ใครตอบไม่ได้คนนั้นไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้ สติคืออะไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 6 สิงหาคม 2013.

  1. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    "เห็นทุกข์ ..... เห็นธรรม"
    ทุกข์ จึงเป็นประตู เปิดไปสู่ ธรรม
    เมื่อเห็นทุกข์ จึงจะเห็นธรรม

    ...วิธีการปฏิบัติต่างๆ ที่ได้ศึกษามานั้น เมื่อฟังแล้ว อ่านแล้ว ก็จดจำเป็นสัญญา...การรู้วิธีการจึงไม่ได้ชื่อว่าเห็นธรรม ถ้ายังไม่เห็นทุกข์...

    "ปฏิบัติหน้าที่ ก็คือการปฏิบัติธรรม"
    การปฏิบัติธรรม จึงไม่ได้จำเพาะเฉพาะตอนนั่งสมาธิเท่านั้น .. ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรม เมื่อมีทุกข์มากระทบ กำหนดรู้ เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นจริง ตั้งอยู่จริง ดับไปจริง จึงได้ชื่อว่า ปฏิบัติธรรม ...เห็นกระบวนการของจริง ไม่ได้จินตนาการ
    หากจำเพาะว่าการปฏิบัติธรรม จะต้องเกิดจาก การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ ถือว่ายังคับแคบ...บางท่าน จิตใจจดจ่อกับวิธีการ ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะมีความอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป....เพียรเกินไป สติกล้าเกินไป ขาดสัมปชัญญะ
    "สภาวะอยากรู้" เข้มกว่า "การรับรู้ทุกข์ที่เกิดขึัน " .. จึงไม่เห็นทุกข์ตัวแท้
    เมื่อไม่เห็นทุกข์ ก็ยังไม่ได้ชื่อว่า เห็นธรรม....

    ที่สุดแห่งทุกข์...
    ทุกข์ ที่สุด ไม่อาจทุกข์ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ทุกข์จนต้องฆ่าตัวตาย ทุกข์จนวิกลจริต...ยึดมั่นถือมั่นมาก ทุกข์มาก สุดโต่งมาก ทุกข์มาก บำเพ็ญทุกรกิริยามาก ทุกข์มาก... ที่สุดแห่งทุกข์จึงไม่จำเพาะว่าจะเกิดแก่พระพุทธเจ้า แต่พระองค์บำเพ็ญทุกรกิริยา จึงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้...
    ...ผู้ใดในที่นี้ เคยทุกข์จนเกือบจะฆ่าตัวตาย เกือบวิกลจริต ก็ได้ชื่อว่าที่สุดแห่งทุกข์ได้เช่นกัน เพราะจิตไม่อาจรองรับทุกข์ที่เกิดได้อีกแล้ว.... หากเป็นผู้ไม่เคยปฏิบัติธรรม อาจฆ่าตัวตาย หรือวิกลจริตได้จริงๆ แต่หากเคยปฏิบัติธรรมมาแล้ว รู้วิธีการ...ก็จะพบว่า ที่สุดแห่งทุกข์ นี่แหละ ขุมทรัพย์ แห่งปัญญา ที่หาจากที่ไหนไม่ได้อีก....

    ใครเห็น คนนั้นรู้..
    ใครไม่เห็น คนนั้นไม่รู้...
    อวดโชว์กันไม่ได้ เพราะเป็นของไม่มีตัวตนอยู่จริง...
    สิ่งที่เอามาบอกกล่าวกัน เป็นเพียงร่องรอยที่เคยเกิด โดยการสรรหาคำจำกัดความที่ใกล้เคียงที่สุด มาบอกเล่ากันเท่านั้น... มันจึงเป็นปัจจัตตังของแท้
     
  2. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ที่ท่านกล่าวมาถ้าเ็ป็นท่านอื่นก็อาจจะหลงเคลิบเคลิ้มกับถ่อยคำสละสลวย วิจิตรพิศดารที่เป้นคำของพวกนอกศาสนาที่ทำเหมือนเข้าใจในสัจจธรรมทั่วทังจักรวาล ท่ายังแยกสมมุติกับปรมัตถ์ไม่ออกเลยว่าทำไมถึงกล่าวว่าพุทธศาสนา (พุทธก็แปลว่าผู้รู้)เมื่อมีผู้รู้จริงเขามาสอนสั่งในความรู้นั้นเขาก็จึงเรียกว่าศาสนาของผู้รู้ก็คือพุมศาสนาก็เท่านั้นเอง ไม่ใช่ศาสนาของพระสมณโคดม แต่ในเนื้อแท้แห่งความเป็นจริงนั้นการเข้าถึงธรรมที่แท้จริงนั้นจะทำอย่างไรเล่า

    พระองค์เป็นเพียงผู้ที่บอกทางเราเท่านั้นว่าทำอย่างนี้จะได้ผลอย่างนี้ ทำอย่างนั้นจะได้ผลอย่างนั้น แต่ท่านพยามบอกว่าท่านทำไมต้องเชื่อ แล้วว่าผมเป็นเหมือนเซลแมนขายของ การที่ท่านไม่เชื่อนี่แหล่ะเราจึงเชิญท่านเข้ามาพิสูจน์ธรรมะที่มันมีอยู่ เราจึงอยากป้อนอาหารให้ท่านแต่ท่านก็ไม่กินโยนมันทิ้งไป เราจะทำอะไรได้มากกว่านี้เรารทำได้เท่านี้จริงๆ เพราะท่านคิดว่าท่านนั้นไม่ต้องยอมรับใคร ท่านรู้เองได้ท่านรู้มัยกว่าท่านจะโตมาพุทธปัญญานันได้หล่อหลอมท่านมาบ้างอย่างไม่รู้ตัว แต่อีโก้ที่ท่านมีอยู่ในตัวเองนี้นั้นมันมากมาย จนทำร้ายตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

    ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่มีอีโก้มาก ความรู้ใดๆในโลกข้าพเจ้าไม่สนใจเลยมาตั้งแต่เด็กข้าพเขาคิดว่าสิ่งนั้นจะไม่สามารถทำความสำเร็จให้ข้าพเจาได้เลย ข้าพเจ้าโขคดีกว่าเพื่อนหลายๆคนเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ถูกความรู้ทางโลกครอบงำมากนัก เพื่อนๆเป็นหมอเป็นวิศวะฯลฯ ทุกคนมีความดีในตัวเอง แต่ทุกคนก็มีความเก่งในตัวเองมีจิตวิญานด้านนั้น วิศวะก้จะมีแต่ตัวเลขในสมอง นักบัญชีก็มีแต่ต้องตรงอย่างนั้นอย่างนี้ นักกฎหมายก็จะมีแต่ความหวาดละแวง และความเก่งในตัวเองนั้นแหล่ะเป็นอุปสรรคแก่เข้าในการเข้าถึงธรรมะเพราะความคิดว่าตัวเก่งจึงไม่ค่อยยอมรับบางอย่างที่สำคัญมาก

    น้อยคนนักที่ปล่อยวางได้ ข้าพเจ้าโชคดีตรงนี้ที่ไม่มีสิ่งนี้มาครอบงำ แต่ดันมีสิ่งอื่นมาครอบงำยิ่งกว่าสิ่งเหล่านีซะอีก เพราะข้าพเจ้าสร้าวความสำเร็จสูงสุดในชิวิตเท่าที่มนุษย์ที่จะไปถึงได้ ทำให้ขาพเจ้าคิดว่าตัวข้พเจ้าเก่งกว่าใครเพราะข้าพเจ้าสำเร็จด้วยตนเองโดยไม่มีความรู้จากใคร แต่เพราะความหลวมๆทางความรู้กับจิตใจที่ไม่ชอบการต่อสู้ ชีวิตบนโลกมนุษย์นั้นต้องการการต่อสู้มากผมจึงยอมแพ้ไม่ขอเดินต่อบนเส้นทางนั้น ทำไมผมถึงนำมาเล่าเพราะอยากให้ท่านรูว่าอีโก้ท่านนั้นเองที่เป็นอุปสรรคที่จะเจาะลึกลงไปในวิชาแห่งความหลุดพ้นคิดว่าตัวเองรู้แล้วตัวเองรู้ถูกแล้ว

    และเรื่องให้ทานที่ข้าพเจ้าพูดนั้นมันอาจจะเป็นเรื่องดูแปลกหน่อยนะว่าทำไมข้าพเจ้าถึงให้ทำเช่นนั้นท่านไม่ต้องแก้ผ้าเหมือนท่านมหาวีระหรอก ท่านไม่ต้องให้อะไรใครเลยก็ยังได้เพียงแค่รักษาศิลให้เป็นปรกติก็เีพียงพอแก่การปฎิบัติเพื่อการรรลุธรรม ที่ข้าพเจ้ายกมาเพราะว่าให้ระวังเรื่องการเข้าใจตนเองผิดว่าได้เข้าใจธรรมะเข้าใจว่าบรรลุธรรม กิเลสได้เบาบางลงแล้วและการสนทนานั้นไม่ได้มีเราเพียงสองคนมีคนอื่นอีกที่เข้ามาอ่านอาจจะมีใครก็ได้คิดว่าตนเองบรรลุธรรมแล้ว ก็ให้ทานเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง ทำไมติดอะไรกับสิ่งนั้น(เงิน)ทำไมมันถึงให้ได้ยากนักทั้งๆมันไม่ได้มีอะไรเลยจริงๆ

    ถ้าท่านใดบรรลุธรรมแลวนั้นจะต้องรู้สิว่าเงินนั้นมันก็เป็นเพียงเครื่องผูกรัดเรา ท่านไม่จำเป็นต้องบริจาคเลยก็ได้ ถ้่าท่านไม่อยากรู้ว่าเรากำลังหลงอยู่ถูกมันผูกรั้งอยู่ ผมไม่ได้ใ้ห้ใครมาบาบริจาคเพื่อหวังอะไรในเรื่องบุญ ผมเพียกอยากให้คนมองเห็นในสิ่งที่ยึดติดเท่านั้น และอริยชนย่อมสละได้กับสิ่งนั้นเพราะการยึดติดถูกทำลายแล้ว เพราะศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งการทำลายความยึดติดตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช้ทำลายทางความคิดเท่านั้น ยังต้องทำลายสภาวะยึดติดตัวตนและความตระหนี่ที่เป็นมลทิลได้จริงๆ ผมจึงใช้ในสิ่งที่ทุกคนหวงแหนเพราะแสวงหามันมาตลอดเพื่อตัวเอง ก็นี่ไงลองดูทดสอบดูเอาเองจะได้รู้จักตนเองมากกว่าที่เป็นอยู่

