จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. classicguitar

    classicguitar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +140
    อยากฝึกบ้างจิตเกาะพระต้องทํายังไงขอท่านโปรดสั่งสอน:
     
  2. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209


    ยินดีต้อนรับครับ รอแปบนะคร้าบเดี๋ยวครูมารับ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    พยายามรู้ให้หมด อย่ายกเว้น

    โดยเฉพาะ ตัวกู นี่แหล่ะ ยิ่งต้องรู้ให้มากๆเลย

    มิได้สอน มิได้บอกกับผู้ใดนะ
    แต่กำลังสอนตนเอง กำลังบอกตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 ธันวาคม 2013
  4. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดี และ ยินดีต้อนรับค่ะ ก็ได้พบกับประชาสัมพันธ์หนุ่มน้อยหน้ามนคนโก้ของเราไปแล้ว..ส่วนคนเสริฟร์น้ำประจำกระทู้เราหายไปไหนหน๋อ...สงสัยหายไปกับงานรับปริญญาซะแล้วมั่งเนี่ย...อิๆๆ

    พอดีเลยค่ะ...ตอนนี้มีคนกำลังร้อนวิชา...โทรมาหาอาทิตย์ก่อนว่าอยากสอน...นี้เลยพระท่านจัดให้แล้วค่า...

    กรุณาส่งเมล์มาได้ที่ jaideejang_55@hotmail.com น่ะค่ะ เดี๋ยวเราจะ dream team ครูผู้ดูแลจิตคุณตลอดเส้นทางการเดินมรรคกลับบ้านพระนิพพาน...แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจในการปฏิบัติของคุณเองน่ะว่าจะไปกันได้ตลอดรอดฝั่งรึเปล่า...แล้วเจอกันที่เมล์ค่ะ:cool::cool::cool:

    ครูเกษ ธรรมมณี จบ.52
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2013
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การให้ธรรมมะ เป็นการแบ่งปัน แบ่งปันความสุขซึ่งกันและกัน

    -แบ่งปันธรรมะ เป็นการแบ่งปันปัญญา...

    -แบ่งปันธรรมะ เป็นการแบ่งปันความปรารถนาดี...

    -แบ่งปันธรรมะ เป็นการแบ่งปันการทางขึ้นสวรรค์...

    -แบ่งปันธรรมะ เป็นการให้ธรรมทาน...

    -แบ่งปันธรรมะ เป็นการสร้างคนดีให้ดียิ่งขึ้น...

    ...เพราะฉนั้นผู้ที่ให้ทุกอย่างด้วยความเมตตาปรานีและให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

    ...ก็จะได้รับความสุข และได้ทำให้ตนเองได้ฝึกฝน ตัวเองไปด้วย การที่ได้ทราบข่าว

    -ว่ามีน้องใหม่ คุณclassicgitar มีความสนใจในการฝึกปฏิบัติทางจิตเกาะพระ ผู้

    -เขียนมีความปิติดีใจมาก อยากให้เป็นญาติพี่น้องของเรา เข้ามาอ่านกระทู้แล้วเข้ามาเรียนรู้

    ...และนำไปปฏิบัติ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ คนเรานั้นบังคับกันไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเขา ก็ยังดีมีญาติทางธรรม

    ...อย่างคุณclassicguitar นี้ผู้เขียนขออนุโมทนาค่ะ ขอให้คุณมีความมั่นใจได้

    ...เลยว่าคุณได้เลือกทางถูกแล้วค่ะ ขอให้ความตั้งใจของคุณจงสำเร็จผลดั่งที่คุณได้

    -ตั้งใจโดยฉับพลันอย่าได้มีหมู่มานใด ๆ มาปิดกั้น ขอให้คุณมีดวงตาเห็นธรรมยิ่งๆขึ้น

    ...ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะและจะคอยติดตามข่าวทางกระทู้ค่ะ ขออนุโมทนา กับคุณครูเกตล่วงหน้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุอนุโมทามิ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2013
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ไปไหนไม่เท่ากับ ไปอยู่วัด

    ...อยู่วัดไหนก็ ไม่เท่าวัดที่ใจตัวเอง...

