (priority)
    การอุทิศบุญ(ที่มักเรียกอุทิศส่วนกุศล)ก็เป็น ปัตติทานมัย และเมื่อเราอุทิศบุญเทวดาประจำตัวท่านก็มารับส่วนบุญที่เราอุทิศนั้นด้วยการมาอนุโมทนาบุญซึ่งก็คือปัตตานุโมทนามัย ทั้งปัตติทานมัย และปัตตานุโมทนามัย ก็เป็นวิธีการทำบุญในหัวข้อที่เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10 เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งเราทั้งท่านเทวดาประจำตัวของเราก็จะได้สั่งสมเพิ่มกุศลบารมีไปด้วยกันซึ่งก็คือการเกื้อกูลกัน มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเราท่านจึงช่วยเราได้เพราะมีบุญสัมพันธ์กัน ส่วนช่วยได้เรื่องอะไรบ้าง ขอบเขตมากน้อยแค่ไหน นั่นก็คงต้องดูเป็นกรณีจำเพาะไป คงต้องพิจารณาจากบุญกุศลบารมีของตัวเราเองประกอบกับที่เทวดาประจำกายท่านนั้นๆมีอยู่ ตรงนี้ท่านใดมีภูมิรู้ภูมิธรรมช่วยด้วยนะคะ

    ทีนี้เรื่องอิทธิฤทธิ์เนี่ย มันไม่แน่ว่าจะไปทางเดียวกับบุญฤทธิ์ที่เทวดาท่านมีนะคะ ลองพิจารณาถึงพระอรหันต์นะคะ พระอรหันต์มี 4 จำพวก มีพวกหนึ่งท่านเพียรเผากิเลสจนถึงความบริสุทธิ์ด้วยปัญญาล้วนๆเป็น ปัญญาวิมุติ คือสุขะวิปัสสะโก ท่านเป็นถึงพระอรหันต์แต่ท่านไม่มีอิทธิฤทธิ์ เหาะเหิรเดินอากาศ หายตัว ไม่ได้ แต่ท่านมีความบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสเหมือนพระอรหันตือีก 3 จำพวกที่มีอิทธิฤทธิ์ ตรงนี้ก็เลยอยากจะกล่าวว่าคนเราน่าจะสับสนปนเปกันระหว่างอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ ฉะนั้นถ้าอยากมีอิทธิฤทธิ์ก็ต้องไปฝึกอภิญญา ซึ่งก็เป็นการทำบุญประเภท ภาวนามัยอย่างหนึ่ง
    ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่า การมีอิทธิฤทธิ์จะมีบุญฤทธิ์ แต่การมีบุญฤทธิ์อาจไม่มีอิทธิฤทธิ์ก็เป็นได้ เผอิญเท่าที่รู้มาอิทธิฤทธิ์มันยกให้กันไม่ได้(หนูอาจรู้ไม่จริงก็ได้นะ) แต่บุญนะยกให้กันได้โดยการปัตติทานมัยอย่างที่กล่าวข้างต้น
    แต่ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ถ้าเรามีบุญแล้วเราจะกลัวอะไรแม้ไม่มีอิทธิฤทธิ์ อย่าลืมนะว่ากฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ไม่ปล่อยให้ใครลอยนวล

    ตัวอย่างชัดๆเลยคือ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายท่านพระโมคคัลลานะ
    ยกเว้นพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวแล้ว ไม่มีพระอรหันต์องค์ใดเลยในพระศาสนาพระสมณะโคดมนี้มีอิทธิฤทธิ์เหนือท่าน ท่านเป็นที่หนึ่ง แต่ในที่สุดแล้วท่านก็ต้องยอมให้แก่กฎแห่งกรรมโดยยอมให้โจร 500 ทุบตีท่านจนกระดูกแหลกเหลว และนิพพาน

