ใจยังยึดติดกับอดีต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Happyimay, 27 กรกฎาคม 2013.

  1. Happyimay

    Happyimay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +29
    สวัสดีค่ะ ขอออกตัวว่าเป็นคนเล่าเรื่องไม่เก่งนะคะ แต่ขอเล่าพอสังเขปค่ะ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านผู้อ่านนะคะ (ขอแทนตัวเองว่าฉันนะคะ)

    เหมือนฉันเป็นคนที่ฝันจะเห็นทั้งอดีตชาติกับอนาคตตัวเอง ฝันแต่ละครั้งไม่ได้ดำเนินเรื่องติดต่อกัน แต่ก็พอจับใจความได้บ้างว่าตัวเองเป็นใครและยังยึดติดกับเรื่องใด

    ในอดีตชาตินั้นได้รักกับคู่แท้แต่ไม่ได้แต่งงานกัน จากกันด้วยน้ำตาแต่ในใจยังระลึกถึงบุคคลผู้นั้นเสมอ ถึงแม้พ่อแม่เราในชาตินั้นให้เราแต่งงานกับอีกคนทั้งๆ ที่ไม่มีจิตปฏิพัทธ์

    ชาตินี้เหมือนกับคบกับใครแล้วรู้สึกไม่ใช่ มีแต่ความรู้สึกโหยหาใครบางคนตลอดเวลา มีแต่ความคิดถึงแต่ไม่รู้ว่าคิดถึงใครคงเป็นเพราะความยึดติดในความรักของชาติที่แล้วจึงทำให้มีแต่ความรู้สึกอาลัยแบบนี้ ถึงแม้ชาตินี้ยังไม่ได้เจอคนนั้น แต่จิตเหมือนระลึกได้ว่าถ้าถึงเวลาแห่งกรรมจิตจะจำคนนั้นได้เอง

    นอกจากจะฝันเห็นอดีตของตัวเองแล้ว ฉันยังสามารถเห็นวิญญาณได้บางครั้ง

    ที่ฉันมาเล่าเรื่องไม่ได้นำมาอวดต้องการอะไร แค่เพียงอยากให้รู้ว่าถ้าจิตเรายังยึดมั่นถือมั่นกับความรัก ถึงแม้ปากจะขอตัดไม่อยากเจออยากหาหนทางสู่ความสงบแต่ถ้าจิตยังคำนึง โหยหาอยู่ยังไงก็ไม่สามารถตัดได้ จึงอยากจะบอกว่าถึงแม้ไม่ได้ไปสาบานสัญญารักที่ไหน แต่ถ้าใจยังผูกติดกับจิตผู้นั้นก็ยากที่จะหลีกพ้นการเกิดมาชดใช้กรรมหลายชาติหลากภพ

    สุดท้ายขออโหสิกรรมทั้งบุคคลที่ฉันเคยล่วงเกินมาในอดีตหรือในปัจจุบัน และขอให้ทุกท่านอโหสิกรรมให้ฉันด้วยเถิด
     
  2. พุธทสิณ

    พุธทสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +404
    เชื่อว่าทุกๆคนก็ย่อมมีอดีตที่พบเจอกับความรักที่ผ่านมาแล้วทังนั้น...ทั้งสมหวังและผิดหวังมาก็ไม่น้อยคนที่เป็นคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วจากกันไปได้.เราจะโหยหายังไงร้อห่มร้องให้แทบจะขาดใจตายหากบุญวาสนาไม่ได้ทําร่วมกันก็อยู่ด้วยกันยาก...ไม่จากเป็นก็จากตาย..ทําไม่เราไม่เปลี่ยนจากการโหยหาเป็นการทําความดียิ่งๆขื้นไปที่เรียกว่าสั่งสมบุญมีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา เป็นต้น...แล้วหมั่นอุทิศบุญแผ่เมตตาให้บ่อยๆ.หมั่นฝืกสติให้มากพิจารณาความไม่เที่ยงแท้ของสังขารและสิ่งทังปวง.แล้วสักวันหนื่งจะรู้ด้วยตนเองว่า เราเสียนํ้าตากับความรักมาหนักต่อหนักหลายๆชาติที่ผ่านมานับไม่ถ้วนถืงเวลาหรือยังที่จะแสวงหาหนทางแห่ความลุดพ้นที่แท้จริงคือนิพพาน.
    ยังไงก็ขอให้ จขกท ผ่านพ้นไปด้วยดีนะครับ.
     
