ไสยศาสตร์เขมรความเชื่อเหนือกาลเวลา

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย satan, 23 มีนาคม 2007.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ไสยศาสตร์เขมรความเชื่อเหนือกาลเวลา

    15 มิถุนายน 2549 19:07 น.
    ๐ สัจภูมิ ละออ
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :


    ไสยศาสตร์อาจารย์แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ ได้แก่ ไสยศาสตร์เพื่อการรักษา เป็นไสยขาว ได้ชื่อเช่นนี้เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน เช่น การสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตารักษาโรค กลุ่มต่อมาคือไสยศาสตร์เพื่อการป้องกัน ได้แก่ คาถาคงกระพันชาตรี ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ สักยันต์เป็นรูปต่างๆ และกลุ่มสุดท้ายคือไสยศาสตร์เพื่อการทำลาย ประเภทนี้เรียกอีกอย่างว่าไสยศาสตร์ดำหรือมนต์ดำ เนื่องจากมีความชั่วร้ายประกอบอยู่ ลักษณะการใช้ ทำให้ผู้อื่นทุกข์ทรมานหรืออาจถึงเสียชีวิตได้


    พลิกดูนิตยสาร 'ปรเจียเปร็ย' ของกัมพูชา เนื้อหาที่นำเสนอนอกจากเรื่องบันเทิง สารคดี สุขภาพ ดวง และกาพย์กลอนแล้ว ยังมีคอลัมน์หนึ่งที่รออ่านได้ทุกฉบับคือ คอลัมน์ 'มนุษย์อัศจรรย์' เป็นสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับหมอไสยศาสตร์ล้วน

    เนื้อหาในคอลัมน์ กล่าวถึงหมอผู้มีอาคมแก่กล้า บอกถึงวิธีการรักษา และความเห็นของคนไข้ที่เข้าไปรับการรักษา เป็นต้นว่ามียายท่านหนึ่งที่เขตกำปงชนังเปิดบ้านรักษาคนไข้โดยใช้มีดอาคม คนไข้ที่เข้าไปหาแกต้องมีธูป เทียน น้ำตาล และเงินเล็กน้อยเป็นค่าครู

    คอลัมน์นี้ ย่อมเป็นตัวชี้วัดว่า ชาวกัมพูชาส่วนหนึ่งยังเชื่อเรื่องไสยศาสตร์

    ในประเทศไทยเอง ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ยังมีเช่นกัน เห็นได้จากความยิ่งใหญ่ของเณรแอที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองยังเข้าไปกราบคารวะ แถมยังมีการนำเอาเรื่องราวมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีกด้วย นี่ย่อมเป็นเครื่องยืนยันการดำรงอยู่ของไสยศาสตร์ในประเทศไทยเช่นกัน

    อาจารย์กังวล คัชชิมา แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอผลงานวิจัยนี้เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ในหัวข้อ 'ไสยศาสตร์เขมร อวิชชาที่ต้องทำความเข้าใจ' ที่ห้อง 413 คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ แม้จะเป็นวันเสาร์ แต่ก็น่าแปลกใจ เมื่อพบว่ามีผู้คนก็เข้ามาฟังกันแน่นห้อง ถึงกับต้องเสริมเก้าอี้

    ไสยศาสตร์แท้จริงแล้วคืออะไร มีจริงหรือไม่!

    คำถามเหล่านี้ มักผุดพรายขึ้นในใจของผู้คนเสมอ ถ้ามองปัญหานี้อย่างนักวิชาการแล้ว อาจารย์กังวลร่ายเรียงให้ฟังว่า ไสยศาสตร์นับเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีบทบาทใกล้ชิดกับคนไทยมาเป็นเวลานาน เมื่อพูดถึงไสยศาสตร์ คนไทยส่วนหนึ่งก็มักกล่าวถึงไสยศาสตร์เขมร เห็นได้จากในวรรณคดีหรือนวนิยายของไทยที่มีเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ มักจะมีการกล่าวถึงไสยศาสตร์เขมรเสมอ

