หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    พระสวยดีครับ..คุณ คมสันต์usa ถ้าว่างๆรบกวนไปเคลียร์พระองค์เลี่ยมทอง
    องค์สีขาวกรอบเงิน และองค์สีเขียว ด้วยนะครับ.
    คิดว่าน่าจะพอดูออกนะครับว่าต้องเคลียร์อะไร..นอกนั้นไม่เป็นไร.
     
  2. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    คำอธิบายง่ายฯครับ
    nopphakan
    วันที่สมัคร: Jan 2007
    ข้อความ: 2,387
    Groans: 31
    Groaned at 35 Times in 31 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 5,546
    ได้รับอนุโมทนา 6,137 ครั้ง ใน 1,241 โพส
    พลังการให้คะแนน: 3180
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1 universe.jpg
      1 universe.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.5 KB
      เปิดดู:
      68
    • DSC05587.JPG
      DSC05587.JPG
      ขนาดไฟล์:
      474.5 KB
      เปิดดู:
      63
  3. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    คิดถึงป๋าRaming2555 "ผู้เฒ่าสายลม"จริงๆเลย
    เงียบกริบ ไปไหนหนอ?
    การลงการบ้านไม่ยอมมาส่งกันมั่งเลย หรือถอดจิตหายไปกับสายลมซะแล้ว?
     
  4. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ยังหลงทางอยู่เจ๊า..า...

    คิดว่าจะปล่อยกระทู้ให้ผ่านไปเป็นดั่งสายลม แสงแดด ซะหน่อย...ไปขุดกระทู้มาจนได้...
     
  5. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ท่านผู้อาวุโส แรมมิ้ง (อยากใช้แรมโบ้มากกว่า) มีอะไรก็เขียนบอกๆ กัน หน่อยนะครับ

    ถึงช้วยได้ไม่มากก็ยังเอาใจช้วยกันได้อยู่ ยังติดตามอ่านอยู่เสมอ ครับ

    ปล สิ่งต่างๆที่ผ่านมา มันเป็นบทเรียนที่สอนคนอื่นได้ด้วยนะครับ
     
  6. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649

    เล่นก็หลงทางไม่เข้าใจเกี่ยวกับ บุญเดือน 10 เอาแบบของท่านอาจารย์ป๋าจร้า
    ถามอากู๋(กูเกิล ) แล้วแต่มันขัดแย้งในใจจร้า....รบกวนด้วยเด้อคร้า....
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,024
    ค่าพลัง:
    +70,068
    ....ในทางโลก แม้แต่ผู้สร้างทางไปยังจุดหมาย

    ก็ยังหลงทางได้ ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ หรือ พลั้งเผลอ หลงลืม มีอุบัติเหตุ ฯลฯ


    สิ่งที่มีค่ามาก ไม่อาจประมาณได้ ไม่อาจหาซื้อได้ทั้งทางโลกและทางธรรม คือ ประสพการณ์จากชีวิตจริงที่บอกเล่า ผู้ที่ได้รับฟังสามารถลดความผิดพลาดจากการเรียนรู้ นอกจากนั้น สามารถเรียนรู้วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต ฯลฯ จากเรื่องราวเก่าๆ เป็นธรรมทานอันเลิศ ทีจะลดความเสียหายจากการเดินทางผิดที่ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้ เมื่อต้องเสียเวลาไปนับกัปป์กัลป์



    ............ขอโมทนา กับธรรมทานอันเลิศ ที่มอบให้กับคนรุ่นหลังครับ............
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เคยตั้งใจไว้ว่า จะปิดกระทู้นี้ ด้วยเรื่องสุดท้ายคือ "ธรรมที่ไม่ควรกล่าวถึง"
    เนื่องจากเป็นธรรมในบั้นปลายสุด ของผู้หลงทาง อย่างข้าพเจ้าฯ
    ยังคงมีความกังวลอยู่ในใจว่า เมื่อเล่าออกไปแล้ว จะทำให้ผู้อ่าน เข้าใจผิด บ้าง หรือ พลัดหลงปัดเป๋ไป ไกล...จึงยังคงระงับไว้ก่อน...

    ที่เล่ามานั้น ก็ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย โปรดอย่าพึ่งเข้าใจว่า ข้าพเจ้าบรรลุธรรมชั้นสูง หรือเป็นอริยบุคคลแต่ประการใด ขอให้คิดไว้ว่า ข้าพเจ้ายังคงเป็นผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ที่เคยหลงทางมาแล้วมากมาย และจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังคงหลงทางอยู่ อีกทั้งโดยส่วนตัวแล้ว ก็ยังระลึกอยู่เสมอว่า เรายังเป็นนักปฏิบัติผู้ใหม่อยู่...ยังคงต้องฝึกฝนต่อไป อย่างเราๆท่านๆฝึกกันนี่แหละครับ...ยังไม่มีคุณความดี วิเศษใดๆ เกิดขึ้น...ยังต้องอาศัย อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 สติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 มรรค 8 เหล่านี้อยู่...ยังไม่มีความดีใดๆให้พอเป็นที่ชื่นชมได้...

    สำหรับความรู้พิเศษใดๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัตินั้น เมื่อข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญดูโดยรอบแล้วนั้น จะเป็นความรู้ที่ข้าพเจ้ารู้เองเห็นเองก็หามิได้ ยิ่งข้าพเจ้าใคร่ครวญบ่อยๆครั้งเข้าจนแน่ใจในที่สุดแล้ว ก็พบว่าความรู้เหล่านี้เป็นความรู้อันเนื่องด้วย พระบารมีขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร บ้าง ของครูบาอาจารย์ที่ท่านล่วงลับไปแล้วบ้าง พรหม-เทวดาบ้าง ที่ท่านสงเคราะห์ให้ เท่าที่ข้าพเจ้าจะควรรู้ หรือพึงรู้ไว้ได้ ท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วอาจจะรู้สึกสมเพชข้าพเจ้าขึ้นมาว่า การปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลานานของข้าพเจ้านี้ มันไม่เอาไหน มันยังใช้การอะไรไม่ได้ พึ่งพาอาศัยไม่ได้เลย อันนี้ก็ต้องขอยอมรับว่า เป็นเช่นนั้นจริง ข้าพเจ้าไม่เคยเชื่อถือภูมิความรู้ หรือคุณธรรมใดๆที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากตัวของข้าพเจ้าเองเลย ด้วยเหตุเพราะยิ่งฝึกไปมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นแต่ความไม่เที่ยง ไม่แน่นอนทั้งสิ้น จะหาอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้สักอย่างเดียว... เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความรู้พิเศษใดๆที่จะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า จึงได้อาศัยเมตตาจากท่านผู้มีพระคุณทุกท่านจะสงเคราะห์ให้รู้ได้ แม้ว่าบางเรื่องหรือหลายๆเรื่องก็ไม่ได้อยากจะรู้ก็ตาม...