    ท่านว่าศาสนาที่ท่านนับถือต่างจากศาสนาที่ข้าพเจ้านับถือคือพุทธปลอมๆ ท่านเอาปัญญาส่วนไหนมากล่าวว่าเป็นพุทธปลอมๆไม่ทราบ เรามีพระเจ้าให้ท่านน้้้้บถืองมงายเหรอ มีแต่บทพิสูจน์ให้ท่านพิสูจน์ความหลุดพ้นว่าทำได้จริงมั้ย ผมจึงยกเรื่องทานด้วยเงินแค่สิ่งภายนอกกระจอกๆทำให้ได้ก่อน สิ่งภายในนั้นมันลึกซึ้งเกินที่จะเข้าใจอธิบายไปท่านก็ไม่เข้าใจหรอกเพราะมันเฉพาะตน และคำว่าเฉพาะตนนั้นมันก็ไม่ลึกลับอะไร และสิ่งที่ท่านมาบ่นว่าผมเบื่อที่จะฟังมาบ่นทำไมก็ผ่านไปซิ มันอาจจะเป็นวิธีที่ทำให้ึุคุณรู้ตัวเองรู้อารมณ์ของคุณที่มีต่อผู้สนทนาก็พูดได้ ผมไม่ได้ดูถูกคู่สนทนาหรอกผมจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ถ้าสิ่งใดในตัวผมอยู่นอกเหนือสติที่จะควบคุมมันก็มีเพราะผมเองยังไม่ใช่อรหันต์ท่านต้องเข้าใจในรูปการนี้ด้วย

    เส้นทางหลุดพ้นมันมีทางเดียวเท่านั้นคือมรรคมีองค์แปด ท่านอาจจะบอกว่าหยุดก่อนอย่าเอาอะไรมาใส่สมองฉัน และมันจะต่างอะไรกับสิ่งที่ท่านกำลังอธิบายอยู่ล่ะว่าต้องเป็นไปในแนวของคุณ เอาล่ะท่านกำลังปฎิเสธพระพุทธเจ้า ส่วนผมกำลังนำเสนอความรู้ของพระพุทธเจ้า และท่านก็พยายามยกศาสดาทุกศาสดามาเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้า ก็แสดงว่าทุกศาสดาเข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองประกาศอยู่ถูก แล้วความถูกมันอยู่ตรงไหน มันต้องมีคนถูกจริงอยู่ใช่มั้ยแล้วแม้แต่ความคิดคุณนั้นก็ร่วมอยู่ในนี้ด้วยใช่มั้ยที่คิดว่าถูกจริง เอาล่ะดีๆๆสมัยพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ท่านก็ช่วยอะไรคนที่เบาปัญญาหลายคนไม่ได้มันขึ้นอยู่กับอินทรีย์ของแต่ละคน เพราะไม่ใช่สาธาณะจริงๆ แต่ก็เข้าถึงได้โดยการพิสูจน์เท่านั้นเอง

    ข้าพเจ้าพอมองเห็นมันสมองของท่านมันลึกซึ้งน่าอัศจรรย์เพียงแต่ไม่มีใครที่ดูดีมีความน่าเชื่อถือที่พอจะเป็นรูปธรรมเป็นบุคคลที่มีตัวตนที่พอสัมผัสได้มากล่าวธรรมะพอที่ท่านจะน้อมนำได้ ผมมีธรรมะบรรยายดีสัก10วันถ้าท่านยอมที่จะเปิดใจฟังท่านก็คงอาจจะได้ประโยชน์ไม่มากกน้อย ผมเริ่มต้นจากตรงนี้ กับท่านอาจารย์โก้โกเอ็นกล้า ผมไม่ทราบว่าท่ายเคยรู้จักหรือเปล่าท่านเป็นนักวิปัสนาจารย์ที่มีชื่อเสียงระดับสากลที่ยอมรับท่านลองฟังดูนะครับธรรมบรรยายหลักสูตร 10 วัน โดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า http://www.puthakun.org/puthakun/in...3-36&catid=156:2012-08-31-03-09-40&Itemid=184
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2013
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........เมื่อ ความจริงโลกนี้มี ชาติ ชรา มรณะ และ มีความทุกข์...การหาทางพ้นทุกข์จึงเกิดขึ้นมา...น้า อาจลืมสังเกตุว่า โลกนี้มีการเบียดเบียนกัน กินกันของสัตว์ ผู้ถูกล่าและผู้ล่า...การออกจากทุกข์ การหาคำตอบของชีวิต ก็มีหลายทางหลายวิธี แล้วแต่ใครจะคิดขึ้นมาในโลกนี้ ตั้งแต่อดีตโน่นแหละ...แต่เมื่อฟังพระสัทธรรมของพระพุทธศาสนา จึง มองเห็นตามความจริงที่ท่านสอนได้บ้าง และเห้นว่า นี่คือ ความจริงหรือคำตอบจริงแท้ ศรัทธา จึงบังเกิดขึ้นมา.....ผมไม่เอาหรอก ถ้าจะให้ไปเป็นสัตว์ผู้ล่า หรือผู้ถุกล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า หรือ น้า ต้องการ?....หรือถ้าน้าไม่ต้องการ แล้ว น้าไม่สงสารพวกเหล่านั้นหรือ หรือ มองโลกแบบ สวยงาม สายลม แสงแดด ว่ามันดีอยู่แล้ว ...ทุกอย่างถูกต้องอยู่แล้ว...เคยเห็นด้านดำมืดของโลกมั้ยล่ะครับ(ผมเชื่อว่า น้าเห็น)..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2013
  4. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผิดแล้วคนที่ทำได้ดีกว่าข้าพเจ้ามีมากมายข้าพเจ้าเชื่อว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าทำนั้นยังน้อยนิดกว่าอริยเจ้าท่านอื่น แต่ก็มีอริยปลอมอีกมากที่ไม่กล้าที่จะทำ
     
  5. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    ".....ผมไม่เอาหรอก ถ้าจะให้ไปเป็นสัตว์ผู้ล่า หรือผู้ถุกล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า หรือ น้า ต้องการ?....หรือถ้าน้าไม่ต้องการ แล้ว น้าไม่สงสารพวกเหล่านั้นหรือ"

    ท่านสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในตัวท่านหรือไม่ มันก็คือความกลัวนั้นเอง โอ้....คุณพูดราวกับว่าให้ผมโยนไม้เท้าทั้งหมดทิ้งไปเสีย แล้วผมจะยืนได้ยังไง ผมจะไม่หกล้มหรือครับ ถ้าผมทิ้งคำสอนทางศาสนธรรมของผมไป แล้วชีวิตของผมจะเหลืออะไร? ผมจะไม่ต่างไปจากสัตว์หรือครับ แล้วคนอื่นล่ะ ผมเห็นว่าเขามีความทุกข์ มันก็เหมือนกับผมนั้นแหละ และผมก็รู้สึกอยากให้พวกเขารอดพ้นไป ด้วยการดำเนินรอยตามคำสอนทางศาสนธรรมเหล่านี้

    ดังนั้นคำสอนทางศาสนธรรม จึงได้กลายมาเป็นคุก คุมขังแห่งใหม่ขึ้นมา แทนที่จะปลดปล่อยท่านออกจากคุก แน่นอนว่ามันเป็นคุกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ราวกับพระราชวัง ซึ่งมีคนมากมายอยากจะเข้าไป ไม่อยากออกมา เป็นเรื่องง่ายที่ท่านจะออกจากคุกที่สกปรก แต่ถ้าเป็นคุกแบบนี้ ท่านก็คงจะไม่อยากออกมากระมั้ง ดังนั้น ท่านต้องตระหนักว่า ท่านอยู่ในคุก แต่หลงคิดไปว่า ท่านเป็นอิสระ ท่านคิดไปว่าศาสนาของท่านจะช่วยให้ ท่านพ้นออกไปได้จากคุก แห่งความเจ็บปวดรวดร้าว ความขัดแย้ง สับสน ความบ้าคลั่งที่อุบัติขึ้นมาในชีวิต แต่การณ์กลับเป็นว่า ศาสนานั้นได้กลายเป็นคุกอันใหม่ขึ้นมาเสียเอง ท่านกลายเป็นทาสของสิ่งที่มากำหนดความเป็นตัวตนของท่าน แต่ท่านหลงคิดไปว่านั้นคือการเป็นคนอ่อนโยนและถ่อมตน เป็นคนเรียบง่ายตามแบบที่คนมีศาสนาควรจะเป็น

    คำสอนเหล่านั้นที่ท่านเรียกว่า เป็นคำสอนเพื่อปลดปล่อยตัวท่านเองให้เป็นอิสระ จากความทุกข์ ความขัดแย้ง การแบ่งแยกการเบียดเบียนกัน สารพันปัญหา จะมีประโยชน์อะไร? ในเมื่อท่านยังไม่เห็นว่า ตัวท่านเองอยู่ในคุก และมีอิทธิผลกำหนดอะไรบ้างที่ครอบงำ สร้างความเป็นตัวตนที่ท่านยึดถืออยู่

    นี่คือประเด็น ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ตระหนักกัน จากนั้นอะไรเกิดขึ้นบ้างล่ะ ทีนี้เราทุกคนก็ถุกโยนเข้ามาในโลก และเมื่อเราลืมตามมองดูโลก สิ่งที่เกิดขึ้นมาก็คือ เราพบว่ามี ...... สภาวการณ์ของโลกปัจจุบันมากมายที่สร้าง ความความกังวลห่วงใยให้แก่เรา ไม่ใช่สำหรับตัวเราเองเน้นแต่รวมถึงโลกทั้งใบ เช่น ความวิกลวิการทางจิตใจแบบต่างๆ ความไม่มั่นคงทางภาวะเศรษฐกิจ ความปั่นป่วนวุ่นวายของสภาพสังคมและการเมือง เพราะเราตระหนักว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก เรามีโลกใบนี้ที่อยู่ตรงนี้และเป็นจริงสำหรับเรา และเราต้องเผชิญหน้ากับมัน

    ทีนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่า ในขณะที่ทุก ๆ คนต่างมีภาระรับผิดชอบต่อตัวเองและโลก ที่กำลังมีปัญหาอยู่ การณ์กลับจะเป็นว่า เราไปก่อกวนให้ยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น เราทุกคนมีกรอบความคิดแบบหนึ่งในการเผชิญหน้ากับตัวเราเองและโลก และมันก็กลายเป็นทฤษฎีว่าอะไรที่ดีที่สุด นี่คือประเด็นที่สำคัญ คนหนึ่งพูดว่าผมมีศาสนธรรมที่ชื่อว่าพระพุทธศาสนามันสืบทอดมาจากโบราณครับมันเป็นของพระผู้ตื่น และมันดีต่อตัวผมเองและโลกที่จะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ อีกคนก็พูดว่าผมก็มีศาสนธรรมที่ชื่อว่าพระพุทธศาสนามันสืบทอดมาจากโบราณครับมันเป็นของพระผู้ตื่น และมันดีต่อตัวผมเองและโลกที่จะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ แต่ศาสนธรรมที่ว่าแม้ว่าจะเป็นพุทธเหมือนกันมันก็หาได้เหมือนกันจริงๆๆไม่ เพราะความเป็นพุทธของคนสองคนนี้กลั้นอกมาจากอิทธิผลที่มากำหนดที่ต่างกัน มันจึ่งไม่เหมือนกัน ถ้าท่านมองดูชาวพุทธ ท่านจะพบว่ากรอบความคิดความเข้าใจ(ซึ่งมาจากประสบการณ์ของแต่ละคนนั้นเอง)ที่ทุกคนมีนั้นต่างกัน มันไม่ได้เหมือนกันเลย แม้จะอ้างว่าเป้นพุทธเหมือนกัน ทำนองเดียวกันก็รวมถึงคนที่นับถือศาสนาอื่นด้วย รวมถึงคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลยแต่มีปรัชญาศาสนาเป็นของตัวเขาเอง ในที่นี้ข้าพเจ้าพูดรวมพวกนักต่างๆๆในโลกด้วย

    จากนั้นความขัดแย้งก็เกิดขึ้นกรอบความคิด ความเข้าใจหนึ่ง ปะทะ กับอีกกรอบความคิดความเข้าใจหนึ่ง เมื่อคนเข้ามามีสัมพันธภาพต่อกันกลายเป็นความขัดแย้ง ซึ่งไม่มีใครเห็นสิ่งนี้ เห็นรากเหง้าว่าเราถูกกำหนดอยู่และตอบสนองไปตามสิ่งเหล่านี้ ในลักษณะที่อัตโนมัติ เป็นกลไก ดังนั้นถ้าเรายังไม่เห็นว่าตัวเราเองอยู่ในคุก แล้วเราจะปลดปล่อยตัวเราเองได้อย่างไร?

