การแบ่งภาคหรืออวตารของพระโพธิสัตว์ทำได้จริงหรือไม่? เชิญร่วมเสวนากันครับ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 31 ตุลาคม 2013.

  1. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    รับชมคลิป แม่นก หัวใจพระโพธิสัตว์

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Gu7UVLIY0Wc]รายการโหราทิพย์ญาณวิชชาสาม 31 ต.ค.56 (แม่นก หัวใจพระโพธิสัตว์) - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Gu7UVLIY0Wc"]http://www.youtube.com/watch?v=Gu7UVLIY0Wc[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2013
  2. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ในชีวิตประจำวันของเราท่านทั้งหลาย ย่อมจะต้องประสบพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา
    เช่น ในระดับผู้นำที่ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง เราก็มักจะมีความคิดที่ว่า...

    "ขอให้มีคนดีๆแบบนี้เยอะๆ สักร้อยคน พันคน"

    จากแนวความคิดนี้ เราวกมาสู่ประเด็นที่ว่า

    ด้วยจิตสำนึกแห่งความเป็นพระโพธิสัตว์นั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า
    ท่านอาจใช้อธิษฐานบารมีเพื่อกระทำให้ตนเองสามารถ แบ่งภาคแยกจิต เพื่อกระทำหน้าที่ ตามเจตนารมณ์ในอันที่จะช่วยเหลือผองสรรพสัตว์ ตามกำลังวาสนาบารมีของท่านอย่างเต็มภาคภูมิ!

    อนึ่ง ความปรารถนาในวิริยาธิกะพิเศษกับแบบธรรมดานั้น มีความสลับซับซ้อนและพิสดารต่างกันอย่างไร

    ชะรอย ท่านพระโพธิสัตว์ผู้มีความปรารถนาแบ่งภาคแยกจิต ก็คงเป็นกรณีพิเศษที่มีความพิสดารต่างกัน อย่างนั้นกระมัง ครับ ^_^

    นัยอันเป็นอจิณไตยนี้มาถึงท่านผู้สามารถแล้ว มิใช้กำลังวิสัยของท่านผู้มีกำลังน้อยจะพึงพิจารณาให้ตกไปโดยง่าย ขอเชิญเพื่อนสมาชิกผู้เป็นบัณฑิตชนทุกท่านร่วมเสวนาแสดงธรรมกันตามสมควรเถิดครับ ^_^
     
  3. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ผมก็ตามอ่านอยู่เหมือนกันครับ ประเดี๋ยวผม แบ่งภาคมาอ่าน

    กรรมฐาน ๔๐ กอง มีกองไหนนะที่ว่าไว้ด้วยการ ระลึกนึกถึง เทพ เทวดา เป็นอารมณ์ ผมจำไม่ได้ด้วย

    เอาไว้ว่าง ๆ เดี๋ยวค่อยมาอ่านต่อครับ
     
  4. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    อะมีบา และ โปรโตซัว ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งอยู่มิใช่น้อย! ^_^
     
  5. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ต้นไม้บางชนิดที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่งและปักชำ ก็น่าสนใจครับ! ^_^
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    แหมท่าน ว่ามาด้วยดีทีเดียว กรรมฐาน ๔๐ กอง มหาสติปัฏฐาน ๔ อีก ๑ อนุสติ มี ๑๐ ครับท่าน ๑ ระลึกนึกถึง ความดี ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ๒ นึกถึงความดี ของพระธรรมคำสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ๓ นึกถึง พระอริยสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ๔ เทวตานุสติ นึกถึงควมดีของ เทวดา ที่มีคุณ ที่จะทำให้เรา เป็นเทวดาได้ มีธรรมเบื้องต้น ๒ อย่าง หิริและโอบตับปะ ละอายต่อความชั่ว เกรงกลัวต่อบาป ๕ จาคานุสติ นึกถึงทาน ในการให้ ให้ต่อคนและสัตว์ ใช้แรงงานหรือกาย อาหารได้ทั้งสิ้น ๖ นึกถึงศิล ที่ตนรักษา ศิลปรกติ ข้อวัตรปฏิบัติ ศิลคือ ๕ ข้อของชาวโลก ศิล ๘ ศิล๑๐ และศิล ๒๒๗ ข้อ เลิอกเอาครับ


    ข้อ ๗ อุปสมานุสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมย์ ๘ มรณานุสติกรรมฐาน นึกถึงความตายเป็นอารมย์ ๙ กายคตานุสติ กรรมฐาน พิจรณา กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๑๐ ยังจำไม่ได้ อีก ๑ ข้อ หรือ ๑ ตัว การเรียงนั้น อาจสัพกันบ้าง


    จะไปเป็นอะไรก็ตาม ท่านต้องสร้าง ต้องทำในสมัย เป็นมนุษย์ ทั้งสิ้น ตำแหน่ง ของเทวดา ทุกๆชั้น ก็ดี ตำแหน่ง ของพรหม ทุกๆชั้นก็ดี ตำแหน่งกลาง เขามีอยู่ แม้แต่ในโลกมนุษย์ ก็ตาม ตำแหน่ง ประธานาธิปบดี ตำแหน่ง มหากษัตย์ นายก ก็มีหลายนายก คนนี้ไป คนใหม่ มาทำหน้าที่ แต่ตำแหน่งนั้น ยังอยู่ ตั้งแต่ ตำแหน่งเล็ก ไปหาใหญ่ ถ้า ตำแหน่ง ยศ ฐา บรรดาศักดิ์ ของเทวดา กับพรหม มันอยู่ที่ท่าน ทำได้ ทำถึง ถึงจะได้ไปเป็น ทุกศาสนา สอนให้คน เป็นคนดี ถ้าเขาทำถึงเทวดา นางฟ้า ถึงพรหม ผมว่า เทวดา ชั้นต่ำสุด ดีกว่า คนชั้นดี กว่า เป็นล้านๆเท่าๆ


    ไม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ สอนให้คน เรา นึกถึง ความดีของเทวดาหรอกนะ แล้วเทดา ตั้งแต่ ชั้น ที่ ๑ ถึง ๖ ชั้น พรหม ชั้น ๑ ถึง ๑๖ ก็มี เทวดา ที่เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ พระโสดาบันขึ้นไป ก็ในเมื่อ ที่ท่านทำได้ ทำถึง ไอ้ที่ว่า แสดงฤทธิ์ น่ะ มันไปจากจิตหรือเปล่า การอธิฐาน สำฤทธิ์ผล ใช้ใจแยกได้เป็นแสนเป็นล้านคน มันไปจากจิต ดวงเดียวหรือเปล่า ผมอยากถาม บางคนหน่อย เคยดูหนัง ตอนเฮ่งเจีย แปลงร่าง เป็นร้อย เฮ่งเจีย ต่อสู้กับ ผู้ร้ายไหม มันใช้ จิต แยกหรือเปล่า มันไม่จำเป็นต้อง เป็น ศาสนาพุทธนะ เข้าใจไว้ด้วย ในเมื่อ เขา เข้าใจ ในการแบ่ง ภาค แต่เราเข้าใจของเราแบบนี้ ครับ


