อยากถือศีล8ที่บ้าน ค่ะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย น้องจุ๊บ, 23 ตุลาคม 2013.

แท็ก: แก้ไข
  1. น้องจุ๊บ

    น้องจุ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    603
    ค่าพลัง:
    +1,303
    อยากถือศีล8ที่บ้านในวันหยุด(เสาร์,อาทิตย์)
    สำหรับวันธรรมดา(วันทำงาน)ไม่สามารถถือได้จริงๆค่ะ เพราะติดอยู่ 2 ข้อ
    1.ต้องแต่งตัวแต่งหน้าให้สวยงาม (เป็นผู้หญิงจะชอบจริงๆเรื่องนี้)ให้ดูสดชื่นเจริญตาสำหรับตัวเองและผู้พบเห็น(ข้อนี้ศีลนัจจะคีตะวาทาทิตะวิสูกะทัสสะนะ ฯลฯ ขาดทันที) วันหยุดเสาร์,อาทิตย์จะไม่แต่ง
    2.ชาวบ้านหรือมวลชน จะชอบมาจับไม้จับมือหรือโอบกอดเอว(พวกเค้าไม่มีเจตนาที่จะลวนลาม แต่ทำไปเพราะรักและคิดถึง (เป็นคนของประชาชน) ข้อนี้ศีลอะพรหมะจริยาขะขาดทันที

    จะเข้ามาคุยต่อค่ะ ว่าถ้าถือศีล8ที่บ้านแล้วจะติดขัดอะไร ขอตัวไปอาบน้ำสวดมนต์ก่อนค่ะ
     
  2. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    สามารถทำได้ครับ ทุกลำดับในการปฏิบัติตั้งแต่ให้ทาน รักษาศีล รวมทั้งปฏิบัติธรรมทั้งหลายให้คำนึงเจตนาเป็นหลัก ทานจะให้ผลมากน้อยก็ดูที่เจตนา ศีลจะสมบูรณ์หรือไม่ก็ดูที่เจตนา ปฏิบัติจะก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดก็มาจากเจตนาครับ
    เจริญในธรรมครับ
     
  3. apiraks

    apiraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +508
    วันธรรมดาศีลห้าอย่าให้ขาด วันเสาร์อาทิตย์ถือศีลแปดได้ยิ่งเป็นมงคลกับชีวิตครับ

    อาชีพที่มีคนรู้จักมาก มีโอกาสก่อให้เกิดบาปมากได้เช่นเดียวกัน
    ยิ่งอาชีพที่ต้องให้คุณให้โทษกับผู้อื่นยิ่งอันตรายหลีกเลี่ยงได้เป็นดีครับ

    อาชีพที่ให้ความบันเทิงกับผู้ชม ก็มีโอกาสพากันไปหลงเพลิดเพลิน
    จนพากันไปนรกได้ไม่ยาก เช่น
    - ผู้อยู่บนเวทีตั้งใจแสดงให้ผู้ชมเพลิดเพลิน (เจตนาให้เกิดความหลงสมบูรณ์)
    - ผู้ชมเห็นแล้วรู้สึกเพลิดเพลินไปตามการแสดงนั้น (การชี้นำทำให้หลงตามเกิดผลสมบูรณ์)
    ผู้ชมเกิดบาปจากการหลงตาม ผู้นำเกิดบาปจากจากเจตนา ยิ่งมีผู้หลงตามมากขึ้นเพียงใด
    บาปนั้นก็จะส่งผลกลับเข้าสู่ผู้สร้างเจตนามากขึ้นเพียงนั้น ยิ่งนำไปบันทึกเป็นคลิปวิดีโอ
    ฉายซ้ำรอบมากเพียงใด บาปที่เกิดจากผู้หลงตามก็กลับเข้าสู่ผู้ชี้นำมากขึ้นในทุกครั้งที่
    มีการฉายซ้ำ

    ความหลงของสังคมมนุษย์ในปัจจุบันนี้ ขัดแย้งกับเส้นทางปฏิบัติเพื่อหลีกหนีกิเลสมากนัก
    การสำรวมระวังในกาย วจี และมโน จึงเป็นสิ่งสำคัญมากของนักปฏิบัติในยุคนี้ครับ