    ด้วยเหตุนี้เองจึ่งทำให้ คำสอนทางศาสนธรรม ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกจึ่งไม่เคยได้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง.....มันไม่ค่อยได้ถูกใช้เพื่อแก้ปัญหาของโลก เพราะทุกคนไม่เห็นประเด็นว่า มีอะไรที่เราเอามาล่ามตัวเราเองอยู่บ้าง ดั้งนั้นที่ข้าพเจ้าพูดว่า ควรจะโยนไม้เท้าทิ้งไปก็ไม่ได้หมายความว่า ให้เลิกเป็นชาวพุทธ ให้ทิ้งความเป็นพุทธการปฏิบัติต่างๆๆเหล่านั้นเสีย แต่ให้เห็นว่า เราใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อผูกมัดตัวเองอย่างบ้าง และ เมื่อเห็นเราก็จะเป็นอิสระจากมัน เราก็สามารถใช้มันได้อย่างฉลาด และ แตกต่างออกไป คำสอนทางศาสนธรรม ทั้งหลายจึ่งจะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งในตัวเรา การยกย่องอดีตในตัวของมันเองไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาของตัวเราเองหรือโลกได้ ท่านจำเป็นต้องค้นหาสายใยเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบัน ท่านอาจจะมองดูโลกยืนบนหลักคิดและความนุ่มนวลของ วัฒนธรรมแบบพุทธ แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ต้องมีรากฐานที่เป็นอิสระของตนเองอยู่ด้วย เป็นพุทธในแบบฉบับของท่านเอง ดังนั้นท่านไม่อาจจะเป็นพุทธที่เลียนพระพุทธเจ้าได้ อย่างที่ท่านบอก การหาคำตอบของชีวิต ก็มีหลายทางหลายวิธี แล้วแต่ใครจะพบมัน ดังนั้นท่านต้องค้นหาทางของท่านเอง ท่านไม่อาจจะใช้เส้นทางของคนอื่นได้เพราะ ท่านไม่ใช่คนๆๆนั้นที่ท่านพยายามที่จะเลียนแบบที่จะเป็นเงาตามตัว ท่านมีลักษณะเฉพาะของท่าน ลองสังเกตดูตัวท่าน ท่านจะเห็นว่าท่านมีส่วนที่เหมือนพระพุทธเจ้าตรงที่ท่านก็ถูกครองงำด้วยความทุกข์ ความกลัว ความกังวล สังคม เหมือนๆๆกัน แต่รายละเอียดในสิ่งเหล่านี้ก็มีแง่มุมที่ต่างกันเช่นท่านไม่ได้มีประสบการณ์ที่ออกไปเล่าเรียนคำสอนต่างๆๆ หกปี การทรมาณตัวเอง การจาริกทั่วอินเดียในยุคนั้น ความอิ่มในกามสุขทุกอย่างที่มีในยุคนั้นเหมือนพระพุทธเจ้า นั้นคือเหตุผลว่าทำไมท่านถึงไม่สามารถตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้าได้แม้ว่าพระองค์ได้แสดงสิ่งที่พระองค์ค้นพบบัญญัติมันออกมาให้ท่านเห็น ท่านมีทั้งส่วนที่เหมือนและต่างกันกับพระองค์ เป็นทั้งคนที่เป็นหนึ่งเดียวและแตกต่างกับพระพุทธเจ้าองค์นั้น ท่านต้องเป็นตัวท่านเองด้วย.........เป็นพุทธแบบนายpaetrixไม่ใช่พระศายกมุนี พระสารีบุตร พระอานนท์

    มันก็เหมือนกับเมื่อท่านกำลังชื่นชมในภาพเขียน บทเพลงหรือวรรณกรรม ไม่ว่ามันได้ถูกสร้างขึ้นมานานเพียงใดแล้วก็ตาม แต่ท่านก็กำลังชื่นชมมันอยู่ "เดี๋ยวนี้" นี่คือประเด็น คำสอนในศาสนาธรรมอะไรก็ตาม ท่านจะได้ประสบกับปัจจุบันกาลซึ่งมันได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น และท่านั้นแหละที่ได้สร้างสรรค์มันขึ้นเดียวนี้ ไม่ใช่คนเมื่อหลายพันปีก่อน หรือ สิ่งที่เป้นนามธรรมอย่างพระบิดา มันเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ....และปัจจุบันก็เชื่อมดยงกับอดีตและอนาคตมันไม่ได้แตกต่างจากกนอย่างสิ้นเชิเป็นจุดบรรจบที่เลื่อนไหน ท่านต้องเชื่อมโยงศาสนธรรมอันเก่าแก่เหล่านั้นเข้ากับตัวท่านในแบบของท่านเอง "เดี๋ยวนี้" นี่คือประเด็น

    แต่การณ์กับเป็นว่ามันไม่เป็นแบบนั้น ทุกวันนี้เราทำกลับ คำสอนในศาสนาธรรมในแบบที่ตรงข้าม เราใช้มันในลักษณะของการหมกหมุ่นอยู่แต่กับอดีต และ ลืมๆๆตัวเองและความทุกข์ยากและปัญหาไปเสีย และใช้อดีตเป็นเกาะกำบัง นี้คือความฉ้อฉลที่บังเกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าและคำสอนกลายเป็นกันชน เราเป็นคนของพระพุทธเจ้าและเราก็ดำเนินรอยตามและพยายามจะเป็นให้ได้แบบพระองค์ สบายใจได้ พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมแล้วทรงเปิดเผยมันหมดสิ้น สบายใจได้ปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลาย แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้นะ แต่ในอนาคตข้างหน้า พระพุทธเจ้าจะคุ้มครองเรา และปัญหาจะผ่านไปได้เพราะเรามีพระพุทธเจ้าและคำสอนของพระองค์ ดั้งนั้นเราจึ่งละทิ้งโอกาสที่จะเติบโต และความรุ่มรวยทุกอย่างที่ชีวิตจะมอบให้ กลายเป็นเงาของพระพุทธเจ้าหรือของพระคริสต์ ของใครหรืออะไรก็ตามที่เรายึดถือและอยากจะเลียนแบบเพื่อไปให้ถึงเสีย นี่คือการฆาตรกรรมตัวเอง......

    หนทางที่นำไปสู่ปัจจุบันขณะก็คือการประจักษ์แจ้งว่า นาทีนี้ขณะนี้เองในชีวิตคือโอกาสที่เปิดให้แก่เรา ดังนั้นการตริตรองว่าเราอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่ ณ ที่นั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสถานการณ์ภายในชีวิตประจำวันจึงเป็นสิ่งมีความหมายยิ่ง โลกใบนี้จึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นโอกาสทองที่จะทำให้เราได้สัมผัสสิ่งที่เป็นจริง และแลเห็นคุณค่าของความศักดิ์สิทธิ์นั้นเ มันริ่มขึ้นได้อย่างง่ายๆ โดยการใส่ใจกับรายละเอียดทุกอย่างในชีวิต การใส่ใจก็คือการนำสติมาสอดใส่ไว้ในกิจกรรมของชีวิต มีสติขณะกำลังหุงหาอาร มีสติขณะกำลังขับรถ มีแม้ขณะกำลังถกเถียงกัน มองดูจิตใจมองดูกิจกรรมของตนเองกิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งแห่งสติสัมปชัญญะ มันล้วนเป็นหนทางที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับความจริง ซึ่งรุ่มรวยไปด้วยอารมณ์ขัน อิสรภาพและ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษญ์ที่แท้จริง ซึ่งสูญหายไปแล้วในตัวเราอันที่จริงเพราะเราไม่ได้ใส่จะจะมองดูมัน ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราจึงมีสถาวะที่ตื่นอยู่เป็นพื้นฐาน ทั้งยังมีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ด้วยนี่คือสิ่งที่เราต้องตระหนัก

    และ ข้าพเจ้าขอย้ำว่าการเฝ้าดูความจริงอันธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันจะเป็นการเปิดประตูไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่มันเป็นแบบฝึกหัดที่จำเป็นมากสำหรับชีวิต และเป็นการปฏิบัติศาสนาธรรมที่แท้จริงที่เป็นพุทธจริงๆ และไปพ้นจากกรอบของจารีตวัฒนธรรมความเป็นพุทธที่เราถูกยัดใส่หัวมาตั้งแต่เด็กสิ่งนี้แหละคือการภาวนา และมันจะช่วยให้เราเป็นอิสระจากความเร่งรีบ จากความวุ่นวาย จากความเครียด จากความเศร้าทุกประการ มันอาจช่วยเราให้เป็นอิสระจากอุปสรรคและเบิกบานอได้อย่างแท้จริงกับการมีชีวิต

    ทีนี้ การมองโลกแบบ สวยงาม สายลม แสงแดด ว่ามันดีอยู่แล้ว ...ทุกอย่างถูกต้องอยู่แล้ว...นั้นก็เป็นสิ่งที่เป็นจริงได้ ถ้าเราเรียนรู้ที่จะยอมรับโลกในแบบที่มันเป็น เป็นสร้างสายใยเชื่อมโยงอย่างวิเศษระหว่างเรากับโลกของเรา มันดีงามเพราะสาเหตุที่ว่า ไม่ว่าอะไรจะอุบัติขึ้นมา มันก็น้อมนำและเตือนห้เราได้เห็น ความดีงามรากฐานในตัวเรา ของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นสิงที่เราก็สัมผัสถึงอยู่ชั่วแวบหนึ่งอยู่เสมอ ถ้าเราใส่ใจที่จะมองดู นี่คือประเด็น เมื่อเราตระหนักถึงด้านดำมืดของโลก เราก็ไม่ได้เฉไฉด้วยการคิดบวก แต่เรายอมรับมันอย่างที่มันเป็นในทุกๆๆด้านอย่างที่เป็นจริง และด้านที่ดำมืดนั้นก็ช่วยเผยให้เราเห็นความดีงามรากฐานในตัวเรา เพราะตรงจุดนั้นเราจะเห็นว่าไม่ว่าปัญหาอันยิ่งใหญ่ของโลกซึ่งเรากำลังเผชิญหน้าอยู่จะหนักหน่วงแค่ไหน? เราก็อาจหาญกล้าและเมตตาได้ในขณะเดียวกัน นี่แหละ คือวิถีแห่งความเป็นทั้งหมดที่ข้าพเจ้าพูดถึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ข้าพเจ้าว่าท่านเป็นคนที่ตาขาวที่สุดเลยที่ท่านมองว่าคำสอนของศาสนาพุทธหรือศาสนอิ่นๆแม้กระทั้งการเรียกท่านยังไม่กล้าที่จะเรียกก็เลยเรียกว่าศาสนธรรม เพราะความกล้วว่าตนเองจะติดอยู่ในสิ่งนั้นที่ท่านเรียกว่าคุก ที่จริงแล้วจะเรียกอะไรก็ไม่ต่างกัน มันเป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้นเองท่านยังรู้สึกกลัวเลย