    ในหัวข้อ ท่าน QUOTE=Armarmy;8493840]ผมก็ตามอ่านอยู่เหมือนกันครับ ประเดี๋ยวผม แบ่งภาคมาอ่าน

    ได้ ทั้งโลก แม้แต่ หลวงพ่อ ท่านเคยพูด ว่า จะรู้ พร้อมๆกัน ได้ทั้งจักวาล ยังได้เลย ไม่ใช่ เฉพาะ ประเทศไทยนะ เรื่องนี้ ผมว่า มันเป็นเรื่องอจินไตย ถ้าทำถึงแล้ว ก็เหมือนคนเห็นผีนั่นแหละครับ คนไม่เคยทำถึงทำได้ เคยเห็น มันเป็นเรื่อง เฉพาะตัว แต่การแบ่งภาค ของพระโพธิสัตว์ มาเต็มตัว อยู่แล้ว เพราะจิต มีดวงเดียว เพราะผู้ ทำความปราถนา มีเยอะ ผมกับท่านก็คนละคนกันนี่ การที่ ครูบาอาจารย์ ท่านกล่าวไว้ ว่า จะรู้อะไรได้ทั้งโลกก็ได้ พระสาวกที่จบกิจแล้ว ยังมีความสามารถ ไม่เท่ากันเลย ผมชอบ คำ พูดนี้ครับ จริงๆทำได้อยู่ แล้ว ถ้าท่านทำถึง ทำได้ จะไปไหน แยกได้แบ่งได้ มันก็จิตดวงเดียว แต่ผมว่ามันไม่พ้นทุกข์ คำว่า แบ่ง กับแยก ไม่ต่างกัน เท่าใดนัก นี่ความคิดของผม แต่การกระทำมันต่างกันครับ


    ตัวอย่างในกรณี ปี ๒๘ ผมออกไปได้ ๑ ถึง ๒ ครั้ง กายในออกไป ทั้งตัว ไปแบบในหนัง ตีลังกา ไปแบบเฮ่งเจีย การออกไป ใช่ว่า จะรู้เหมือนกัน หมดเหมือนกันหมด บางครั้ง รู้ ว่าออกไปทางหัว บางครั้ง รู้ว่า ออกไปแบบในหนัง บางครั้ง ไม่รู้ เลย ว่าออกมาเมื่อไหร่ โดยที่ร่างกายนี้ไม่รู้เลย รู้แต่ตัวแท้ตัวเราจริงๆคือ ตัวเรา กายในนั่นเอง มาอาศัยเรือนร่างนี้ อยู่ เมื่ออกจากร่างนี้ ไปสู่ภพภูมิ อื่นๆต่อไป ขอย้อม มาพูดอีกนิด ผมยังไม่คล่องใจเท่าใด หรอก ผู้ที่ทำได้ ทำถึง สามารถ ทำได้อยู่แล้ว แบ่งหรือแยก กายในไปได้ หลายร้อย พันร่าง หมื่นร่าง แสนร่าง ไปเฉพาะ หน้า บุคคลนั้น และคงพูดคุยกันได้ทุกๆอย่าง นี่กายในนะ ถ้ากายภายนอก ผมก็ว่า ท่านก็ทำได้อีกเช่นกัน ถ้าไม่เกี่ยวเนื่องกัน ผมว่าท่านคงไม่ทำหรอกนะ


    ทางที่ดี อย่าไปสนใจเลย เอาตัวเราให้รอดก่อนดีกว่า ชนะใจตัวเองได้เมื่อไหร่ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง มันคงทำไม่ยากแน่นอนครับสวัสดี
     
  7. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    วันหนึ่งมี 24 ช.ม แบ่งเป็น 4 ภาค คือ เช้า กลางวัน เย็น และค่ำ สะดวกภาคเวลาไหนก็เชิญภาคเวลานั้นครับ :cool:
     
  8. เนตรอิศวร

    เนตรอิศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2011
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +425
    *****.....ขอพิจารณาก่อนเถิดท่านผู้เจริญ*****
    .....ด้วยเหตุแห่งว่ายังคงมีความศรัทธาแก่ผู้ที่มีความศรัทธาเป็นเหตุ ด้วยท่านนั้นยกภาพวาดในพระอุโบสถในวิหารที่มีอยู่นั้นมาเป็นสิ่งพิสูจน์ในสิ่งนี้เราจึงเห็นด้วยไม่ ด้วยเหตุที่ว่าหากจะกล่าวเช่นนั้นทำไมเราถึงไม่ไปมองภาพวาดในกรุงพม่าเขาดูบ้างว่าเขาเขียนถึงฝ่ายอยุธยาไว้ว่าอย่างไร ในทางพราหมณ์ด้วยนับถือว่าองค์ษัตริย์นั้นเป็นองค์สมมุติเทพลงมาบังเกิด หากเราจะยึดถือภาพประวัติว่าเป็นสิ่งที่สมควรเชื่อถือแล้วทำไมถึงไม่ยกเรื่องรามเกียรต์มาเสียเลยล่ะว่าพระนารายณ์แปลงมา ....ด้วยท่านกล่าวเช่นนี้ในฝ่ายอโยธยาอันเราเห็นก็คงจะไม่เป็นไร แต่หากยามใดที่ท่านไปกล่าวเรื่องนี้แก่ฝ่ายหงสาวดีด้วยเราก็เห็นว่าจะไม่เกิดผลดี ด้วยยังคงมีเหตุการณ์พระเจ้าสิบทิศ.
    .....พิจารณาก่อนเถิดท่านผู้เจริญ ความเชื่อในคำสอนสมควรพิจารณาให้แท้ พิสูจน์ให้แท้แล้วจึงเชื่อ ด้วยหากจะเชื่อตามคัมภีร์ ตามกวี ตามภาพวาดที่มีแล้วจะอุปมาไปว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็จะเป็นความหลงไป ด้วยเหตุแห่งว่ากวีย่อมแสดงถวายความสดุดีในกวีด้วยจินตนาการของตนฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นแล อันเราขออนุโมทนา.*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2013
  9. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ถูกต้องอย่างยิ่งเลยครับ
    เราเป็นชาวพุทธศาสนา มิใช่ชาวพราหมณ์ศาสนา
    เรานับถือคำสอนของพุทธองค์ ต้องเชื่อความเป็นเหตุเป็นผล
    ลัทธิพราหมณ์เป็น เทวนิยม ก็เน้นที่ความเชื่อเป็นหลักอยู่แล้ว
    แต่เราชอบเอามาปนกัน เพราะเราชอบความเชื่อมากกว่า
    แม้ศาสนาพุทธเอง สำหรับหลายๆคนยังมีมุมมองในแบบเทวนิยมเลย
    การกราบไหว้พระพุทธรูปก็เพื่อรำลึกถึงคุณของผู้สอนพระธรรม
    ที่ให้เราได้เป็นคนดีในวันนี้ ก็คือคุณของพุทธองค์
    แต่ดันมากราบไหว้พุทธองค์เพื่อร้องขอให้ชีวิตตนเองดีขึ้น
    คือหวังจะให้พุทธองค์ช่วยนั่นเอง ทั้งๆที่พุทธองค์ก็บอกอยู่ว่า
    กรรมใครใครก่อ คนนั้นรับเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    พุทธองค์ปรินิพพานนานแล้ว จะให้กลับมาช่วยได้อย่างไร