    ข้อความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว หากไม่ลงกับความเห็นของท่านผู้ใด ผู้เขียนขอรับผิด
    แต่เพียงผู้เดียว และขออโหสิกรรมไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เป็นบาปติดตัวกันในกาลต่อไป

    ขอเจริญในธรรมทุกท่านนะครับ
     
  4. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    อนุโมทนาสาธุอย่างยิ่งในเจตนาของคุณnongjupครับ
     
  5. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    อยู่ที่เจตนาครับ สีล ๘ เป็นไปเพื่อละวางจากกิเลส
    ไม่ให้แต่งหน้าทาปากปะพรหมของหอม ก็เพื่อให้เราละสักกายทิถฐิ
    ไม่ไปหลงอยู่ในความรักสวยรักงาม ไม่หลงอยู่กับความเป็นตัวตน
    ศีลข้อนี้ เพื่อละสังโยชน์ข้อแรก

    ส่วนที่เราไปกอดเขาหรือถูกเขากอด อยู่ที่เจตนา
    ถ้าเรากอดหรือถูกกอดที่เป็นธรรมเนียม ไม่ได้เกิดความกำหนัด
    จะไม่เป็นการผิดพรหมจรรย์เลยครับ กลับกัน แค่เราคิดอกุศลกับคนอื่น
    แม้เพียงแค่คิด ก็ผิดพรหมจรรย์แล้วครับ

    ข้อห้ามทานอาหารยามวิกาล
    เป็นไปเพื่อให้ท้องว่างในยามบ่าย เพื่อการฝึกสมาธิจะทำได้ดีขึ้น
    ถ้าท้องไม่ว่าง หรือกินอิ่มๆ ร่างกายจะอยากพักผ่อน อยากนอน
    ทำให้สมาธิไม่เจริญก้าวหน้าได้เต็มที่
    และถ้าหิวขึ้นมา ก็เป็นการฝึกความอดทน
    ไม่ให้ตามใจปาก ไม่ใช่ให้ตามใจกาย
    เมื่อมันหิว ไม่จำเป็นต้องตามใตมันเสียทุกครั้ง
    จิตอยู่เหนือกาย ไม่ยอมให้กายเหนือจิต



    สรุป ถ้าเราตั้งใจจะรักษาศีล ๘ เพื่อให้เกิดบุญเกิดกุศล
    เราก็ทำไปความตั้งใจ เจตนาที่แรงกล้านั่นแล คือตัวบุญ
    ถ้าเราทำดังกล่าวในข้างต้น คือแต่งหน้า หรือโอบกอด
    โดยที่ทำไปตามหน้า ทำไปเพราะจำเป็น
    แต่ไม่ได้ทำไปเพราะมีจิตคิดอยากจะทำเพื่อสนองกิเลส
    ไม่ถือว่าขัดต่อศีล ไม่พร่อง ไม่ขาดครับ
    ถ้ายังกังวลเรื่องแต่งหน้า ก็เอาแค่รองพื้นบางๆ
    น้ำหอมก็เอาแค่ดับกลิ่นที่พึงประสงค์ ไม่ต้องเอาให้ฉุน
    ถ้าจะกอด ก็กอด ก็แค่กอด ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องใส่ใจ

    สุดท้ายเรื่องของอาหาร ถ้าปวดท้องมากๆ จะตายให้ได้
    เป็นโรคกระเพาะ แม้จะเข้ายามวิกาล ก็ทานเสียเพื่อกายของตน
    การปฏิบัติเป็นไปโดยสายกลาง ถ้าปฏิบัติโดยทรมานกาย
    ก็จะไม่ได้ผลดีอะไร ก็หย่อนสายลงมาตามสำควรนั้นๆ

    ถึงแม้จะป่วย ถึงจะรักษาศีลไว้ไม่ได้ข้อหนึ่ง
    แต่เจตนาและความตั้งใจเต็มร้อย
    ได้บุญเต็มจำนวน ไม่ขาดตกบกพร่อง