    ฉะนี้แล้ว ก็จะพยายามเล่าเรื่องราวของผู้หลงทางต่อไป...จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม ก็จะได้ปิดกระทู้นี้ ด้วยเรื่องสุดท้าย..."ธรรมที่ไม่ควรกล่าวถึง"
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,024
    ค่าพลัง:
    +70,068
    แม้เป็นธรรมข้อเดียวกัน ที่ออกจากพระโอษฐ์พระบรมศาสดา

    แต่หากกล่าวออกมา ต่อบุคคลที่ต่างนิสัยวาสนา ต่างกำลังธาตุขันธ์ ต่างเหตุ-ปัจจัย สภาพแวดล้อม ฯลฯ
    ย่อมแสดงผลออกมาต่างกัน


    การนำประสพการณ์มาบอกเล่า เพื่อหวังอนุเคราะห์และแลกเปลี่ยนต่อศรัทธาสาธุชน
    ย่อมนำประโยชน์อันยิ่ง ต่อผู้มีสติสัมปชัญญะ พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบถ่องแท้
    หรือมีโยนิโสมนสิการ

    ขอเชิญท่านเจ้าของกระทู้ถ่ายทอดสิ่งอันมีค่าต่อสหธรรมมิก
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    บุญเดือนสิบ ฉบับหลงทาง

    บุญเดือนสิบ ฉบับหลงทางนี้ จะเห็นแปลกแยกจากชาวบ้านไปสักหน่อย คือ เห็นว่าเดิมเป็นการทำบุญถวายสังฆทาน อย่างไม่เจาะจงพระสงฆ์ ที่ว่าการถวายสังฆทานโดยไม่เจาะจงพระสงฆ์ เมื่อครั้งพุทธกาลนี้ มีอานิสสงค์มากกว่า การถวายทานแบบเจาะจงพระคุณเจ้านั้น ...

    ด้วยว่าการถวายสังฆทาน เป็นทานของหมู่สงฆ์ เป็นของทั่วไป ที่แจกจ่ายไปยังพระภิกษุสงฆ์ ที่อยู่ห่างไกล มีความอัตคัตในจตุปัจจัยทั้งหลาย ให้ได้รับกันอย่างทั่วถึง...เพื่อยังประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติธรรมของหมู่สงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สังฆทานนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญ สถิต สถาพร ต่อไป...อานิสสงฆ์จึงมาก จนนับไม่ได้...

    ทีนี้ตามความเข้าใจของคนทั่วไป เมื่อจะถวายทานก็จะเลือกถวายพระที่เป็นผู้ใหญ่สุดในหมู่คณะ และพระผู้ทรงคุณสูงสุดในหมู่คณะนั้น...จึงทำให้พระผู้น้อย ซึ่งกำลังปรารภความเพียรอยู่นั้น ได้รับความลำบาก จึงออกอุบายให้เป็นสลากภัทรขึ้น เพื่อให้พระภิกษุทั้งหลายได้รับกันถ้วนหน้า และเป็นสังฆทานที่มีอานิสสงค์มาก....

    ซึ่งในยุคสมัยปัจจุบันนี้ จะหาพระหมู่มากที่เป็นพระสุปฏิปันโนนั้น หาได้ยาก ดังนั้นเราท่านทั้งหลาย จึงเลือกที่จะถวายสังฆทานกับพระที่ท่านทรงคุณธรรมขั้นสูง มากกว่าการถวายให้กับพระภิกษุทั่วไป เนื่องเพราะไม่มั่นใจว่าพระภิกษุทั่วไปนั้น เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่นั่นเอง...
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สมัยรุ่นๆ ผมกับพี่ชาย อ่านหนังสือเรื่องเหว่ยหล่าง หรือท่านฮุ่ยเหนียง ที่แปลโดยหลวงพ่อพุทธทาส ...
    อ่านหลายรอบ...แต่ก็ไม่เข้าใจ...
    ท่านพูดถึงจิตเดิมแท้ ที่บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งใดๆ ปราศจากแม้ความว่างเปล่า...
    ที่ไม่เข้าใจและต่อต้าน ก็คือ การที่บอกว่าจิตเดิมแท้ หรือจิตพุทธะนี้ เป็นจิตดวงเดียวกัน แม้จะเป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นพวกเราทุกคนก็มีจิตพุทธะ เป็นจิตเดิมแท้ เป็นจิตดวงเดียวกัน...

    ผมเห็นว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นเอกอุ ในสามโลก ไม่มีสิ่งใด หรืออะไร ใดๆ จะเสมอเหมือนได้ ดังนั้น หากจะว่าจิตผม กับจิตพระพุทธเจ้า เป็นจิตดวงเดียวกันนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ...

    หลวงพ่อพระธุดงค์ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า พวกเซนของญี่ปุ่นนี้ เขาจะฝึกกันแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
    เบื้องต้น เขาจะให้ผู้ฝึก รักษาศีล ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย กราบไหว้ สักการะพระพุทธรูป
    เบื้องกลาง เขาจะให้ผู้ฝึก บำเพ็ญภาวนา ทำสมาธิ เจริญสติ
    เบื้องสุดของเขา จะให้ผู้ฝึก ละทิ้ง ทุกอย่าง รวมทั้งพระรัตนตรัย ทิ้งทุกๆอย่าง ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ไม่เอาอะไรๆทั้งสิ้น....

    นี่ก็คงเป็นแบบเดียวกันกับที่ท่านเว่ยหลาง กล่าวไว้.... แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจ...
    จวบจนวันหนึ่ง บนทางเดินจงกรม ...
    หากจะเรียกว่าเป็นการปรากฎขึ้นของธรรมที่จิต ก็ดูเหมือนจะไม่ถูก...
    หากจะเหมือนการไม่ปรากฎขึ้นของการยึดมั่นในจิต ก็จะดูใกล้เคียงกว่า...