    อวตาลนั้นก็เป็นแค่ความเชื่อ
    ความเชื่อที่เป็นจริงได้เพราะเราคิดว่ามันเป็นจริง
    แต่กระนั้นเลย จะนับถือเทพนับถือพราหมณ์ก็ตาม
    ถ้าเป็นคนดี มีศีลธรรมดี ก็ยังน่าเคารพนับถือกว่า
    ชาวพุทธแท้ๆ แต่ทำตัวไม่ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2013
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    คำว่าเทวตา นุสติ กรรมฐาน หมายถึงใครอะไร ที่พระพุทธเจ้า สอน เหตุผล ทุก ศาสนา มีทั้ง คนดี คนชั่ว ปนอยู่ ทุกๆศาสนาแหละ ไม่ต้องว่ากัน แต่ใคร จะมีเหตุผล มากกว่ากันเท่านั้น และมองให้ลุ่มลึกกว่ากัน คริต เขาสอน ถึงสวรรค์ พราหม์ เขาสอนถึงพรหม การสอนผิด มันต้องมีแน่นอน ทุกศาสนา ไม่มากก็น้อย คนชั่วก็มี คนดีก็มาก คนชั่ว กับคนดี มีถมไป ทางไหน สอนผิด ก็ช่วยกัน บอกเล่า เก้าสิบ ให้ถูกต้อง สิครับ จะได้ ไม่ต้อง เคลือบแคลง สงสัย ถ้าคนมันไม่ ทำดี มันไปเป็นเทวดา กับพรหม ไม่ดอก นะจะบอกให้ แล้ว ไอ้คนที่จะดีได้ มันต้องชั่วมาก่อน ถึงจะไปดี ฝ่ายเดียว หรือ ทำให้มันดี ที่สุด ผมพยายาม อธิบาย มาหลายรูปแบบ ก็ยังมีคนเข้าใจยากนะ ส่วนใหญ่ แม้แต่ตัวผมเอง มันวางจิตไม่เป็นกลาง เสียมากกว่า ถ้าตัวทิฏฐิ หรือตัวมานะ หรือตัว อิจฉา ริษยา เข้าไป ครอบ งำจิต ของผู้ใด มันจะเห็นผิด เป็นชอบเสมอๆ



    ผมขอเล่า ประสบการณ์ จริงหน่อย ก็ในเมื่อ จิต นี้ ดวงเดียว มาอาศัยกายอยู่ เมื่อร่างกายพัง ก็ไปเกิดที่ใหม่ จะไปเป็นอะไรนั้น ก็จิตดวงนี้ เท่านั้น (แต่คนที่เขาทำถึงทำได้) มันก็คนละเรื่อง กัน ก็จิตดวงเดียวนี้แหละ พระเทวทัต เหาะเหิร เดิน อากาศได้ ไปโลกไหนก็ได้ ยังอยาก เป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ทำให้ทำกรรมหนัก เห็นผิดเป็นชอบ ท่านได้ อภิญญา ๕ โลกีย แต่ถ้า จิตเข้าถึง ความเป็นพระโสดาบัน เบืองต้น อภิญญา ๕ ที่ได้ จะเป็นอภิญญาหก ไม่มีการเสื่อม คำ ว่าอภิญญา มัทั้งโลกีย และโลกุตร เอาแค่ขั้น โลกีย วิสัย มันก็มีผมว่า ไม่รู้ กี่ร้อย กี่พัน ขั้นแล้ว ยังไม่ต้องไปเอา ขั้น โลกุตรหรอกนะ


    ถ้ายังไม่รู้จัก เรื่อง ของผี เทวดา พรหม จะไปพูด เรื่อง ที่มันเกิน วิสัย ของปุถุชน คิดแล้วมันจะบ้าเปล่าๆ เพราะอะไรรู้ไหม ผมเป็นมาแล้ว ขอเล่าค่าวๆนะ เมื่อปี ๒๐ กว่าๆ ผมฝึก มโนมยิทธิ ครึ่งกำลัง พอได้ ทำเริ่ม คล่อง อาศัย ฝึก แบบ ที่ ครูบาอาจารย์ บอก และสอนมา พอจิตเริ่ม เป็นทิพย์ เริ่มรู้ ตัวเองว่า ดี วิเศษ แล้ว เมื่อเริ่ม คล่อง ก็แค่ งู ๆ ปลาๆ อยากเห็นภาพพระ ให้ใหญ่เล็ก ได้ อยู่ในอก อยู่บนหัว ได้ สวมกายก็ได้ ให้ ใส เหมือนแก้ว ก็ได้ เห็น สวรรค์ เห็นพรหม เห็นพระนิพพาน ใสเหมือนแก้ว เห็นวิมาน บนนิพพาน คล้ายโบสถ ใสแจ๋ว เห็นพระพุทะเจ้า พระอรหันต์ เราสามารถ นึก ตัวเรา แยกออก ให้เท่า พระพุทธเจ้า ที่มีอยู่ พระอรหันต์ ที่มีอยู่ เท่าท่าน ทุกๆพระ องค์ แล้วก้ม ลงกราบ และขอขมากรรม ต่างๆ


    อีตอนที่นึก แยกตัว ให้ เท่าที่ พระมีกี่องค์ พอนึก ปุ๊บ มันเป็นไปตามนั้นทันที รวดเร็วมาก แค่พริบตาเดียว เป็นไปตามที่เรานึก นี่แค่ งูๆปลาๆ แล้ว ไอ้ ที่ท่าน ทำถึงจริงๆ ที่ได้ อภิญญา และยิ่งแล้ว ที่ท่าน เป็นพระอนาคามี จนถึงพระอรหันต์ ที่จบกิจแล้ว จะขนาดไหน แค่ทำได้แค่นี้ แค่ขี้ตีน ล่วงๆของท่าน ยังไม่ได้เลย แล้วอะไรรู้ไหม ในเมื่อ อยู่ไปๆ ไอ้ผมก็คิด ว่า เอ่ เรานี่ ถ้าจะบ้าแล้ว นั่ง นอน ยืน เดิน ขี้ เยี่ยว มันเห็น ตลอด ลืมตา หลับตา ไปไหน มาไหน บางที่ หรือ หลายที มันเห็น เหมือน ลืมตา เห็นด้วยตาเนื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้ ปล่อยทิ้ง หมดเลย ไม่สวด มนต์ ไหว้พระ ไม่ภาวนา ไม่อะไรทั้งนั้น เกิดกว่า ๓ เดือน ทุกอย่าง สลายตัวหมด เมื่อ มาบัดนี้ ถึงทุกวันนี้ ไม่เคยได้อีก เลย กลัดกลุ้ม ใจ อยู่หลายปี เกิดการท้อแท้ใจมากมาย จนมาตัดใจได้ ไม่ถึง ๑๐ ปีนี้เอง ได้ไม่ได้ ไม่สน มีไม่มี ไม่เป็นไร พิจรณา บ้าง นึกถึง ความตายบ้าง พิจรณา กายบ้าง บางทีก็ พิจรณา ทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น ให้เห็น เป็นอนิจจังบ้าง ตาม กำลัง ของเราที่ทำได้นึกได้


