เด็กใหม่อยากเรียนรู้พวกเวทย์อาคมอ่ะครับ

คนทั่วไป เหมือนคนตาบอดหูหนวก นะครับ เค้าพลัดลงไปบนทางด่วน เค้าจะกลัวมั้ย ไม่ได้ยินเสียงแถมมองไม่เห็น ก็คงไม่กลัว
ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่กลัว เหมือนคนตาบอดหูหนวกคนนั้น ไปชันสูตรพลิกศพ ศพที่แขวนคอตาย ขุดขึ้นมาตรวจ ก็ไม่รู้สึกอะไร ศพคนแก่ตายไป 5-7 วันแล้ว หนอนขึ้นยั้วเยี้ย ไปคนเดียวก็ไม่รู้สึกอะไร

แล้วยังคิดว่า ชีวิตเราเป็นคนลิขิต

แต่หลังจากอ่านหนังสือของ หลวงพ่อพุทธทาส อานาปานสติ แล้วทำตาม โดยดูตามลมหายใจ ความสงบบังเกิด วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคตา จิต ตามมาโดยลำดับ

ความลังเลสงสัย ในพระไตรปิฎก หมดไป ทุกสิ่งที่เขียนในไตรปิฎก ต้องเป็นจริง ทั้งหมด

ตอนนี้ผมจึงเหมือน คนตาบอดที่เพิ่งแค่เห็นแสง คนหูหนวกที่เพิ่งได้ยินเสียงสั่นสะเทือน
ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตด้วยความประมาท ดีที่ไม่ตายเสียก่อน เรานี้ดิบจริงๆ แม้แต่ผียังไม่อยากมายุ่งกับเราเลย ตอนนี้เลยแขวนพระ สาระพัด
ทั้งพยายามฝึกสมาธิ จนกว่าจะมีความคล่องในการเข้าฌาน หรือถ้าตามหลวงพ่อฤาษี มองเห็นภาพพระจนจำได้ เห็นได้ตลอดเวลา ทรงฌานได้ ผมถึงจะอาราธนาไว้บนหิ้งนะครับ


ให้น้องสนใจเรื่อง ธรรมมะ จริงๆก่อนดีกว่าครับ ก่อนจะไปลุยภาคสนาม
พี่ specialize เค้ามีบุญเก่า ส่วนคนโดยทั่วไปมีแค่เมล็ดแห่งความดีนะครับ

ขอให้น้องโชคดีครับ

 

อาคมเรียนเพื่ออะไรละครับ

 

อ่านแล้วสะเทือนใจจังครับ......เอาเวลาไปอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนให้จบ..เป็นคนดี มีงานการและเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่า...ดีกว่าไหมครับบบ...สลดใจมากครับ..ฮ่วยยยย...สูญเด้..ถ้าเป็นน้องผม..ตบดิ้นเลย..หืมมม!!!!

 