    ผมถามมีมนุษย์บนโลกคนไหนบ้างครับที่เกิดขึ้นมามีความรู้ขึ้นมาเองโดยปราศจากการอบรมบมนิสัยไม่มีใช่มั้ย รู้สึกว่าท่านจะตาขาวกลัวกับการยึดติดเสียเหรอเกิน พระสัทธรรมของพระองค์นั้นเป็นสิ่เดียวที่ฟังแล้วจะคลายปมของการยึดติดของมวลหมู่สัตว์ได้หรือท่านจะปฎิเสธว่าท่านอยู่ดีๆท่านก็บรรลุขึ้นมาเองโดยไม่เคยอ่านตัวอักษรของใครมาก่อนเลย ทุกตัวอักษรที่ท่านได้อ่านนั้นแหล่ะที่มันหล่อหลอมความคิดของท่านให้เข้าใจได้ ถึงมันจะไม่ทั่วทุกมุมของการหลุดพ้น

    ท่านเคยคิดบ้างมั้ย ท่านตื่นมาทำอะไรทุกเช้า ท่านทำอะไรเพื่อคนๆนั้นทั้ง ลูก สามี ภรรยา บิดา มารดา เพราะนั้นเป็นของเราเรายึดว่าสิ่งนั้นว่าเป็นของเราเราจึงทำเพื่อสิ่งนั้น วันใดท่านรักคนอื่นเท่ากับลูก สามี ภรรยา บิดา มารดา ท่านได้นั้นแหล่ะท่านคือผู้หลุดพ้นอย่างแท้จริง วันนี้แค่เพียงคำสอนศาสนธรรมที่ท่านว่าท่านยังกลัวที่ติดอยู่กับสิ่งนั้น จึงกล่าวอย่างนั้น คนที่เขาศึกษานั้นเขาไม่ได้อยู่ใต้อำนาจเหล่านั้นแค่เพียงศึกษาเพื่อค้นหาความจริง และเมื่อศึกษาเขาก็ได้พบกับความจริงปรากฎขึ้นในใจ เขาจึงยอมรับในคำสอนนั้นให้ความเคารพ คุณคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขายึดติดใช่มั้ย ซึ่งคุณเข้าใจผิด มันต่างจากคุณที่มีแต่ความกลัว

    เพราะความกลัวของคุณนี่แหล่ะมันทำให้คุณห่างจากพระสัทธรรมที่แท้จริง ขนาดของเน่าเหม็นบางประการยังตัดกันไม่ขาดไม่ลงแล้วก็จะมีเหตุผลมารองรับมันอยู่ตลอด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2013
  7. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    ข้าพเจ้ารู้จัก โกเอ็นก้า ดี เคยคุยกันสามสี่ครั้ง เห็นจะได้...บางครั้งก็แทบไม่ได้คุยกันแต่บางครั้งก็คุยนานทีเดียวหลายวัน แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการจะพูดกับท่านผ่านโกเอ็นก้า หรือ พระพุทธเจ้าอยู่ดีและข้าพเจ้าไม่เคยเปรียบเทียบระหว่างพระพุทธเจ้ากับใคร ทุกคนงดงามในแบบที่ทุกคนเป็นเสมอนั้นคือความจริง แต่ถ้าท่านว่าศาสนาทั้งหลายสอนต่างกันทั้งหมด มันก็คือการละเลยความเป็นจริง มันก็ไม่ต่างจากการดันทุรังว่าศาสนาทั้งหลายสอนเหมือนกันหมด และเอามาทำอภิปรัชญาทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียวนั้นแหละ อันที่จริงปัจเจกบุคคลมีอยู่เท่าไหร่ศาสนาก็ควรจะมีอยู่เท่านั้น นั้นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด

    ท่านจะไม่ยกเอาไปเก็บไว้หน่อยหรือ พระพุทธเจ้า นะ ท่านนี่ชอบขุดคนที่จากไปแล้วขึ้นมาเล่นจริง แต่ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจนิดที่เริ่มเห็นท่านเล่าเรื่องตัวท่านเองออกมาบ้าง...แม้ว่าจะมีโกเอ็นก้า หรือ พระพุทธเจ้า โผล่มาอีกคล้ายคนแก่ยึดติดกับอดีต สงสัยมันคงช่วยให้ท่านอุ่นใจขึ้นกระมั้ง


    ทำไมท่านไม่โยนทิ้งไปล่ะ อันที่จริงข้าพเจ้าจะดีใจกว่านี้ถ้าท่านบอกข้าพเจ้าว่า ในขณะที่ท่านเป็นอยู่จริงในขณะนั้น มีอะไรเกิดขึ้น บ้าง เช่นท่านกำลังยิ้ม ขำๆๆ กำลังรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่มีไอ้บ้าที่ไหนมาแขวะท่าน ท่านกำลังหายใจอยู่ กำลังปวดหัวอยู่ ท่านน่าจะละจากข้าพเจ้าบ้างนะ ดูท่านจะสนใจกับข้าพเจ้าเสียจริง ท่านไม่ปล่อยผ่านๆๆไปบ้างล่ะ ข้าพเจ้าทำอะไรอยู่ตอนนี้นะหรือ กำลังหายใจอยู่ไง และก็พึ่งพอใจกับมันเสียด้วยแล้วท่านล่ะ

    ท่านบอกท่านอยากป้อนอาหารให้ แต่ข้าพเจ้าไม่กินโยนมันทิ้งไป ก็ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นง้อย แล้วข้าพเจ้าจะยอมรับอาหารที่คนอื่นป้อนได้อย่างไร ถ้าการที่ท่านจะยืนด้วยตัวเองเป็นแสงสว่างในตัวเองคือการมีอีโก้สูงอย่างท่านว่า ข้าพเจ้าก็ยอมรับไม่อะไรที่เสียหายนี่ ทำไมเราต้องหลงงมงายเชื่อผู้อื่นและโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้น ศาสนาเป็นเรื่องของปัจเจกมันไม่ใช่เรื่องของฝูงชน การเดินตามฝูงชนและทำตามๆๆกันในสิ่งที่ฝูงชนว่าดีก็ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย........

    ข้าพเจ้ามีอวัยวะครบสามสิบสองดี ไม่จำเป็นต้องให้ใครป้อนหรอก ......ท่านเป็นชาวคริสต์จริงๆๆด้วย..เพราะพฤติกรรมป้อนศาสนาตนให้ถึงปากคนอื่น มีแต่ชาวคริสต์เท่านั้นที่จะทำเพราะจนแล้วจนรอดก็ยังเอาพุทธศาสนา(ผ่านโกเอ็นก้า) มาป้อนให้ข้าพเจ้าอีก
    และ น่าจะเป็นชาวอิสลามด้วยมั้ง ที่ดูเหมือนจะทนไม่ได้ถ้าใครไม่เป็นคนของศาสนาตน ท่านพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนนอกศาสนาของท่าน ศาสนาไหนล่ะ ข้าพเจ้าเห็นท่านมีตั้งหลายศาสนา ข้าพเจ้าวัดจากการแสดงออกนะ ไม่ได้วัดจากการนับถือพระโคดมและคำสอน ......

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลุงคนหนึ่งแกเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง วันหนึ่งแกอยากสอนให้หมาแกพูด แกก็เลยพยายามฝึกหัดมันแต่ไอ้ด่างมันก็ไม่อมพูด ปีแล้วปีเล่ามันก็ไม่พูด
    ดังนั้นลุงแกจึงได้พยายามเอาใจมัน และกล่อมมัน ครั้งแรกแกไปซื้อเนื้อวากิวอย่างดี ให้มันกินมันก็กินและเลียหมดจานแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาแกจึ่งไปซื้อนกแก้วปากมากมาสองตัวเอามาทอดกระเทียมพริกไทยให้มันกิน
    ทันใดนั้นก็ราวปาฏิหาริย์ ไอ้ด่างมันกินหมดจานอีกและมันก็เริ่มพูดออกมาด้วยเสียดังว่า"ลุงหลบ" ชายแกยืนตกใจตัวแข้งและพัดลมก็หล่นลงมาทับแกตาย
    ไอ้ด่างมันก็ว่า "โถ่ เอ่ย ตาแก่นี่ อุตส่าห์สอนให้ฉันพูดมาสิบปี พอฉันพูดก็ไม่ยักฟัง"

    การพบบุคคลทางศาสนาก็เหมือนกับที่ไอ้ด่างมันพูดได้แล้วลุงไม่ฟังนั้นแหละ ท่านคิดว่าท่านจะตอบสนองด้วยความเคารพนี่และธรรมะดีๆๆ ของแท้เลย แต่อันที่จริงข้าพเจ้ารับรองเลยว่ามันตรงกันข้าม มันจะเป็นฝันร้ายสำหรับท่านนะ ท่านว่าโกเอ็นก้าสอนดีแต่ถ้าท่านเจออุบาสกโกเอ็นก้าตัวเป็นๆๆ เกรงว่าท่านจะเจอฝันร้ายนะ