  3. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสู่ชีวิตเราล้วนถูกกำหนดไว้แล้วทั้งสิ้น ขออนุญาตตัดตอนถ้อยคำจากหนังสือที่อ่านแล้วประทับใจมาฝากไว้ให้อ่านด้วยนะคะ หากมีสิ่งใดผิดพลาดก็กราบขออภัยด้วย

    "...คนเราทุกคนย่อมมีเนื้อคู่ของตัวเองทั้งสิ้น และมักจะมีถึงสอง สาม หรือแม้กระทั่งสี่คนในช่วงชีวิตหนึ่ง พวกเขามาจากหลายยุคสมัย เดินทางข้ามมหาสมุทรแห่งกาลเวลา พ้นความลึกสุดหยั่งของมิติสวรรค์เพื่อจะได้มาอยู่ร่วมกับคุณอีกครั้ง ...ชาตินี้เขาอาจจะมีรูปลักษณ์หน้าตาไม่เหมือนเดิม แต่คุณจะรู้จักเขาด้วยหัวใจว่าคนนี้แหละ ใช่ ...สมองของคุณอาจรั้งรอ ฉันไม่รู้จักเธอ แต่หัวใจคุณสิรู้...แต่เขาอาจจำคุณไม่ได้ แม้ว่าคุณจะได้พบกับเขาอีกครั้ง แม้ว่าคุณจะรู้จักและจำเขาได้ก็ตาม ตัวคุณรับรู้แล้วว่าเขาเคยผูกพันกับคุณมาก่อน คุณมองเห็นความเป็นไปได้ เห็นอนาคต แต่เขาไม่เห็น .....ความกลัวของเขา สติของเขา หรือปัญหาของเขาเป็นม่านบังดวงตาแห่งหัวใจของเขาจนหมด เขาไม่ยอมให้คุณช่วยเปิดม่านนั้นขึ้น ...คุณคร่ำครวญ โศกเศร้า ร้าวราน ส่วนเขาก็มีชีวิตของเขาต่อไป..."

    บางครั้งพรหมลิขิตก็ละเอียดอ่อนเสียเหลือล้ำ สายใยแห่งชีวิตโยงใยให้คนสองคนได้กลับมาพบกัน ใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางเดียวกัน แต่กลับไม่เปิดทางสว่างให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างมีความสุขง่าย ๆ หากใครคนหนึ่งสัมผัสได้ถึงความผูกพันอันลึกซึ้ง...แต่ใครอีกคนหนึ่งกลับปฏิเสธการเดินทางข้ามเวลาเพื่อกลับมาพบกันครั้งนี้จะมีประโยชน์อะไร...นอกจากจะก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานให้กับคนที่ต้องกลายเป็นฝ่ายรอคอย


    "...คู่แท้ที่จำกันได้อาจจะเกิดแค่เบาบางและอาจจะช้ามาก ราวอรุณรุ่งแห่งความรู้แจ้ง เมื่อม่านบังตาค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ ไม่ใช่ทุกคู่ทุกคนที่เห็นแล้วก็รู้ได้ในทันที มันต้องใช้เวลา และต้องใช้ความอดทนที่จะรอสำหรับฝ่ายที่เห็นมันได้ก่อน...การเลือกทำอย่างหนึ่งอย่างใด หรือไม่ทำเลยขึ้นอยู่กับจิตใจอิสระของคนทั้งคู่เท่านั้น เขาเลือกกันเอง คู่ที่ตื่นน้อยอาจเลือกตัดสินใจตามสมองบัญชาจากความกลัวหรืออคติ...แล้วโชคร้ายนักที่การตัดสินใจเยี่ยงนี้มักจบลงด้วยหัวใจที่แหลกสลาย..."

    พุทธศาสนาสอนให้เราเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม คนทุกคนมีกรรมที่ตนเป็นผู้ก่อ...และมีผลแห่งกรรมที่ตนจะต้องเป็นผู้รับ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากอดีต...จากสิ่งที่เราเคยก่อขึ้น


    "...บางครั้งคู่แท้ของเราก็ตอบสนองและยังว่างรอเราอยู่...แต่เราอยู่กับเขาหรือเธอแล้วทุกข์...หลายครั้งที่คนเป็นเนื้อคู่อาจตัดสินใจไม่ลงเอยที่การแต่งงานกัน ทั้งที่เกิดตามกันแล้วในชาตินี้ ...ทั้งสองคนได้พบเจอกัน อยู่ด้วยกันจนภารกิจในการพบเจอกันเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นจึงแยกทางไปมีชีวิตใหม่ กำหนดการของพวกเขา แผนที่จะเรียนรู้บทเรียนชีวิตของพวกเขาตลอดทั้งชีวิตแตกต่างกัน จึงไม่อยากหรือไม่จำเป็นจะต้องผูกชีวิตทั้งชีวิตไว้ด้วยกัน ...นี่ไม่ใช่โศกนาฏกรรม เป็นเพียงเรื่องของการเรียนรู้เท่านั้น เราร่วมมีชีวิตชั่วอนันตกาล หากแต่บางคราวเราจำต้องแยกชั้นเรียนชีวิตคนละวิชา..."