    อาจารย์ให้รายละเอียดอีกว่า แม้แต่การเขียนยันต์ของเกจิอาจารย์ต่างๆ ก็ใช้อักษรขอมเป็นส่วนมาก เพราะถือว่าเป็นอักขระที่ศักดิสิทธิ์ ซึ่งคำว่า ขอม ในความหมายของไทยก็คือเขมรนั่นเอง

    สำหรับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่นิยมกันมากนั้น ตามที่อาจารย์ศึกษาและพบมา คือ การสะเดาะเคราะห์

    จุดประสงค์ของพิธีกรรมนี้ ก็คือ เพื่อปัดเป่าในสิ่งที่ไม่ดีออกไป ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย เหตุการณ์ร้ายที่ไม่คาดฝัน ตลอดจนความไม่สบายใจต่างๆ ที่เกิดขึ้น การสะเดาะเคราะห์จะเกิดขึ้นได้ต้องมีผู้สะเดาะเคราะห์ หมายถึงผู้เข้าพิธีสะเดาะเคราะห์เพื่อต้องการให้ชีวิตตนเองดีขึ้น แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ และ อาจารย์ อันหมายถึง ผู้จัดแจงและดำเนินการประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนที่สืบเนื่องกันมา

    ประเพณีสะเดาะเคราะห์เชื่อว่าคนที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป ทั้งหญิงหรือชายถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว จึงเริ่มมีเคราะห์ ถ้าอายุต่ำกว่า 21 ปี ถือว่ายังเป็นเด็กและยังไม่มีเคราะห์ การสะเดาะเคราะห์สามารถทำได้ทุกเวลา แต่มีบางคนที่จะไม่ทำในวันที่ถือว่าเป็นวันไม่ดี เช่น วันขึ้นสองค่ำและแรมเจ็ดค่ำ ซึ่งเขมรเรียกว่า วันผีกินคน

    ไสยศาสตร์อาจารย์แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ ได้แก่ ไสยศาสตร์เพื่อการรักษา เป็นไสยขาว ได้ชื่อเช่นนี้เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน เช่น การสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตารักษาโรค กลุ่มต่อมาคือไสยศาสตร์เพื่อการป้องกัน ได้แก่ คาถาคงกระพันชาตรี ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ สักยันต์เป็นรูปต่างๆ และกลุ่มสุดท้ายคือไสยศาสตร์เพื่อการทำลาย ประเภทนี้เรียกอีกอย่างว่าไสยศาสตร์ดำหรือมนต์ดำ เนื่องจากมีความชั่วร้ายประกอบอยู่ ลักษณะการใช้ ทำให้ผู้อื่นทุกข์ทรมานหรืออาจถึงเสียชีวิตได้

    ไสยศาสตร์เพื่อการทำลายที่รู้จักกันมาก เช่น เสกหนังวัวหนังควายเข้าท้อง ใช้เสี้ยน เข็ม หรือเข็มหมุดทำอันตราย ที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้ก็คือ วัวธนู ควายธนู

    คำว่า วัวธนู ควายธนู นี้ คนไทยเรียกจนติดปากว่าวัวธนู หรือ ควายธนู เพราะเข้าใจว่าธนูเป็นคำแสดงความสามารถพิเศษของวัวหรือควายอาคม แต่ความจริงแล้ว คำว่าธนูมีความหมายถึงวิธีการทางไสยศาสตร์สองประเภท และมีการทำพิธีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือ แบบหนึ่งใช้วัวอาคม อีกแบบหนึ่งใช้ธนูอาคมในการทำลายคนในเป้าหมาย เขมรเรียกว่า 'โกบา สนาเตะ' หมายถึงวัวตัวผู้หรือวัวพ่อพันธุ์กับหน้าไม้

    การใช้วัวอาคมทำร้ายอันตรายคนเป้าหมายนั้น หมออาคมจะใช้ดินเหนียวปั้นรูปวัวตามกรรมวิธีเฉพาะที่ร่ำเรียนมาตามขั้นตอน หมออาคมจะสั่งให้วัวอาคมนั้นไปขวิดเป้าหมาย ถ้าไม่มีอาจารย์ผู้ทรงเวทมนตร์อาคมแก่กล้ากว่ามาช่วยไว้ทัน เชื่อกันว่าคนในเป้าหมายก็จะเสียชีวิตได้