    ถ้าพระพุทธเจ้าเสด็จแสดงธรรมที่สนามหลวง ท่านว่าคนที่เรียกว่าชาวพุทธจะไปฟังหรือ ข้าพเจ้าว่าเขาจะไป แต่ไปยิงพระพุทธเจ้าให้ตายๆๆไป เพราะพระพุทธเจ้าตัวจริงคือฝันร้ายที่จะมาฉีกกระฉากภาพความฝันอันจอมปลอมของคนที่เรียกตัวเองว่าสาวกของพระองค์ ทุกคนมีภาพว่าศาสดาคนบรรลุธรรมต้องเป็นงั้นเป็นงี้ แต่นั้นก็แค่คิดเอาเองเท่านั้น ถ้าเขาไม่เป็นแบบที่ท่านคิดท่านก็ว่าเขาจะไม่บรรลุธรรมหรือ นั้นแหละเหตุผลว่าทำไม ชาวพุทธทั้งหลายจะไปยิงพระพุทธเจ้าให้ตาย "ถ้าท่านใดบรรลุธรรมแล้วนั้นจะต้องรู้สิว่าเงินนั้นมันก็เป็นเพียงเครื่องผูกรัดเรา " ดั้งนั้นจงบริจาคให้ดูสิ ไม่ก็ทำนั้นทำนี่ ที่ฉันว่ามันต้องใช่ล่ะคนบรรลุธรรมต้องเป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งมาจากที่ฉันคิดที่ฉันเรียนรู้มาว่าเป็นงั้นเป็นงี้
    ดังนั้นถ้าพระพุทธเจ้าใส่สูท ขับโรสรอยส์ ใส่แว่นตาเรแบรนด์ คนที่คิดแบบนี้คงยอมรับไม่ได้กระมั้ง เพราะเขากลับไปหมกหมุ่นกับโลกีย์ เหมือนที่พระพุทธเจ้าหันมาเสวยเป็นปกติ เลิกบำเพ็ญอะไรที่ทรมาณตัว ปัญจวัคคีย์ ก็ว่านี่มันไม่ใช่คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้จริงแล้วล่ะ เราไปเถอะ เขามันคนลวงโลก น่าหัวเราะดี มันก็เหมือนในไบเบิ้ลที่ชาวยิวมีความเข้าใจเรื่องพระผู้ไถ่ว่าแบบนั้นแบบนี้ เขามีคัมภีร์เขียนว่าถ้าพระผู้ไถ่มายิวจะหลุดจากการเป็นทาส เป็นเจ้าโลก เป็นผู้นำทุกชาติ แต่พอพระเยซูมามันตรงกันข้าม ท่านเป็นแค่บุตรช่างไม้จนๆๆ และก็ไม่เหมือนพระผู้ไถ่ในความคิดชาวยิวทุกอย่าง ดังนั้นชาวยิวจึงจับพระเยซูตรึงกางเขน ในไบเบิ้ล พระเยซูว่า ข้าจะกลับมาอีก และ ชาวคริสต์ก็รอมาสองพันปี แต่พระเยซูจะผิดสัญญาแน่นอน ข้าพเจ้าการันตีได้ เพราะถ้ามาคราวนี้คนคริสต์นี่แหละจะตรึงกาเขนพระเยซู ไม่ใช่ยิว คนของพระองค์เองและไบเบิ้ลก็ต้องตีพิมพ์ว่า พระเยซูรำพันว่า พระบิดาได้โปรดให้อภัยพวกเขาด้วยคราวนี้พวกเขารู้ดีทีเดียวว่าทำอะไรอยู่ ประสบการณ์ครั้งเดียวเป็นพอ
    มันเป็นหนังม้วนเดียวกันเสมอ.....


    ท่านพูด ว่าข้าพเจ้าเป็นพวกนอกศาสนา ในที่นี้คงหมายถึง ศาสนาพุทธกระมั้ง แล้วก็พูดต่อว่า ถ้าเป็นผู้รู้จริง ก็เรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ คนในศาสนาพุทธได้เลย คำว่าพุทธไม่ใช่เพราะเป็นศาสนาพระสมณโคดม แต่เพราะเป็นศาสนาของผู้รู้ ท่านพูดถูกเลย.... ข้าพเจ้าเป็นพวกนอกศาสนาจริงๆๆ เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้รู้ ดังนั้นข้าพเจ้าไม่เคยพูดราวกับว่าเข้าใจในสัจจธรรมทั่วทังจักรวาล ท่านพูดเอาเองนะ ข้าพเจ้าพูดว่า ชีวิตเป็นสิ่งลึกลับ และ ความไม่รู้ก็มีความงามอยู่ในตัว การอ้างว่ารู้ทุกอย่างเป็นความหยิ่งยโส และท่านต้องเปิดโอกาสให้กับความไม่รู้อย่ายึดติดกับข้อสรุปว่านั้นคือ สัจจะไม่ว่ามันจะดูจริงและเก่าแก่เพียงใด คนอื่นจะว่ายังไง ท่านต้องเปิดโอกาสให้ควาจริงใหม่ที่จริงกว่าด้วย

    พึ่งพูดไปเมื่อวาน กระทู้ที่ท่านตอบนั้นแหละ เอ้า....ท่านฟังข้าพเจ้าหรือเปล่า? หรือ ฟังแต่ความคิดของตัวเองยัดเยียดให้ข้าพเจ้า ล่ะ ไหนว่าเห็นความคิดไง ไหนว่าเข้าใจเรื่องเหนือความคิดที่ข้าพเจ้าพูดไง? ท่านไม่เห็นหรือว่าจิตคิดของท่านมันมีข้อสรุปให้ท่านเสมอเป็นข้อสรุปที่ท่านอยากจะเห็นอยากจะให้มันเป็นและมักไม่ตรงกับความจริง นี่แหละอคติ ที่ท่านว่าท่านไม่มีต่อคำพูดของข้าพเจ้าล่ะ ท่านมีข้อสรุปเสมอเลยนะ และท่านพูดเหมือนรู้ว่าข้าพเจ้าคิดอะไร แต่นั้นไง ข้าพเจ้าพูดอย่างท่านว่าข้าพเจ้าพูดอย่าง แล้วท่านจะรู้จักข้าพเจ้าได้ไงล่ะ ถ้าไม่เรียนรู้ที่จะฟังกันบ้าง.....ข้าพเจ้าเปิดออกเสมอ

    ยึดติดก็ยึดติดมันไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ประเด็นก็คือท่านเห็นความยึดติดของท่านหรือไม่ถ้าเห็นมันก็จบลง มันก็แค่นั้นมันต่างจากปรัชญาการไม่เอาอะไร? ปฏิเสธทุกความคิดทุกทฤษฏีเพราะกลัวยึดติด ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงสิ่งนี้เพราะนั้นก็เป็นการยึดติดรูปแบบหนึ่งเหมือนกันไม่ต่างกันหรอก และยังย้ำว่า ท่านต้องมองดูโลกยืนบนหลักคิดและความนุ่มนวลของ วัฒนธรรมแบบพุทธ คริสต์ อิสลาม ปรัชญา วิทยาศาสตร์ อะไรก็เถอะที่หล่อหลอมมาเป็นตัวท่าน แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ต้องมีรากฐานที่เป็นอิสระของตนเองอยู่ด้วย เพราะชีวิตนั้นลุ่มรวยและเปิดกว้างเสมออย่างได้ยืนอยู่ในมุมที่ตคับแคบเลย นี่แหละคือความเป็นทั้งหมด ข้าพเจ้าพูดทำนองนี้ไปหลายครั้งหลายวันแล้ว แต่นั้นแหละ ท่านฟังข้าพเจ้าหรือเปล่า? หรือ ฟังแต่ความคิดของตัวเองยัดเยียดให้ข้าพเจ้า ล่ะ ....ท่านเคยสังเกตความคิดตัวเองไหม?

    ทีนี้เมื่อไม่ใช่ผู้รู้ แล้วข้าพเจ้าจะ เรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ คนในศาสนาพุทธได้อย่างไร? ข้าพเจ้ามัน" แก่เกินกว่าจะรู้อะไรได้มากมายแล้วล่ะ" และ
    ข้าพเจ้าก็เกรงว่าถ้าพระพุทธเจ้าเกิดคิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้ ว่าอะไรคือความจริง ตัวเองเข้าถึงธรรมที่แท้จริงแล้ว และเรียกตัวเองว่าพุทธะด้วยความหมายนั้นพระพุทธเจ้าก็คงไม่สามารถช่วยใครได้กระมั้งแม้แต่ตัวเอง...นะ

    อ้อ เมื่อใช้คำว่าท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงท่านคนเดียวนะ แต่หมายถึงคนอื่นทุกคนรวมข้าพเจ้าเองด้วยเพราะข้าพเจ้ากำลังพูดกับตัวเองด้วย...อีกอย่างถ้าไม่ใช้คำว่า ศาสนธรรม ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า จะพิมพ์ไหวหรือไม่เพราะคุกนั้นมีทุกรูปแบบนะท่านต้องเห็นใจนะ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในเชาว์ปัญญาของมนุษย์ว่าจะรู้ว่าอะไรที่เป็นคุกบ้าง ............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  8. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คำที่ว่าข้าพเจ้ายังวังวนอยู่กับการโต้ตอบกับท่านทำไมข้าพเจ้าไม่ผ่านไปให้ได้ล่ะ คำนี้ท่านน่าตอบตัวท่านเองนะ เพราะท่านไม่เคยเชื่ออะไรใครนอกจากความคิดท่านเอง แล้วท่านสนใจอะไรในตัวข้าพเจ้าล่ะ ข้าพเจ้าเป็นผู้ตั้งกระทู้มีใครเข้ามาข้าพเจ้าก็ตอบ ข้าพเจายอมรับว่าสนทนากับท่านก็สนุกดี เพราะข้าพเจ้าไม่ได้รับสมองมานานเพราะหยุดคิดเรื่องปรัชญาอะไรมานานแล้วเพราะคิดได้สูงสุดก็ไม่พ้นความว่างเปล่า มันก็มีแค่นั้น เลยหันมาทำความว่างเปล่านั้นให้เกิดขึ้นจริงให้เป็นสภาวะแก่ตนให้ได้

    ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บริจาคจนหมดเนื้อหมดตัวซึ้งข้าพเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้นเพราะข้าพเจ้ายังไม่ใช่นักบวช แต่ถ้าวันใดข้าพเจ้าสนใจจะเป็นนักบวชข้าพเจ้าก็คงต้องบริจาคให้หมดตามฐานะ แต่ข้าพเจ้าก็ได้พิสูจน์ใจตนเองว่าการที่เราสามารถชนะใจตนเองได้นั้นนั้นแหล่ะคือก้าวแรกของการหลุดพ้นอย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ให้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำได้ง่ายนัก เช่นพยายาม ลด ละ เลิกให้ได้จริง อย่างที่ยกเป็นตัวอย่างบางแล้ว

    และชาวพุทธไม่ใช่จะต้องทำตัวดูเหมือนนักบวชก็ได้ เพศใดก็เพศนั้นพระองค์ทรงวางเพศไ้ว้แล้ว เพราะตามความเป็นจริงคนที่บรรลุธรรมที่ไม่ใช่นักบวชก็ทำอะไรได้ทุกอย่างตามฐานะตนเอง หรือจะไม่ต้องการทำอะไรก็ได้ จะนั่งรถหรูขนาดไหนก็ไม่ผิดเพราะสิ่งนั้นก็คือความจริงสำหรับเขาเขาไม่ต้องทำตัวจนแต่เขาสละได้กับสิ่งที่สมควรสละ เรามองแต่สิ่งที่เขาบริโภคภายนอกเรามองไม่เห็นสิ่งที่เขาสละไป ท่านอย่าเอาศาสนาอื่นมาเลยข้าพเจ้าเข้าใจและยังดีใจที่ยังมีศาสนาอื่นอยู่บ้างเพราะอย่างน้อยก็ได้ช่วยทำให้คนเป็นคนดีได้มาก ส่วนเรื่องศาสนาพุทธก็ไม่ต่างจากศาสนาอื่นที่สอนให้เป็นคนดี แต่สิ่งที่ศาสนาพุทธมีคือการสอนคนให้หลุดพ้นได้จากการยึดในสิ่งที่ดีและยึดในสิ่งที่ไม่ดี แต่ไม่ได้หมายว่าไม่ทำความดี ซึ่งตรงนี้แหล่ะที่หลายท่านมักจะเข้าใจผิดเลิกทำความดีไปก็็เยอะยืนดูความดีก็เยอะ