การสร้างพลังจิตตานุภาพที่สมบูรณ์แบบนั้น ประกอบด้วย สิ่งเหล่านี้ครับ

1.การรักษาศีล คนมีศีลธรรม ย่อมมีจิตใจที่บริสุทธิ์ คนไม่มีศีลทำย่อมไม่มีพลังจิตตานุภาพ / จึงมีผลต่อจิตโดยตรง
2.ทำบุญทำทาน ไม่ใช่เพื่อการหวังขึ้นสวรรค์ แต่การทำบุญทำทาน เป็นอานิสงค์อย่างหนึ่งที่ ช่วยทำให้บาปกรรมมากวนเราได้ช้าลง และยังช่วยให้เราสบายใจขึ้นการให้ชีวิตกับสัตวืที่กำลังจะตายเป็นการต่อชีวิตตัวเอง การให้อภัยทานเป็นทานที่ทำได้ยากที่สุดและมีผลต่อเจ้ากรรมนายเวรด้วย การให้ธรรมะเป็นทานคือการให้ที่มีบุญกุศลสูงสุด จึงมีผลต่อจิตโดยตรง
3.การสวดมนต์ ไม่ใช่สวดแล้วหวังเป็นเทวดา แต่การสวดมนต์ ทำให้เราสบายใจและได้กุศลที่ทำให้ เจ้ากรรมนายเวรลดแรงอาฆาตเราลงไป จากหนักก็เป็นเบาบางลง การสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกและชินบัญชรมีอานิสงมากกว่าการสวดมนต์อย่างอื่นถึง 100 ปี จึงมีผลต่อจิตใจโดยตรง
4.การฝึกฤทธิ์อภิญญาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรู้เห็นในสิ่งที่สายตาธรรรมดามองไม่เห็น เป็นองค์ความรุ้อย่างหนึ่ง ที่มีผลต่อจิตโดยตรง แต่ต้องมีปัญญาคอยกำกับดูแล
5.การเดินในสายปัญญาโดยตรง...สิ่งนี้ถือว่าประเสริฐโดยแท้...ผลจากปัญญาก็นำมาพิจารณาถึงสิ่งต่างๆได้ ผลจากการฝึกปัญญานอกจากได้ปัญญาแล้ว อีก 4 ข้อ ก็รวมอยุ่ด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้มีปัญญาย่อมมีผลต่ออำนาจจิตด้วยเป็นอย่างมาก
6.มีความสามารถมาแต่ดั้งเดิม...คนที่มีความสามารถแบบดั้งเดิมนี้ ถ้าหากสามารถรื้อฟื้นออกมาได้และหมันขวนขวายเพิ่มเติมอยุ่เสมอ ไม่มีวันเสื่อมแน่นอน แต่หากมีพลังมาจากอดีตชาติ แต่ลุ่มหลง หยิ่งทรนงว่าตัวเองเก่งเป็นเทพเหนือเทพ นั่นย่อมหมายถึงความเสื่อมเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องหมันฝึกฝนและกำกับด้วย 5 ข้อข้างบน
7.ถ้านำทั้ง 5 หรือ 6 ข้อข้างบนมาอยุ่ในคนๆเดียวกันได้ พลังจิตตานุภาพที่สมบูรณ์แบบจึงได้กำเนิดขึ้นมาในบุคคลผู้นั้นได้...ใน 6 ข้อข้างบนนั้น จะทำทีละข้อสลับกันไปก็ได้...ไม่จำเป็นต้องทำพร้อมกันหมดในคราวเดียว...แต่ทำเป็นกิจวัตรประจำก็จะดียิ่ง สาธุ สาธุ ทั้งหมดนี้ เรียกง่ายๆว่า การสร้างสมบารมีไงครับ

 

คาถาอาคมส่วนใหญ่จะใช้ให้เกิดผล ต้องมีพลังจิตที่แก่กล้าหมายถึง ฝึกนั่งสมาธิให้จิตสงบหยุดนิ่งจะเกิดพลังมหัสจรรย์ ร่วมทั้ง ผู้ใช้ต้องอยู่ในศีลธรรม มีศีล 5 เกื้อกูลด้วย ดังนั้นผมแนะนำนั่งสมาธิครับ ฝึกจิตไปในตัว แล้วจะเกิดสิ่งมหัสจรรย์เองครับ ...

 

บักโจ้...มีผีสาวสวยๆก็ส่งไปให้น้องเค้ามั่งสิ...อย่าหวงไว้คนเดียวดิ...

 

ก็อยากอยู่นะเรียนพวกไสย์ศาสตร์ แต่กลัวบาปอยู่นิดนึง

 

คาถา มหาอาคม

พุท-โธ

 

เอ่อ ผมค่อนข้างสนใจเรื่องนี้ ผมก็อยากณุ้ไว้เหมือนกันครับ
แต่ ผมต้องกาบแบบ หาคำตอบในสมองผม
เรื่อง อิลูนาติ เรื่อง นิบิรุ เรื่องทุกเรื่องที่ผมสูบมาในสมองผม
ผมจึงอยากรู้ ว่าจะหาคำตอบอย่างไร คำใบ้หนึ่งที่ผมคิดไว้คือ เรื่องนี้หล่ะครับ

 

เป็นเหมือนผมเลยครับ อายุพอ ๆ กับตอนที่ผมอยากเรียนวิชาต่าง ๆ ( นานมาแล้ว )