    ธรรมดาของผู้ฝึก ย่อมมีความเจริญก้าวหน้าในผลของการปฏิบัติ สภาวะธรรมย่อมปรากฎแก่จิต เมื่อจิตเห็นจิตของตนอยู่ ณ ที่นั้น...
    หากแต่เมื่อ ละทิ้งแล้วซึ่งธรรมที่ปรากฎ ...ละทิ้งแล้วซึ่งสภาวะธรรมที่ปรากฎ...ละทิ้งแล้วซึ่งจิต...ละทิ้งแล้วซึ่งสภาวะจิต เมื่อไม่ข้องแวะแล้วด้วยสิ่งใดๆทั้งปวง...

    เมื่อนั้นจึงเกิดสภาวะหนึ่ง...ซึ่งไม่ใช่สภาวะ
    เมื่อสิ่งนั้นถูกสมมติว่า จิตเดิมแท้..ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ก็ไม่ใช่จิต...เป็นสภาพที่รู้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่เหมือนว่าจะรู้อะไรสักอย่าง...

    เป็นสภาพที่ทุกผู้ทุกนามที่ปฏิบัติไปจะไปถึงตรงนี้ด้วยกัน เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือเป็นพระขีณาสพ ย่อมไปถึง เข้าถึง ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ใช่การเข้าไปถึง ดั่งกริยาของภาษาเขียน สภาวะที่ไม่ใช่สภาวะนี้ จึงสมมติเรียกเป็น จิตเดิมแท้ ที่เสมอเหมือนกัน ทัดเทียมกัน ไม่ด้อยกว่า มากกว่า น้อยกว่า เป็นสภาวะที่ไม่ใช่สภาวะ ไม่อาจสมมติภาษาให้ตรงกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะสิ่งนั้นไม่ได้เป็นอยู่...

    เมื่อนั้นแล้ว ผมจึงพอจะเข้าใจในคำภีร์ของท่านเว่ยหล่าง ที่เขียนวกไปวนมาซ้ำไปซ้ำมา นี้ก็เพราะว่าท่านพยายามจะอธิบายถึงสิ่งที่อธิบายไม่ได้ บัญญัติขึ้นมากล่าวให้ผู้คนเข้าใจได้ ถึงสภาวะอันไม่ใช่สภาวะนั้น...

    อ่านถึงตรงนี้แล้วหลายท่านจะรู้สึกงงๆ ก็คงเหมือนผมที่เคยงงๆ ที่งงก็เพราะเอาสมองไปคิดค้นคว้าหาคำตอบจากตัวหนังสือ ไม่ได้อาศัยใจเป็นผู้ค้นหา ต่อเมื่อใช้ใจเป็นเครื่องค้นหาที่ใจแล้ว จึงได้พบในสิ่งที่สมมติเรียกว่า จิตเดิมแท้ ก็เป็นอันว่าสิ้นสุดเรื่องที่สงสัย ด้วยเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ผมสิ้นเวลาไป 5 ปีกว่า....มันหน้าโง่ไหมล่ะครับ...แต่ว่าเวลามันไม่รู้มันก็ไม่รู้จริงๆนะครับ...ฝึกให้ตายมันก็ไม่รู้อะไรเลยอยู่ดี...จนกว่าจะถึงเวลาของมัน ซึ่งก็นานเหลือเกิน กว่าจะค่อยๆรู้ไปทีละเรื่อง...

    แล้วมาดูกันต่อเรื่อง เจ้ากรรมนายเวร กฎของกรรม คำทำนายของหมอดู ที่ท่านเหลียวฝาน ท่านแก้ไขของท่าน...โดยอาศัยบัญชี ความดี ความชั่ว...โอวาทสี่ของท่านเหลียวฝาน ... ผมชอบคำสอนและข้อแนะนำของท่าน มาตั้งแต่สมัยรุ่นๆเลยทีเดียว ... ใครเคยอ่านเรื่องราวของท่านแล้วนำมาใช้กับตัวเองดู และมีผลอย่างไรกันบ้าง?
     
  12. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ธรรมที่ไม่ควรกล่าวถึง
    สมัยยังหาวๆ เขาห้องอภิณญาใหม่ๆ เข้าไปว่าเขาตาปอดคลำช้าง โดนตอกกลับมาหลายเลย

    แต่มันก็ตาบอดคลำช้าง จริงๆ อย่างที่ว่า พูดไป ก็พาตัวเองหลง และผู้คล้อยตาม หลง

    ก็อย่างที่รู้ๆ หลายๆ สำนัก มักเอามาอ้างกัน จนพากันหลงค่อนประเทศ ก็มีให้เห็นแล้ว

    ฉนั้น ผู้ยังไม่ถึงหรือคิดว่าถึง ก็ยังไม่ควรพูด

    เมื่อไม่พูด กระทู้นี้จะไม่มีวันปิด ใช่มั๊ย ท่านผู้อาวุโสแห่งจักรวาลคู่ขนาน

    ล้อเล่นนะท่าน แต่แบบเลียบๆเคียงๆ ข้างๆคูๆ นี้ จขกท น่าจะถนัดกว่าใคร จริงมั๊ย ท่านโตปัส
     
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ไปเห็นกระทู้ อาถรรพ์ เมืองกาญจ์ ในบอร์ด ผีสางคางแดง...มีคนไปกระทุ้งกลับขึ้นมาอีก..ทำให้นึกไปถึงเหตุการณ์ ต่อจากที่เจอเข้ากับพวกแขก โพกผ้า เล่นงาน กันตั้งแต่ปักกลดคืนแรก เป็นการรับน้องที่เล่นแรงทีเดียว คือกะว่า เอากันตายไปข้างนึง... เมื่อได้อาศัยบารมี หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านมาสงเคราะห์ไว้ ก็ทำให้รู้กันไปซะบ้างว่า ศิษย์มีครู...คือว่า ครูเก่ง ศิษย์ไม่เอาไหนก็เลยรอด... เรียกว่าศิษย์ไม่ทิ้งครู ครูย่อมไม่ทิ้งศิษย์...เหตุการณ์ภาคต่อจากนั้น เป็นดังนี้...