    พระพุทธองค์ไม่เคยเฉยเมยกับความดี แต่พระองค์มีความรู้มากกว่าผู้รู้ผู้อื่นจริงๆ ตรงที่มีวิธีปฎิบัติให้เข้าถึงสภาวะธรรมสูงสุดคือการหลุดพ้นที่แท้จริง และวิธีปฎิบัติ คือมรรคนั้นเอง ตรงนี้ถ้าข้าพเจ้าไม่เกิดการสงสัยในคำสอนขาพเจ้้าจะไม่มีวันนี้เลย ข้าพเจ้าคงต้องเป็นแบบท่านนี่แหล่ะมีแต่ปรัชญาแต่ไม่เคยหลุดพ้นจริงๆได้ เพราะความสงสัยนี่เองทำให้ข้าพเจ้าลงมือปฎิบัติอย่างสุดกำลังเท่าที่กำลังของบุรุษจะมีจนประจักษ์ความจริงตามความคิดที่เคยคิดว่าทั้งหมดมันไม่มีอะไรเลย มันคือความว่างทั้งตัวตนทั้งความคิด สภาวะนี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้าถอนความยึดติดถอนความเป็นเราได้มาก ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลตัวตนเราเขา ไม่มีอะไรทั้งนั้นเป็นแต่เพียงสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง จะพิจารณาโดยเป็น ธาตุ ขันต์ อายตนะก็แล้วแต่สิ่งนั้นจะปรากฎ นี่ต่างหากที่ข้าพเจ้ากำลังจะบอกท่าน

    แต่ถ้าท่านบอกว่าท่านแก่เกินที่จะเรียนรู้อะไร ผมก็คงต้องปล่อยท่านให้ตายไปกับความเห้นผิดล่องลอยเวียนวนกับตัวกูของกูอย่าางนี้ตราบเท่าที่วันเวลาจะเหมะสมแก่ท่าน อะๆอย่าเอาคำนี้มากล่าวกับผมนะ เพราะผมเอียงหูฟังพระพุทธเจ้าอยู่แล้วกำลังลงมือปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่ครับ และการที่ท่านไม่เคารพยอมรับใครเป็นอาจารย์เลยนั้นแหล่ะเป็นตัวที่จะทำให้ท่านไม่หลุดพ้น ถามตัวเองนะทำไมทำไม่ได้ทั้งๆมันไม่มีอะไรเลย(การยอมรับพระพุทธองค์เป็นอาจารย์หรือท่านใดก็ได้ที่ท่านคิดว่าเหมาะสม)

    ทำไมข้าพเจ้าถึงไม่ค่อยได้สนใจในคำที่ท่านกล่าวนักเพราะท่านเป็นคนที่ไม่ใช่ไม่มีความรู้ ผมว่าท่านรู้มากซะด้วยไปเพราะท่านก็คงจะได้เรียนรู้เรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบ้างไม่มากก็น้อย แล้วอะไรเล่าที่ทำให้ท่านยอมรับไม่ได้ที่จะยอมรับพระองค์เป็นอาจารย์ ก็แสดงว่าท่านไม่ได้เข้าใจและเข้าถึงคำสอนพระองค์เลย ไม่มีใครยัดเยียดให้ท่านต้องเคารพใครหรอกนะครับ แต่ผู้ที่เข้าใจในธรรมะนั้นจะยอมนอบน้อมเคารพพระองค์เอง ที่ทรงประทานน้ำอมฤตนี้มาให้เรา ทรงประทานคำสอนเพื่อความหลุดพ้นมาให้เรา สามัญสำนักของความเป็นมนุษย์นั้นคงไม่เสียหายอะไรที่จะยอมรับในพระคุณของพระพุทธองค์

    อ้อ ลืมไปชาวพุทธถึงจะมีความแต่กต่างกันบ้างเพราะทุกคนสะสมมาไม่เหมือนกัน แม้ได้ขื่อว่าอริยะนั้นยังอุปนิสัยไม่เหมือนกัน แต่ทางเดินที่ทำให้หลุดพ้นมีอยู่เพียงทางเดียวคือมรรค มีทางเดียวเท่านั้น ในโลกนี้มีทางเดียวเท่านั้นไม่มีสอง สมัยเราเป็นเด็กพ่อแม่ป้อนความคิดให้เรามากมาย ให้เราเชื่อสิ่งนั้นเชืื่่อในเทพ เทวดา ไหว้สิ่งนั้นไหว้ศาล ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเครื่อง ขับรถบีปแตร ไหว้ภูเขา หรืออะไรที่มันแปลกๆ อย่าบอกว่าท่านไม่เคยในสิ่งดังกล่าว ทุกวันนี้ที่เราทำลายสิ่งเหล่านั้นลงได้ไม่ใช้เพราะความรู้ที่พระองค์สั่งสอนเรา ให้มีความเห็นถูกเหรอ ท่านอย่าบอกนะความรู้เหล่านี้ท่านรู้ได้ด้วยตนเองไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาในสมองท่านเลย

    เมื่อเราเดินไปบนห้างตาเราไปมองเห็นนาฬิกาสวย เราเกิดความพอใจ เราก็อยากได้เราจึงซื้อ เมื่อเราซื้อแล้วเราก็ยึดว่านี่เป็นนาฬิกาเรา เมื่อนาฬิกามันหายไปเราก็มีความทุกข์กับนาฬิกาที่มันหายไป นาฬิกาเรือนเดียวกันนันแหล่ะ ถ้ามันไม่ใช่ของเรามันหายไปเราคงไม่มีความทุกข์ปรกติก็จะเป็นกันทุกคน แต่ถ้าเราเข้าใจความจริงเราคงไม่ทุกข์กับนาฬิกานั้นแม้มันจะหายไปไม่ว่านาฬิกานั้นจะเป็นของเราหรือไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่มีแต่พระองค์เหรอครับที่สอนเราให้เข้าใจในเรื่องแบบนี้ ให้ความรู้เหล่านี้แก่เรามีใครเคยสอนแบบนี้บ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..........ในโพสต์นี้ ของ น้าพูดถึงการเจริญสติที่อยู่กับปัจจุบัน...แต่โดยรวมมีการพูดถึงบริบทสองอย่างคือประโยชน์โลก และ ภาวนาเพื่อประโยชน์ตน...............ยังไงก้ตามผมไม่ได้พูดถึงในทั้งสองแง่นี้ ผมหมายถึง คำสอนของพระพุทธศาสนา นำไปสู่การเปิดเผยสิ่งจริงแท้ เหมือนที่น้า ว่า น้ายังไม่รู้ นั่นแหละครับ...คุณค่าหรือจะเรียกว่า "รู้" ของพระพุทธศาสนา การ รู้ "เหตุ"ของทุกสิ่ง.....อวิชชา ปัจจัยสังขารา ความไม่รู้ นำไปสู่การปรุงแต่ง ดี ตั้งแต่ระดับเล็ก จนถึง ท้าวมหาพรหมเลยทีเดียว หรือ การปรุงแต่งชั่ว ระดับฆ่าล้างเผ่าพันธิ์ อย่าง ฮิตเลอร์ หรือ การฆ่าระหว่างคนกับคนเพื่อนบ้านกับเพื่อนบ้าน ในระวันด้า.......ถ้าน้าจะบอกว่า "รู้"ก็ได้ นะครับ ไม่ว่ากัน...ความรู้ในพระพุทธศาสนา คือ ความรู้ ในสิ่ง ที่......
     
  10. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    ไม่มีสัจจะความจริงแท้ ถ้าท่านคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสัจจะความจริงแท้ท่านจะปิดประตูความเป็นไปได้ในตัวท่านเอง จิตของผู้รู้น้นคับแคบ แต่จิตของผู้ที่ยังไม่รู้ นั้นเปิดประตูความเป็นไปได้ทุกอย่าง สัจจะไม่ใช่สิ่งที่ตายซากให้ท่านเข้าถึงได้อย่างสูงสุด มันเป็นสิ่งที่เลือนไหล....ชาวคริสต์ก็ว่าเขารู้ว่าความจริงคืออะไร ชาวมุสลิมก็ว่าเขารู้ นักวิทยาศาสตร์ นักเศษรฐศาสตร์ ชาวพุทธ ก็ว่าเขารู้ ถึงเขาจะไม่รู้ก็มีบุคคลทางจริยาที่เขานับถือและดำเนินรอยตามรู้ และรู้มากกว่าคนอื่นที่ตรงกันข้าม นี่คือประเด็น ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกัน ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าแต่ละคนรู้อะไรและสิ่งที่รู้นั้นจริงหรือไม่ นี่คือเรื่องไร้สาระ เป็นการเห็นในสิ่งที่อยู่นอกตัวซึ่งไม่มีความหมาย ประเด็นคือเราเห็นตัวเราเองหรือเปล่า? ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น

    ฮิตเลอร์ มองว่าการฆ่าเผ่าพันธ์ชาวยิวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องพรรคนาซีก็เช่นกัน แต่ก็มีคนอีกพวกมองว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทีนี้เราอาจจะพูดว่า ฮิตเลอร์ คือจอมมารร้าย แต่ทว่าเราก็หลงลืมความจริงไปว่า ฮิตเลอร์ เองก็มีช่วงเวลาที่ดีงามที่เป็นมนุษย์กับเขาเหมือนกัน ฮิตเลอร์ นั้นเลี้ยงสุนัขและเขารักมันมาก เขามักพกพามันไปเสมอ และเมื่อเขามองเด็กๆๆ ชาวเยอรมันเขาก็มองอย่างอ่อนโยน ดั้งนั้นแม้แต่จอมมารเองก็ไม่ได้มีเพียงแง่มุมที่ก้าวร้าวและกระหายอำนาจ แต่นั้นแหละเราคิดว่าเรารู้แล้วว่าบุคคลคนนี้เป็นคนที่อันตรายและเป็นคนวิกลจริตเพียงใด ดั้งนั้นเราจึ่งยังคงที่จะไม่เห้นเขาอย่างที่เป็น