    ส่วนในการใช้ธนูอาคมนั้น อาจใช้หน้าไม้แทนกันได้ การประกอบพิธีและเครื่องประกอบพิธีจะมีแบบฉบับของแต่ละสำนัก ส่วนที่มีลักษณะคล้ายกันคือ มักจะปั้นหุ่นคนเป้าหมายด้วยแป้ง หรือวัสดุอื่นๆ ที่อ่อนๆ หมออาคมจะร่ายเวทมนต์เป็นเวลานาน เพื่อจะให้บังเกิดผลที่ตัวเองต้องการมากที่สุด พร้อมกันนั้น ก็มีการอัญเชิญครูบาอาจารย์ให้มาช่วยเหลือในการประกอบพิธีด้วย

    เมื่อหมออาคมร่ายมนต์เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว หมอจะเอาลูกศรใส่ที่ธนูหรือหน้าไม้เล็งไปยังหุ่นเป้าหมายนั้น เชื่อกันว่าที่บ้านของคนเป้าหมายจะเกิดมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายเสียงฟ้าผ่า บุคคลเป้าหมายจะรู้สึกเจ็บบริเวณต่างๆ ที่หุ่นนั้นยิง เหมือนถูกยิงด้วยศรจริงๆ

    เรื่องไสยศาสตร์ใช่มีแต่เขมรหรือไทยเท่านั้น ซีกโลกตะวันตกอย่างประเทศ 'โตโก' หนึ่งในเจ้าของทีมฟุตบอลที่เข้ารอบฟุตบอลโลก ยังมีหมอผีนั่งบริกรรมคาถาอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ทีมของตนคว้าชัย

    เรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา เป็นเรื่องของแต่ละคน สำหรับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์นี้ แม้ในปัจจุบันความเจริญด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ยังดำรงอยู่

    และจะดำรงอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่คนยังมีด้านมืดและด้านสว่า
     
  2. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,156
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,352
    หุหุ เรื่องเหล่านี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ยังคงอยู่กับพระพุทธศาสนาตลอดไปครับ
     
  3. แสบสนิท

    แสบสนิท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +119
    สองคนข้างบน...ไปตั้งรกรากอยู่ในยมโลกด้วยกันไหม...เหอๆๆ
     
  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ไสยการเมือง’ฉากใหม่ ‘ควายธนู’ ของขลัง‘สู้คาร์บอมบ์’



    วันที่ : 1 กันยายน 2549


    กรณีมีผู้ปองร้ายหมายชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ถึงขั้นมีแผนลอบสังหารด้วยระเบิดทำลายล้างรุนแรง “คาร์บอมบ์” อานุภาพไกลเป็นกิโลฯ ถึงตอนนี้คดีก็มีความคืบหน้าไปเป็นลำดับ ซึ่งเรื่องนี้ใครจะเชื่อ-ไม่เชื่อก็คงสุดแท้แต่ ที่แน่ ๆ คนในพรรคไทยรักไทยต่างก็บอกว่าเชื่อ-ว่าจริง !?!

    หลายคนแสดงออกถึงความห่วงใยนายใหญ่ด้วยน้ำตา

    และบางคนก็ถึงขั้นนำ “ของขลัง” มาให้ไว้คุ้มตัว ?!?

    จากรายงานข่าวเมื่อวันก่อน มีสมาชิกพรรคไทยรักไทยบางคนที่เป็นอดีต ส.ส. นำวัตถุยึดเหนี่ยวทางจิตใจบางประเภทมามอบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่น สุรชาติ ชำนาญศิลป์ อดีต ส.ส.อุดรธานี นำ “พระพิจิตร-เม็ดข้าวเม่า” มามอบให้ นัยว่าเพื่อไว้ป้องกันภยันตราย พร้อมทั้งบอกทำนองว่าห้อยพระดังกล่าวนี้ติดตัวไว้แล้ว “เจอปืนก็ยิงไม่ออก เจอระเบิดก็ด้าน” เว้นแต่จะโดนอุ้มตัวไปแล้วตอกทวารทั้ง 9 นั่นแล...ถึงจะทำอันตรายได้ !?!