    พระทั้งหมดรวมผมด้วยเวลานั้นมี 6 รูป เป็นพระพี่เลี้ยง 2 และพระบวชใหม่ ซึ่งบวชมาพร้อมกัน 4 รูป...ผมแยกย้ายไปขอเข้าปริวาส ตั้งใจจะฝึกหนัก ให้สมกับที่บวชมา จึงได้ไปอาศัย กุฏิที่ไกลสุด เป็นที่พัก ฉันอาหารวันละ มื้อโดยพระพี่เลี้ยงบิณฑบาตร มาส่งให้ ท่านจัดอะไรปนกับอะไรยังไง ก็ขบฉันไป พิจารณาอาหารทุกครั้ง ทำเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา คลุกๆทุกอย่างรวมกัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือยากเย็นอะไร เป็นเรื่องที่ทำกันปกติอยู่แล้ว

    วันที่สอง ก็สังเกตเห็นก้อนกลมๆ ขนาดเท่าฟุตบอล อยู่ห่างจากกุฏิไปสัก 4-5 เมตร เป็นเม็ดเล็กๆที่ผิวเต็มไปหมด...มันขยับได้...ก็ช่างมัน การเจริญภาวนาส่วนใหญ่คือ อาศัยการฝึกจงกรมเป็นหลัก เนื่องด้วยเป็นอริยาบถที่ลำบาก ปวดเมื่อยมาก ทรงสติและสมาธิได้ยาก เหมาะมากสำหรับบุคคลผู้เกียจคร้านเช่น กระผม เพราะการนั่งมันสบายเกินไปนั่นเอง...

    เมื่อกรรมฐานที่ฝึกอยู่นั้นรวมตัวกันลงไปด้วยดีแล้ว ก็เกิดปะทุแตกขึ้นมาที่เรื่องกามราคะ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องหนัก และร้ายแรง สำหรับกระผมอย่างยิ่ง ในโลภะ โทสะ โมหะ และราคะนั้น ราคะเป็นส่วนหนึ่งของ โมหะ ก็ตามที แต่เนื่องด้วยเป็นส่วนที่ร้ายแรง เป็นภัยหลักที่เกิดกับผม ดังนั้นจึงปรากฎขึ้นชัดเจนมากในเวลาเจริญภาวนา...

    ด้วยอาศัยที่เคยทำอสุภกรรมฐานมายันเข้าฌาณ 4 ได้แล้ว ก็ยกอสุภขึ้นมากำหนดปรากฎเป็นกายแก้วใส อยู่เบื้องหน้า...ก็ไม่ได้ผล อาการที่คิดถึงแฟน ในปัจจุบันก็ดี นึกถึงสาวๆที่เคยชอบพอในสมัยเรียนชั้นมัธยมบ้าง อุดมศึกษาบ้าง ยังคงกำเริบ...
    มรณานุสติที่ทำกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก มีผลดีมาก ช่วยระงับได้ทั้ง อาการของโลภะ โทสะ โมหะ ทั้งหลาย... มาถึงเวลานี้ กลับไม่ได้ผล ไม่สามารถระงับอารมณ์คิดถึง สตรีเพศได้..

    การพิจารณาแยกเป็น ธาตุ 4 ก็ดี... อาการ 32 ก็ตาม...การเจริญสติก็แล้ว...ในเวลานั้นมันเอาไม่อยู่ทั้งหมด...

    ก้อนกลมๆเท่าลูกฟุตบอลนั้นมันเคลื่อนเข้ามาใกล้เข้า..ใกล้เข้า ทุกวัน..วันละ 2-3 เมตร..แล้วมันก็แตกกระจายออกไป เต็มทั่วกุฏิ ทั้งผนัง เพดาน พื้นห้อง ห้องน้ำ ปรากฎอยู่ทั่วทุกหนแห่ง...มันคือ แมงมุม...แมงมุมนับหมื่นตัวที่ก่ายกันไปก่ายกันมาจนมีขนาดเท่าลูกฟุตบอล...กระจายอยู่ทั่วไปหมด...จนจะหาที่นอนหลับในเวลากลางคืนไม่ได้ พื้นที่โดนยึดไปหมด...โดนอยู่กุฏิเดียวด้วย...เข้ายึดแล้วไม่ไปไหนด้วย...เป็นแมงมุมไม่มีพิษ...แต่นับหมื่นๆตัวเนี่ย...มันชวนให้ขยะแขยงมาก...

    แต่ไอ้ที่น่าขยะแขยงยิ่งกว่าแมงมุมนับหมื่นตัวนั้น ก็คือ ความชั่ว ที่จิตถูกกามราคะเข้าครอบงำ ของไอ้โล้นห่มเหลืองตัวนี้...มันน่าขยะแขยงมากกว่าแมงมุมพวกนี้...เมื่อกรรมฐานที่เคยฝึกฝนมา ทั้ง อสุภะ , มรณานุสติ , อานาปาณสติ, ธาตุ4 , กายคตานุสติ , พิจารณาอาการ 32 , สติปัฏฐาน 4 ... ใช้การไม่ได้ขึ้นมา ... จะทำยังไง...
     
  14. dm007

    dm007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +99
    ขออนุโมทนาค่ะ. เปิดดูกระทู้ทุกวัน. คอยว่าเมื่อไหร่จะหลงทางมาเล่าเรื่องดีๆ ให้ได้อ่าน
    ขอขอบคุณที่ได้ให้ข้อมูลบางอย่าง เป็นแง่คิดอีกด้านหนึ่งของการดำเนินชีวิต
     
  15. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ธรรมใดหรือที่ไม่ควรกล่าวถึง รู้แต่ว่าเมื่อท่าน raming2555 กล่าวในกระทู้นี้ สามารถช่วยผู้หลงทางและย่นระยะเวลาสำหรับผู้ที่หลงเข้ามาในจักรวาลนี้ เหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านเพียรลองผิดลองถูกแล้วเผยแผ่ใจความธรรมนั้นสู่ศิษย์ซึ่งเป็นประสบการ์ที่มีคุณค่ามาก ช่วยผู้หลงทางและย่นระยะเวลาได้มากๆ

    การไม่ยึดอะไรเลย รวมถึงทั้งพระรัตนตรัย ธรรม มรรควิถีนั้น จะต้องปฏิบัติเจริญมาเป็นขั้นๆแล้ว จะกระโดดมาทำขั้นนี้เลยไม่ได้ตามที่หลวงพ่อพระธุดงค์ท่านกล่าว เป็นการปฏิบัติ
    เบื้องสุดของเขา คงไม่มีใครกระโดดขั้นตอนไปทิ้งทุกอย่างเลยเพราะจะกลายเป็นโมหะทิฐิ เหมือนกรณีนางหนึ่งที่ กล่าวว่าเขาไม่ยึดติดอะไรแล้วทุกอย่าง
    หลวงปู่ตื้อท่านสอบอารมณ์กรรมฐานด้วยคำสั้นๆคือ "อีตอแหล" คำสั้นๆเคลียเลย
    อ่านเรื่องนี้กี่ทีก็ขำ หลวงปู่ท่านฉลาดจริงๆพูดคำเดียวจบ

    อันที่จริงคุณ raming2555 ก็ได้บอกแนะนำวิธีไว้

    "หากแต่เมื่อ ละทิ้งแล้วซึ่งธรรมที่ปรากฎ ...ละทิ้งแล้วซึ่งสภาวะธรรมที่ปรากฎ...ละทิ้งแล้วซึ่งจิต...ละทิ้งแล้วซึ่งสภาวะจิต เมื่อไม่ข้องแวะแล้วด้วยสิ่งใดๆทั้งปวง..."