    ขอเราๆท่านๆพิจารณาดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2013
  11. wt

    wt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2009
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +315
    เอาไปดูอ่านแล้วพิจารณา ตัวตรงอยู่แล้วไม่ต้องแปลให้วุ่นวาย


    "ลูกเอ๋ย... ก่อนที่จะเที่ยวไปขอบารมีจากหลวงพ่อองค์ใด

    เจ้าจะต้องมีทุนของตนเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน

    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีของคนอื่นมาช่วย

    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด

    เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมเขามาจนล้นตัว

    เมื่อทำบุญกุศลได้บารมีมา

    ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว

    แล้วเจ้าจะไม่มีอะไรไว้ในภพหน้า

    หมั่นสร้างบารมีไว้แล้วฟ้าดินจะช่วยเจ้าเอง

    จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้

    ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน

    เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    (พุทธสุภาษิตท่านสอนไว้ว่า.."อัตตาหิ อัตตโนนาโถ-ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน")
     
  12. ดวงเดือนโอ

    ดวงเดือนโอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +846
    ปกติแล้วเวลาไหว้พระสวดมนตร์และนั่งสมาธิทุกวันก็จะอัญเชิญเทพยดามาร่วมสวดมนตร์ด้วยเสมอและจะถวายบุญกุศลต่างๆให้กับท่านเสมอ เช่นเดียวกับการทำบุญทุกครั้งก็จะอัญเชิญท่านไปร่วมบุญด้วยกันเสมอ สิ่งที่ทำจะทำให้ท่านมีพลังคุ้มครองเราด้วยค่ะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เห็นพูดเรื่องนี้แล้วไหนๆก็จัดซะหน่อยแล้วกันนะคับ
    ที่อ่านๆดูเกือบทุกคอมเมนส์หรือการยกบทความของพระมา.
    แนวทางและความเข้าใจต่างๆค่อนข้างจะมาถูกทางกันแล้วนะครับ
    .แต่มีเรื่องที่จะขอกล่าวเสริมๆไว้ด้วยเพิ่มเติมบ้างบางส่วน.ดังต่อไปนี้
    และไว้มีเวลาว่างๆแล้วค่อยมาลองอ่านเล่นๆกันดูได้ครับ..

    เรื่องเทวดาประจำตัวนอกจากทุกคนจะมีเหมือนกันหมด.
    ตามสัมพันธ์ที่เคยมีร่วมกันมาตั้งแต่อดีตชาติแล้ว..
    ไม่ว่าจะเป็นแบบญาติๆ.
    เทพมีฤิทธิ์ที่มีความเด่นเฉพาะด้าน.โอปาติกะ
    ระดับต่างๆที่พอมีฤิทธ์แต่กายไม่ใช่มนุษย์ ฤาษีมีฤิทธิ์ วิญญานมีฤิทธิ์ เทพ พรหม.ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พระโพธิสัตว์ท่านต่างๆ.
    .พระสงฆ์มีชื่อโดงดังหลายๆท่านในอดีต.
    หรือแม้แต่พระที่มีธรรมกายเป็นรูปพระบูชามีชื่อหลายๆท่าน.
    ที่กล่าวมาก็ต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่เราจะต้องเคยมีและ
    จะมีขึ้นได้ทั้งนั้น.

    นอกจากความสัมพันธ์ที่เราต้องเคยมีสัมพันธ์กับท่านมาไม่
    ว่าชาติใดชาติหนึ่งไม่ว่าจะเคยเป็นเครือญาติกันไม่ว่าความสัมพันธ์แบบไหน
    ก็ตาม เคยเป็นศิษย์ท่านมาก่อนและก็เคยฝากกะแสพลังไว้กับท่านมาก่อน
    และเคยเป็นเพื่อนกัน.หรือเคยช่วยเหลือกันมาก่อน
    หรือแม้กระทั้งจะมามีส่วนช่วยเหลือเกลือกูลไม่ว่าทางใดทางหนึ่งในชาตินี้หรือปัจจุบันนี้..

