ใครเคยมีอาการแบบนี้บ้าง นั่งสมาธิแล้วอยากแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟัง!

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 3 พฤศจิกายน 2013.

  1. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    หากผู้ปฏิบัติยังถอดถอนปล่อยวางจากขันธ์5 มิได้ฉันใด ก็ย่อมต้องเวียนว่ายหลุ่มหลงอยู่ในกระแสแห่งทุกข์จากกิเลสฉันนั้น.......
    โมทนา....
     
  2. Kaotok

    Kaotok สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +21
    เป็นเหมือนกันค่ะ แต่พอกำหนดว่า" อยากหนอ อยากหนอ" อารมณ์ที่อยากพูดอยากสอนก็จะหายไปเอง คือกำหนดรู้ตามปัจจุบันนั่นเอง
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อาการที่ท่านเจ้าของกระทู้ว่านี้ ไม่ใช้การทำจิตให้สงบ แล้วยกเรื่องมาพิจารณาครับ
    แต่เป็นอาการที่เกิดคำพูด คำสั่งสอน ต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะ โผล่ออกมาเรื่อยๆ จากตัวจิตเอง

    ต้นจิตของอาการนี้ คือ กิเลสตัวหนึ่งจากการติดชอบรสชาติของการฟังธรรมะ ประกอบกับ การถือตน คาดหวังตน ว่าตนเองดีแล้ว ปฏิบัติมาพอจะหวังได้ผลแล้ว ประกอบกับ การคาดหวัง คิดว่าตนเองจะต้องดีกว่าผู้อื่น

    เมื่อมันมีเชื้อตัวนี้อยู่ในจิตแล้ว ก็เหมือนกับต้นไม้ มีราก มีลำต้นแล้ว มันจะคอยแตกหน่อ ออกใบ ออกมาเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เรายังไม่รู้เท่าทันมัน

    จิตของผู้ที่สติน้อย จะไม่เห็นเท่าทันถึงกระบวนการนี้ หนำซ้ำยังไปให้อาหารเชื้อที่ว่านี้ โดยเข้าใจว่าเป็นเรื่องดีงาม เป็นการโปรดสัตว์ ทั้งหมดเป็นกระบวนการอัตโนมัติที่ทำไปเอง โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว เพราะไม่เห็นจิตตนเอง เพราะมีเบื้องหลังจากความไม่รู้ คอยชักนำ

    หากเห็นจิตตนเมื่อไหร่ กลับมามองข้างในจิต เห็นการทำงานของมันเมื่อไหร่ ก็พ้นจากอำนาจของมันได้เมื่อนั้นครับ
     
  4. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    1.อวด
    2.ไม่ผิด
    3.ต้องตรวจสอบโดยการถามผู้รู้(สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า)
    หรือลองเทียบอารมณ์พระอริยะ จาก หนังสือ ทางสายเข้าสู่พระนิพพาน
    4.ปฎิบัติธรรมตามปกติเดิม รักษาสิ่งที่ดีที่ทำได้แล้ว ไว้ให้ได้ แล้วปฎิบัติต่อจากเดิมครับ
     