    ผมคิดคิดดู ก็ที่เราเคยได้เคยเห็น ก็ยังไม่ได้ เศษๆ ของพระเทวทัตเลย อ่ะครับ พระเทวทัต ยังตก นรก เลย แล้วเราเป็นใคร แต่พระเทวทัต น่ะครับ ท่านมีคติ แน่นอนแล้วนะครับ แล้ว ผมสัมผัส มานับร้อย นับพันคน เหมือนกัน ขนาด เราคิดอะไรอยู่ เขารู้ใจเรา ก็เห็นมันพังไปกันเยอะแยะแล้ว ถ้ายังไม่เข้าถึงธรรมจริงๆแล้วละก้ มีสิทธิ์ เพราะมันเป็นฌาณ โลกีย์ ยังยืนยันเหมือนเดิม การแยกร่าง พระท่านบอก มันเป็นของเด็กเล่น ยิ่ง เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ท่านคงไม่ทำ ถ้าไม่จำเป็น พระพุทธเจ้ายังทรง ห้ามแสดงฤทธิ์ เลย มันไม่เกิดประโยชน์ มีแต่โทษ ถ้าเกิดประโชน์ พระพุทธเจ้าคง ส่งเสริมให้แสดงฤทธิ์ แล้ว เอาแค่ เดรัชฉานนคาถา ผมว่า มี เป็น ร้อย พัน หมื่น แขนง แล้ว อะไรๆ ที่มันเกินวิสัย ของเรา ก็ลดๆมันบ้างก็ดีครับ ถ้าคุยเรื่องเนี้ย คุยกัน ๓ วัน ๓ คืน มันไม่จบและไม่หมดหรอกครับ ก็ไอ้แค่ งูๆปลา พอรู้ บ้าง ยังรู้ไม่จบ รู้ไม่ทั่วเลย ยิ่งรู้ไปก็ยิ่งโง่เท่านั้น เมื่อรู้แล้ว ก็นำมา ทำให้เกิดประโยชน์ ต่อ คนและสัตว์ครับสวัสดี
     
  11. ภะควา

    ภะควา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +435
    เคยได้ยินมาว่า พระศรีอริยเมตไตร จะเป็นจิตของพระโพธิสัตว์ 9 พระองค์มารวมกันพอรู้3องค์เป็นเรื่องเหลือวิสัย ท่านใดเคยได้รับทราบบ้างไหมครับ
     
  12. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เรื่องนี้โพธิสัตว์ระดับอภิญญาถึงจะทราบครับ แต่ท่านเหล่านั้นมิได้เข้ามาให้ความกระจ่าง และที่สำคัญท่านคงไม่ตอบคำถามแบบนี้แน่นอนครับ!
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เพราะมีขันธ์ ๕ จึงมีกายสังขาร กายสังขารเป็นที่อาศัยของจิต และจิตมาจากที่ไหน?
    ที่มาของแต่ละดวงจิต ล้วนมีต้นกำเนิด มิใช่เกิดมาแล้วมาตั้งจิตว่าจะเป็นอะไร?
    การอุบัติของแต่ละดวงจิตล้วนมีจุดประสงค์

    การนำกิเลสตัณหามาวิเคราะห์หาต้นกำเนิด ย่อมไม่ได้รับความจริง
    จริงที่เป็นสัจจะ ไม่ใช่จริงสมมติ
     
  14. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    ผมขออนุญาตออกความเห็นที่ไม่ได้อ้างอิงหลักศาสนานัก

    ๑. เริ่มต้นมีสัตว์อยู่จำนวนหนึ่ง หลังจากบำเพ็ญเพียรจนบรรลุอรหัตผลและนิพพานไป จำนวนที่เหลือย่อมลดน้อยลง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ช่วยสัตว์ให้นิพพานไป ซึ่งควรทำให้สัตว์เหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ ตามลำดับการตั้งพระศาสนา ถ้าไม่มีการเติมเพิ่มใหม่ในที่สุดสัตว์ต่าง ๆ น่าจะหมดไป (ไม่ว่าจะใช้เวลายาวนานแค่ไหน)

    ๒. สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว รวมทั้งเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสัตว์ที่เห็น ๆ กันอยู่ มีการแบ่งตัวไม่ว่าจะให้เหมือนเดิม (mitosis) หรือแบ่งครึ่งเพื่อรวมกับอีกครึ่งจากสัตว์อื่น (meiosis) การแบ่งตัวนี้จะมีการจำกัดเวลาในบางช่วงที่สัตว์หรือเซลล์นั้นอยู่ ด้วยวิธีนี้จำนวนสัตว์หรือเซลล์นั้นจะเพิ่มขึ้นได้

    ๓. ผมเคยอ่านมาว่า แม้ว่าดวงจิตจะเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป แต่ก็มีความต่อเนื่องด้วยกรรม เปรียบเทียบเหมือนดวงไฟในเทียนไขเล่มที่กำลังดับสามารถไปจุดในเทียนไขเล่มใหม่ได้ เราก็ไม่ควรบอกว่าเป็นดวงไฟเดิมแต่มีความต่อเนื่องกันเพราะดวงไฟเดิม

    ๔. สิ่งที่ผมสงสัยคือจะเป็นไปได้ไหมว่า จิตก็สามารถแบ่งตัวได้โดยไม่ใช่ดวงเดิมแล้ว จึงไม่ใช่การอวตาร ถ้าเราเอาดวงไฟจากเทียนไขเล่มที่กำลังจะดับไปจุดเทียนเล่มใหม่ ๒ เล่ม แต่ละดวงไฟก็เป็นเอกเทศกัน จะดับหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของเทียนแต่ละเล่มเอง การแตกตัวนี้จะคล้ายการแบ่งตัวของข้อ ๒ ทำให้มีสัตว์ใหม่ตลอดเวลาซึ่งตัดประเด็นข้อ ๑ ไปได้ สัตว์ ๒ ตัวจากจิตใหม่ ๒ ดวงนี้ก็ดำเนินไปตามครรลองของมันเองโดยมีพื้นจากจิตดวงเดิมทั้งคู่ ทำกรรมและบำเพ็ญเพียรของแต่ละตน จนบรรลุนิพพานตามเหตุปัจจัยของแต่ละตนโดยไม่มีการมารวมกันอีก