    ขณะที่ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีต ส.ส.แพร่ ก็นำ “ควายธนู” ทองเหลือง มามอบให้ โดยเชื่อว่าจะช่วย “ป้องกันภยันตราย” ต่างๆ และควายธนูยังจะช่วยวิ่งเข้าชน “ทำลายศัตรูให้พินาศ” ได้ด้วย ?!?

    ทั้งนี้ ว่ากันเฉพาะในส่วน “ของขลัง” ที่เรียกว่า “ควายธนู” นั้น...เหลือที่จะพรรณนา โดยจากข้อมูลในเว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ว่าไว้ว่า... ความเชื่อเรื่องควายธนูนั้นเคยมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้สร้าง-ผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดี ต้องหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยวเหมือนมีชีวิต จะหลงลืมมิได้...

    ไม่เช่นนั้นควายธนูอาจหวนมา “ทำร้ายเจ้าของ” เสียเอง !!

    “ควายธนู” เป็นความเชื่อทาง “ไสยศาสตร์” ที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสังคมไทยอันเป็นสังคมเกษตรกรรม ที่มีความผูกพันกับวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเลี้ยงวัว-ควายไว้ใช้งานในด้านการเกษตร ใช้ทำไร่ทำนา โดยวิชาไสยศาสตร์แขนงนี้ก็เป็นการทำสิ่งที่เรียกว่า “หุ่นพยนต์” รูปแบบหนึ่ง...

    หุ่นพยนต์นั้นก็สามารถทำได้ทั้งรูปคนและสัตว์ รูปสัตว์ที่นิยมก็มีทั้งควายธนู และ “วัวธนู” ซึ่งมีการสร้างขึ้นกันหลายวิธี-หลายวัสดุ เช่นบางสำนักจะทำโครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากกิ่งต้นพุทราที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกอย่างน้อย 3 กิ่ง แต่หากเป็นกิ่งที่แห้งตายก็สามารถจะใช้ครั่งที่เกาะจากกิ่งเดียวก็ได้

    บ้างก็สานจากไม้ไผ่ ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง ไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะ...

    และบางสำนักก็ไม่เพียงแค่ใช้โลหะธรรมดาทำ แต่ใช้ “โลหะอาถรรพณ์” เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า เหล็กขนันผีพราย เหล็กยอดเจดีย์ ทองยอดนพคุณ ทองแดงเถื่อน ทองขวานฟ้า ดีบุก เงินปากผี ฯลฯ เอามาหลอมรวมกันแล้วหล่อเป็น “ควายธนู” แล้วลงอักขระกำกับ

    การทำควายธนูจะต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม ซึ่งบางตำราระบุถึงบทประกอบคาถาปลุกเสกไว้ดังนี้... “โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอิศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ”

    กับเรื่องของ “ควายธนู” นี้ ข้อมูลจากบางแหล่ง เช่นจาก หนังสือ “เปิดตำนานเครื่องรางของขลังเมืองสยาม” โดย สมชาย โตมั่น ระบุไว้ว่า... วิชาเกี่ยวกับควายธนู-วัวธนูนี้ เป็น “เดียรัจฉานวิชา” ซึ่งคำว่าเดียรัจฉานวิชานั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นวิชาของสัตว์เดียรัจฉาน หรือวิชาของพวกเดียรถีย์

    หมายความว่า...เป็นวิชาที่ขวางกั้นหนทางนิพพาน

    ในการทำควายธนูหรือวัวธนูนั้น นอกจากใช้วัสดุต่าง ๆ ดังที่ว่ามาข้างต้น ยังมีการทำจาก ขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง ผีตายทั้งกลม ผสมด้วยผมผีตายพราย ผมผีตายลอยน้ำ ตานกกรด ตาแร้ง ตาชะมด กำลังวัวเถลิง เผาไฟให้ไหม้บดเป็นผงผสมกับเถ้ากองฟอนเจ็ดป่าช้า แล้วนำไปคลุกกับขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปวัวหรือควาย แล้วเสกด้วยอาการ 32 โดยบางตำรามีการปั้นโดยเพิ่มรูปคนเลี้ยง 1 คนด้วย