    หากเมื่อเจริญสติจนสัมปชัญญะมั่น (สัมปชัญญะต่อเนื่อง ได้นาน จนเป็นฌาน) อันก่อให้เกิดสติมั่น มหาสติ เมื่อเริ่มจากจุดนี้ก็เริ่มจะ ละอัตตา ละอุปทาน ละทิ้งแล้วซึ่งธรรมที่ ปรากฎ ...ละทิ้งแล้วซึ่งสภาวะธรรมที่ปรากฎ ฯ จะละเอียดขึ้นเป็นลำดับๆ เจริญขึ้นเป็นลำดับ ด้วยอุเบกขา โพชฌงค์ สติ โพชฌงค์
    สุดท้ายก็เข้าสู่ สภาวะสมมติที่คุณ raming2555กล่าว ในเบื้องสุด
    ถึงแม้ว่าท่านจะใช้ภาษาสมมุติ แต่ก็เป็นภาษาที่สามารถเทียบเคียงให้เข้าใจได้ถึงแม้จะยังไม่ถึงจุดนั้น และเข้าใจได้ว่าไม่มีภาษาที่อธิบายได้สมจริง

    เรื่องกามฉันทะรอท่านชี้แนะ เพราะเรื่องนี้บางทีก็ใช้ได้ดีกับบางคน อย่างเรื่องอสุภะ
    หลวงพ่อแต่ละท่านก็มีวิธีเฉพาะในการโน้มกรรมฐานนี้ให้ถูกกับจังหวะและลักษณะที่เกิด
    บางท่านก็งัดกระบวนท่าทุกอย่างเหมือนคุณ raming2555 แต่ไม่ได้ผล ได้ผลกับการทำให้ร่างกายเหนื่อย หมดกำลัง หรือสลด เช่นอดนอน ลดอาหาร อดอาหาร แต่ส่วนใหญ่วิธีนี้มักจะมาทางสายพุทธภูมิเพราะท่านมีกำลังใจมาก ยกนิ้ว
    อนุโมทนา ในประสบการณ์ท่านที่นำมาชี้แนะ สนใจรออ่านวิธีปราบกามของท่าน
     
  16. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ขอบคุณค่ะ ท่านอาจารย์คุณป๋า...อิอิ
     
  17. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    นั่ง ๆ นอนๆ นึกถึงท่านขึ้นมา ด้วยอยากให้ช่วยชี้แนะ ทางปัญญาให้หน่อยค่ะ
    เรื่องโง่ๆ นี่ถนัดนัก... เช่น คนอื่น อ่านชื่อท่านว่า ระมิงค์ เราดันอ่านว่า ท่าน แรมมิ่ง 555 แถมยังอยากรู้ว่า แรมมิ่ง แปลว่าไรหว่า 555 คิดไปไกล

    อยากรบกวนท่านช่วยชี้แนะว่า ทำยังไงให้สติมา หาสติไม่เจอ วูบตลอด ยกเว้น เวลานอนในฝัน จะรู้สึกตัวเสมอค่ะ สมาธิไม่ก้าวหน้า เคยได้ยินท่านจิตโตกล่าวว่า เป็นสมาธิแบบโง่ๆ นิ่งๆ สงบ ทำไรไม่ได้ :)
    โปรดเมตตาคน (สอน) ยากด้วยนะคะ
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เรื่องธรรมที่ไม่ควรกล่าวนั้น หากเล่าลงวันใด คงต้องขอจบกระทู้นี้...
    ดังที่ท่านทั้งหลายทราบกันดี ว่าการปฏิบัติธรรมนี้ เป็นไปโดยลำดับ...
    จะช้าจะเร็วต่างก็มีเหตุปัจจัยเป็นของ ของตน...การกล่าวไปก่อนแล้ว ก็อาจทำให้เกิดหญิงเยี่ยงนางที่ถูกหลวงปู่ตื้อด่า ขึ้นมาอีกหลายคน...
    จึงยังคงระงับไว้ก่อน....
    .......................................................

    หลวงพ่อฤษีท่านเคยสอนไว้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง นี่มันเหมือนช้างมี 4 ขา เราค่อยๆพิจารณาตัดมันทีละขาสิ อย่าไปตัดมันทีเดียว เอามันทีละขาก่อน....
    ตัวผมเองนั้นเห็นแตกต่างจากหลวงพ่อ เนื่องด้วยบุญญาบารมี ของหลวงพ่อฤษี ท่านสะสมมาเพียงใดทุกท่านทราบ การที่ช้างขี้ แล้วเราจะไปขี้ตามช้าง เห็นทีจะต้องใช้ยาถ่ายมาช่วย... ซึ่งคงถึงตายก่อนจะตามขี้ช้างทัน...

    ใครที่ติดกามราคะ ก็จะเห็นว่ากามราคะนี้เป็นใหญ่เพียงใด ใหญ่เสียจนบดบัง โลภะ โทสะ ลงไปสิ้น สำหรับผมจึงเปรียบ กามราคะเหมือนดั่งรากแก้ว โลภะ โทสะ ทั้งหลายเป็นรากแขนง บ้าง อนุสัย เป็นเพียงรากฝอยบ้าง...
    การตัดรากแก้วได้สำเร็จ ต้นไม้นั้นก็ไม่มีความมั่นคงเสียแล้ว รากแขนงย่อมตัดต่อไปได้ไม่ยาก เมื่อต้นล้มลงแล้ว จะประมาทอนุสัยและวิปัสสนูกิเลสทั้งหลายที่เป็นรากฝอยไม่ได้โดยเด็ดขาด ก็เพราะรากฝอยนี้เองเป็นที่หาเลี้ยงอาหารส่งขึ้นไปยังต้น เป็นเหตุให้ภพชาติไม่อาจสิ้นสุดได้... ด้วยเหตุนี้เอง ครูบาอาจารย์ท่านจึงเตือนให้ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ขึ้นชื่อว่าประมาทเมื่อไร จะฉิบหายทันที คิดว่าดีแล้วแน่แล้วเมื่อไร วิบัติทันที...การจะไม่ให้เกิดความประมาทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนไว้อย่างดีแล้ว ในมหาสติปัฏฐาน 4 ....