    แม้ว่าตอนนี้เราจะยังไม่สามารถทราบได้ในตอนนี้ก็ตาม.หรือยังสัมผัสไม่ได้
    ก็ตาม..ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรมาก
    หากวันหนึ่งแนวทางปฏิบัติมาถึงก็จะทราบได้เองกันทุกคน.
    และอีกเรื่องที่บางคนยังเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ.การได้รับความช่วยเหลือ
    จากพระพุทธหรือพระสงฆ์มีชื่อต่างๆในบางช่วงที่เรากำลังมีภัย
    ไม่ว่าจะในนิมิตรหรือในชีวิตความเป็นจริงก็ตาม คือ ท่านที่มาช่วย
    ท่านนั้นนอกจะเคยมีสัมพันธ์กันมาแล้วทางใดทางหนึ่ง
    อาจจะเป็นเรื่องการที่เราระลึกถึงท่าน ณ เวลานั้นเนื่องจาก
    เราอยู่ในตำแหน่งของวงของกะแสพลังงานท่าน

    หากเราแค่นึกก็จะทำให้ท่านทราบทันที.เรื่องแบบนี้บุคคคลที่แขวนวัตถุมงคล
    หรือเครื่องลางแบบต่างๆ..มักจะสัมผัสได้แต่มักจะไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ
    เท่านั้นเอง..ถึงแม้ว่าท่านนั้นจะไม่มีร่างกายแล้วก็ตาม
    และเรื่องพวกนี้เป็นนามธรรมมีความเป็นทิพย์เรา..
    อาจเคยได้ยินว่าบางท่านแม้มีคนคิดถึงท่านพร้อมกันเป็นล้านๆคน
    ท่านนั้นๆก็สามารถปรากฏให้เห็นได้ในเวลาเดียวกัน

    ในลักษณะเพื่อความจำได้ว่าท่านเป็นใครตามแต่เชื้อชาติวัฒนธรรมและศาสนาของบุคคลนั้นๆ
    .หรือตามความเหมาะสมตามเหตุและปัจจัยนี่เป็นประเด็นที่ ๑ นะคับ...เล่าให้ฟังเพื่อปรับความเข้าใจในเบื้องต้น.
    ไว้ถ้าใครยังสงสัย.ว่างอีกเมื่อไรค่อยไปอ่านใน #Rep ต่อไปนะครับ.
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ประเด็นที่ ๒ เรื่องการเปลี่ยนและเพิ่มของเทวดาประจำตัว.เรื่องการมาเพิ่มของเทวดาประจำตัว
    นั้นอาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับบางคนและเป็นปกติที่จะยังไม่เข้าใจ.บางคนอาจคิด
    ว่าเป็นไปได้เพราะได้สัมผัสด้วยตัวเอง.เนื่องจากมีญาติของตนที่ได้เสียชีวิตลงในขณะ
    ที่ตนเองได้เห็นตอนที่วิญญานนั้นยังมีร่างกายอยู่.

    .แต่หากการมาเพิ่มของเทพเทวดามีชื่อต่างๆหรือเทวดามีฤิทธิ์ที่ส่งเสริมฤิทธิ์ทางภายในจิตหรืออภิญญาในบ้าน..
    หรือแม้เทพเทวดามีฤิทธิ์ที่จะมาส่งเสริมการใช้กำลังจิต
    เพื่อใช้ฤิทธิ์ทางด้านต่างๆของผู้ปฏิบัติคนนั้นๆเพื่อไปใช้ภายนอกในด้านต่างๆ
    ที่เป็นกุศลกรรมหรือที่เรียกว่าอภิญญาภายนอกนั้น.ทั้ง ส่วนนี้.