    ขอสงสัยแค่นี้ครับ
     
  15. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    มีหลายท่านอาจปรามาสศาสนาลัทธิพราหมณ์ อย่าลืมครับว่าในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า ในยามใดไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายามนั้นก็มีศาสนาที่เรียกว่า พราหมณ์เป็นธรรมดา คือ ไม่ใช่ศาสนาฮินดู แต่อะไรไม่ใช่พุทธศาสนาจัดเป็นศาสนาพระเจ้าครับจะองค์เดียวหรือหลายองค์ก็นัยยะเดียวกัน พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องพวกดั้งเดิมครับ แต่พระองค์ทรงสอนและรับรองว่าทางเหล่านั้นไม่ใช่ทางตรง ไม่ใช่ทางที่ไปนิพพานตามที่พระองค์สอนครับ
    สำหรับการอวตารนี้ เป็นอย่างนี้ครับ ตามธรรมดาก่อนนะครับไม่เอาอิทธิฤทธิ์เหนือวิสัยเราครับ การอวตารของพระนารายณ์ พระศิวะ ท่านทั้งสององค์เป็นจิตวิญญาณที่ฝึกฝนมาดีครับ ประกอบกับภพที่ท่านอยู่นี้คือ ภพเทวดาครับ เป็นส่วนที่อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในระหว่างสวรรค์ทั้งหก ไม่เกินชั้นพรหมครับ อายุเทวดาที่พระภิกษุบางรูป กล่าวว่าหนึ่งวันสวรรค์เท่ากับร้อยปีมนุษย์ครับ นี่น่าจะหมายถึงชั้นดาวดึงส์ ชั้น 2 นะครับ แต่มหาเทพไม่ได้อยู่ตามชั้นครับ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ระยะเวลาของท่านกับของเราแตกต่างกันมากครับ บางที่1000ปีมนุษย์อาจเป็นเพียงหนึ่งวันสวรรค์บางชั้นครับ ดังนั้น ผลแห่งความแตกต่างอันนี้ครับ สร้างสิ่งที่เทวดาทำได้มนุษย์ทำไม่ได้ครับ เพียงอึดใจเดียวของเทวดา เพียงงีบเดียวของเทวดา คือเวลาร้อยปีมนุษย์ครับ เทวดาไม่ใช่พุทธนะครับ มีหลับมีตื่น ส่วนพุทธะที่หลับที่ตื่นเพียงกลไกของร่างกายนะครับ ส่วนจิตตื่นตลอดเวลาแล้วครับ และเป็นการตื่นที่พิเศษต่างจากการตื่นธรรมดาอีกด้วยนะครับ มหาเทพที่อวตารแบบทั่วไปที่ปรากฏตามสัมผัสของพราหมณ์คืออย่างนี้ครับ พราหมณ์ผู้เข้าการหยั่งรู้ รู้ว่ามนุษย์ท่านนี้ คือองค์อวตาร สอง เมื่อบูชามหาเทพ มหาเทพก็ยังมาให้พรได้ครับ อ้าวอย่างนี้ แสดงว่าแบ่งภาค ความจริงแบบที่หนึ่ง คือ มหาเทพจุติมาโดยก่อนจุติ มหาเทพไม่ได้อยากละทิ้งอัตภาพมหาเทพ แต่ต้องการสืบต่อบารมีเป็นมหาเทพต่อ ในระหว่างไม่หมดบุญ มหาเทพกำหนดจิตจุติโดยอธิษฐานให้สภาวะเทพไม่ถูกจิตวิญญาณมาแทนตำแหน่ง หรือด้วยบุญตำแหน่งมหาเทพนี้ยังเป็นหรือยังปรากฏว่าเป็นของท่านที่จุติครับ ดังนั้น ร่างมหาเทพจึงไม่มีจิตวิญญาณอื่นมาก้าวก่ายครับ แต่มีวิญญาณบางส่วนที่เป็นองค์ของท่านสถิตอยู่
    สำหรับในช่วงเวลาที่ท่านจุติเป็นพระราม(สมมุติครับ) พระนารายหรือพระศิวะมาให้พรผู้บำเพ็ญ หรือมีผู้ถอดจิตไปหาเทพ ก็มองเห็นมหาเทพยังดำรงอยู่ครับที่วิมาน ส่วนคนทำตบะขอพร มหาเทพมาให้พรโดยมาปรากฏทางจิตสัมผัสอยุ่แล้ว ดังนั้น ก่อนจุติหรือหลังจากตายจากมนุษย์แล้ว(จิตกลับคืนสภาวะมหาเทพ) มหาเทพสามารถเพ่งจิตตรวจสอบได้ล่วงเวลามนุษย์ครับ คือ เทพในอนาคตสามารถมาให้พรมนุษย์ในอดีตของพระองค์ (เวลาปัจจุบันของคนนั้นพบมหาเทพในอนาคตหรืออดีต ส่วนปัจจุบันอัตภาพมหาเทพก็สถิตที่สวรรค์ ) สรุป ทุกคนเลยกล่าวว่า มหาเทพแบ่งภาคได้ 555
    วิญญาณบางส่วนกับการเกิด เป็นอย่างนี้ครับ สมมุติว่าคนหนึ่งใกล้จะเกิดแต่ว่าเนื่องจากทำบุญมาก ถ้าตายไปจะเกิดเป็นเทวดาครับ ปรากฎว่าในช่วงใกล้ตายวิมานก็ดี ร่างเทพก็ดีก็เริ่มสร้างแล้วครับ แต่จิตยังไม่ลง หรือกรณีเทวดาครับเมื่อคิดจะจุติครับ ด้วยผลบุญที่ทำให้เลือกเกิดได้ดั่งใจครับ แค่ตั้งจิตจะจุติก็เป็นเวลาคาบเกี่ยวที่ร่างกายอัตภาพมนุษก่อตัวครับมีแขนขาอวัยวะสมบูรณ์รอจิตลงเต็มดวงครับ แต่วิญญาณบางส่วนที่ดับไปก็ไปสืบเนื่องในกายใหม่ครับ วิญญาณขันธ์ที่เตรียมรอให้จิตมาผสมโรงนี่ ไม่อาจที่จิตอื่นจะลงได้ กรณีเด็กทารกในครรภ์ที่แท้งไปครับ จิตวิญญาณจะลงก็เตรียมการไว้แต่มีเหตุที่ทำให้จิตไม่ลงครับ ก็แท้งไปครับ ถามว่าทารกในครรภ์มีชีวิตไหม มีครับ มีจิตไหม อาจจะแค่บางส่วนครับ แต่วิญญาณมีครับ ในกรณีที่เวลามหาเทพต่างจากมนุษย์มากๆ จึงเป็นเพียงขณะจิตของมหาเทพครับ ร่างทิพย์ที่แตกดับไม่ปรากฎให้ตาธรรมดาเห็นครับ สมดั่ง เรื่องที่พระอินทร์ท่านหมดบุญแตกดับไปแต่บุญที่ทำกับพุทธองค์ทำให้เกิดเป็นพระอินทรือีกครั้ง แต่เนื่องจากระยะการแตกดับปรากฏแค่เลื่อมกันเร็วยิ่งกว่าช่วงเวลาสายฟ้า ก็เลยมองว่าท่านไม่ตายแล้วเกิดใหม่ แต่จริงๆ ตายแล้วเกิดใหม่ครับ ดังนั้น มหาเทพซึ่งจุติและมีอินทรีย์บารมีแก่กล้าย่อมมาจุติเป็นมนุษย์โปรดสัตว์และกลับไปเป็นมหาเทพและช่วงเวลาร้อยปีมนุษย์ ร่างมหาเทพที่แตกดับก็รอเกิดซ้อนกันที่เดิมในมิติเวลาสวรรค์และความทรงจำครั้งก่อนจุติและตอนจุติและตอนกลับมาเป็นมหาเทพก็สืบเนื่องอย่างรวดเร็วประหนึ่งมหาเทพไม่เคยดับครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ พราหมณ์ผู้ถอดจิตก็ดีเพ่งการหยั่งรู้ก็ดี ก็ยังเห็นเป็นมหาเทพองค์เดิม ประหนึ่งมหาเทพแบ่งภาคได้
    อย่างไรก็ตาม ความจริงแบบที่ 2 คือได้ยินมาว่า เทพธรรมดามีชายา1000องค์ สามารถร่วมอภิรมย์เหมือนเทพสามีอยู่กับชายาได้ทุกองค์ในเวลาที่เท่ากันในเวลาเดียวกัน ท่านจึงว่าเทพมีอัตภาพที่ทำได้ สามารถครับ อย่างนี้จะเรียกว่าแบ่งภาคไหมครับ ถ้าไม่ใช่จะเรียกว่าอะไร แล้วในเมื่อเทพธรรมดายังสามารถทำ 1000 ภารกิจ 1000 ร่าง ในเวลาเดียวกันเหมือนเป็นพันคน กะอีแค่ แบ่งภารกิจมาโปรดโลกมนุษย์สักร่างทำไม่จะทำไม่ได้ ส่วนที่ว่าวิธีทำแบบพิศดารนี้ มีแต่มหาเทพที่ทราบ กับพุทธองค์ครับ แต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นนะครับ ใครมีกำลังก็ทำไป พุทธองค์ต้องการให้คนเราทุ่มกายใจเพื่อหลุดพ้นจริงๆ มากกว่านะครับ การแบ่งภาคไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2015
  16. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559