    ไม่ต้องไปวัดถึงเก้าวัด สิบวัด...เพื่อแสวงหาธรรม ไปแค่สามวัดก็พอ...

    ๑. วัดความดี-และความชั่วของตนเอง

    ๒. วัดอารมณ์ของตนเอง

    ๓. วัดศีลธรรมประจำใจของตัวเอง...ขอฝากไว้นะคะขอบคุณค่ะสาธุๆๆๆ
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...ผู้ที่มีสมาธิแล้วคำพูดมักจะศักดิ์สิทธิ์...

    ...สามารถที่จะโน้มน้าวจิตของผู้อื่นได้ ถ้กหากสมมุติว่าเราโกรธใครสักคนหนึ่ง

    อย่าไปแช่งเขา...ให้ทำสมาธิ ให้แผ่เมตตาให้เขามากๆ มันจะเกิดผลขึ้นมา

    ...๒ อย่าง อย่างหนึ่งเขามาดีกับเรา อย่างที่ ๒ ถ้าเขาไม่ยอมดีกับเรา เขาก็

    พังเองเราไม่ต้องไปแช่งเขา...ถ้าแช่งแล้วเราจะเป็นบาป...

    ...แล้วก็จะทำให้เราเสื่อมคุณธรรมด้วย...

    ...พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย น้อมรับพระธรรมคำสอนเจ้าค่ะกราบๆๆๆ.
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    คนส่วนใหญ่ใช้มโนมยิทธิในทางที่ผิด

    [​IMG]

    "ปัจจุบันนี้อาตมารู้สึกสงสารทุกคนมาก ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๙ ใช้ผิดกันหมด มโนมยิทธิมีคุณวิเศษเหลือเกิน ยิ่งกว่าแก้วมณีที่เป็นโคตรเพชรเสียอีก ประมาณราคาไม่ได้ มีคุณวิเศษตรงที่ว่าเราเกาะพระนิพพานได้ การที่จิตเราเกาะพระนิพพานเราเป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิงตอนนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ เราเกิดโทสะกระทบขึ้นมาอาศัยกำลังความเคยชินพุ่งใจขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน เกิดราคะกระทบใจขึ้นมาอาศัยความเคยชิน ความคล่องตัวในมโนมยิทธิขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกายเมื่อไม่มีใจคอยปรุงคอยแต่งมันไม่สามารถจะอยู่นานได้ อย่างเก่งนาทีสองนาทีมันก็เงียบ มันเหมือนกับหมดเชื้อ ไม่มีใครไปคอยใส่ไฟให้มัน ใจเราไปกราบพระอยู่ต่อหน้าพระ เป็นวิธีตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด สะดวกสบายที่สุด ตายตอนนั้นก็อยู่ที่นั่นเลย

    หลวงพ่อท่านใช้ความพยายามมาสิบหกอสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัปเป็นอย่างน้อย และจนกระทั่งในชาติปัจจุบันนี้ ปั้นผีลุกปลุกผีนั่ง อยู่หลายสิบปีกว่าจะหาวิธีที่ง่ายที่สุดมาให้ลูก ๆ ปฏิบัติเหมือนยังกับท่านเตรียมอาหารให้พร้อม ๆ ทุกอย่างแล้ววางอยู่ตรงหน้านี่ไม่ตักใส่ปากมันก็โหดร้ายกับพ่อเกินไป แล้วขณะเดียวกันตักแทนที่จะใส่ปากเอาไปละเลงหัวคนอื่นเขาก็มี ดังนั้นวิชาที่พ่อท่านให้ไว้ประเมินราคาไม่ได้ นับเป็นร้อยล้านพันล้านไม่ได้ แต่พวกเราเอาไปใช้สลึงเดียว เขาให้รู้เพื่อละและมุ่งตรงต่อพระนิพพานอย่างเดียว จิตเกาะนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่รวบรัดที่สุด ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว ถ้าหากว่ามันเคยชินกิเลสมันก็ขาดไปโดยสิ้นเชิงเองได้ง่าย ๆ เลย