    การกำเริบของกามราคะในเวลานั้น แม้ในขณะเดินจงกรม ก็ลุกชูตั้งขึ้นเสียดสีเข้ากับสบงไม่ยอมลงให้กัน...ด้วยสมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนา ที่ทำมาทั้งหลายดังกล่าวถึงข้างต้นแล้วนั้น ก็ไม่สามารถระงับลงได้...เวลานั้นให้นึกถึงคำที่หลวงพ่อฤษีเคยด่าไว้ว่า "พวกนี้นี่ บวชอยู่ก็เปลืองผ้าเหลือง สึกไปก็เปลืองผ้าลาย" ผมต่อท้ายให้อีกด้วยว่า "ตายไปก็ตกนรก"
    ในเวลานั้นผมนึกว่า ถ้าผู้หญิงที่ผมหลงชอบนั้น เขาเป็นเอดส์ล่ะ แกจะเอาไหม...ตัณหามันก็ยังไม่ยอมลงให้...
    ผมคิดว่าถ้าผู้หญิงที่ผมหลงชอบนั้น ขาดลมหายใจลงขณะนั้น ผมยังจะเอาทำเมียไหม...ตัณหามันก็ยังไม่ยอมลงให้...
    เวลานั้นเป็นหน้าร้อน เมืองกาญจนบุรี ร้อนกว่า 45 องศา...แต่ข้างในของไอ้โล้นห่มเหลืองนี่มันร้อนกว่าไฟนรกเสียอีก...กลับเข้าไปนั่งที่หน้ากุฏิที่เต็มไปด้วยแมงมุม ก็คิดว่า เรานี้บวชมาในบวรพุทธศาสนา กลับมาคิดชั่วเพียงนี้ จะอยู่ต่อไปให้มันเสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนาทำไมกัน เราจะขอสู้กับมันให้ตายกันไปตรงนี้เสียดีกว่า ให้มันรู้กันไปว่ามันจะตายหรือเราจะตาย ถ้าเรายังสู้มันไม่ได้แต่เพียงใด เราจะไม่ไปจากสถานที่นี่ จะฝึกอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหน...

    เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ก็ตกลงปลงใจในเวลานั้นว่า เราจะขอยอมตายเสียดีกว่า ดีกว่าต้องมาตายเพราะกามราคะมันฆ่าเราเอา เมื่อทั้งอสุภะกรรมฐาน, มรณานุสติกรรมฐาน, ธาตุ4 , กายคตานุสติ ควบกับอาการ 32 , สติปัฏฐาน 4 ทั้งการคิดขัดเกลากล่อมจิตใจเรานั้น ไม่อาจใช้ต่อต้านได้..ทั้งที่แต่ก่อนแต่ไรมาแม้จะกำจัดขัดเกลาไม่ได้มาก แต่ก็ยังพอจะระงับไว้ ข่มใจได้ แต่มาเวลานี้ เราใช้ไม่ได้...นี่ให้รู้ไว้ว่ามันไม่แน่ มันไม่เที่ยง อย่าคิดว่าเราแน่ มันเป็นอย่างนี้เอง...

    แม้ว่าเวลานั้นจะถือธุดงควัตร กินน้อย นอนน้อย ทำความเพียรให้ยิ่งแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับกามราคะตัวนี้ มันร้ายแรงนัก... เมื่อเห็นสุดวิสัยแล้ว เวลานั้นผมตัดสินใจยอมตาย คือกลั้นใจตาย สูดลมหายใจเข้าแล้วอั้นเอาไว้อย่างนั้น...จนแทบหมดสติ ในเวลานั้น กามราคะที่กำเริบอยู่มันหายไปไหนไม่รู้...พอร่างกายบังคับให้ปล่อยลมออก กามราคะก็กำเริบขึ้นมาอีก ... คราวนี้ผ่อนลมออกจนสุด แล้วหยุดเอาไว้ ไม่หายใจแล้วเรา เราจะยอมตายเสียดีกว่า บวชมาให้ต้องแพ้มัน... เวลานั้น กามราคะมันยอมเรา แต่ก็มาพิจารณาว่านี่เหมือนเมื่อครั้งพุทธกาลที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงบำเพ็ญทุกขกิริยา เข้าไปทุกที... นี่ถ้าหลวงพ่อฤษีรู้เข้า ก็คงโดนท่านด่า...แต่ก็ยอมให้ด่า เพราะผมจนปัญญา เอาชนะมันไม่ได้ ทำได้ก็คือบำเพ็ญทุกขกิริยา เยี่ยงเจ้าชายสิทธัตถะในเวลานั้น...ตั้งแต่บ่ายจนค่ำ ทำต่อไปอีกไม่ได้นับวัน เพราะการนับวันเวลาไม่มีความหมายสำหรับนักปฏิบัติที่มุ่งหวังอย่างเดียวคือ ต้องชนะกิเลสตัณหาให้ได้เท่านั้น... เวลานั้นผมนึกน้อยใจตัวเอง ที่ผ่านๆมาผมต้องพ่ายแพ้ให้กับกามราคะนับอสงไขยกัปป์ วันนี้เรายังจะยอมแพ้มันอีกหรือ...วันนั้นอย่าว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลย ผมยอมเอาความทุกข์ทรมานทั้งหลายในโลกนี้มาแบกรับไว้ก็จะขอสู้กับมันให้สุดกำลังกายกำลังใจตัวเอง...

    ท่านใดจะว่าผมทำผิดวิธี ผมก็ไม่เถียง ในฐานะที่ผมยังเป็นผู้หลงทางอยู่ ผมจนปัญญาที่จะสู้กับกามราคะแล้ว จึงได้เลือกวิธีโง่ๆนี้ บำเพ็ญทุกขกิริยา ซึ่งเป็นส่วนสุดหนึ่งในสองอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสห้ามไว้ว่าไม่เกิดมรรคผล ไม่เป็นทางสายกลาง ....