    .จะแปรผันกับแนวทางการปฏิบัติของบุคคลนั้นโดยตรง.ณ จุดนี้บางครั้งก็
    ต้องประกอบด้วยทานบารมีเป็นทุนและปัญญาบารมีของผู้ปฏิบัติคนนั้นเอง
    ถึงจะทราบและเข้าใจเรื่องทำนองนี้ได้ด้วยตัวเอง..ไม่งั้นก็จะยังไม่เพียงพอที่
    จะทราบและได้รับคำตอบได้ด้วยตัวเอง..

    เพราะแม้จะทราบได้จากการถามผู้ที่มีอภิญญาจิตที่สามารถบอกได้ว่า
    ตัวเองมีเทพเทวดาประจำตัวอะไรได้แล้ว.
    การที่เราจะพอมั่นใจได้ว่าบุคคลที่บอกเรา
    นั้นมิได้มีวาระซ่อนเร้นอะไรในทางอกุศลอีกเรื่องก็คือ.
    .การแนะนำแนวทางการปฏิบัติ
    ธรรมร่วมกับการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกันอย่างลงตัว.
    นี่ก็ต้องอีกส่วนที่ต้องพิจารณาร่วมด้วยถึงจะบอกได้ว่าบุคคลนั้นระดับจิตใจอยู่ในระดับพื้นฐานที่ดี.

    โดยบุคคลกลุ่มนี้มักจะสัมผัสกับเทพเทวดาในระดับที่สูงๆได้เป็นปกติ
    และการแนะนำแนวทางการปฏิบัติจะไม่มีอะไรแอบแฝง และไม่ชอบยกชอบอ้างครูบาร์อาจารย์มีชื่อต่างๆที่ตนนับถือ
    มาเพื่อเสริมอัตตาของตน และไม่ชอบอ้างบุญ อ้างบาป
    ในกรณีที่มีผู้มีความคิดเห็นต่างจากตน.เนื่องจากจะมีความเคารพ
    ในครูบาร์เป็นทุน

    .ยกเว้นในกรณีที่ต้องการนำมาเพื่อเสริมและถ่าย
    ทอดการปฏิบัติต่างๆที่ออกไปในทางธรรม.
    และที่เห็นส่วนมากมักจะอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นทุนในเรื่องการปฏิบัติ.
    และมักจะคอยให้ความช่วยเหลือบุคคลอื่นๆโดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไร
    ถ้าเจอกรณีที่มักเอาตัวเองเป็นที่ตั้งให้เชื่อมั่นในตนเองเป็นหลักโดยที่
    ไม่ยกความดีให้เป็นของ พระรัตนตรัยหรือครูบาร์อาจารย์ จุดนี้เป็น
    อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ดีๆร่วมด้วย
    ว่าจะต้องมีเบื้องหลังอะไรที่เป็นอกุศลกรรมที่ยังพยายาม
    ใช้ตัวเองในปัจจุบันเพื่อปกปิดอยู่.

    ประเด็นที่ ๓ เรื่องการอ่อนกำลังของเทพเทวประจำตัวการอ่อนกำลังในที่นี้มิใช่ว่า
    ว่าฤิทธ์หรือกำลังของเทวดาท่านนั้นจะอ่อนลงเสียอย่างเดียวหากเป็นระดับเทพเทวดา
    ที่มีชื่อต่างๆที่ท่านทำหน้าที่ของท่านอยู่.จะเป็นอีกระดับที่อาจจะถึงช่วงบุญที่ได้สะสม
    เริ่มหมดลงและจะถึงวาระที่ตนเองต้องเปลี่ยนภพภูมิก็เป็นได้.