    คราวนี้พวกเราก็เอาไปใช้ผิด ไปดูว่าชาติก่อนเป็นยังไง คนโน้นก็พ่อกู คนนี้ก็แม่กู นี้ก็ลูกกู นั่นผัวกู เมียกู สบายมาก แทนที่จะเลิก ไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ แทนที่จะละได้กลายเป็นกอดคอกันจมตายทั้งขบวน เห็นแล้วน่าสงสารมาก อยากจะบอกเหลือเกินว่าพวกเราใช้ผิด แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าวาระบุญมันยังเข้าไม่ถึง กรรมมันยังแทรกอยู่ ถึงบอกไปมันก็ไม่ฟังหรอก

    สมัยก่อนอาตมาก็ทำแบบนี้แหละ ใครให้ดูอะไร ดูให้เขาไปหมด พอเขาชมว่า แหม ! รู้ชัดเจนแจ่มใสดีจัง เก่งอะไรอย่างนี้ มันพอง มันอยากจะลอยทั้งตัว ลอยไปลอยมา หลวงพ่อตีกบาลร่วงตุ๊บเลย คือวันหนึ่งมันถึงวาระแล้วเข้าไปที่บ้านสายลมเพื่อทำหน้าที่ คืนนั้นหลวงพ่อท่านทศน์ว่าบุคคลที่สามารถทรงกรรมฐาน ๔๐ ได้ ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือว่าวิชา ๒ ห่างนรกแค่ขอบนิ้วกั้น กั้นอย่างนี้นะไม่ใช่กั้นตามยาว ได้ยินเข้าเหงื่อหยดเลย ขนาดทรงกรรมฐานได้ตั้ง ๔๐ กองก็ไม่พ้นนรก ถ้ายังตัดกิเลสไม่ได้

    แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า วิธีที่จะพ้นมีวิธีเดียว คือ ต้องเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แล้วท่านก็เทศน์ต่อไปว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร บอกให้เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ให้ตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ คิดว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน ง่ายแค่นี้แหละ ง่ายจนนึกไม่ถึง แล้วพวกเราก็ทำเลยไปทุกทีมันง่ายเกินไปเดี๋ยวคนเขาจะไม่ชมว่าเก่ง ก็เลยก้าวผ่านของดีไป

    หนังสือหลวงพ่อทุกเล่ม เทปหลวงพ่อทุกม้วน ลองไปอ่านดู ฟังดู เราจะได้อะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอ จะเป็นจุดที่สะดุดหูเราอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นอ่านแล้วไม่เจอ ฟังแล้วไม่ได้ยินเพราะว่าเราทำถึงตรงไหนกำลังมันจะจดจ่ออยู่ตรงนั้น พอหลวงพ่อ กล่าวถึงตรงนั้นมันก็จะกระทบใจเรา กระทบตาเรา แต่ถ้าเรายังทำไม่ถึงมันก็จะเลยไปเฉย ๆ ดังนั้นตำราอย่าทิ้ง โดยเฉพาะตำราของหลวงพ่อ ตำราของหลวงพ่อแทบจะทั้งหมดท่านแทรกวิปัสสนาญาณไว้เกิน ๘๐ % ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาเอง อ่านแล้วฟังแล้วตัดสินใจตามไปได้เลย ได้ประโยชน์ล้วน ๆ ถ้าเราไปพิจารณาเองบางทีปัญญามันไม่ถึง นึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำไปว่าจะนึกต่อยังไง

    ดังนั้นภายในพรรษานี้ อยากจะให้พวกเราเคี่ยวเข็ญตัวเองให้มาก ๆ เข้าไว้ ขี้เกียจมานานเต็มทีแล้ว ขี้เกียจจนพ่อตายไปทั้งองค์แล้ว มันจะขี้เกียจต่อจนอาตมาตายไปอีกก็เกินไป ขยันขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ให้มีไฟขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ไม่ต้องไปเกรงใจว่ากิเลสมันจะเศร้าหมอง ตีมันให้ตายไปเลย มันตายเมื่อไรเราก็สบายเมื่อนั้น ถ้ามันยังอยู่เมื่อไร ก็บังคับเราต่อไป กลายเป็นทาสของมันต่อไป พ่อสอนอย่างไร พระทำอย่างไร เพราะที่เป็นพระโยคาวจรอยู่ก็ทำอย่างนั้น