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool: ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่คุณแสดง..คุณเอาประสบการตัวเองที่ไม่เคยฝึกผ่านทางนี้ แต่ไปผ่านทางดูจิต.. ของคุณมาวัดตรงนี้ไม่ได้หรอกครับ ประสบการณ์มันต่างกัน..การเรียนรู้จนจิตเกิดสมาธิแล้วธรรมที่เกิดนี่จึงจะผุดขึ้นมาเองได้และต้องเป็นไป ตามเหตุ-ปัจจัย ความรู้ที่ตนเองสะสมไว้ ในจิตด้วย สมาธิจิต เขาเกิดระดับหนึ่งแล้ว ..ตรงนี้ประสบการณ์คุณมีรึไม่ครับ ..คุณวิจารณ์เขาเสียหายเลยนะครับนั่น นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ ของผู้ฝึกใหม่
    :cool:จขกท. เขาตามสภาวะจิต ที่ทรงสมาธิจิตตั้งมั่นในธรรมที่เขาศึกษาอย่างจริงจัง เอาจริงทุกวัน ไม่หยุด ธรรมนั้นค่อยๆย้อมจิตใจเขา ทีละนิด ทีละหน่อย จนจิตเขาตั้งมั่นเป็นสมาธิเอง..ธรรมจึง ระเบิดออกมา เพราะธรรมที่มีเขายังเรียนไม่จบอีกมากากาย หลายบทบัญญัติ ต้องใช้เหตุผลแรงๆหรือด่าแรงๆให้โกรธก็จะหาย อย่างหลวงปู่ดุลย์ท่านด่า หลวงตาพวง เป็นต้น(หากจำชื่อไม่ผิด)
    เขาเพิ่งฝึกใหม่จะตามสภาวะนี้ไม่ทันทุกคนไป เหมือนกันทุกคน หลวงพ่อพุทธ ก็เทศน์บ่อยๆว่า ความรู้ใดที่สะสมไว้มันจะเข้ามารวมมาเกิดเองในจิตเมื่อเกิดสมาธิ เหมือนตอนสอบในโรงเรียนบางครั้งงก็เห็นข้อสอบในสมาธิเองเป็นต้น
    ..เหมือนหลวงปู่มั่น ท่านก็เทศน์สอนหลวงตามหาบัวว่า..ให้ยกธรรมที่ท่านมหาเรียนมาทั้งหมด เอาไว้บนหิ้งก่อน.. พอถึงเวลา เขาจะมาประกอบให้เจือสมกับที่ท่านปฏิบัติเอง..หลวงตาก็ยังเถียงกับหลวงปู่เรื่อง การเดินสัมมาทิฏฐิในสมาธิเพราะท่านติดสมาธิ ไม่ยอมเดินทางปัญญา..
    .. พออกเดินทางปัญญา ก็ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ท่านก็ด่าว่า..มันบ้าสังขารอีก มันบ้าสังขาร..เห็นไหมครับ นี่กิเลสร้ายแรงหรือครับ แล้วคุณทำได้อย่างเขารึไม่ มันเกิดง่ายๆรึครับ หากไม่ให้ฝึกสมาธิแล้ว..จะเดิน..สัมมาทิฏฐิที่ไหน..เห็นไหมครับ
    แล้วคุณอินทรบุตร มาเรียกว่าสิ่งที่เกิดนี่เป็นกิเลสมันก็ถูกแต่หนักไปไหมครับ วิจารณ์ซะไม่มีให้กำลังใจเขาเลย ไม่มีดีเลย มันไม่หนักไปหน่อยรึครับ
    มีประสบการณ์แค่ไหน ตรงกับเขาไหม หากไม่ตรงอย่าคาดเดาเอาเองซิครับ..เราแค่ให้ความเห็นและกำลังใจเขาในสิ่งที่เป็นไปได้และเป็นธรรมหน่อยครับ สิ่งที่เขาเกิดนั้น คือสมาธิจิต นะครับ คุณวิจารณ์ซะเหมือนเขาไม่รู้อะไรเลย-ทำมาผิดหมด สิ่งที่เกิดกับเขานั่น อย่างแรกเลย
    ศิลเขาต้องบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ จิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิ จึงจะเกิดเหตุนี้ได้ ธรรมจึงผุดขึ้นมาให้เขารู้ตัวเองแต่ห้ามจิตไม่ให้ อวดแสดงไม่ได้ นั่นเป็นกำลังสมาธิครับ นี่เป็นเรื่องปฏิหารสำหรับผู้ฝึกใหม่เลยนะครับนี่ วิปัสสนูกิเลสคู่กับวิปัสสนา ต้องใช้อุบายครูอาจารย์ท่านแก้ไข..ไม่ใช่เป็นกันง่ายๆครับ
    คุณเข้าใจอะไรผิดรึไม่ วิจารณ์เขาเสียหมด ไม่ให้กำลังใจเขาเลย..มันไม่ตรงกับประสบการณ์ที่คุณเกิดใช่ไหมครับ ..งั้นคุณหันมาดูผมซิครับ ผมนี่ฝาแฝดกับเขาเลยตามอาการที่เขาเล่ามา..ปัจจุบันผมคุยกับคุณรู้เรื่องไหมครับ ปราโมชโช.. ผมก็ใช้ภูมิธรรมผมนี่แหละจับผิดเขาได้..คงพอคุยกับคุณได้นะครับ มันเป็นธรรมชาติครับ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2013
  6. BobTL