    หรืออีกกรณีก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนเทวดาประจำตัวหรือช่วงอายุเรา
    ลงท้ายด้วยเลข นั่นเองระยะเวลาอาจเคลื่อนได้ตามเหตุ
    และปัจจัยซึ่งแปรฝันโดยตรงกับพฤิติกรรมของบุคคลนั้นๆ

    ใครว่างๆค่อยลองอ่านตอนต่อไปนะครับ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ต่อประเด็นที่ ๓.แต่สาเหตุหลักที่เราเข้าใจกันว่าท่านหมดฤิทธิ์นั้นจริงๆก็คือ..
    ความละเอียดของจิตใจเราหรือคลื่นความถี่ในการที่เราจะติดต่อเพื่อสื่อสาร
    กับท่าน.ที่จะเป็นตัวเชื่อมสัญญานหรือจูนคลื่นๆต่างเพื่อที่จะสื่อโดยตรง
    กับท่านต่างหากของเราเองที่อ่อนกำลังลง
    ที่เราจะมักจะยินคำสอนที่พูดง่ายๆว่า ''ก่อนที่เราจะให้ใครช่วยอะไร บุญเรามีพอหรือยังนั้นหละครับ.''.
    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิบากกรรมเก่าของเราเองที่มาขวาง ณ จุดนี้ของเราส่วนหนึ่ง..

    .หรือพฤติกรรมของเราเองจากการใช้ชีวิตประมาทหรือเผลอเรอ
    ในช่วงนั้นๆจะด้วยเหตุอะไรก็สุดแล้วแต่ทำให้เราพร่อง
    ในทานบารมี ๑o อย่าง ไม่ว่าจะการขาดการทำบุญหรือ
    ศีลขาดตกบกพร่อง การทำเรื่องอกุศลต่างๆทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ.
    .
    ทำให้เราขาดเสบียงไว้รับสถานการณ์ ณ จุดนี้ การขาดเรื่องสมาธิไม่ว่าจะการสะสมกำลังสมาธิเล็กน้อย
    ด้วยการเจริญสติในชีวิตประจำวัน.หรือการปฏิบัติสมาธิในรูปแบบที่เป็นทางการ.
    เลยเป็นผลให้ขาดกำลังสนับสนุน.และขาดการเดินปัญญาเพื่อที่จะลด ละ คลาย กิเลสต่างๆที่เกาะกับจิตใจเราให้เบาบางลง

    เป็นผลให้ตัวเราเองไม่มีอาวุธอะไรที่จะคอยไปต่อกรกับเรื่องต่างๆ
    ที่ไม่ดีที่เข้ามาในชีวิตประจำวันต่อไปได้.
    ไม่ว่าจะเป็นยุทธวิถีในการรบและการวาง
    แผนในการเตรียมรับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้นั้นเอง

    .เลยเป็นเหตุที่ทำให้ตัวเราเองเข้าใจว่าเทวดาท่านกำลังอ่อนซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เราจะมองกันอย่างนี้ได้ แต่มุมนั้นเป็นเพียงมุมที่เรามองแค่ภายนอก
    แต่ขาดการน้อมเข้ามามองมุมในส่วนภายใจตนเอง ที่ทำให้เราขาด เสบียง ขาดกองกำลังและอาวุธอย่างคาดไม่ถึง
    โดยหวังเพียงแต่แค่ว่าการทำบุญอุทิศส่วนกุศล
    เพียงอย่างเดียวจะเพียงพอต่อการรับมือ
    กองทัพต่างๆที่มาเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาบุกเราอยู่แล้ว.

    .เป็นเหตุให้เข้าใจคลาดเคลื่อนว่าหรือ
    เป็นเพราะว่าเราอุทิศส่วนกุศลแล้วเทวดารับไม่ได้..
    บางคนเลยเผลอคิดไปไกลทำให้เดินออกนอกเส้นทางไปไกลเลยก็มี
    หวังแค่เพียงต้องการที่พึ่งทางใจ.โดยลืมไปว่า เพื่อนที่ดีสุดของเราก็คือ
    ลมหายใจของเราเอง และสติกับปัญญานี่หละคือผู้ที่จะคอยคุ้มครองและ
    ดูแลตัวเราเองได้ดีที่สุด