    ท่านเคยอบรมพระ ท่านบอกว่าพวกแกไปไหนก็บอกว่าท่าซุง ๆ แกเอาซุงดี ๆ หรือซุงผุ ๆไปอวดเขา ถ้าซุงผุ ๆ ไปอวดเขาก็ขายหน้าพ่อใช่ไหม? มันต้องเอาซุงดี ๆ ไป หรือถ้ามีฝีมือก็แกะสลัก เป็นเรือสุพรรณหงส์ไปเลย ถ้าทำได้ยังงั้นพ่อจะดีใจมาก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้ว หลวงพ่อท่านก็บอกไว้แล้วว่า ถ้าเราไม่ทิ้งอภิญญาสมาบัติท่านก็จะอยู่กับเราตลอดเวลา ลูกอยู่ไหนพ่อก็อยู่ด้วยพร้อมจะช่วยลูกทุกประการท่านบอกไว้ชัดแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะใช้ผิดหรือไม่ก็โดนกิเลสหลอกแล้วก็ไปทำอย่างอื่นแทน"

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 ธันวาคม 2013
  9. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=jjmvpvw00qc]งานสมโภชยอดฉัตรพุทธคยา - YouTube[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8brw5RX1Uxs]ขอเชิญร่วมสวดมนต์บทพุทธคุณ : การยกยอดฉัตรทองคำ - YouTube[/ame]
     
  10. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Wlcqpp7Q6Go]ธรรมเป็นสุข ตอน มหากุศล หุ้มทองคำยอดฉัตรเจดีย์พุทธคยาPart01 - YouTube[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=XyNTSQqb3pM]ธรรมเป็นสุข ตอน มหากุศล หุ้มทองคำยอดฉัตรเจดีย์พุทธคยาPart02 - YouTube[/ame]
     
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ;41ขอขอบคุณ และ ขออนุโมทนาบุญด้วยอย่างสูง กับคุณ naproxen ค่ะ ที่ได้นำ VDO งานสมโภชยอดฉัตรพุทธคยา มาแชร์ให้ได้รับชมรับฟังกัน...นั่งดูๆ ไป ก็กล่าวสาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่าน ที่ได้ไปร่วมงาน โดยเฉพาะตอนกล่าวคำถวาย ได้น้อมนำจิตกล่าวตาม...อีกแล้วววว...ร้องไห้น้ำตาไหลจากจิตที่สัมผัสได้ถึงพลังแห่งความเมตตาอันมหาศาลของพระพุทธเจ้าอย่างหาที่สุดประมาณมิได้ ที่มีต่อลูกและมวลมนุษยชาติ ลูกจะขอเดินตามรอยพระบาท และลูกจะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อหน้าพระพักต์เมื่อกาลก่อนโน้นให้ถึงที่สุดในชาติสุดท้ายนี้ สาธุ สาธุ สาธุ

    ปล. เสียดายที่ VDO ตัดออกเยอะไปหน่อย...หากใครมี VDO ฉบับเต็ม ช่วยกรุณาโหลดลงยูทูปด้วยน่ะค่ะ จะเป็นประโยชน์อย่างมากค่ะ...อานิสงค์แรงกว่ากันเยอะ ขอบอก...:cool::cool::cool:
     
  12. เกียรติ_K

    เกียรติ_K เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +139
    ทุกอย่างคือธรรมะ ใบไม้แห้งก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือความไม่เที่ยง ในความไม่เที่ยงก็คือทุกข์ ในที่สุดก็สลายตัว สุข ทุกข์อยู่ที่เราเอาจิตเราไปผูกพันของไม่เที่ยง เมื่อเรามองทุกอย่างเป็นธรรมะคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์และก็สลายไป จนยอมรับได้เป็นปกติ จิตของเราก็จะเป็นคนของพระนิพพาน

    พระธรรมะโอวาทสมเด็จพ่อองค์พระปฐมต้น
     
  13. เกียรติ_K

    เกียรติ_K เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +139
    เมื่อยังมีคำว่าตัวเราของเรา เมื่อนั้นก็ยังมีภพมีชาติ
     