    BobTL Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +79
    ...........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014
  7. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..ฮั่นแน่..เริ่มมาเป็นทีมเวอร์ค อีกแล้ว..อิอิ:cool:
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้าจะบอกว่าผมปฏิบัติมาแต่ดูจิตอย่างเดียว คงจะเข้าใจผิดแล้วหละครับ
    จริตดั้งเดิมของผมตั้งแต่ชาติก่อนๆ หนักมาทางสมาธิมาก แม้ในชาติปัจจุบันนี้ ก็เริ่มจากนั่งสมาธิ 3-4 ชั่วโมง เป็นพื้นฐานมาก่อน นั่งจนกระทั่งดับความรู้สึกของกายเนื้อหายไปทั้งหมดได้เสียก่อน ในช่วงนั้นก็เจออะไรกับตัวเองหลายอย่างนะครับ เมื่อเห็นว่ามันยังไม่ถึง จึงหันมาดูจิตแทนครับ

    เอ้อ ถ้าท่านสับสน สังเกตดูดีๆ นะครับ เมื่อก่อนผมก็จะ post กระทู้บอกเล่า ในความอัศจรรย์ที่ได้เจอในการปฏิบัติ แต่ปัจจุบันนี้เปลี่ยนแนวไปอย่างไร ลองพิจารณาดูครับ ไม่ใช่การถอยหลังเข้าคลองครับ
     
  9. Greenpleace

    Greenpleace เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2012
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +8,768
    ถ้าคิดดี ก็โมทนานะครับ

    แต่ถ้ามีสติรู้ขนาดนี้แล้ว ก็ดีแล้วละครับ เพราะธรรมเหล่านี้เป็นเรื่องเฉพาะตน
     
  10. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ข้อธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ล้ำลึกยิ่งเกินกว่าปัญญาของสรรพสัตว์ในสามโลกที่จะหยั่งถึงได้โดยง่ายต้องฝึกฝน ขบคิด บางครั้งความเข้าใจในตอนนี้เป็นแบบนี้ พอปฏิบัติไปถึงจุดนั้นกลับเปลี่ยนเป็นอีกแบบ กิเลสนี่มันร้ายมาก ฝังรากเง้าในจิตไว้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แล้วชักนำให้เรารู้สึกคิดเห็นตามที่มันปรุงแต่งให้ มีสามสิ่งที่จะทำให้เรารู้เท่าทันและหาทางกำจัดให้หมดสิ้นไปได้ คือ สติ สมาธิ ปัญญา หากเจอหนทางแล้วอย่าปราณีมัน ขจัดให้หมดสิ้นอย่าให้เหลือจากใจเรา ขออนุโมทนาครับ
     
  11. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ผมรับทราบ และเข้าใจคุณด้วยครับ แพที่คุณใช้ข้ามวัฏฏะ มันต่างกันกับเขาและผมที่เน้นสมาธิสมถะ..ผมรู้ว่าคุณมีคุณธรรมแน่นอน แต่อคตินี่ชักสงสัย สงสัยจริงๆ น่าจะไม่ผิดหากคุณกล้าโพสต์
    ประสบการณ์คุณสูงกว่าผมเยอะ ผมเองนี่ไม่เข็ดเรื่องมหัศจรรย์พันลึกก็เคยพบมามาก ชีวิตล่วงหน้าเคยนั่งสมาธิ เมื่อจิตสงบ ผมอธิฐานว่าขอเห็นอนาคตล่วงหน้า ว่าจะเป็นเช่นไรด้วยเงื่อนไข เหตุผล ที่ผมอธิฐานไว้ในใจว่าผมจะทำสำเร็จไหม..ผมก็เห็นนิมิตรมาหมด แล้วก็ค่อยเป็นจริงไปทีละอย่าง สองอย่าง ..ตามนิมิตรที่เคยอธิฐานขอดูล่วงหน้าไว้..จนบัดนี้แต่ก็ยัง..ยัง.ไม่หมดครับ
    :cool: บัดนี้ จนแล้วจนรอด ผมก็ยังไม่เชื่อมั่นในนิมิตรนั่นเลย และเชื่อในตัวเองเลย ทั้งที่นิมิตรที่อธิฐานได้เกิดขึ้น มาแล้วให้เห็น เป็นจริงไปแล้วเกินครึ่ง..
    จนบัดนี้ ผมก็ยังไม่ถึงเหตุผลตรงนั้น จิตมันยังไม่เชื่อ ทำไมไม่เชื่อ ทำไมยังไม่เชื่ออีก ทั้งที่ปฏิบัติมาเกือบทั้งชีวิต..อะไรทำให้ไม่ถึง"..ความเชื่อที่มั่นคงซะที"..ไม่ย้อนกลับแล้ว..
    คนที่มี สมาธิจิตอยู่แล้ว มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ไม่ชอบฝึกสมถะหันมาฝึกดูจิตเลยนั้นเยอะมาก..แล้วก็คิดเอาเองว่าดูจิตถูกต้อง..ไม่ใช่ฝึกแต่สมถะแม้แต่หลวงพ่อเทียน คุณไปหาอ่านหนังสือเก่าๆท่าน ก็ยังพูดในลักษณะการฝึกสมถะ เอาแต่นั่งสมาธิว่าเป็นสมาธิหัวตอ..ไปหาอ่านดูนะครับ ผมอ่านมาหมดแล้ว
    ..คุณคือหนึ่งในนั้นครับ ตามที่คุณโพสต์มา คุณลืมมองจุดที่สมาธิเกิดขึ้นแก่คุณมาแล้วระดับหนึ่ง จึงทำให้ดูจิตเห็นผล แต่เป็นดูจิต ของหลวงปู่ดูลย์ นะครับถูกต้องไม่ใช่ปราโมชโช ..ผมรับได้ พวกที่ฝึกดูจิต พวกที่เขามีพื้นฐานสมาธิจิตรองรับแล้วผมก้ฝึกอยู่ทุกวันครับ จะเห็นจิตได้เมือ่กำลังสมาธิ-สติ ต่อเนื่องเท่านั้น..ไม่ใช่ดูแผล็บๆแล้วปล่อยวาง เรื่องนี้ชัดเจนมาก
    หาก คุณเข้าเวปไปฟังธรรม วัดบุญญาวาส อจ.ตั๋น ศิษย์ลพ.ชา สาขาชลบุรี ฟังตรงถาม-ตอบ ญาติโยม ปี 2553-ไปนะครับ(k)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จะลองเข้าไปฟังตามที่บอกนะครับ
    ตัวท่านสับสนเอง ก็น่าจะถึงเวลาที่จะทำ "จิตเห็นจิต เป็นมรรค" แล้วนะครับ
     