    มันไม่ใช่โศกนาฏกรรม แต่เป็นเพียงการเรียนรู้เท่านั้น นี่คือสิ่งที่ต้องเกิด...และจำเป็นต้องเกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล...ไม่มีเงื่อนไข...ไม่ใช่การพบกันเพื่อความว่างเปล่า หากทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นอย่างมีวัตถุประสงค์ในตัวของมันเอง


    "...Soul Relationship หรือ สายสัมพันธ์ทางวิญญาณ ก็เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ ที่มีใบนับพัน ๆ ใบ ประดาใบที่อยู่บนก้านเดียวกันกับเราจะใกล้ชิดผูกพันกับเรามากที่สุด เราอาจจะแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์ทางดวงวิญญาณในหมู่พวกเราได้...เราอาจจะเคยพบดวงวิญญาณอื่นที่อยู่ไกลจากเรา แต่อยู่ลำต้นเดียวกันมาแล้ว ในชาติภพก่อน ๆ ก็ได้ คนเหล่านั้นอาจจะมามีสัมพันธ์กับเราหลากหลายรูปแบบ การที่เขาเข้ามาในชีวิตเราอาจจะสั้นมาก...แต่การได้รู้จักคน ๆ นั้นอาจช่วยเราหรือช่วยเขา หรือกระทั่งช่วยทั้งสองคนให้เรียนรู้อะไรในชีวิตก็ได้ ...ความสัมพันธ์ระหว่างเรามิอาจวัดด้วยกาลเวลาว่าพบกันยาวนานเพียงไร หากแต่วัดกันด้วยบทเรียนที่เราได้รับจากการพบกันว่าเป็นเช่นไรต่างหาก..."

    มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาอย่างมี Purpose of Life หรือวัตถุประสงค์ของชีวิต สิ่งที่เราต้องพบและต้องกระทำล้วนสืบเนื่องและเกี่ยวพันกับวัตถุประสงค์ที่ถูกกำหนดไว้แล้วนั้น ทุกคนมีภารกิจของตัวเองที่จะต้องกระทำให้เสร็จสิ้นในชาติภพที่ตัวเองเกิดมาโชคชะตาได้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้โดยที่เราไม่มีทางหลีกเลี่ยง หากก็ยังมีคนอื่นที่ผูกพันกับชีวิตและได้อยู่ร่วมกันยาวนานกว่า


    นี่อาจเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าคู่แท้ไม่จำเป็นต้องเกิดเพื่อเป็นคู่รักกันทุกชาติทุกภพ ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันตลอดกาลนาน หรือบางทีอาจไม่จำเป็นต้องพบกันเลยก็ได้ในบางชาติ พรหมลิขิตจะทำงานด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้มนุษย์ไปคอยกระตุ้น เพราะทุกอย่างล้วนถูกขีดเส้นไว้แล้ว

    ขอบคุณที่มา : Only Love is Real
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2013
  4. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    มีอุปาทานแล้วจึงมีภพชาติ..

    พระพุทธเจ้าท่านว่า เมื่อมีผัสสะแล้วมีเวทนา มีเวทนาแล้วมีตัณหา มีตัณหาแล้วมีอุปาทาน มีอุปาทานแล้วมีภพ มีภพแล้วมีชาติ ทุกคราวที่มีการกระทบทางตาหรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หกอย่างนี้แล้วมีเวทนา มีตัณหาอุปาทาน นี้เรียกว่ามีกิเลส มีภพ มีชาติ มีตัวเราเกิดขึ้น

    ถ้าจิตไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนี้ มันก็มีค่าเท่ากับไม่มีกิเลสก็ไม่มี ตัวเราก็ไม่มี มีแต่สักว่าร่างกาย จิตใจ ตามธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเราแล้ว มันก็ไม่มีความหมายเป็นตัวเรา

    เพราะฉะนั้น เมื่อใดเรามีความโง่ ความหลง เกิดขึ้นมาเป็นพัก ๆ ว่ามีตัวเรา มีของเรา เมื่อนั้นแหละจึงจะเรียกว่ามีตัวเรา มีกิเลส มีตัณหา ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นี้ทำให้เรากล่าวได้ว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา ก็มิได้มีอยู่ตลอดเวลา

    ที่มา-หนังสือ วิธีชนะความตาย อุณหัสสวิชชยกถา
    (กองทุนวุฒิธรรมเพื่อการศึกษาและปฏิบัติธรรม)
     
  5. Happyimay

    Happyimay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ให้คำแนะนำ คติธรรม และชี้ทางให้ฉันนะคะ
    ตอนนี้รู้สึกว่าปลงกับสังขารและความนึกคิดแล้วค่ะ ขอแค่อยู่กับปัจจุบันก็พอ เรื่องอดีตมันผ่านไปแล้วคงกับไปแก้อะไรไม่ได้แล้ว ที่ทำได้คืออยู่กับปัจจุบัน รู้ทันความนึกคิด และทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง คนรอบข้าง สังคม และพระพุทธศาสนาค่ะ

    อนุโมทนาค่ะ
     
  6. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เค้าลงมาเกิดแล้ว และคุณก็เจอเค้าคนนั้นแล้ว แต่ตัวคุณเองนั่นล่ะ ที่ไม่ยอมรับ ลองถามหัวใจตัวเองดูสิ ว่าจริงมั้ย
     

แชร์หน้านี้

Loading...