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    รูปกับนาม

    ถาม: พอดีฝึกเกี่ยวกับรูปและนาม

    ตอบ : ฝึกอะไรไม่ได้มีสาระสำคัญ มันสำคัญตรงที่ต้องทำจริงจังและสม่ำเสมอ อย่าไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ ให้สังเกตว่าถ้าเราเว้นระยะไปช่วงหนึ่งก็คือทิ้งมัน หลังจากนั้นถ้ามาทำใหม่มันจะยากกว่าเดิม เพราะใจมันไปฟุ้งซ่านเสียแล้ว

    ในเรื่องของการกำหนดรูปกับนามมันก็เท่ากับว่าเอาสติรู้อยู่กับปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตาดู หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด มันแบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนที่สามารถสัมผัสถูกต้องได้ชัดเจน รู้เห็นได้ เขาเรียกว่ารูป ส่วนที่ไม่สามารถสัมผัสถูกต้องชัดเจน รู้เห็นได้ เขาเรียกว่านาม แล้วเราก็จะเห็นว่าจริง ๆ มันไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา มันก็สรุปลงตรงท้ายเหมือนกันว่าไม่มีอะไรเหลือ

    พิจารณาบ่อย ๆ ให้ใจมันยอมรับ และเชื่อจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ สักแต่ว่าเป็นรูปเป็นนามเท่านั้น เมื่อสักแต่ว่าเป็นรูปเป็นนาม สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสภาพของมันเช่นนั้น ฉะนั้นถ้าหากว่าบางสิ่งที่ชวนให้เกิดโทสะมันก็จะไม่เกิด เพราะเห็นว่าสภาพแท้จริงของมันเป็นอย่างนั้น สิ่งใดที่ชวนให้เกิดโลภะมันก็ไม่เกิด สิ่งใดที่ชวนให้เกิดราคะมันก็ไม่เกิด ในเมื่อรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง มันก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ หาทางหลุดพ้นไปจากมัน

    เรื่องของรูปนามมีอาจารย์อยู่ท่านหนึ่ง คืออาจารย์ประเสริฐ วัดเพลงวิปัสสนา ไม่ทราบเหมือนกันว่ารู้จักกันหรือเปล่า ท่านจะชำนาญพวกนี้มาก อาจารย์ประเสริฐท่านใฝ่รู้ท่านพยายามไปศึกษาสายอื่นด้วย แล้วบางอย่างที่สายรูปนามอธิบายได้ไม่ชัด อาจารย์ประเสริฐจะอธิบายได้ชัดกว่า ท่านอยู่วัดเพลงวิปัสสนาที่บางกอกน้อย ถ้ามีโอกาสแวะไปหาท่านได้

    การละขันธ์5

    ถาม : การที่จะละขันธ์ ๕ ได้
    ตอบ : เห็นว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา จะแยกเป็นธาตุ ๔ ก็ได้มันละเอียดดี แต่ถ้าเราถนัดแยกแค่รูปกับนามก็ได้ เพราะรูปก็คือร่างกายที่เราเห็น ส่วนเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็คือนาม

    แต่ว่าถ้าหากละเอียดไป...ละเอียดไปแล้วจะมั่ว เพราะมันมีทั้งนามในรูป ทั้งรูปในนาม ยุ่งกันไปหมด อันนั้นมันจะเป็นพวกที่ศึกษาอภิธรรมขั้นสูงเขาเรียนกัน แต่อาตมาอยากจะบอกว่าเรียนเกิน คือถ้าเราเห็นว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ถอนความยินดีความพอใจจากมันออก มันก็จบแล้ว ลักษณะนั้นมันเหมือนกับว่าตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเล ทั้ง ๆ ที่เรากินปลาตัวเดียวก็พอแล้ว

    ถาม : เหมือนกับว่าเรานึกคิด แต่มันยังไม่ได้ละ
    ตอบ : ความนึกคิดก็ส่วนความนึกคิด การรู้เห็นส่วนการรู้เห็น อย่าลืมว่า การคิดพิจารณาทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องรูปนามมันก็ต้องเป็นความนึกคิดประกอบ คือเป็นส่วนของสัญญา จำได้ก่อน หลังจากที่พิจารณาบ่อย ๆ มันจะเป็นปัญญาก็คือยอมรับ