มันเหมือนดาบสองคมครับ สำหรับผมตอนนั้นก็ฝึกนั่งสมาธิ นี่แหละครับ

เหมือนที่พระท่านว่าไว้ " ทาน ศีล ภาวนา " ถ้าครบก็น่าจะได้เองนะครับ

หรือถ้าบกพร่องก็จะได้อยู่ครับ แต่น้อยมากๆ

เหมือนมองกระจกใสที่เต็มไปด้วยฝุ่นเปรอะปื้นเปื้อนโคลน มองทะลุไม่เห็นหรือริบหรี่ๆ

ที่สำคัญต้องมีศรัทธาครับ

 

ตอนนี้ทำได้แต่พยายามอยู่กับศีลให้ครบ 5 ข้อทุกวัน ครบบ้างขาดบ้างสลับกันไป

 

หนังสือพระคัมภีร์ พระเวท อ.เทพย์ สาริกบุตร เล่ม 1 (รวม ปฐมบรรพ ทุติยบรรพ ตติยบรรพ) ได้พิมพ์เสร็จ แล้ว
สนใจติดต่อ
wannapongj@hotmail.com
หรือ คุณเม้ง 086 759 2614
ร้านวันสงกรานต์ จตุจักร
หลังกองอำนวยการตลาดนัดจตุจักร
ถ. กำแพงเพชร 2


http://palungjit.org/threads/อยากรู้-ประวัติ-อาจารย์-เทพย์-สาริกบุตร.239161/
ในการแนะนำนี้ ข้าพเจ้ามิได้มีผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า การศึกษาแล้วนำเอามาใช้นั้น ย่อมมีคุณมีโทษตามแต่จะทำกัน แต่ขอให้เลือกทางฝ่ายคุณไว้เป็นสำคัญจะดีกว่า หากถามว่าเรียนไปทำไม คงต้องตอบว่า เรียนไปเพื่อที่จะเป็นคนดีเพราะต้องถือศีล 5 และเป็นคนมีประโยชน์คือสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ซึ่งในสมัยโบราณจะมีการศึกษาคาถาคู่ไปกับตำรายา ตามคัมภีร์แพทย์ศาสร์สงเคราะห์(มีหลายเล่มเช่น คัมภีร์ฉันทศาสตร์เป็นต้น) มีลิ้งค์ของทางเว็บๆหนึ่งซึ่งมีคัมภีร์แพทย์ ด้วยนะครับ แต่บางวันอาจเปิดไม่ติด http://thrai.sci.ku.ac.th/node/588 ลองดูครับ เผื่อเป็นประโยชน์

 

ตั้งใจเรียนเถอะครับ ของแบบนี้ อย่าไปเล่นเลยครับ ดีๆไม่ดีเข้าตัว คนอยากได้ บอกอะไร ก็ตกลงหมด ลองได้แล้วสิ หลงไหล ลืมตัว

หากอยากเรียนจริง ลองก้าวผ่านความ อยาก ก่อนสิครับ เพราะหากใช้ไปในทางที่ผิด ก็ กุเกิ้ล ดูผลกรรมได้ครับผม

อยากเรียน มันก็เรียนได้ ถ้าให้ดี ไปหาอาจารย์ดีๆ สิ ท่านจะได้สั่งสอน ขัดเกลา เราไปพร้อมๆสอนพระเวทย์ คาถา

เพราะคาถา บางบท มีทั้งคุณ และโทษ หาอาจารย์สอนเลยครับ หากตั้งใจดี ก็จะได้เจอสิ่งดีครับ

แต่ จากที่อ่านเม้นหลักมา น้องไปพิสูจน์ผี แล้วเจอเรื่องแปลกๆ เลยอยากเรียนคาถา ลองถามใจตัวเองดูครับว่าเพราะอะไร

โชว์เพื่อน? ไล่ผี? มันก็เป็นหนทางเสื่อมทั้งนั้น
แต่หากน้องตั้งใจ จะช่วยเหลือคนจริงๆ อาทิเช่น รักษาโรค หรือ สอนคนอื่นให้ตั้งในความดี อันนี้ ผมอนุโมทนา

ย้ำอีกครั้ง ตรวจดูใจตัวเองก่อน ว่าที่เราอยากเรียน แท้จริงแล้ว เพราะอะไรกันแน่ แล้วคิดเอาต่อว่า สิ่งนี้ มันดีหรือไม่ ถูกผิดอย่างไร