    มนุษย์เรามีสัญชาตญาณตัวตนที่ดูจะต่อเนื่องและเป็นตัวตน จากนั้นเราก็ยึดเอาตัวตนที่ว่านี้เป็นศูนย์กลางในการมีปฏิสัมพันธ์กับทุกสิ่ง พุทธศาสนาพูดถึงการก่อตัวของ สัญชาตญาณตัวตน ในรูปห่วงโซ่ทั้ง 12 ของปฏิจจสมุปบาท อย่างไรก็ตามเมื่อสัญชาตญาณตัวตนที่ดูจะต่อเนื่องและเป็นตัวตน ดำรงอยู่ มันจะมีรูปแบบที่พยายามแสวงหาความพึ่งพอใจและปกป้องตัวเองจากการคุกคามทุกรูปแบบ และรูปแบบหนึ่งก็คือการตอบโต้กับสถารการณ์ โดยผ่านการพัฒนากรอบคิดและมโนทัศน์ขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อมองโลก ใช้ในการหาเหตุผลอธิบาย เข้าใจชีวิต และแก้ปัญหาทุกอย่าง เพราะเหตุผลนี้จึ่งต้องมีสิ่งนั้นต้องทำแบบนั้น เป็นการมองโลกผ่านมุมแคบๆๆแทนที่จะรับรู้มันอย่างตรงไปตรงมาและเป็นจริง กรอบความคิดนี้เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์และถูกหล่อหลอมขึ้นมาอย่างยาวนาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลตามแต่อิทธิผลเข้ามากำหนด แต่กระนั้นก็ยังมีจุดร่วมกันอยู่ดี เช่นเมื่อความทุกข์เข้ามาคุกคาม ชาวพุทธจะมองหากรอบนี้จากแง่มุมของความเป็นพุทธ ก็ทำแบบนั้นแบบนี้ไง ทำแบบที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นแหละ นี่เลยทางพ้นทุกข์ฉันรู้สึกอย่างงั้นจริงๆๆ ก็พ่อแม่ครูหรือใครก็ตามบอกฉัน และฉันก็เห็นความงามของมันฉันเคยนั่งปฏิบัติธรรม ตอนนั้นมีความสุขมาก ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นอีกนะ
    เรารู้คำตอบเรียบร้อยแล้วล่ะ ซึ่งทำให้เรารู้สึกถึงความสำเร็จยิ่งใหญ่ ความตื่นเต้นที่ได้สร้างแบบแผนอันสูงสุดทางจิตวิญญาณขึ้นมา เป็นความสำเร็จที่เรารู้สึกว่าเป็นรูปธรรมจับต้องได้ อันถือได้ว่าเป็นการยืนยันความมีอยู่จริงของฉัน
    อันที่จริงมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดที่เราจะมี สิ่งเหล่านี้ แต่ประเด็นก็คือมันถูกนำมาใช้อย่างจริงจังตายตัวเกินไป จนแข็งทื่อและปราศจากอารมณ์ขัน นี่คือปัญหา

    ที่นี้ข้าพเจ้ามีนิทานอีกเรื่องหนึ่ง

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระสารีบุตรได้นำทีฆนขะดาบสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อแลกเปลี่ยนธรรม

    ทีฆนขะดาบส ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
    “พระผู้เจริญ คำสอนของท่านเป็นเช่นไร แนวทางของของข้าพเจ้า นั้นปฏิเสธลัทธิและทฤษฎีทั้งปวง ข้าพเจ้าไม่สังกัดความเชื่อใด”

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    “ไม่หรอกทีฆนขะ ท่านสังกัดอยู่กับลัทธิซึ่งไม่เชื่อลัทธิใด? ต่างหาก"

    ตรงจุดนั้น ทีฆนขะถึงกับผงะเล็กน้อย พระพุทธเจ้าทรงพระหัวเราะ แล้วตอบว่า "เมื่อบุคคลตกอยู่ในความเชื่อของลัทธิใดลัทธิหนึ่ง เขาย่อมสูญเสียอิสรภาพทั้งหมด เมื่อหลงงมงายในลัทธิ เขามักเชื่อว่าลัทธิของเขาเป็นสัจจะเพียงหนึ่งเดียว และลัทธิอื่นทั้งปวงเป็นของเหลวไหล การทะเลาะวิวาทและความขัดแย้งทั้งมวลมักเกิดขึ้นจากทัศนะอันคับแคบนี้ การยึดติดในความคิดเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่สุดที่ขัดขวางหนทางแห่งจิตวิญญาณ การผูกพันธนาการอยู่กับความคิดอันคับแคบ บุคคลย่อมถูกปิดกั้นไว้จนกระทั่งไม่ยอมให้ประตูแห่งสัจจะเปิดเข้ามาได้”

    ทีฆนขะดาบส ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า"แต่จะเกิดอะไรขึ้นเล่า หากบุคคลยังเข้าใจว่าคำสอนของท่านก็เป็นลัทธิอย่างหนึ่ง เป็นความจริงสูงสุดยิ่งกว่าความจริงใดๆๆ ของลัทธิใด"

    จากนั้นพระพุทธเจ้า ก็ตรัสต่อว่า "คำสอนของตถาคตไม่ใช่ความจริงที่จะยึดถือ มันชี้ให้เห็นความจริงบางอย่างเท่านั้น บุคคลผู้ฉลาดย่อมอาศัยนิ้วเป็นเครื่องชี้ให้มองเห็นดวงจันทร์ บุคคลใดเพียงแต่เพ่งมองไปที่นิ้วและเข้าใจผิดว่านิ้วเป็นดวงจันทร์แล้วไซร้ บุคคลนั้นจะไม่มีทางมองเห็นดวงจันทร์ที่แท้จริงได้เลย…กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ได้มีพ่อหม้ายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งอยู่กับลูกชายวัยห้าขวบของเขา เขาฟูมฟักเลี้ยงดูลูกชายของเขานั้นยิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง และแล้วในวันหนึ่งเขาก็ออกไปทำธุระ และ ปล่อยลูกชายของเขาไว้ที่บ้านตามลำพัง ในระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้านนั้นเอง ได้มีกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาปล้นบ้านของเขาและเผาบ้านนั้นทิ้งสิ้น พวกโจรได้ลักพาลูกชายของเขาไปด้วย เมื่อพ่อบ้านหนุ่มกลับมาถึงบ้าน ก็พบซากดำเป็นตอตะโกของเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ข้างบ้านของเขาซึ่งถูกไฟไหม้ สิ่งนี้ทำให้เขาคิดไปว่า แน่เหลือเกินนี่คงเป็น ร่างลูกน้อยของเขา เขาเศร้าโศกเสียใจมาก และ จัดการฌาปนกิจซากศพนั้นจนเป็นเถ้าถ่าน และเพราะเหตุที่ว่าเขานั้นรักลูกชายของเขามากเหลือเกิน เขาจึงบรรจุเถ้ากระดูกไว้ในถุง พาติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง หลังจากนั้นหลายเดือนต่อมา ลูกชายของเขาได้เล็ดลอดหลบหนีพวกโจรออกมาได้ และ เจ้าหนูน้อยก็มาถึงบ้านในยามเที่ยงคืนและเคาะประตูเรียกผู้เป็นบิดา ในขณะนั้นผู้เป็นพ่อกำลังกอดถุงเถ้ากระดูกร่ำไห้อาลัยอาวรณ์อยู่พอดี เขาไม่ยอมเปิดประตูแม้ว่าหนูน้อยจะตะโกนบอกว่า ตนเป็นลูกชายของเขา เขาเชื่อว่าลูกชายของเขาตายแล้ว เจ้าเด็กที่กำลังเคาะประตูนั่นคงเป็นเด็กข้างบ้านที่มาล้อเล่นกับความทุกข์โศกของเขา ในที่สุดลูกชายของเขาไม่มีทางเลือก จึงต้องพเนจรจากไป ด้วยเหตุนี้แล พ่อและลูกชายจึงต้องจากกันไปชั่วนิรันดร์

    เห็นไหม หากเรายึดติดอยู่กับความเชื่อบางอย่าง แล้วหลงว่าเป็นสัจจะสมบูรณ์ สักวันหนึ่งเราก็จะพบว่าตนเองตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกับพ่อม่ายหนุ่มคนนี้ เมื่อใดที่คิดว่าเราเข้าถึงสัจจะแล้ว เมื่อนั้นเราจะไม่สามารถเปิดใจของเราต้อนรับสัจจะได้ แม้ว่าสัจจะจะมาเคาะเรียกอยู่ที่ประตูก็ตามที"

    ท้าวมหาพรหมคือ อะไร? ท้าวมหาพรหมก็คือ ความหยิ่งยโส ซึ่งมาพร้อมกับความก้าวร้าว และเป็นผลพวงมาจากการมีความยึดถือตัวเราเป็นศุนย์กลางมากเกินไป ฉันรู้ทุกอย่างและคนอื่นไม่รู้เหมือนฉันหรือพวกฉัน ฉันเป็นชาวพุทธฉันมีพระธรรมอันยิ่งใหญ่ และ มีศาสดาที่ประเสริฐกว่าใครรู้ความจริงในสามโลก อันที่จริงก็เป็นความพยายามที่จะเสริมสร้างความสำคัญของตนเองขึ้นมา นี่คือท้าวมหาพรหม ท้าวมหาพรหมไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ในตัวเรา ท่านเข้าใจไหม? ท้าวมหาพรหมนั้นถือตัวเองว่า เป็นผู้รู้ทุกสิ่งในสากลจักรวาล มีความประเสริฐยิ่งใหญ่กว่าใคร เป็นผู้สร้างสรรค์หรือกระทั้งควบคุมและทำลายทุกๆๆสรรพสิ่งได้ ดั้งนั้นจึ่งเป็นแง่มุมของความรู้สึกหยิ่งยโส ที่มาพร้อมกับความก้าวร้าว ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการมีความยึดถือตัวเราเป็นศุนย์กลางมากเกินไป ชาวพุทธเรียกสิ่งนี้ว่าอติมานะ และก็พูดว่าเมื่อพระพุทธเจ้าละอติมานะได้ ก็สะดุ้งไปถึงพรหม

    พระพุทธเจ้าคือตัวแท้ของสภาวะตื่นรู้ในใจเรา เมื่อท่านเป็นอิสระจากความหยิ่งยโสทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน ปราศจากความก้าวร้าว และ เห็นถึงความเรืองรองของจักรวาล .....