    ถาม : เหมือนกับปัจจุบันที่ทำให้เกิดการเกิดดับได้
    ตอบ : ถูกต้อง เมื่อเรารู้เห็นการเกิดดับแล้วเราทำอะไรต่อไป

    ถาม : ก็ไม่ต้องทำอะไร ก็ดูต่อไป ดูให้เห็นความเกิดดับที่แท้จริง
    ตอบ : ถ้าเกิดว่าเราเห็นไฟไหม้บ้านอยู่ เสร็จแล้วเราก็นั่งมองเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ

    ถาม : จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นธรรมชาติที่มันเกิด
    ตอบ :ใช่

    ถาม : แล้วเรายอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอมันเกิดทุกข์ เพราะเราไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น

    ตอบ :ใช่ คราวนี้ในลักษณะที่เราทำก็คือว่า เราเอาการรู้เห็นนั้นมาใช้ในการพ้นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่ไม่เอาไปทำอะไร

    ถาม : สิ่งที่เราเห็นนั้นคือว่า เราทำอย่างไรที่จะให้เราอยู่กับปัจจุบันให้ได้ แล้วยอมรับความเป็นจริงนั้น เหมือนเราแยกกายกับจิต ให้เกิดการยอมรับ ซึ่งคนที่เป็นทุกข์เพราะไม่ยอมรับความเป็นจริงนั้น

    ตอบ : ใช่ คือไปดิ้นรนมัน แต่ว่าในลักษณะของเราที่ว่าทำนี่ ในเมื่อมันถึงวาระสุดท้ายของมัน ถ้าหากว่าจิตมันปลดออกจากการยึดเกาะทั้งหมดจริง ๆ แล้วความรู้สึกที่มันเข้ามามันจะเป็นอะไร เรายังก้าวไม่ถึงตรงจุดนั้น เราก็ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการหยุดอยู่กับปัจจุบันเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่ว่าจะไปอดีตหรือจะไปอนาคตมันเป็นการสร้างทุกข์ให้ตัวเองทั้งนั้น เหมือนกับว่าไปคิดให้มันทุกข์เป็นการซ้ำเติมตัวเอง แต่ว่าการที่เราหยุดอยู่กับปัจจุบันนั้น ถ้าหากว่าเราเอาแต่พิจารณาตามดูตามรู้อยู่อย่างเดียว ถ้ากำลังมันไม่พอ สังเกตไหมว่าเราเลิกเมื่อไหร่มันก็รัก โลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม

    ถาม : เราเห็นว่าตราบใดที่เรายังมีขันธ์ ๕ อยู่ ขันธ์มันก็ทำตามหน้าที่ของมัน
    ตอบ : มันทำตามปกติ

    ถาม : แต่จิตเป็นตัวที่รู้อยู่ว่า สิ่งที่เป็นปัจจุบัน สิ่งที่รู้อยู่ว่ามันเป็นอย่างไร แล้วจิตก็เข้าใจในสิ่งที่อยู่ตรงนั้น แล้วยอมรับในสิ่งที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น
    ตอบ : ลักษณะของการยอมรับของเรา สมมติว่าเราเห็นเด็กเขาทำข้าวของเสียหาย ขว้างแก้วแตกกระจายไป ๑ ใบ เรายอมรับว่ามันเป็นธรรมดาเป็นปกติของเด็กที่ต้องทำอย่างนั้น เราไม่โกรธเด็ก แต่เราจะแก้ไขไหม

    ถาม : ก็ต้องสอนเขา แต่แก้วที่แตกไปแล้วนี่มันเกิดขึ้นแล้ว เราต้องยอมรับว่ามันเกิดแล้ว ถ้ายอมรับมันไม่ได้ ใจเราก็เป็นทุกข์ ถูกไหมคะ
    ตอบ : ถ้ามาอย่างนี้ถูกทาง ทำต่อได้เลย เพราะว่าคนเราที่มีปัญญาจะต้องแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างให้มันบรรเทาเบาบางลงมากที่สุด ไม่สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เรา ไม่ว่าด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ แต่ว่าในส่วนใดก็ตามที่ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเรายอมรับมัน เพราะฉะนั้นที่โยมว่ามานี่ทำต่อไปลักษณะนั้นได้เลย ถูกทางแล้ว