    ไว้อ่านตอนต่อไปหลังจากว่างๆอีกรอบต่อได้ครับ​
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ตอนจบ แต่เราอย่าลืมในระดับความเป็นทิพย์นั้นแค่เราคิดท่านก็ทราบแล้ว.
    แต่ส่วนหรือคลื่นที่จะใช้เชื่อมกับท่านเรานั้นต่างหากที่เราลืม
    หันกลับมามองซึ่งคลื่นต่างๆเรานี้ล้วนสร้างมาจากภายในตัวเราเองทั้งนั้นครับ

    .ที่เราคลาดไม่ถึงเพราะเผลอไปมองแต่เหตุภายนอกซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเป็นกันได้ทุกๆ
    คนแต่การอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญานระดับที่ต่ำกว่านี้ด้วยการพูดคำว่าแปรสภาพบุญ
    ร่วมด้วยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เหมือนกันเพราะจะเป็นตัวหนุนเรื่องทานบารมีของเรา
    ให้มากขึ้นซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเข้าใจวัตถุประสงค์ต่างๆ
    ของการสัมผัสเรื่องต่างๆทางด้านภพภูมิในอนาตคต่อไป

    ประเด็นที่ ๔ เรื่องการส่งเสริมฤิทธิ์ต่างๆนั้น.เรามักจะได้ยินมาว่าจะต้อง
    มีส่วนเกื้อหนุนกัน ส่วนคือบุญฤิทธิ์ที่จะเป็นส่วนส่งเสริม
    ให้สามารถเกิดอิทธิฤิทธิ์ได้.ในส่วนบุญฤิทธิ์จะเกิด
    ขึ้นได้อย่างไรนั่นหรือ .จากการที่เราทราบว่าตัวเองเคยมีของเก่าอะไรก็ตามในอดีตชาติอย่างเดียวนั้น
    เพียงพอจริงๆ

    หรือ.ว่ามาจาก ทาน ศีล สมาธิ ที่เราสร้างในปัจจุบันนี้ทำให้
    เรามี ทั้งเสบียง กองกำลังและอาวุธ..และกลยุทธ์ต่างๆในการนำไปใช้งานในรูปแบบต่างๆ
    ที่เป็นกุศลกรรมที่มาจากการเดินปัญญาร่วมด้วย.จุดนี้ต้องพิจารณาประกอบร่วมด้วยให้ดีๆ
    ด้วยหรือว่าจะต้องมีทั้ง ๒ ส่วนร่วมกันโดยขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้..

    โดยเฉพาะท่านที่มีความถนัดในเรื่องของการท่องบ่นบทคาถาต่างๆ.หรือท่าน
    ที่ถนัดในเรื่องการอฐิษฐานจิต.โดยที่การอฐิษฐานจะเป็นพื้นฐานธรรมดาสำหรับท่านที่จะมา
    สายอภิญญาภายในบ้านหรืออภิญญาจิต..ตรงจุดนี้ให้ย้อนมาพิจารณาว่ามีส่วนเสริมส่วน
    ใดส่วนหนึ่งขาดตกบร่องพกหรือเปล่าจากข้างต้นที่ได้กล่าวมาแล้ว..

    ส่วนสายอภิญญานอกบ้าน.นอกจากเรื่องพื้นฐานต่างๆที่กล่าวมาแล้วยัง
    จำเป็นต้องมีกำลังสมาธิในระดับที่สามารถพัฒนาจนถึงขั้นที่
    สามารถสร้างกำลังจิตให้เกิดกับจิตให้ได้ก่อน.ซึ่งมักจะใช้กรรมฐานที่เป็นเป็นต้องสร้างรูป
    ขึ้นมาให้ได้ก่อน..แล้วไปเล่นแร่แปรรูปนั้นๆให้เป็นตามที่จิตกำหนดให้ได้

    .ถึงจะสามารถสร้างกำลังจิตแบบภายนอกให้ตนเองได้ในเบื้องต้น.
    มิฉนั้นจะไม่เพียงพอสำหรับการเรียกกำลังงานที่ได้สร้างนั้นเพื่อ
    ขึ้นมาใช้งานต่างๆในด้านที่เป็นธรรมต่อไปในอนาคต.
    ซึ่ง ณ จุดนี้ถือว่าเป็นเพียงพื้นฐานเริ่มต้นที่สำคัญบุคคล
    ที่จะเดินมาทางสายอภิญญานอกบ้าน