    ปล.ศีล ๕ ต้องระวัง อย่าได้พร่อง เพราะไม่ได้เป็นธรรมะ
    ไม่ได้เป็นไปเพื่อฝึกตนเหมือนข้อ ๖ ๗ ๘ ที่ละเมิดไปก็ไม่เกิดกรรม
    แต่ถ้าละเมิดศีล ๕ ข้อแรก เกิดเป็นบาปเป็นกรรมแน่นอน
     
  6. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    บ้านในทางโลกของเรานี่แหละที่ยึดเราไว้...เราแค่สมมติไปตามโลกเอง
    แต่บ้านจริงๆ ทีแอบซ่อนอยู่ในใจของเราเอง
    ทำไมเราหากันไม่เจอสักที

    เราสร้างกุศล...สร้างบารมีกันได้ทุกๆที่...ทุกๆเวลานะ
    ก็เมื่อสิ่งเหล่านี้มันจะเกิด หรือจะดับก็อยู่ที่ใจเราดวงเดียวเท่านั้น
    แค่ไม่เอาไปผูก ไปยึดติดกับโลก
    สร้างเงื่อนไขให้ตัวเอง

    แล้วเราจะพบคำตอบด้วยตัวของเราเอง.....
    ขออนุโมทนา... ขออนุโมทนาด้วยใจจริง
     
  7. น้องจุ๊บ

    น้องจุ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    603
    ค่าพลัง:
    +1,303
    กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาทุกท่าน ที่เข้ามาตอบให้คะ

    วันทำงาน(จันทร์-ศุกร์) จะถือศีล 5 ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
    ทราบมาว่า การรักษาศีล การถือศีล 5 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังน้อยกว่าถือศีล 8 เพียงครั้งเดียว การถือศีล 8 ทำให้เรามีขันติ วิริยะบารมี และละกิเกส
    ส่วนวันหยุด (เสาร์ อาทิตย์) ถ้าไปถือศีล 8 ที่วัด จะไม่ได้ดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ ตอนนี้เอาท่านก่อน ท่านยังมีชีวิตอยู่ต้องทำให้ดี และท่านทั้งสองไม่สบายมาก แต่ก็มีข้อสงสัยว่าศีลนั้นจะบกพร่อง,ด่างพร้อยรึป่าว ?

    1.คุณแม่ ต้องปรนนิบัติรับใช้ดูแลท่าน บีบนวด ป้อนข้าว พูดจาดีๆ ให้ท่านสบายใจ แต่ท่านชอบดูโทรทัศน์ ตรงนี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ไม่ได้ดูให้บันเทิง ศีลนัจจะคีตะวาทิตะวิตะวิสูกะทัสสะนะ ฯลฯ ศีลข้อนี้จะด่างพร้อย หรือขาดไปรึป่าว ถึงจะขาดก็ยอมขอให้ได้ดูแลท่าน
    2. คุณพ่อ ต้องบีบนวดให่ท่านตามร่างกาย ท่านเจ็บป่วยไม่สบาย ปวดเมื่อยไปหมด (แต่เคยเห็นรูปพระภิกษุอุ้มแม่ที่แก่เฒ่าไม่สบาย) ข้อนี้น่าจะผ่าน อะพรหมะจริยาเวระมะณีสิกขา
    ส่วนศีลข้ออื่นผ่านหมดคะ เริ่มจาก1ปาณา,2อะทินนา,3อะพรหมะจริยา ,4มุสา,5สุรา,6วิกาลละโภชนา,7นัจจะคีตะ เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี การทัด ทรงดอกไม้ ของหอม และเคลื่องลูบไล้ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง แต่มาติดตรงที่ต้องดูโทรทัศน์กับแม่เพื่อดูแลท่านข้อ8ผ่านคะเว้นจากที่นอนสุงใหญ่หรูหราฟุ่มเฟือย
    อนุโมทนาคำตอบของทุกท่านนะคะ
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    รักษาศีลแปดแต่ต้องแต่งหน้าเข้าสังคม ควรทำอย่างไร ?