  13. toseal

    toseal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +618
    เอ้านี่ผมมีแฝด ด้วยหรือนี่
     
  14. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ช่วงนั้นฝึก พุทโธ อยู่ในทุกอริยาบถ ตักน้ำขันหนึ่งพุท ขันหนึ่งโธ เดินขวาพุท ซ้ายโธ เรียกได้ว่าจะขยับไปไหนมีพุทโธเป็นอารมณ์ตลอด เมื่อว่างจากการงานภายนอกก็นำสติมารู้ลมหายใจ ฝึกอยู่ประมาณเดือนนึงครับ...มีความรู้สึกหนักแน่นในจิต มองสำรวจดูจิตตนเองไม่เห็นมี ราคะ โทสะ เิกิดเลยแม้แต่น้อย จึงสำคัญไปว่าเรานั้นไม่ธรรมดาแล้ว(ตอนนั้นยังโง่อยู่)

    แล้วทีนี้เวลาหลับฝันไป

    มันไปแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟังครับ(แอบภูมิใจ) จึงสำคัญไปว่าเรานั้นมีดีกรี แต่แท้จริงกลับเป็นการเพิ่มอัตตาให้สูงขึ้น(มารู้ที่หลังว่าเป็นสมาธินิมิต)

    คือตอนนั้นใครจะพูดอะไรไม่ได้เลย(เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา) แก้อารมณ์ให้ไม่ได้(ตอนนั้นจิตเริ่มไกลห่างจากพระรัตนตรัยมากแล้วโดยไม่รู้ตัว)...

    สุดท้ายต้องรู้ด้วยตนเองเท่านั้นครับ(เฉพาะตน) คือ อาจเป็นการโชคดีของข้าพเจ้าก็ได้ เพราะว่าเผลอไปทำผิดศีลเข้า จึงได้สติย้อนกลับมาดูตนเองใหม่ว่า เอ๊ะ นี้เรายังเลวอยู่นี่หว่า!

    จิตที่เคยหยิ่งผยองก็ค่อยๆอ่อนน้อมลงมา จนได้มาระลึกถึงพระรัตนตรัย และได้มาค้นพบด้วยตนเองว่า "ที่แท้การไหว้พระสวดมนต์อยู่เป็นประจำ เป็นอุบายอย่างดีช่วยให้จิตเราอ่อนน้อมไม่หนีเตลิดไกลห่างออกจากพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว"

    จากนั้นสภาวธรรมก็เปลี่ยนไป ธรรมะผุดที่เคยปรากฎทั้งตอนนั่งสมาธิและนอนหลับก็หายไป นานๆเกิดทีแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
    เพราะเราไม่ได้เข้าไปให้ความสำคัญกะมัน ^_^

    ไม่รู้ใครเป็นแบบนี้บ้าง? แล้วแก้ด้วยวิธิใด เหมือนกันหรือเปล่าครับ?
    (ไม่แนะนำให้ไปทำผิดศีลโดยเจตนานะครับ)

    ขออนุโมทนาทุกความคิดเห็นครับ สาธุ...
     