    อ่านแล้ว มีบางช่วงเข้าใจยาก บางช่วงยกตัวอย่างอธิบายเข้าใจได้ดี จึงขอให้ช่วยอธิบายเพิ่มเติม เพราะงง ไม่เข้าใจ ดังนี้

    - มหาเทพสามารถเพ่งจิตตรวจสอบได้ล่วงเวลามนุษย์ครับ คือ เทพในอนาคตสามารถมาให้พรมนุษย์ในอดีตของพระองค์
    คำถาม เทพในอนาคตสามารถย้อนเวลาหาอดีต(ชื่อภาพยนตร์) ได้ใช่ไหมครับ หมายถึง กำหนดใช้อตีตังสญาณ แล้วไปกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในอดีตได้ใช่ไหมครับ

    - แต่วิญญาณบางส่วนที่ดับไปก็ไปสืบเนื่องในกายใหม่ครับ วิญญาณขันธ์ที่เตรียมรอให้จิตมาผสมโรงนี่ ไม่อาจที่จิตอื่นจะลงได้ กรณีเด็กทารกในครรภ์ที่แท้งไปครับ จิตวิญญาณจะลงก็เตรียมการไว้แต่มีเหตุที่ทำให้จิตไม่ลงครับ ก็แท้งไปครับ
    คำถาม คำว่า “วิญญาณ” ในประโยค “แต่วิญญาณบางส่วนที่ดับไปก็ไปสืบเนื่องในกายใหม่” หมายถึงอะไรครับ และคำว่า “วิญญาณขันธ์” ในประโยค “วิญญาณขันธ์ที่เตรียมรอให้จิตมาผสมโรงนี่ ไม่อาจที่จิตอื่นจะลงได้” หมายถึงอะไรครับ
     
  17. patdorn

    patdorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +227
    อวตารน่าจะแปลว่าได้เกิดใหม่ ส่วนการแบ่งภาคหลวงตาม้าช่วยตอบแล้วครับ เป็นวิสัยของผู้ได้ฤทธิไม่เกี่ยวกับเทพเจ้า ส่วนคนมีเซ้นต์แต่ละคนแต่ละระดับก็จะทราบไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน สำคัญตรงที่นำมาสร้างประโยชน์ก็น่านับถือครับ คิดว่าน่าจะเช่นนี้ครับ
     