    ถาม :
    ถ้าเราถือศีลแปดแต่แต่งหน้า ?

    ตอบ : ถ้าจะผิดศีลจริงๆ เขาหมายเอาว่า แต่งแล้วไปยั่วเพศตรงข้าม ถ้าสังคมเป็นอย่างนั้นก็แต่งให้เขาหน่อย พูดง่ายๆ ก็คือแต่งหน้าอย่างคนมีสติ ในเมื่อเราไม่ได้มีเจตนาแต่งหน้าไปยั่วเพศตรงข้ามให้เขามารักมาชอบเรา อยู่ในสังคมเขาต้องการอย่างนั้น ก็ทำให้เขาหน่อย แล้วก็ให้รู้ตัวด้วยว่านี่เราไม่สวยจริง ถ้าสวยจริงก็ไม่ต้องแต่ง ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็แต่งไปเถอะ

    เรื่องของศีล ถ้าเราสามารถปรับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมได้ แล้วจะอยู่อย่างมีความสุขด้วย ให้พยายามปรับหน่อย อย่าให้ศีลเสีย แต่ขณะเดียวกันถึงเวลาก็ต้องไปกับเขาได้ อย่างเช่น ถ้าเราถือศีล ๘ ไม่ได้กินข้าวเย็น เขาชวนเรา เราก็บอกว่าระยะนี้อ้วนมากแล้ว ถ้าจะเลี้ยงเปลี่ยนเป็นน้ำสักแก้วดีกว่า ดีกว่าไปบอกว่าฉันไม่กินกับแกหรอก ฉันถือศีล ๘ คนเขาจะมองเป็นสัตว์ประหลาดไป

    การถือศีลต้องถืออย่างคนมีปัญญา ถ้าตรงไปตรงมา โบราณเรียกว่าตรงแบบสากกะเบือ ลักษณะอย่างนั้นจะเอาตัวไม่รอด เป็นโทษแก่คนอื่นด้วย เพราะถึงเวลาเขาก็เอาไปพูดไปนินทากัน กลายเป็นว่า กาย วาจา ใจ ของเราที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแท้ๆ ยังเป็นทุกข์เป็นโทษให้แก่คนอื่นได้ ฉะนั้น..ให้พยายามลด แม้ว่าวางก่อนสบายก่อนก็จริง แต่พยายามอย่าไปวางใส่หัวคนอื่นเขา ส่วนใหญ่พวกเราไปวางใส่หัวคนอื่นเขา

    ถาม : ไม่ได้อยากแต่งแต่ก็จำเป็นต้องแต่ง

    ตอบ : พูดง่ายๆ ก็คือ แต่งให้ชาวบ้านเขาพอทนดูเราได้ หรือไม่ก็แต่งแล้วก็ ปลงอสุภกรรมฐาน ไปเลย

    อาตมาเองไม่ชินกับคนแต่งหน้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะว่าสมัยก่อนเป็นโรคภูมิแพ้ พอได้กลิ่นพวกเครื่องสำอางหรือน้ำหอมแล้วจะจาม บรรดาคนที่ไปด้วยกันก็จะรู้ พอถึงเวลาก็จะไม่แต่งไป ก็เลยไม่ชิน พอเห็นคนแต่งหน้ามา บางทีรู้สึกเหมือนเขาใส่หน้ากากมา ไม่จริงใจหรืออย่างไรบอกไม่ถูก

    ถาม : แล้วทาแป้งได้ไหมคะ ?

    ตอบ : ถ้าพระป่วยยังทาแป้งได้เลย สมมติว่าเป็นผื่นคัน

    ถาม : ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ?

    ตอบ : ขึ้นอยู่กับเจตนา บอกแล้วให้แต่งอย่างมีสติ เพราะถ้าสวยจริงก็ไม่ต้องแต่ง นี่ไม่สวยจริงเลยต้องแต่ง หรือไม่ก็เอาอย่าง หลวงตาวัชรชัย ท่านว่า “มึงไม่เคยเห็นเขาแต่งหน้าศพใช่ไหม?”