    นี่คือประเด็น ซึ่งมันก็มาจากการบ่มเพาะสตินั้นเองเป็นรากฐาน.... ท่านเจริญสติเพื่อพัฒนาสัมผัสรับรู้ที่แท้จริงถึงจักรวาลขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ในโลกของเราล้วนเป็นสิ่งที่น่าสัมผัสเรียนรู้ เป็นการเปิดออกอย่างแท้จริง โดยปราศจากการตัดสิน มุมมองหรือข้อสรุปล่วงหน้า ไม่มีเรื่องของแฟชั่น ในการตัดสินถูกผิด นั้นดีนั้นไม่ดีเข้ามาเกี่ยวข้องแต่เป็นการสัมผัสสิ่งต่างๆๆอย่างตรงๆๆ เป็นการเปิดออกสู่ความเป็นได้ทุกรูปแบบ อย่างเช่น วันหนึ่งอาจจะมีหิมะตกในกรุงเทพก็ได้ใครจะรู้ ท่านต้องไม่สรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้สิถ้าท่านมองให้ลึกซึ่ง ภายใต้วัฏจักรของการเปลี่ยนแปลง ที่ที่ท่านเห็นว่าเป็นภูเขาในทุกวันนี้ เมื่อก่อนมันยังเคยเป็นทะเลได้เลย เป็นการเฝ้ามองดูประสบกาณ์สามัญของโลก จนกระทั้งเห็นแง่มุมที่ลึกซึ่งของมันโดยปราศจากความหยิ่งยโส เราอาจชื่นชมในโลกของเรา ซึ่งเป็นจริงยิ่งและงดงามยิ่ง จากการเดินบนหนทางแห่งการภาวนาไม่ว่าอะไรที่อุบัติขึ้น มันก็คือประสบการณ์แห่งความดีงามปฐมกาล หรือธรรมชาติแห่งความดีงามพื้นฐานอันเพียบพร้อมและปราศจากเงื่อนไข ประสบการณ์นี้เป็นเช่นเดียวกับการประจักษ์ถึงความไร้ตัวตน หรือก็คือการพ้นไปจากสัจจะแห่งการไม่แบ่งแยกซึ่งสัมพันธ์อยู่กับการแสดงออกทางอารมณ์ การค้นพบถึงการไม่แบ่งแยกย่อมเกิดมาแต่การกระทำการร่วมกับการแบ่งแยก ซึ่งดำรงอยู่ในชีวิตของท่าน การแบ่งแยกในที่นี้ข้าพเจ้าหมายถึงบรรดาเงื่อนไขและสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งการเดินทางของชีวิตของท่านและท่านยึดติดกับมันเป็นจริงเป็นจังมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว นั้นผู้หญิง นั้นผู้ชาย นั้นเกิด นั้นตาย นั้นใน นั้นนอก นั้นไป นั้นมา นั้นดี นั้นชั่ว นั้นมืด นั่นสว่าง นั้นจริง นั่นไม่จริง นั่นมี นั่นไม่มี ซึ่งท่านต้องไปพ้น โดยการเชื่อมโยงอำนาจของสติเข้ากับภาวะสามัญของชีวิต และตรงนั้นท่านก็จะตระหนกที่ได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่าง ในขณะที่ดื่มชาท่านอาจพบว่าตัวเองกำลังดื่มชาอยู่ในความว่าง แท้จริงไม่ได้ดื่มชาด้วยซ้ำ แต่เป็นความว่างเปล่าซึ่งดื่มชานั้น ดังนั้นในขณะที่กำลังกระทำสิ่งสามัญเล็กๆ น้อยๆ การแบ่งแยกเหล่านั้นอาจนำมาซึ่งประสบการณ์แห่งการไม่แบ่งแยก ความว่างคือโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งเต็มไปด้วยศักยภาพของการซึมซับและการตระหนักรู้ มันไม่ใช่มหาสมุทรของความไม่มีอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............ที่ น้ากล่าวมาทั้งหมด ก็คือ มอง ปัจจัยการ แต่ มองแบบใดละ? ............ขันธิ์5มันก็เกิดจากปัจจัยการ....อุปาทานนั่นเองคือ ความยินดี และยินร้ายในตัวมัน(จะยินดียินร้าย พอใจไม่พอใจ ก็เพราะเข้าใจว่า มันเป็นเรา เป็นของเรา เป้นตัวตนของเรา) ความหวั่นใหว ต่างหากละคือตัณหาอันวิจิตให้ เราปรุงแต่งสังขารจากอวิชชาความไม่รู้......มันไม่ใช่ ความว่างเปล่า แบบ ดื่มชาแล้วไม่ได้ดื่มชา...แต่ คือปัญญาน ประจักษ์ได้ว่า " มันเป็นเช่นนั้นเอง" มันเป็นปัจจัยการ....จนกว่า...จะ...
     
  12. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    ท่านวู เหงียน ตัน เป็นพระอ.เซนที่ยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งท่านก็เกิดบรรลุธรรมขึ้นมาอย่างฉับพลันเพราะได้ยินเสียง
    กระเบื้องตก
    หลังจากนั้นท่านก็ไม่เคยพูดคำว่า พระพุทธเจ้าอีกเลย
    และถ้าได้ยินใครพูดถึง พระพุทธเจ้าอย่างงั้นอย่างงี้ ธรรมะอย่างงั้นอย่างนี้ ท่านจะรีบไปล้างหู

    พระรูปอื่นในเวียนนามรู้สึกไม่พอใจท่านมาก ก็พูดว่านี่มันเป็นการลบหลู่ชัดๆๆเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า งามหน้านัก เราท่องบ่นพระสูตร สวดสรรเสริญพระพุทธเจ้า แต่ดูเจ้าวู เหงียน ตันสิ ทำกริยาหยาบคายมาก

    จึ่งไปร้องเรียนกับเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระอ.ของพระเจ้าแผ่นดินเวียนนามถึงสามองค์ เป็นอ.แห่งชาติ ท่านทวนเฉียว
    ท่านทวนเฉียวได้ยินดังนั้น ก็พูดว่า อย่างงั้นหรือๆๆๆ ไปตามวู เหงียน ตันมา
    พวกพระก็ไปตามมา ดีแล้วเจ้าวู เหงียน ตัน เอ็งโดนไล่ออกแน่

    เมื่อท่านวู เหงียน ตัน มาท่านทวนเฉียว ก็ถามว่า ที่เขาว่ามาจริงไหมพระ
    ท่านวู เหงียน ตัน ก็ว่าจริง
    ท่านทวนเฉียวก็ว่า แล้วทำไม ท่านถึงทำแค่ล้างหูล่ะ ท่านน่าจะป้วนปากสกปรกๆๆ ที่มันพูดคำก็พระพุทธเจ้า สองคำก็ธรรมะของพระพุทธเจ้า ออกไปด้วยนะ ผมเองก็จะทำเหมือนท่านนี่แหละ

    และทั้งสองก็หัวเราะชอบใจ

    นั้นแหละเดี๋ยวข้าพเจ้าจะไปล้างหู กลั้วปากบ้าง.....

    มีอีกเรื่องหนึ่ง


    ครั้งหนึ่งมีอาม่าแก่ๆๆคนหนึ่ง วัยก็พอกับข้าพเจ้านี่แหละ แกสวดมนต์ ถึงพระพุทธเจ้าทั้งวัน
    เป็นเวลากว่าสี่สิบปี
    วันหนึ่งพระแก่ๆๆ ชาวจีนผ่านมาที่หน้าบ้านพระก็เรียก คุณนายวู คุณนายวู สามครั้ง
    อาม่าก็ออกมา ไม่รู้ว่าเป็นพระก็ด่าว่าจะเรียกอะไรกันนักหนา....หูจะแตกแล้วเรียกอยู่นั้นแหละแกนี่

    หันไปเจอคนเรียกเป็นพระก็ตกใจ พระก็สวนว่าอาตมาเรียกคุณนาย แค่สามครั้งนะคุณนายยังโมโหขนาดนี้ แล้ว พระพุทะเจ้าล่ะ คุณรนายเรียกท่านมาสี่สิบปี
    ท่านจะโมโหขนาดไหน?


    ...........
     
  13. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............ที่ น้ากล่าวมาทั้งหมด ก็คือ มอง ปัจจัยการ แต่ มองแบบใดละ? ............ขันธิ์5มันก็เกิดจากปัจจัยการ....อุปาทานนั่นเองคือ ความยินดี และยินร้ายในตัวมัน ความหวั่นใหว ต่างหากละคือตัณหาอันวิจิตให้ เราปรุงแต่งสังขารจากอวิชชาความไม่รู้......มันไม่ใช่ ความว่างเปล่า แบบ ดื่มชาแล้วไม่ได้ดื่มชา...แต่ คือปัญญาน ประจักษ์ได้ว่า " มันเป็นเช่นนั้นเอง" มันเป็นปัจจัยการ....จนกว่า...จะ...เข้าสู่ "มรรค" ได้อย่างแท้จริง...ทางนั้น คือ ทางแห่ง ความสงบ สันติ...
     
  14. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    การเห็นว่า ความเป็นเช่นนั้นเอง เกิดจาก ความไม่เป็นเช่นนั้นเอง นี่แหละคือความว่าง ซึ่งก็คือ หลักปัจจัยการนั้นเอง ข้าพเจ้าขอเตือนว่า ปฏิจจสมุปบาทธรรม ไม่ใช่ศาสตราที่จะเอามาล้อเล่นทางความคิดเชิงปรัชญา และ พูดให้สวยหรูไปงั้น แต่คือการมองดูที่ตัวเอง ผ่านการภาวนา ถ้าเอามาใช้แบบไม่ดูตามาตาเรือจะนำมาแต่ความฟั่นเฟือน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เริ่มเห้นพระพุทธเจ้าแล้ว อย่างนี้น่าสนใจหน่อย
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...แน่นอน ผมเอง ไม่ค่อยจะสนใจ ที่ว่า เชิงปรัชญา เท่าไร...เพราะ คิด แล้ว ก็ทำ...ขอบคุณ น้าที่เตือน....แต่ดูแล้ว น้า น่า จะคิดมากอยู่เหมือนกัน...
     
  17. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    ฉันว่า เขาเห็นมานานแล้วนะค่ะคุณnew แต่เขาใช้วิธีพูด แบบอื่นเท่านั้นเอง เขาไม่ได้ใช้คำแบบขันธ์ 5 อนัตตา อะไรทำนองนี้ แต่เราจับไม่ได้เอง ว่าเขาพูดเรื่องอะไร ถ้าแอบเอามาเทียบๆๆ ดูก็จะรู้ว่าแกเอาคำสอนพุทธนั้นแหละมาพูด ถ้าไม่ไปปริ๊ดแตกกับคำพูดแก(น่าจะจงใจแหย่พวกเราชาวพุทธแบบชวนทะเลาะด้วยซ้ำ..เหมือนกระตุกอะไรสักอย่าง) ฉันตามอ่านยังรู้สึกเหมือนเขาพูดกับฉันเลยทั้งที่ตอบคุณ new ....ไม่ใช่เขาพูดมั่วๆๆ รู้สึกแบบนี้จริงๆๆ
     
  18. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมพอเข้าใจที่เขาพูดคือการไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำใดๆและผมก็พยายามบอกในส่วนที่ผมเข้าใจว่าการจะหลุดพ้นจากการถูกครอบงำนั้นมันไม่ใช่แค่ความคิดอย่างเดียว สิ่งที่เราคุยกันอยู่นี่มันพ้นจากพุทธปัญญาไปไม่ได้หรอกครับ
     
  19. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445

    อภิโธ่ .....ใครมันจะรู้แบบ พ่อนิวของผมล่ะ ฟังเขาเข้าใจหรือเปล่าพ่อคนเก่ง.....เขาไม่ได้พูดว่าแค่คิดแล้วจะพ้นนะเฟ้ย ....... มาฮา ครับ...พอเขาพูดถึงพระพุทธเจ้าพอใจเชียวนะเอ็ง.....สกทาคามีนิว ผมชอบคุณเหมือนกันฮาดี ทำบุญยัง วันนี้อะ ไม่อยู่สงสัยทำงานอยู่ ว้าๆๆๆๆ เบื่ออะ5555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  20. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    ใครตอบได้ถูกก็ตอบเสีย จะได้ลอกข้อสอบ
    ทีนี้จะได้บรรลุไปพร้อมๆกัน หุหุ ........ ถ้าตรรกกะเป็นแบบนี้ ใครตอบได้ก็ย่อมบรรลุใช่หรือไม่
     

แชร์หน้านี้

Loading...