  15. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    เขาเรียกว่าวิปัสสนูกิเลส ฝึกไปนิดหน่อยแล้ว อยากสอนธรรมนี่แหละ ขึ้นมาแบบนี้ บางรายมีติดอารมณ์ด้วยจะขยันปฏิบัติขยันจงกรมนั่งสมาธิไม่แค่พูดแค่สอน(ผิดถูกว่ากันอีกที) และก็จะมีอาการแบบว่าหงุดหงิดง่ายด้วย แบบอยากให้คนอื่นฟังเรา เชื่อเราทำตามเรา กระสับกระสาย ตื่นตัวตลอดเวลา อย่างของหลวงพ่อพุทธยานันทะ(หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท) นั้นท่านเล่าว่าตอนนั้นอาตมาก็ขยันสอนมาก เพราะท่านสอนนักธรรมสอนบาลีด้วย ต่อมาท่านก็มารู้ว่านั้นแหละ เริ่มถูกวิปัสสนูกิเลสเล่นงานแล้วมันจะมาพร้อมคนที่พึ่งเข้าใจอารมณ์รูปนามใหม่ๆๆ(หลังจากที่เจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียนไปสักพัก)

    ปล.ในนี้เยอะพวกกูรูแต่รู้ไม่จริง เพี้ยนหลุดโลก วิปลาส คิดว่าตัวเองบรรลุธรรมพร้อมอำนาจวิเศษตั้งตัวเป็นอรหันต์ เป็นอ. คุรุ ศาสดา บ้าไปเลยก็มี
    อันนี้จริงๆๆท่านว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาคนปฏิบัติเป็นกันทุกคนก็ต้องไปหาครูกรรมฐานที่เขาให้คุณมานั้นแหละ เขาจะสอนวิธีแก้ให้(ต้องเป็นคนที่ผู้ปฏิบัติเชื่อใจและรู้ทันวาระจิต)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  16. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ทราบครับ..อนุโมทนาที่แนะนำ ผมเตรียมเสบียงและจัดการกับภาระบางอย่างอยู่..การฝึกดูจิต ต้องเข้าใจสภาวะตัวเองก่อนว่าปฏิบัติได้ถึงรึไม่และเราอยู่จุดไหน..และต้องเสริมอะไร..ผมได้ทราบปัญหาของผม ตามคำแนะนำของ..ท่านรโชหรณังแล้ว ตาสว่างแล้วครับ
    ทราบปัญหาแล้ว ขาดแต่ เวลาและสัปปายะสถาณที่..ต้องเอาจริง เอาจริง จริง ..ท่านอินทรุตร เข้าเวป ฟังธรรมดอทคอม..หรือเวป วัดบุญญาวาส โดยตรงเลย..
    พูดถึงท่าน อจ.ตั๋น ผมก็เพิ่งเคยฟังธรรมท่าน มาเมื่อ 2-3วันนี้เองครับ เคยเห็นหน้าตามรูป ชัดเจนก็2-3 วันนี้ในเนต รูปร่างท่านสวยงามเหมาะแก่สมณะนักปฏิบัติจริงๆ..ไม่อ้วนเอ้เต้เพราะอาหารเรปฏิกูร...สัคคีดี ฤษีผอม ทำนองนั้นแหละครับ..
    น้ำเสียง ที่ตอบปัญหา หนักแน่นมั่นคง มีพลังความมั่นใจที่แฝงเมตตาสูง เสียงจึงชัดเจน แข็งแกร่ง แต่ไม่โหด..เสียงไม่โหดไม่คาดคั้น แสดงถึงเมตตาท่านดีมาก (ความเห็นส่วนตัว) เราแสดงธรรม การเข้าใจธรรม เรียนธรรม ตัวใครตัวมันนะครับ:cool:
     