    จนหลายวันผ่านไป กามราคะที่เคยกวนใจในระหว่างภาวนาก็ลดลง จึงค่อยๆผ่อนการทรมานร่างกายลง ให้เป็นปกติ ระหว่างที่ผ่อนให้เข้าสู่ธุดงควัตรตามปกติก็คอยระมัดระวังสังเกตว่ามันจะคอยกำเริบอีกไหม ... เมื่อไม่กำเริบแล้ว ก็ฝึกฝนตนตามปกติ ไม่ได้ทำทุกขกิริยาอีก...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  19. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ธรรมอยู่ฟากตาย ความบ้าอยู่ฟากก่อนตาย 555
    มีภาคต่อของการปราบกามราคะอีกไหมครับ หมายถึงในระหว่างที่เป็นพระถ้าเกิดเหตุแบบนี้อีก วิธีกลั้นใจตายยังสามารถใช้ได้ผลไหม เมื่อเป็นฆราวาสแล้วใช้วิธีเดิมนี้ยังได้ผลไหม
    เป็นวิธี หรือ มีวิธีที่ได้ผลกับตนถึงขนาดรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งไหม หรือรบชนะถาวร

    โดยส่วนตัวคิดว่า วิธีกลั้นใจตายนี้น่าจะได้ผลกับหลายๆคนนะ อาจจะแผลงๆไปบ้างแต่น่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ เพราะขณะกลั้นหายใจนานจนถึงที่สุด ประสาทสัมผัสคงส่งไปบอกสมอง สมองสั่ง เฮ้ยทำให้มันหายใจก่อน ลูกมันปล่อยไว้ก่อน แล้วทะลึ่งกลับมาหายใจปกติ

    ผมมีนิทานเรื่องกลั้นใจตาย
    ณ ศาลาปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ก่อนเริ่มเจริญสติปัฏฐานในคาบเวลาหนึ่ง ช่วงแรกหลวงพี่ได้แนะนำให้อดทนพยายามสู้ทุกขเวทนาให้ได้ ด้วยเจตนาเพื่อให้ผู้ปฏิบัติเห็นความไม่เที่ยง
    เห็นทุกข์ และจนกระทั่งเห็นอนัตตาของเวทนามันดับสลายไป
    หลวงพี่บอกพยายามอดทนไว้ ตายเป็นตาย ตั้งใจไว้ตายเป็นตาย สู้ กลั้นใจตายเป็นตาย
    หลังจากเดินจงกรมนั่งสมาธิไปสามชั่งโมง ก็ขออโหสิกรรม แผ่เมตตา อุทิศกุศล
    หลังจากนั้นจะมีการสอนเพิ่มเติมหรือตอบคำถามที่ผู้ปฏิบัติถาม

    ก็มีสาวคนหนึ่งมีคำถาม หลวงพี่อ่านคำถาม " หนูมีเวทนามาก ปวดขา ปวดนู้นนี่
    หนูพยายามทนตามที่หลวงพี่สอน แต่หนูปวดมากๆ หนูพยายามทนและกำหนดปวดหนอแต่ไม่หาย นึกได้หลวงพี่บอกกลั้นใจตายเป็นตาย หนูเลยกลั้นหายใจ ตายเป็นตาย"
    555 ผู้ปฏิบัติทั้งศาลาฮากันไป
    หลวงพี่อ่านต่อ "แต่ร่างกายหนูมันไม่ยอมค่ะ มันทะลึ่งกลับมาหายใจเหมือนเดิม"
    555 ผู้ปฏิบัติทั้งศาลาฮากันไปอีก
    หลวงพี่อ่านต่อ " หนูจึงใช้มือบีบจมูกไม่ให้หายใจและปิดปากกลั้นหายใจ"
    555555555 ผู้ปฏิบัติทั้งศาลาฮากันไป ฮากันท้องขดท้องแข็ง

    นิทานของสาวใสซื่อ บางทีคนซื่อก็ให้ความศรัทธาผู้สอน ความศรัทธาก็ทำให้คนตั้งใจปฏิบัติให้ถึงแก่น อย่างเช่นพวกชาวยุโรป อเมริกา แค่พวกเขาได้เริ่มนั่งสมาธิ หรือ
    เจริญสติ เมื่อมีความสุขกับความสงบจากสมาธิ ซึ่งไมเคยพบเจอจากความวุ่นวายทางโลก ก็ทำให้ศรัทธาปฏิบัติจริงจังได้
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ระมิงค์ เป็น ชื่อของ ลำน้ำแม่ปิง น่ะครับ...
    ผมชอบชื่อสถานที่หลายๆแห่ง ของทางเหนือ และทางอีสาน ผมว่าคนสมัยก่อนเขามีรสนิยมที่ดี และมีสุนทรียภาพในการตั้งชื่อนะครับ...
    ไม่เชื่อลองพิจารณาชื่อ อำเภอ ตำบล หรือ หมู่บ้าน ต่างๆดูสิครับ...ตั้งชื่อได้สำเนียงเสียงภาษาที่ไพเราะดีจริงๆ...

    เรื่องการฝึกสตินั้น จากประสบการณ์ผิดๆถูกๆมาเป็นเวลานาน ผมพบความจริงอย่างหนึ่งคือ สติไม่สามารถรู้ได้ด้วยคำอธิบายเป็นภาษาใดๆก็ตาม...แต่จะรู้ได้ด้วยการฝึก การปฏิบัติ ตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์...และเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ที่เริ่มต้นฝึกนั้น ต้องผิดก่อน จู่ๆมาฝึกแล้วถูกต้องเลยก็คงมีสำหรับผู้มีบุญวาสนาบารมี...

    ผมเองได้รับการสอนมาอย่างถูกวิธี แต่ว่าเวลาฝึกผมฝึกผิดวิธีได้อย่างอัจฉริยะมาก เมื่อมาพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่า ผมคงเป็นตัวแทนความโง่เขลา ด้อยวาสนา ไร้บารมี ที่มีอย่างเดียวจริงๆคือ ความมุมานะพากเพียรพยายามอย่างอดทนต่อเนื่องยาวนาน...แม้ก้อนหินอย่างผม จะฝึกจะฝนอย่างไร ก็ไม่อาจเป็นเพชรได้ แต่ผมก็ไม่ได้ย่อท้อต่อความล้มเหลวใดๆ ทุกๆครั้งที่ล้มเหลว ล้มลง ยังคงได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จึงจะมีเรื่องเล่าให้กับคนรุ่นหลังได้ฟังกันเป็นอุทธาหรณ์...