 

คาถาใดๆจะศักดิ์สิทธิ์ได้ จะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 อย่างคือ

- สมาธิจิต
- ศีล ๕ อย่างต่ำ

สองสิ่งนี้ต้องทำอยู่เนื่องๆ บ่อยๆ จนเป็นนิสัย

ให้คาถาดีแค่ไหน ถ้าไม่มีสมาธิ ยิ่งท่อง ก็เหมือน ยิ่งเชิญแขก
และถ้าเชิญแขกมาแล้ว ไม่มีเกราะป้องกันตัวคือศีล ก็ งามไส้ ละทีนี้

เหมือน ปืน ไม่มีลูก แต่ดันไปควง ไปกราง โชว์ คนอื่น เดี๋ยวก็คงโดนลองของเข้าสักวัน

สวด ชินบัญชร แต่ ทำผิดศีลทุกว๊านทุกวัน หรือ เวลาสวดจิตตะเลิดเปิดเปิงไม่อยู่กับบทที่สวดเลย ...อย่าว่าแต่ผีเห็นเลย คนเห็นยังหัวเราะท้องแข็ง

ลองศึกษาจากประวัติ อาจารย์ชุม ไชยศรี หรือ ท่านขุนพันธุ์ ดูซิ ... แม้แต่คาถาสั้นๆ ง่ายๆ แต่ท่านใช้ได้อย่างสำฤิทธิ์ผลและล้ำเลิศ นั่นเป็นเพราะ สมาธิจิตของท่านแน่วแน่
และตลอดเวลาที่ท่านดำรงค์ขันธ์อยู่นั้น ชีวิตท่านก็มีความสุขปราศจากอันตราย นั่นเพราะท่านมีศีล

แม้กระทั้ง พระเสือดำ (ปัจจุบันท่านบวชแล้ว) เสือใบ หรือ เสือมเหศวร ยังเคยพูดว่า คาถาทั้งหลายถ้าจะให้ศักดิ์สิทธิ์ ต้องหมั่นบริกรรมบ่อยๆ เผลอปั๊บว่างปุ๊บ บริกรรมทันที ชะรอยว่า จะเป็นกุศโลบายในการสร้างสมาธิจิตให้แข็งแรง แต่สุดท้ายตอนจบ ไม่ว่าเสือทั้งหลายจะขมังเวทย์เพียงใด ก็ถูกปราบโดย นายตำรวจ ตำรับเดียวกับ ท่านขุนพันธ์ ... ทำไมนะหรอ???

ก็เพราะ ระดับศีล ที่มี มันต่างกันนั้นแล.....น้องเอ้ย

เอวังก็มีด้วยประการะฉะนี้

 

ตอนถามอยู่ ม.สอง
ป่านนี้ถ้ายังไม่ตายคงอยู่ปีสอง

 

อย่าไปเรียนเลยน้อง ของพวกนี้อาจจะช่วยสำหรับโลกนี้ได้เล็กน้อย แต่ตายไปแล้วเอาไปใช้ไม่ได้ มีแต่ความดี ชัว บุญ ทที่ติดตัวและเป็นที่พึ่งได้จริง การใช้คาถาอาคม อิทธิฤทธิ์เป็นการละเมิดกฎจักรวาลด้วย

 