  17. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ความเห็นส่วนตัวนะครับ..
    ที่ จขกท.เล่ามานั้น อาการที่เกิด ทั้งหมด จะเกิดจากพฤติแห่งจิต..จิตเราเก็บสะสมอะไรไว้ ความรู้ ความตั้งใจ อย่างสูงสุดของเราในขณะปฏิบัติแต่จะมีอยู่จุดหนึ่งที่คุณโฟกัสจิต..ไว้ในจิตเลยคือ ต้องมีคุณธรรม มีศิลสูง (ตามสภาพที่ตั้งใจมั่นทำได้ขณะนั้น)
    ความตั้งใจมั่นตรงนี้นี่เอง(สมาธิมรรคมีองค์8 หากบริสุทธิ์มากๆ) ทำให้จิตคุณเป็นสาธิ คุณต้องเป็นคนจริง ตั้งใจเรียนรู้อะไรจริงๆทุ่มเทจนถึงขั้นหากศิลดี ยึดมั่นดี ไม่มีเพี้ยนครับ..หากปนเปื้อนจิตก็จะส่งอาการออกมาแบบปนเปื้อนก็มีครับ.. ไม่น่าตกใจเลยเป็นเรื่องที่ผมบอกแต่แรกแล้วว่า คุณตั้งจิตแต่แรกไว้บริสุทธิ์แค่ไหน..
    ..เป็นสัมมาทิฏฐิรึไม่-มากน้อยแค่ไหน อาการจิตก็จะแสดงออกมาเอง ตรงนี้สำคัญมากครับบางคนตั้งจิตผิด อยากเห็นหวยได้ฤทธิ์..นั่นจิตก็แสดงออกในทางนั้น เห็นไหมครับ ต้นคดปลายไม่มีตรง มากน้อยอยู่แต่แรกที่ตั้งใจไว้นั่น..อาการจิต(มิจฉาสมาธิ)
    ความตั้งใจมั่น ศิล จะเป็นตัวนำการถ่ายทอดพฤติแห่งจิตคุณออกมาเองหมดเลยครับ.
    วิธีแก้..ทำให้ต่อเนื่องเน้นศิลให้ละเอียดกว่าเดิม ..จิตคุณจะค่อยๆหมดกำลัง จิตคุณจะเสื่อมลง หากคุณผิดศิลบ่อยๆ..พระท่านแก้ด้วยวิธีอยู่กรรมครับ ศิลต้องละเอียดกว่าเดิมจึงจะเรียกกำลังคืนได้
    .เราแสดงธรรม ตามประสบการณ์ การไตร่ตรองธรรม เรียนรู้และเชื่อธรรม ตัวใครตัวมันนะครับ:cool:
     
  18. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=i9KzxU9hVSI]พระอาจารย์ตั๋น-ประตูแห่งมรรคผล - YouTube[/ame]
    "ประตูแห่งมรรคผลนิพพาน"
    พระธรรมเทศนาพระอาจารย์อัครเดช(ตั๋น) ถิรจิตโต
    วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี​
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..โอ๊ย..สะกดรอยธรรม ไม่มีคลาดเวลาเลย..พี่เสขะ ของผม จะหนีเอาตัวรอดคนเดียวอยู่เรื่อย..ยังไงก็ต้องรอผมก่อน รอผมด้วย สาธุ
     
  20. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090

    ๑. อาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ?
    ตอบ...ผมก็เป็นครับ นั่งสมาธิแล้วจิตนิ่งมีสมาธิ จิตเรามันไว ในสมาธิก็มีบ้าง
    ที่จิตลึกๆมันยังงุนงงในธรรมหลายๆประการ แต่ว่าเมื่อสภาวะจิตที่นิ่ง
    จู่ก็ได้คำตอบที่งุนงงมานาน แถมสมเหตุสมผลด้วย
    เขาเรียกว่า สมาธิมา ปัญญาเกิด ปัญญาในที่นี้ก็คือ
    ความเข้าใจในธรรมต่างๆ ที่ไม่เคยเข้าใจ หรือเข้าใจบางส่วน
    ให้ได้เข้าใจแบบลึกซึ้ง ผมเป็นบ่อยๆ เมื่อก่อนก็ศึกษาธรรม
    แต่ศึกษาและเข้าใจแบบตื้นๆ แต่มาได้เข้าใจลึกๆก็หลังจากที่
    ได้เริ่มฝึกสมาธิจริงๆจังๆนั่นเอง
    แต่ส่วนใหญ่ ธรรมที่เราเข้าใจได้เองนั้นๆ จะต้องผ่านการศึกษา
    และได้ยินได้ฟังมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจ
    ประมาณว่า ฟังธรรมวันนี้ ปัญญายังไม่พอ แต่ไปอ๋อในอีกหลายปีต่อมา
    แต่เราก็ดันลืมไปแล้วว่า ได้ยินได้ฟังมาตอนไหน จากใคร
    ก็ทำให้รู้สึกเหมือน ธรรมที่เราเข้าใจมันลอยมาตามลม ๕๕๕+