    .เหมือนเด็กจะวิ่งได้ ก็ต้องเริ่มจากคลานก่อนแล้วหัดเดิน
    หลังจากนั้นพัฒนามาจนกระทั่งวิ่งได้
    ส่วนใครจะวิ่งได้เร็วหรือได้นานกว่ากันนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเพียร
    การฝึกฝน ความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม.ซึ่งจะมีความแตก
    ต่างกันไปตามเหตุและปัจจัยของแต่บุคคลนั้นร่วมด้วย

    ปล.จะเข้าใจอย่างไรก็ตามแต่.จะมีความสามารถพิเศษ
    ทำอะไรได้หรืออยู่ในช่วงไหนได้ก็ตาม
    ต้องไม่ลืมว่าปลายทางการปฏิบัติอยู่ตรงจุดไหน.
    .หากอยู่ในช่วงใดก็ตามหากว่าการกระทำอะไรก็แล้วแต่ไม่ได้
    สนับสนุนเพื่อเป็นตัวหนุนสำหรับการเข้าสู่ปลายทางได้ง่ายขึ้น
    ทำให้เราห่างไกล พระรัตนตรัยด้วยแล้ว ห่างไกลการสร้างความดีด้วยแล้ว
    และยังไปหนุนกิเลสเราไม่ว่าเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ตลอดจน
    กระทั่งสร้างอัตตาให้ยึดตนยึดมั่นถือมั่นในตนเองร่วมด้วยแล้วละก็ ให้พึ่งสังวรณ์และพิจารณาให้ดีๆด้วยครับ.
    ..แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง....ขอบคุณครับ
    .​
     
  17. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    เราก็ใช้วิืธีนี้เหมือนกัน
     
  18. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ผ่านตากระทู้ของคุณมาหลายครั้ง อยากจะตอบคำถามแต่ก็ไม่สะดวกสักที
    วันนี้ได้ฤกษ์ดี (คือกำลังขี้เกียจทำงาน) ลองมาฟังความเห็นเราสักนิดหน่อยนะคะ

    ตามความเห็นส่วนตัว ท่านได้รับบุญนั้นค่ะ
    แต่เจ้าของกระทู้ก็ต้องเข้าใจ
    บุญมีหลายระดับ การทำบุญก็มีหลายอย่าง
    การทำบุญตักบาตรก็มีบุญกุศลเกิดขึ้น แต่บุญที่เกิดขึ้นนั้นหากเปรียบแล้วก็เหมือนกับ
    คุณส่งอาหารให้เทวดาประจำตัวท่านรับประทาน
    ลดหิว ลดกระหายได้ แต่ "ไม่ได้เพิ่มกำลัง" ในการประกอบกิจกรรมงานต่าง ๆ


    ใช่ค่ะ เทวดาต้องมีฤทธิ์เพื่อให้ช่วยปกป้องคุ้มครองอันตรายต่าง ๆ ให้กับเรา
    การจะทำให้เทวดาท่านมีกำลังในการช่วยเหลือเรานั้น ก็อยู่ที่บุญที่เราอุทิศให้อีกนั่นแหละ

    และตามความเห็น บุญจากการทำบุญใส่บาตรธรรมดา
    ไม่สามารถทำให้เทวดามีอานุภาพมากขึ้นนะคะ
    ต้องใช้บุญจากการถวายสังฆทาน เช่นถวายจอบ เสียม ไม้กวาด
    อุทิศเจาะจงให้ท่านโดยเฉพาะ เมื่อท่านได้รับบุญแล้ว จะมีอาวุธคู่กายค่ะ
    คราวนี้ก็สามารถป้องกันอันตรายให้คุณได้บ้างแล้ว