    ขณะที่ยังมีการใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทาง มาทำเป็นวัวธนู-ควายธนู ซึ่งเป็นสูตรเร่งรัด ทำในกรณีฉุกเฉิน

    วิชาควายธนู-วัวธนู เป็นศาสตร์ประมาณเดียวกับที่เรียกว่า “วิชาวู ดู” ที่มีแพร่หลายอยู่ในบางแคว้นของประเทศอินเดีย และแคว้นคองโกแถบลุ่มน้ำอะเมซอนในกาฬทวีป ซึ่งในประเทศไทยพื้นที่ที่ในอดีตเคยร่ำลือเรื่องนี้กันมากก็เช่น ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา

    “ศาสตร์ชนิดนี้นับเป็นวิชาฝ่ายมาร แต่ทางจีนเรียกว่าม้อเก็งหรือม่อซุก ใช้เสกปวยตอ ภาษาไทยแปลว่ามีดบิน ใช้ทำร้ายศัตรูในระยะไกลได้” ...ในหนังสือเล่มที่ว่าระบุไว้อย่างนี้

    สอดคล้องกับข้อมูลจากแหล่งอื่นที่ว่า... บางคนที่เชื่อบ้างก็ถือกันว่า “ควายธนู” เป็นเสมือนเครื่องรางของขลังพกพาติดตัว บ้างก็มีความเชื่อกันว่าสามารถจะใช้ให้เฝ้าบ้านหรือไร่นา หรือใช้งานอื่น ๆ ได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันโจรผู้ร้าย สู้กับภูตผี หรือแม้แต่สั่งให้ไป “สังหารคู่อริ” ก็เชื่อกันว่าทำได้ ?!?

    เหล่านี้ก็เป็นบางส่วนของเกร็ดความเชื่อในเรื่อง “ควายธนู”

    ส่วนนายทักษิณจะเลี้ยง-จะใช้ยังไง...อันนี้ก็ไม่รู้ ?????.

    พิมพ์จาก http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/popup_news_print.aspx?ColumnId=27200&newstype=2&Template=1'
    เวลา 21/3/2550 17:38
    Daily News Web Co., Ltd. All rights reserved.
     
  5. Mangpoawhite

    Mangpoawhite Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +25
    ผมไม่เข้าใจเรื่งไสยศาสตร์อ่ะคับ ถ้ามีแล้วไม่ดีแล้วมีไว้ทำไม
     
  6. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  7. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ถ้ารู้จักใช้ในทางที่ดีก็ดีไป หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีก็จะเป็นพิษภัยเช่นกัน
     
  8. 1redstar

    1redstar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,366
    ไสยศาสตร์ อยู่คู่กับสังคมที่ด้อยพัฒนา
    สังคมที่ยิ่งพึ่งไสยศาสตร์มาก ก็ยิ่งเสื่อม
     
  9. มาพบพระ

    มาพบพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    643
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ไสยศาสตร์มากจากไสยเวท เป็นหนึ่งในไตรเพทของศาสนาพราหมณ์จากอินเดีย เป็นการฝึกจิตโดยอาศัยคำภาวนาเพื่อให้จิตเกิดพลังในการบังคับหรือทำในสิ่งที่ผู้ไม่เคยฝึกจิตไม่สามารถทำได้ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่วิทยาศาสตร์ทางวัตถุยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน ไสยศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่ลึกลับสำหรับผู้เห็นได้เฉพาะตาเนื้อ แต่คนมีตาในรู้ว่าไสยศาสตร์เป็นวิชาที่อยู่คู่กับโลกมานานและยังคงอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่คนยังมีโลภ โกรธ หลง หยั่งรากลึกในจิตใจ การคลายความเสื่อมจึงสำคัญที่พัฒนาการจิตใจ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นต้นแบบในการพัฒนาจิตของพระองค์ไปสู่ความหลุดพ้น และนำมาสอนเราให้รู้ตามเห็นตาม ทั้งนี้เราต้องเพียรพยายามให้ถึงที่สุด จึงจะหลุดพ้นไปได้ดังพระองค์
     

แชร์หน้านี้

Loading...