    ๒. ทั้งๆที่เป็นเจตนาดีหวังจะให้ผู้อื่นได้รู้ตามอ่ะนะ มันผิดด้วยหรือ?
    ตอบ... ไม่ผิดเลย แต่ว่าถ้าผู้ฟังเขาไม่เปิดใจรับ หรือไม่ได้อยากรับธรรม
    การที่เราไปยัดเยียดให้ มันน่ารำคาญ ดีไม่ดี จะโดนด่ากลับมาเสียอีก
    เหมือนการลงทุน ย่อมมีความเสี่ยง แต่เลือกเสี่ยงอย่างฉลาดได้
    การพิจารณาคนที่เราจะเทศนาธรรมให้ดีก่อน
    หยั่งคำถามเบาๆ เพื่อดูปฏิกริยาของผู้ฟังนั้นๆเสียก่อน
    ถ้าเห็นท่าไม่ดี ก็อย่าไปเทศนาเลย แต่ถ้าเขาตั้งใจฟัง ก็จัดไปสักชุดหนึ่ง



    ๓. อารมณ์ละเอียดมาก บางครั้งก็สำคัญตนผิดไป คิดว่าเราสำเร็จโน่นนี้นั่น ถึงขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว ฯลฯ จะแก้อย่างไรครับ?
    ตอบ...ผมเองก็คิดเสมอว่าตัวเองโสดาบันแล้วหรือยังหนอ วิธีพิสูจน์ก็คือการเข้าหาเรื่อง เข้าหาคนหมู่มาก เข้าหาสิ่งเร้า สิ่งกระทบ

    โสดาบัน ต้องจัดการกิเลสอะไรได้บ้าง ก็มี ๓ อย่าง คือ

    อย่างแรก คือ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในความดี
    "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป"
    หรือจะเป็นความลังเลที่จะให้ทาน รักษาศีล หรือภาวนา
    ว่าจะได้บุญจริงหรือไม่ อานิสงส์มีจริงไหม?
    ลังเลที่จะปฏิบัติตนด้วยอริยมรรค เพราะไม่แน่ใจว่าได้ผลจริง
    ไม่แน่ใจว่า ความพ้นทุกข์ หรือนิพพาน มีอยู่จริง
    ในข้อนี้ ผู้ปฏิบัติจะจัดการได้เป็นอันดับแรก
    เพราะผู้ที่เชื่อว่า บุญบาปมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    ถึงจะก้าวมาเป็นผู้ปฏิบัติได้ สังโยชน์(กิเลส)ข้อนี้
    ละง่ายที่สุด และทุกคน ละเป็นอันดับแรก

    ข้อต่อมา คือ สีลัพพตปรามาส
    คือการไม่เข้าใจในแก่นแท้ของศีล
    การปฏิบัติตามๆกันมา ไม่ได้รู้จริงว่าปฏิบัติทำไมเพื่ออะไร
    และการที่เอาศีลมาหากิน ด้วยความที่ยึดมั่นว่าตนเป็นผู้มีศีลสูง
    เช่น พระ เพื่อการนำพามาซึ่งลาภสักการะ
    พูดง่ายๆ สีลัพพตปรามาส คือการเอาศีลมาหากินนั่นเอง
    ทั้งๆที่ศีลมีไว้เพื่อสำรวมระวังตนให้ห่างจากกรรมชั่ว
    แต่เอามาสร้างกรรมต่ำทรามเสีย
    ผู้ที่จะละข้อนี้ได้ ก็คือผู้ที่รักษาศีลบริสุทธิ์
    ไม่ได้หมายถึงศีล ๕ เพียงเท่านั้น
    แต่หมายถึงกรรม ทั้งทางกาย วาจา และใจ
    ต้องไม่มีความคิดด้านลบ ไม่คิดเบียดเบียนใคร
    ไม่พูดจาอันนำพามาซึ่งความเบียดเบียนใคร
    ไม่กระทำการอันนำพามาซึ่งความเบียดเบียนใคร
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ที่ทำได้อย่างนี้ ถือเป็นผู้ที่บริสุทธิ์
    ย่อมไม่คิดร้าย ไม่มีลับลมคมไหน
    ไม่แสวงผลประโยชน์จากผู้อื่น
    ห่างไกลจากการเอาศีลมาหากินหลอกลวง
    ข้อนี้ก็ละได้ด้วยการฝึกสติ ควบคุมความอยาก
    อยากได้ อยากมี อยากเป็น
    เพราะแม้ความชั่วเล็กๆก็ต้องไม่หวั่นไหว
    ความเบียดเบียนจะใหญ่หรือเล็ก ก็คือความเบียดเบียน
    ละได้สนิท ก็ละสังโยชน์ข้อนี้ได้ ก็ไม่ยากเท่าไร