ขอโทษ ท่านแมว นะครับ ผมขอแสดงความเห็น นิดนึง
แล้ว พวก หมอผีที่รับกระทำ คุณไสยทำร้าย คนอื่นล่ะครับ เค้าก็ไม่เห็นมี
ศีล 5 ศีลธรรม อะไรในใจเลย ใครมาจ้างได้ตัง ดีไม่ดี เค้าก็รับทำหมด
ตายไม่ตาย ทรมาน แค่ไหนเค้าก็ไม่สนใจ แล้วทำไมไม่เห็น เสื่อมล่ะครับ
และผม เคยสงสัยว่า พวกคาถา อาคม ที่เค้าว่า สำเร็จ ๆ กันนี่ สำเร็จยังไง
จนวันนึงผมได้ คำตอบ ว่า การใช้คาถาอาคมทั้งหลายนั้น ผู้ใช้คาถานั้น ๆ
ที่ได้ ร่ำเรียนมาจะต้อง นำคาถาบทนั้นๆ มาบริกรรม ไปเรื่อยๆ จนเข้าถึง
ฌาณ4 ในตัวคาถาบทนั้น ๆ และใช้ออกมาได้เห็นผล จึงจะถือว่า สำเร็จ
ส่วนความจริง แล้วตัวบทคาถาทั้งหลายนั้น เป็นเพียงตัวบังคับ ให้ผู้บริกรรม
ได้รับรู้ถึงอารมณ์ ของตัวคาถานั้นมากกว่า จึงจะรู้และจำได้ และสามารถ
กำหนด อารมณ์ ของคาถานั้น ๆ ได้คล่องแคล่วในการเข้าออก ฌาณของ
คาถาบทนั้น ๆ เท่านั้นเองไม่ใช่ว่า เมื่อยาม คับขัน มานั่งบ่นบริกรรมท่องๆ
คาถาบางบทมีความยาว ประมาณ 2 หน้าหนังสือ ถ้าค้าจะทำร้ายคุณ เค้า
ก็คงไม่รอให้ท่อง จบแน่ๆเลย จริงป่าวครับ และอยากจะบอก คนที่อยากเรียน
ว่า การเรียน คาถาอาคม นั้น ก็เหมือนดาบ 2 คม ถ้าคุณใช้ทำดี ก็จะเกิดเป็น
บุญกุศล แต่เมื่อไหร่ที่ นิวรณ์ 5 เข้าครอบงำ จนคุณคุมสติ ด้วยคุณธรรมไม่ได้
แล้วใช้ คาถา วิชาเหล่านั้น ทำร้าย คนอื่นให้เดือดร้อน ละก็ บาปเป็นเท่าตัวครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากเรียนจริงๆ จงปลูกฝัง คุณธรรม ในใจของตัวเองให้มัน
มั่นคงดี ก่อนดีกว่า ในความเห็นนี้ ถ้าผม กล่าวผิด หรือ เหมือนจะดูหมิ่นใคร
ก็ขออภัย ไว้ที่นี้ด้วย เชิญท่านที่รู้จริง ๆ แนะนำผมต่อด้วยครับ

 

ก็แลดูเหมือนจะคล้ายกับที่ผมกล่าวไว้ตอนแรกไม่ใช่หรอครับ
คุณเองยังเข้าใจเลย ว่าคาถาดังกล่าวขึ้นกับ ระดับฌาน และการบริกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งในการผูกจิตให้นิ่งเพื่อประกอบการเดินฌาน

และ คุณก็เข้าใจอีกว่า เมื่อใดที่ กิเลส หรือ มิจฉาทิฐิ เข้าครอบงำ จนคุมสติไม่อยู่ ผลคือ เตรียมพุ่งดิ่งลงนรกกันไปเลย ดังนั้น จึงควรต้องมีศีลเพื่อกำกับจิตกำกับใจของตน

ส่วนประเด็นที่ว่า ศีลนั้นสำคัญฉะไหน กับความศักดิ์สิทธิ์ของคาถา ที่คุณว่าหมอผีบางคนไม่เห็นมีศีลเลย แต่ทำไมใช้คาถาได้ศักดิ์สิทธิ์ ... อันนี้ปฏิเสธไม่ได้ ว่าขึ้นกับระดับฌานของเขา หากฌานเขาดีมีกำลัง คาถาก็ศักดิ์ได้จริง ซึ่งฌานดังกล่าวนี้ เขาเรียก มิจฉาสมาธิ

ส่วนฌานที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศีล (มีศีลห้าเป็นอย่างต่ำ) เขาเรียก สัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งการอบรมจิตอบรมใจ ตั้งแต่ระดับ โลกียะ ไปจนถึง โลกุตตะระ

จุดแบ่งของสัมมาสมาธิ กับ มิจฉาสมาธิ อยู่ที่ระดับศีล

ประเด็นที่น่าสนใจคือ หากหมอผีเหล่านั้น ดำเนินความศักดิ์สิทธิ์ของตนอยู่บนพื้นฐานของมิจฉาสมาธิ คำถามคือ ความศักดิ์สิทธิ์ของเขาเหล่านั้นจะมีได้ถึงเมื่อไหร่?