    หลวงตาท่านว่าทีหนึ่งนี่ลูกศิษย์เหี่ยวหมดเลย นึกเสียว่ากำลังแต่งหน้าศพอยู่ก็แล้วกัน เดี๋ยวก็ตายแล้ว

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


    http://palungjit.org/threads/รักษาศีลแปดแต่ต้องแต่งหน้าเข้าสังคม-ควรทำอย่างไร.497486/
     
  9. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ทีวี...ให้สักแต่ว่าเห็น ให้สักแต่ว่าได้ยิน

    ไม่เอามาปรุงแต่ง ไม่ให้ใจเกิดกิเลสไม่ให้ใจเพลิดเพลินไปกับภาพ/เสียง

    รายการข่าว , สารคดี ดูได้นะครับ

    ส่วนนวดให้คุณพ่อคุณแม่ ... ทำได้ครับ ไม่ผิดศีลครับ (ศีลข้อนี้ป้องกันการเกิดกำหนัด จึงห้ามจับต้องเพศตรงข้าม)
     
  10. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    จากคำแนะนำของครูบาอาจารย์และหลายๆท่าน พอจะสรุปได้ว่า
    ดูที่เจตนา รักษาที่จิต
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  11. น้องจุ๊บ

    น้องจุ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    603
    ค่าพลัง:
    +1,303
    กราบขอบพระคุณในคำตอบของท่านค่ะ
     
  12. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    ถ้าเรายังต้องข้องเกี่ยวอยู่กับทางโลก ซึ่งทุกวันนี้มีสภาพสังคมและความเป็นอยู่สลับซับซ้อนมากกว่าสมัยโบราณมาก TV/Internet ก็เป็นเครื่องมือที่เราควรต้องใช้ เพื่อให้รู้ทันโลกและอยู่กับโลกได้ คนเลวคนฉ้อฉลก็มีมากมาย เราก็จำเป็นต้องรับรู้ข่าวสารผ่านสื่อเหล่านี้เพื่อป้องกันตนเองจากการเป็นเหยื่อ
    คราวนี้คงขึ้นกับว่า เราใช้ TV/Internet เป็นเครื่อมือ หรือเราตกเป็นเครื่องมือของสิ่งที่ส่งมากับ TV/Internet พระท่านเองก็จำเป็นต้องรับรู้ข่าวสารทางโลกเพื่อไว้เป็นข้อมูลโปรดญาติโยม ซึ่งไม่ว่า พระหรือโยมก็จำเป็นต้องใช้สติสัมปชัญญะในการรับและแยกแยะข้อมูลข่าวสาร

    ส่วนเรื่องการปรนณิบัติ มารดา บิดา เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อทดแทนพระคุณ พระพุทธองค์เองก็กล่าวอนุญาติและสรรเสริญ พระภิกษุ ผู้ปรนณิบัติ มารดา บิดา ที่ป่วยไข้ แม้แต่บิณฑบาตรเลี้ยงมารดาบิดาก็มีในพระไตรปิฏก
    พระภิกษุอุ้มมารดาที่ป่วยหรือพิการก็ไม่อาบัติ
    พระพุทธองค์ท่านสอนถึงกตัญญูกตเวทิตา เป็นเครื่องหมายของคนดี แต่ถ้าท่านทรงห้ามพระภิกษุ แสดงกตตัญญูต่อมารดาที่ป่วยหรือพิการเพราะเห็นว่าเป็นมาตุคามเพศ คำสอนของพระพุทธองค์ก็คงไม่เป็นสัจจธรรมศักดิ์สิทธิ์มาถึง 2556 ปีล่วงมาแล้ว

    ฉะนั้น ก็อย่างที่ทุกๆท่านได้กรุณาให้คำแนะนำมาข้างต้น
    ให้เราๆท่านๆดูกันที่กุศลเจตนา และรักษาที่จิต
    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในกุศลธรรมยิ่งๆขึ้นไป
     
  13. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ดันคร่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...