    เรื่องฝึกสติแล้ววูบไปนั้น ผมอยากให้เปลี่ยนไปฝึกจงกรมก่อนจะดีกว่าครับ อริยาบทที่เคลื่อนไหว อย่างเนิบๆสบายๆ และทำต่อเนื่องแต่ละครั้งไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว...ผมว่าจะรู้สึกตัวได้ดีกว่าฟังคำอธิบายใดๆ....

    เรื่องนอนเข้าสมาธินิ่งๆ สงบๆ โง่ๆ ใช้ไรไม่ได้นั้น นั่นก็เป็นความเห็นหนึ่ง...ซึ่งหลายท่านอาจไม่ค่อยเข้าใจคนโง่ๆอย่างพวกเรา...หลวงพ่อฤษีเคยสอนไว้นะครับ เวลานอนฟังเทปคำสอนของท่านจนหลับไป จิตที่นิ่ง สงบ ขณะนั้นนั่นเข้าฌาณอยู่นะครับ เพราะถ้าจิตไม่ทรงในอารมณ์ฌาณจะเกิดอาการรำคาญใจ จะหลับไม่ได้นะครับ และสังเกตว่าหลับไปแล้วจะไม่ฝัน ตื่นขึ้นมาแล้วไม่งัวเงีย บางครั้งจะยังรู้สึกเหมือนตื่นอยู่ภายใน ถ้าตายลงเวลานั้นไปเกิดบนชั้นพรหมทีเดียวนะครับ...และถ้านอนอยู่ในขณะนั้น 6 ชั่วโมงนั่นคือคุณทรงฌาณอยู่ตลอดเวลา 6 ชั่วโมงได้ โง่แบบนี้มันไม่ธรรมดาหรอกนะ อย่าไปน้อยใจเลย...

    ส่วนเรื่องมันยังใช้ไรไม่ได้นี่ต้องขอบอกว่า มันยังไม่พร้อมยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องใช้ เหมือนตอนนี้คุณสะสมน้ำไว้ทีละช้อนๆ ได้น้ำแล้ว 2 แก้ว แต่มันยังไม่พอจะซักผ้า เราจะเรียกว่าใช้ไรไม่ได้ มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว...ต่อเมื่อน้ำมันสะสมได้แล้วสัก 1 ตุ่ม ถึงเวลานั้นจะใช้ซักผ้า ล้างจานมันก็ใช้ได้...
    แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า น้ำ 1 ตุ่มที่คุณจะได้มา นี่มันได้มาจากน้ำทีละช้อนนะขอรับ...มันทีละช้อน หลายๆช้อนก็เป็นแก้ว หลายๆแก้วมันเป็นตุ่ม ถ้าใครบอกคุณว่าน้ำ 1 ช้อนคุณมันใช้ไรไม่ได้นี่ก็ต้องขอพิสูจน์กันสักหน่อย....

    เอาเป็นว่าถ้าคุณนอนหลับในสมาธิ เอาแบบโง่ๆ สงบๆ นิ่งๆ เมื่อเวลาคุณตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ยังไม่ลุกออกจากที่นอน ยังนอนลืมตาอยู่ ให้คุณนึกขึ้นมาในใจว่า ชีวิตเราไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง เราจะมีความตายเป็นแน่แท้ เราต้องตายกันทุกคน เรามีความตายเป็นเบื้องหน้า เรามีความตายเป็นธรรมดา...คุณนึกถึงความตายเป็นอารมณ์แบบนี้ไปทุกเช้า...นึกถึงความตายเป็นปกติ เอาแค่ตอนพึ่งตื่น ส่วนตลอดทั้งวันคุณจะนึกบ้างไม่นึกบ้างไม่เป็นไร...กุศโลบายนี้เป็นกุศโลบายที่หลวงพ่อฤษีท่านเคยให้ไว้ สำหรับคนโง่ๆอย่างผม พวกไม่เอาไหน ใช้อะไรไม่ได้แล้ว ลองทำดู ถ้าคนอื่นเขาทำ 1 เดือนจะเห็นผล คนระยำอย่างผมนี่ทำ 1 ปี ก็พอจะเห็นผลได้...

    ผมไม่ค่อยแนะนำคนที่เก่งแล้ว ฉลาดแล้ว เพราะว่าท่านเหล่านั้นมีความสามารถดีแล้ว ใครแนะนำก็ได้ แนะนำนิดๆหน่อยๆเขาก็ทำสำเร็จได้ง่าย...
    ผมเป็นพวก เนยยะ ค่อนไปทาง ปทปรมะ มีนิสัยนอกคอก ออกไปทางผู้ปรารถนา นรกภูมิ...ผมชอบเอาประสบการณ์ผมมามอบให้กับ คนโง่ คนไม่เก่ง คนที่บุญน้อย ด้อยวาสนา ไร้บารมี แบบเดียวกับผม แล้วให้คนเหล่านี้ ได้ประสบความสำเร็จทั้งทางโลก และทางธรรม ได้ด้วยความเพียร เพื่อพิสูจน์พุทธพจน์บทพระบาลีที่ว่า "วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ" แปลว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร...ข้อนี้ เป็นข้อที่ 2 ในอิทธิบาท 4 ซึ่งจะรู้จริง เห็นจริงได้ ก็เมื่อลงมือทำจริงๆ ซึ่งคำสอนตรงนี้ไม่ใช่คำสอนที่ผมคิดค้นขึ้นเอง เป็นธรรมที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้ ซึ่งผมได้พิสูจน์แล้วและเป็นพยานยืนยันได้ว่า ถูกต้องอย่างมิต้องสงสัย ธรรมนี้เปลี่ยนคนโง่ให้หายโง่ เปลี่ยนคนไม่รู้ให้รู้ เปลี่ยนคนบุญน้อยด้อยวาสนา ให้ได้รู้ธรรมเห็นธรรมได้จริง...

    หมั่นทำเข้าเถอะครับ...ไม่โง่มาก่อน มันจะหายโง่ได้ยังไง...
    ไม่เคยผิดมาก่อน มันจะรู้ถูกได้ยังไง...
    ไม่เคยหลงทางมาก่อน มันจะรู้ทางที่ถูกที่ผิดได้อย่างไร...
    เดินไปเถอะครับ เดินไม่หยุด วันนึงก็ต้องถึงจุดหมายจนได้แหละครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...