เพราะอย่าลืมว่าหากมัวแต่ก่อกรรมทำเข็ญ ไม่ว่าอำนาจอิทธิฤิทธิ์ ของตนจะแน่แค่ไหน สุดท้ายก็ล้วนไร้ความหมายหากกฏแห่งกรรมไล่ล่ามาถึงตัว เพราะ "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม"

ในขณะเดียวกัน หากมีศีลห้าเป็นคุณธรรมประจำตัว ก็จะสามารถละการก่อกรรมทำเข็ญได้บ้าง ซึ่งเป็นการประวิงเวลาของการไล่ล่าด้วยกฏแห่งกรรม (ทุกคนมีกรรมเป็นของตน ไม่ว่าชาตินี้หรืออดีตชาติ ทางเดียวที่จะบรรเทาได้คือ อย่าสร้างกรรมเพิ่ม และเร่งทำความดี)

ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันเยอะ โจร/เสือ ที่ว่าเหนียวๆแน่ๆ สุดท้ายก็ไปไม่รอด
แต่ทว่า ครูบาร์อาจารย์ผู้ซึ่งดำเนินความศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ สัมมาสมาธิ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ยังคงอยู่แม้ว่าท่านผู้นั้นจะละสังขารไปแล้วก็ตาม แต่ถามว่าความศักดิ์สิทธิ์นั้น จีรัง มั๊ย ตอบได้เลยคือ ไม่ครับ เพราะทุกสิ่งล้วนอยู่บนพื้นฐา่นของกฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

ส่วนที่ผมแนะนำให้น้อง จขกท เขา เรื่องหากอยากเรียนคาถา เวทย์มนต์ ต้องมีศีล ๕ และ ระดับสมาธิ เพราะอย่างน้อยเพื่อให้น้องเขาอยู่บนพื้นฐานของสัมมาสมาธิ อันจะช่วยป้องกันไม่ให้น้องเขาหลงผิดจนเป็นเหตุให้ต้องลงอบายภูมิ

สมมุติ หากมีเด็กซักคนมาบอกเราว่า หนูอยากเป็นนักมวย ครั้นเราจะไปบอกว่า อย่าเป็นเลย เดี๋ยวเจ็บตัว เดี๋ยวไปมีเรื่องชกต่อยกับใคร อันนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะไม่งั้นนักชกระดับโลกหลายๆคน เช่น "บัวขาว ป.ประมุข" คงไม่เกิดขึ้นในโลก
ถ้าเขาอยากชกมวย ก็ควรให้โอกาสเขาชกและควรแนะนำเขาด้วยว่าต้องชกอย่างไร ต้องการ์ดปัดป้องอย่างไร และควรวางตัวแบบไหนจึงจะเรียกว่ามีคุณธรรมและน้ำใจนักกีฬา เพราะถ้ามัวแต่ห้ามกันไปห้ามกันมา สุดท้ายคุณอาจจะเป็นคนดับฝันเล็กๆที่อาจจะโตขึ้นจนกลายเป็นตำนานในอนาคตของเด็กคนหนึ่งก็เป็นได้

เรื่องก็มีเพียงง่ายๆแค่นี้แหละครับ

 

นับถือ ๆ ยินที่ได้ ร่วมสนทนา ครับ บุคลากร อย่างท่าน แมว หาได้ยากจริงๆ
หวังว่าเราคงจะมี โอกาส ได้สนทนากัน อีกครับ

 

รักษาศีล 5 ให้ครบ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ผิดศีล 5 เอา เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันคุมจิต นั่งสมาธิทุกวัน เอาแค่ภาวนาบทพุทธคุณวนไปวนมาซ้ำๆไปก่อน หรือ คาถามงกุฎพระพุทธเจ้าฯ ไปก่อน ทำแค่นี้ไปจนกว่าจิตจะตั้งมั่นเป็นพื้นฐานกำลังของจิตไปก่อนสิ... ถ้าอยากเรียนจริง เอาเท่านี้แหละแล้ววันนึงจะมีคำตอบให้ตัวเองว่าควรเรียนหรือไม่อย่างไร และจะเรียนยังไง... : D