    หลังจากนั้นคุณก็ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เจริญพระกรรมฐาน
    และอุทิศบุญให้ท่านบ่อย ๆ ค่ะ ท่านจะมีกำลังมากขึ้นตามลำดับค่ะ



    เข้าใจว่าที่อาจารย์กล่าวถึงคนที่มีบารมีสูงกว่าเป็นคนทำให้นั้น
    คือท่านที่ได้ฌานสมาบัติและเจริญพระกรรมฐานเป็นปกตินะคะ
    จริง ๆ แล้วคุณเองก็ทำได้ เริ่มตั้งแต่รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ
    หลังจากนั้นก็ต้องเจริญพระกรรมฐานให้บ่อย เลือกเอาสักกองตามใจชอบ
    ทำให้เป็นปกติและสม่ำเสมอนะคะ อุทิศบุญให้ท่านบ่อย ๆ
    หาโอกาสไปร่วมงานบุญงานกุศลเวลาที่วัดมีงานหล่อพระ
    งานบวช หรืองานผ้าป่าและงานกฐิน ร่วมบุญตามกำลัง
    สิบ ยี่สิบบาทก็ได้ค่ะ ทำใจให้ใส ๆ เย็น ๆ ทำบุญแล้วให้มีความรู้สึกว่าสบายกาย สบายใจ
    เสร็จแล้วอุทิศให้ท่านบ่อย ๆ นะคะ


    แต่อย่าลืมนะคะว่า เทวดาที่ไหนก็ไม่สามารถทำให้เราพ้นกฎแห่งกรรมไปได้ค่ะ
    เพียงแต่ถ้าท่านมีกำลัง ท่านก็สามารถช่วยผ่อนหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย
    และมาเตือนเราได้เท่านั้นนะคะ ไม่สามารถทำให้กรรมที่จะเกิดขึ้นหายไปได้


    ขอตอบเพียงเท่านี้ค่ะ ลองพิจารณดูนะคะ
     
  19. สหายลำดวน

    สหายลำดวน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +109
    ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงที่ช่วยกรุณาแนะนำให้ผมเข้าใจอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น ตัวผมเองไม่ได้กลัว หรือคิดจะหนีกรรมที่จะต้องได้รับ ผมเพียงต้องการที่จะทำความเข้าใจถึงเหตุถึงผลของกรรมที่แท้จริง ว่าผลกรรมที่ได้รับในปัจจุบันย่อมมาจากการกระทำในอดีตซึ่งผมไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การกระทำในปัจจุบันของผมซึ่งจะไปส่งผลในอนาคตต่างหาก ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยความเคารพจากใจจริงครับ
     
  20. wangwang

    wangwang เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +629
    สวัสดีครับ ผมคิดว่าการกระทำในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าจะส่งผลต่ออนาคตอย่างเดียวมันจะมีผลต่อปัจจุบันในทันที และจะมีผลต่ออดีตด้วย อย่างเช่นในอดีต เคยมีบางคนไม่ชอบเรา จากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง อาจเป็นการกระทำ หรือเกิดจากเราไม่ชอบเขาอยู่แล้วจึงแสดงออกมาทางกาย ทำให้เขาดูออกเลยกลายเป็นศัตรูไป แต่ถ้าบัจจุบันเราเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการดำเนินชีวิตใหม่ ก็อาจทำให้ศัตรูในอดีตกลับมาเป็นมิตรได้ และอาจจะแนบแน่นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ก็อาจจะเปรียบได้ว่า การกระทำในปัจจุบันของเราสามารถแก้ไขอดีตได้ และถ้าอดีตยังแก้ได้ นับประสาอะไรกับอนาคตที่ยังไม่เกิด ก็ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเราในปัจจุบันว่าจะมั่นคงแน่วแน่ขนาดไหนกับเป้าหมายในอนาคต
     

แชร์หน้านี้

Loading...