  18. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    มหาเทพ เช่น พระศิวะ เป็นต้น เป็นผู้ที่บำเพ็ญจิตมาดีนะครับ อันสภาวะจิตนี้ของท่าน ที่หยั่งรู้อดีตอนาคต เป็นจิตที่มีกำลังมาก ไม่ใช่เพียงรู้อย่างเดียวนะครับ จิตนี้สามารถไปในอดีตอนาคตได้เลยทีเดียวครับ ทีนี้ การให้พรของเทพจะสำเร็จได้อย่างไรครับตามปกติ เอากรณีปัจจุบันคนฝึกตบะกับมหาเทพปัจจุบันที่ลงมาให้พร ท่านไม่ได้ลงมาด้วยอัตภาพร่างมหาเทพนะครับ ไม่ได้มาให้เห็นด้วยตาเนื้อของคนฝึกตบะครับ ถ้ามาแบบนั้น ต้องใช้พลังมากนะครับเพราะต้องใช้อิทธิฤทธิ์บรรดาลธาตุสี่ของโลกมนุษย์ให้แสดงให้เห็น ที่ท่านลงมาท่านใช้การเพ่งจิตครับ ร่างมหาเทพที่คนฝึกตบะเห็นจึงเป็นร่างทิพย์แต่ไม่ใช่อัตภาพมหาเทพบนสวรรค์ แต่เป็นกายทิพย์ละเอียดที่ซ้อนกับมิติโลกและในที่ๆ จิตของคนฝึกตบะเองก็เข้าถึงกายทิพย์ระดับนั้นครับ คล้ายการเข้าฝันของโอปปาติกะอื่นครับ ที่นี้การให้พรนั้น ปกติให้เฉพาะคนฝึกตบะที่ทำเหตุปัจจัยถึงนะครับ ถ้าคนฝึกทำรรไม่ถึงมหาเทพก็ช่วยไม่ได้ครับ คนทำมีทุนรอนขึ้นมาแล้วครับ ท่านจึงมาให้กำลังใจ อาศัยจุดนี้จิตของท่านจึงเหนี่ยวนำจิตของคนฝึกตบะให้ทำสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้เป็นทำได้ครับ พรจึงสำเร็จด้วยบารมีของมหาเทพและมาจากความเพียรและจิตของคนฝึกตบะด้วย ในเมื่อทราบว่ากลไกให้พรเป็นอย่างนี้ มหาเทพจึงไม่จำต้องอาศัยเทพเล็กเทพน้อยมาช่วยอ้างเป็นมหาเทพ เพราะบารมีที่จะเหนี่ยวนำจิตคนให้สูงขึ้นหรือมีพลังมากขึ้นเป็นบารมีเฉพาะที่ฝึกมา ดังนั้น ในช่วงเวลาที่มหาเทพจะจุติไปเป็นองค์อวตารและตั้งจิตจะกลับมาเป็นมหาเทพในภายหลัง ก็ย่อมทราบว่า คนทั้งหลายฝึกฝนตบะทำความดีเพื่อสำเร็จประโยชน์อันท่านจะต้องให้ความอนุเคราะห์โปรดด้วย ในเมื่อองค์มหาเทพจะไม่อาจให้พรได้เพราะจะประหนึ่งว่าพระองค์บรรทมอยู่ในช่วงอวตาร แล้วคนดีจะได้มีกำลังใจทำดีได้อย่างไรหากไม่มีการให้พร ดังนั้น เป็นกิจอันง่ายสำหรับท่านครับ เวลามนุษย์ไม่เกินร้อยปี สำหรับมหาเทพที่มีกำลังจิตมากนั้น การจะดูแลคนที่ทำความดี ทำตบะ พระองค์จึงสอดส่องจิตไปในหนึ่งร้อยปีกำหนดจิตให้วิ่งไปเหนี่ยวนำจิตของคนฝึกตบะล่วงหน้าได้ครับ หรือหากจะพิจารณาเพ่งจิตไปโปรดคนฝึกตบะในช่วงที่องค์อวตารอยู่หลังจากกลับมาจากอวจารก็ใช้หลักการเดียวกันครับ คือจิตคนเราทุกคนถ้ามันมีกำลังและควบคุมเป็นมันไปอดีตอนาคตได้ครับ สำหรับมหาเทพไม่ใช่แค่ส่งไปครับยังไปเหนี่ยวนำจิตคนอื่นได้ครับ เพราะการฝึกตบะจิตคนจะรับรู้ในมิติเล็กครับในสมัยพุทธกาลตอนพุทธองค์มีมารมาผจญ ถ้าเพ่งจิตมองอดีตด้วยมิติคนธรรมดา สิ่งที่เห็นคือ พุทธองค์นั่งเฉยๆครับ ไม่เห็นมีพญามารยกทวยเทพมารมาหรอกครับ ถ้าอยากเห็นแบบนั้น ต้องเข้าไปใช้ตาทิพย์ส่องอีกมิติครับ สำหรับผมเห็นว่า จิตไม่ใช่แค่เห็นอดีตอนาคตนะครับ ยังไปได้ด้วยครับ แต่ปัญหาที่ว่าจิตที่ไปในอดีตอนาคตแล่วจะใช้อิทธิฤทธิบันดาลให้เห็นแบบที่ผมพูด ไม่รับรองว่าจะทำได้นะครับ แต่ที่รับรองคือในเมื่อจิตทุกคนสามารถไปอดีตอนาคต จิตสามารถมาพบกันและสัมผัสกันได้ จิตคนหนึ่งปัจจุบันที่เข้าถึงสภาวะหนึ่งที่สามารถไปอดีตอนาคตแต่ควบคุมไม่เป็นจึงสามารถสัมผัสกับอีกจิตที่สามารถไปมาในอดีตและอนาคตได้ เมื่อมาพบกันได้ก็เหนี่ยวนำกันได้ครับ
    สำหรับกรณี การเกิดบางส่วนนะครับ เป็นอย่างนี้ คือ การที่เราจะเกิดใหม่ถ้าจิตไม่หลุดพ้นยังไงก็เกิดใหม่ครับ ทีนี้ ยกตัวอย่าง มนุษย์ไปเป็นเทวดาครับ ถ้าจิตแตกดับในขณะเป็นคนและทำกุศล จะเกิดเป็นเทวดา แตกดับเมื่อใดร่างกายเทวดาก็เกิดทันทีเพราะเป็นโอปปาติกะ เกิดทันที แต่ปรากฏว่าอัตภาพมนุษมันยังไม่ตายครับและบุญในฐานะมนุษมี หากเทวดาองค์นั่นแตกดับก็กลับมาที่ร่างมนุษย์ครับ ช่วงเวลาที่เป็นเทวดาที่แว่บเดียวก็จริง ร่างกายมนุษที่จิตแตกดับแต่องค์ของชีวิตมนุษย์ไม่ดับครับ ช่วงเวลาที่ร่างกายยังทรงอยู่นั่นธาตุขันธ์ยังไม่ดับครับ แต่จิตมันดับไปแล้วจริง ขันธ์ห้าที่เหลือยังไม่ดับ คนที่ตายไปเป็นเทวดาขณะหนึ่งจึงกลับมาได้เพราะเชื้อเก่ายังมีนั้นเอง กรณีอีกแบบครับโอปปาติกะตนหนึ่งจะเกิดครับ แสวงหาที่เกิดด้วยผลบุญและกรรมที่ไม่แน่นอนครับ กลายเป็นอาศัยเจตนาจะเกิดกลายเป็นเชื้อสืบต่อภพชาติครับ จิตเค้าก่อให้เกิดกรรมกับพ่อแม่มนุษ ร่างเค้าถึงพร้อมเกิด เป็นแม่ที่ตั้งครรภ์ เค้าก็จะดับจิตนี้ลงไปเกิดที่เด็กครับ แต่ปรากฏว่า เจ้ากรรมนายเวรเค้ามาตามครับจับเข้าไปสู่อบายเพื่อใช้กรรม ร่างทารกที่เกิดประกอบด้วยขันธ์5 เมื่อไม่มีจิตลง ก็ขาดความสืบเนื่องของธาตุลง เพราะเหตุว่าจิตไม่ลงแล้ว คือ โอปปาติกะนั้นไม่ได้ละทิ้งอัตภาพโอปปาติกะจิตจึงไม่ลงร่างทารก ทารกจึงแท้งครับ กรณีมหาเทพจุติแค่ช่วงเวลามหาเทพจะอวตารเพียงแค่ปรารถนา ช่วงเวลาที่ปรารุนาจะลงร่างกายทารกที่รองรับก็อุบัติด้วยผลแห่งบุญกรรมแล้วครับทารกขยับแขนขาเพราะจิตมหาเทพครอบลงครับจิตอื่นแทรกเข้ากายนี้เพื่อเกิดไม่ได้ครับเพราะกายทารกนี้เกิดจากบุญกรรมของจิตมหาเทพเท่านั่น เมื่อจิตมหาเทพจุติ ร่างกายอัตภาพมหาเทพจึงดับลงครับ แต่ว่าด้วยบุญบารมีที่ไม่มีดวงจิตอื่นมาครองตำแหน่งครับ บุญมหาเทพที่จุติจึงได้สร้างร่างมหาเทพขึ้นรอ หรือด้วยจิตที่มหาเทพอธิษฐานไว้ครับ เคยได้ยินไหมครับพระพุทธองค์กล่าวว่าใครมีอิทธิบาทสี่บริบูรณ์ผู้นั่นสามารถยังอัตภาพให้คงอยู่ได้ตลอดกัปป์ครับ เผอิญผู้ฝึกบารมีเป็นมหาเทพ และอัตภาพมหาเทพเป็นโอปปาติกะ การคงอยู่ของร่างมหาเทพในช่วง100ปีมนุษย์ จึงสมเหตุผลเพราะเวลาร้อยปีมันแค่แว่บเดียวสำหรับเทวดาระดับมหาเทพไงครับ เหล่าเทวดาที่บันเทิงกับกามภพ ย่อมไม่ทันเพ่งจิตตรวจสอบ ก็มองเห็นแค่มหาเทพงีบไปชั่วขณะ หรือบางทีไม่สังเกตเลย ส่วนพราหมณ์ที่ส่งจิตมาตรวจที่สวรรค์ก็จิตไม่ละเอียดพอที่จะจับการเกิดดับได้ก็คิดว่ามหาเทพยังอยู่
    อีกอย่างครับ จริงๆ ดวงจิตไม่มาไม่ไปนะครับมีแต่เกิด ตั้งอยู่ ดับไป ครับ ที่พูดว่ามา ไป จุติ เกิด ตาย คือ เล่าตามอาการที่ความคิดปรุงแต่งร้อยเรียงความสืบเนื่องนะครับ ดังนั้น โดยปรมัตถ์ดวงจิตมหาเทพดับไป จิตมนุษอวตารเกิดขึ้นสืบเนื่ิอง จิตนั่นเกิดและดับไปหลายดวงหาตัวตนไม่ได้ จนดวงจิตสุดท้ายขององคอวตารดับ ก็เหนี่ยวนำผลบุญกุศลทีั้งเก่าและใหม่ดับไป แล้วเกิดปฏิสนธิจนเกิดดวงจิตใหม่ ในอัตภาพมหาเทพที่ยังสถิตอยู่ จิตดวงใหม่รับเอาขันธ์ทั้งห้าแล้วสัญญาเดิมก็ไปยึดถือว่า อัตตาคือเราเป็นผู้ไปมา ไปจุติไปอวตารและกลับมา จริงดวงจิตประเภทเดียวลักษณะอย่างเดียว แต่สืบต่อมา แต่ไม่ใช่ดวงเดียวนิรันดร เป็นอนัตตาเช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2015
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    การอวตาร และการแบ่งภาค