    ข้อสาม อันนี้สุดหิน เป็นกิเลสที่ละเอียด มีกำลังที่จะต้านจิตใจเราได้มาก
    คือ สักกายทิฏฐิ ความสำคัญตน สำคัญกายนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน
    ต้องคอยดูแลมัน ต้องบำรุงปรนเปรอมัน ต้องให้มันงดงามตลอดเวลา
    เรายังมีความคิดที่อยากจะแต่งตัว อยากให้ตนเองนั้นดูดีในสายตาคนอื่น
    ต้องแต่งตัวเท่ๆสวยๆ ทำผมหล่อๆทรงกระชากใจสาว
    ถ้าลดละความคิดเหล่านี้ ก็ถือว่าลด ทิฏฐิมานะ ในกายของตนไปได้
    เพราะสิ่งนี้สำคัญ ถ้าเรายังรักสวยรักงาม ดูแลตนเองจนเกินจำเป็น
    จะทำให้ปฏิบัติได้ไม่เต็มที่ เพราะจะมีความผวงในจิต
    เป็นปัจจัยที่ พระต้องโกนหัว และศีล ๘ ใน ๓ ข้อสุดท้าย
    ล้วนเป็นธรรมะเพื่อละสังโยชน์ข้อนี้ทั้งสิ้น
    แต่เพราะว่า มันไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ไม่ได้ผิดบาปอะไร
    จึงทำให้เราอาจมองว่าไม่ได้เสียหายอะไร ก็เลยไม่คิดจะละ
    หรือละเท่าไรก็ไม่สามารถละได้อย่างถาวรนั่นเอง
    ฉะนั้น เราพิสูจน์ได้ว่าเรานั้นละข้อนี้ได้หรือยัง
    ลองโกนผมดู แล้วใช้ชีวิตปรกติ เรามีอารมณ์เฉยได้หรือไม่
    ถ้ามีอารมณ์เกิดขึ้นในจิต ก็แสดงว่ายังละไม่ได้
    หรือถ้าเกิดตัวเรานั้นมีรอยแผลเป็น หรือมีแผลน่าเกลียดปรากฏชัด
    เป็นที่น่าอับอายต่อผู้พบเห็น เรามีความกระทบกระทั่งทางอารมณ์หรือไม่
    ถ้าเรายังกลุ้มใจ ยังอยากจะหายามาทาให้รอยหาย
    ก็แสดงว่า ยังมีสักกายทิฏฐิอยู่



    ๔. ท่านใดเคยเป็น หรือเคยผ่านอาการแบบนี้มาแล้ว(แก้ด้วยวิธีใด) หรือท่านใดที่กำลังเป็นอยู่(ยอมรับมาซะดีๆ) อยากฟังประสบการณ์จริงเพื่อเป็นธรรมทานครับ?
    ตอบ... เป็น และก็ยังเป็นอยู่
    แต่ก็พยายามที่จะละสังโยชน์อยู่
    วิธีแก้ก็บอกในข้างตนไปแล้ว
    สำหรับผม คิดว่าสักกายทิฏฐินี้คือศรัตรูที่ร้ายกาจที่สุด
    แห่งความเป็นอริยขั้นโสดาบัน
    ผมปฏิบัติมาเกือบสองปี มาถึง ณ จุดนี้
    ฝึกสมาธิแทบทุกวัน ศึกษาธรรมะอยู่เป็นนิจ
    คิดพิจารณา วิปัสสนา ตามความเหมาะสม
    จนได้พบข้อธรรมมากมาย
    สามารถบรรยายธรรม ยกตัวอย่างให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย
    ผมกล้าบอกเลยว่า โสดาบันนั้น...

    ผมก็ยังไม่ได้เหมือนกัน ๕๕๕+ อย่าไปคาดหวังเลย ทำไปเรื่อยๆ เมื่อไรก็เมื่อนั้น เรายังคาดหวัง ยังอยากได้อยู่ แต่เมื่อถึงเวลาที่เราบรรลุจริงๆ เมื่อนั้นเราอาจจะไม่สนใจแล้วว่าตนเองนั้นจะได้หรือไม่ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...