    ทฤษฎีที่สอง อันนี้ ค่อนข้างพิศดารกว่าครับ และจัดว่าใกล้เคียงกับการแบ่งภาคตามแบบมหายานหรือฮินดูสมัยใหม่ครับ มาจากพระไตรปิฎกและประสบการณ์ของพระภิกษุครับ เป็นจริงได้หรือไม่ต้องพิสูจน์เอาเอง โดยทฤษฎีนี้พระโพธิสัตว์ต้องใกล้บรรลุครับ เคยได้ฟังมาว่า พระภิกษุผู้ใกล้นิพพานหรือนิพพาน จะพบองค์ธรรม พูดกับท่านเสมือนเป็นอีกคน แต่องค์ธรรมนั้นตอบว่า เราคือสติของท่าน ใช้แล้วครับ ผู้บำเพ็ญบารมีมามากจะมีองค์ธรรมประจำตน เวลาท่านจะเผลอทำอะไรผิดทาง องค์ธรรมจะมาเตือนสติ องค์ธรรมนี้ ไม่มีใครอธิบายเพราะผู้หยั่งทราบคือคนที่ได้ธรรมจริงๆ และบารมีธรรมที่สะสม เรียกว่า ธรรม แม้พระโพธิสัตว์จะจุติแล้วด้วยปัจจัยบุญและกรรมแต่ธรรมบารมีที่สะสมมาก็ปรากฎเป็นองค์ธรรมแก่จิตแล้ว องค์ธรรม ไม่ต้องอาศัยที่อยู่อย่างจิตที่ต้องรับขันธ์ ๕ เพราะเป็นองค์ธรรมที่เกิดจากเหตุปัจจัยของจิตที่กระทำกรรมมาดี ที่จะคอยคุ้มครองทั้งพระโพธิสัตว์และบริวาร ตลอดจนว่าที่เวไนยสัตว์ของท่าน ดังนั้น จึงเสมือนว่าแบ่งภาคได้ครับ เพราะองค์ธรรมเกาะเกี่ยวกับดวงจิต จึงแสดงแก่ดวงจิตต่างๆ ตามความเข้าใจของดวงจิตนั้น และเป็นทั้งฝากพลัง(เป็นกำลังใจและตักเตือนแนวทางได้) และให้ความคุ้มครอง(ลงมาปรากฏช่วยเหมือนอย่างเทพ) แต่ในเมื่อเป็นองค์ธรรมของพระโพธิสัตว์องค์ใด ก็จะปรากฏในลักษณะที่ให้สัตว์ทั้งหลายเข้าใจได้ว่าเป็นองค์ท่าน (ความจริงเป็นองค์ธรรมของท่าน) เข้าคำพระพุทธองค์ ที่ว่าตรัสว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรมครับ ก็ธรรมนี้จัดเป็นบารมีธรรมของพระโพธิสัตว์ จึงแสดงอาการเพื่อยังให้พุทธเกษตรสมบูรณ์ ดังนั้ีน ใครได้สัมผัสพระโพธิสัตว์องค์ใด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องพบพระโพธิสัตว์องค์นั้นจริงๆ แต่เพราะเราได้อบรมธรรมกับท่านมา ธรรมของท่านก็ย่อมมาโปรดเราเป็นธรรมดา เพราะเราย่อมสัมผัสเมตตาของท่านได้ เราก็ย่อมพบธรรมหรือองค์ธรรมของท่านได้ และองค์ธรรมนี้เข้าใจว่าเป็น ธรรม อย่างเดียวกันทุกที่ พระพุทธองค์จึงกล่าวว่าให้มีธรรมเป็นที่พึ่งครับ และถึงแม้องค์ธรรมจะเป็นอนัตตา แต่ก็มีปัจจัยมาจากการปะพฤติธรรมบารมีของพระโพธิสัตว์ย่อมปรากฏรูปลักษณ์ทางจิตแก่ดวงจิตปวงสัตว์เสมือนเป็นพระโพธิสัตว์เองครับและตามความเข้าใจของสัตว์แต่ละดวงจิตไปด้วย สัตว์ที่อยู่ในข่ายบารมีจะอยู่ภพภูมิใดก็จะพบองค์ธรรมนี้คอยสอนคอยเตือน และองค์ธรรมเป็นธรรมย่อมปรากฏได้ทุกที่ทุกเวลาจะพร้อมกันก็ย่อมได้ และสัตว์ในข่ายใดฝึกฝนมากับพระโพธิสัตว์นั้นมามากก็จะซึมซับและเกิดธรรมมาใกล้เคียงกันจนคนภายนอกเข้าใจว่าเป็นคนเดียวกันได้อีก ยกตัวอย่าง มีสามเณรที่ปฏิบัติธรรมตามจิตของพระภิกษุอย่างใกล้ชิด นอกจากจิตจะใกล้เคียงแล้วการเดินจงกรมก็ดี การพูดการเทศน์ก็ดี ก็จะคล้ายคลึง เสมือนพระโพธิสัตว์ทุกองค์สุดท้ายจะมีมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2015
  20. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    ลึกซึ้งดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...