    ที่ถามก็ต้องการจะรู้ว่าสิ่งที่เราทำมา นำมาใช้ประโยชน์จริงได้หรือไม่ ขณะเดียวกันว่า มันจะมีอยู่ระยะแรก ๆ ที่ถ้ากำลังใจมันยังไม่พอ สติสมาธิมันยังไม่มั่นคง มันจะห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ รู้ไม่เท่าทันมัน มันก็จะไปปรุงกับมันทันทีเหมือนกัน ตอนนั้นก็ต้องเบรกกันอุตลุด

    ถาม : สิ่งที่เห็นขึ้นในขณะจิตเดียว มันเห็นปุ๊บมันจะเกิดความรู้สึกปุ๊บ มันโกรธปุ๊บแว้บหนึ่ง แล้วมันก็วาง
    ตอบ : ถ้าไม่ไปยินดี....มันก็ยินร้าย การปฏิบัตินี้ให้มันไปต่อไปอีกจ้ะ ถ้าหากก้าวต่อไปอีกขั้นหนึ่ง มันจะรู้สึกไม่ยินดีด้วย แล้วก็ไม่ยินร้ายด้วยกับทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้น มีแต่ว่าจะแก้ไขเหตุการณ์ทุกอย่างให้เป็นไปให้ดีที่สุดอย่างไรเท่านั้น ถ้าเต็มที่เต็มสติปัญญาเต็มกำลังของเราแล้วแก้ไขไม่ได้ ก็จะยอมรับว่าสภาพของมันต้องเป็นอย่างนั้นเอง ฉะนั้นอีกขั้นเดียวเท่านั้นจ้ะ ถ้าหากว่าก้าวถึงมันก็จะไม่ไปปรุงแต่งยินดียินร้ายกับอะไรแล้ว

    ถาม : ใช่ค่ะ ที่เราเห็นก็คือว่า มองเห็นให้รู้ในสิ่งที่มันเป็น
    ตอบ : ถ้าหากว่าหยุดอยู่กับปัจจุบันก็มีความสุขมากแล้วจ้ะ เพียงแต่ว่ามันยังไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง ก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ให้ทุกอย่างมันเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมดาของมัน ยกขึ้นได้ วางลงได้ ปล่อยได้ วางได้ไม่ยึดไม่ถืออะไร ก็สบาย

    ที่ถามนี่จริง ๆ ก็คือแค่ต้องการให้รู้ว่า เราปฏิบัติแล้วเอามาใช้จริงได้ไหม ถ้าหากว่าแยกแยะได้อย่างที่เมื่อครู่ว่ามา ถือว่าสิ่งที่เราทำมาถูกทางและใช้ได้

    ถาม : ต้องเพิ่มอะไรไหมคะ
    ตอบ : ไม่ต้องเพิ่มอะไร อยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่า แล้วหลังจากนั้นถ้าหากกำลังมันพอมันจะก้าวข้ามไป จากการที่ยังยินดียินร้ายอยู่แล้วค่อยไปดับมัน ก็จะไม่ยินดียินร้ายกับอะไรแล้ว ถ้าถึงเวลานั้นก็จะสบาย


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม วัดท่าขนุน

    ถาม-ตอบ ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2013
  15. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  17. korn95

    korn95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +2,226
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2013
  18. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  19. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    วิญญาณธาตุเป็นอย่างไร คืออะไร

    [​IMG]


    หลวงพ่อฤๅษี ท่านเมตตามาสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. วิญญาณธาตุ หมายถึง ระบบประสาทสัมผัสทั้ง ๖ อายตนะ ๖ หรือประตูทั้ง ๖ ของร่างกาย อันมีระบบประสาทรับรู้ของตา - หู - จมูก - ลิ้น - กาย โดยมีใจหรือจิตเป็นผู้รับรู้ (สมองเป็นหนึ่งในอาการ ๓๒ ของร่างกาย เป็นศูนย์รับระบบประสาทสัมผัสของร่างกาย ซึ่งทำงานของมันอยู่เป็นปกติ เกิดดับๆ อยู่เป็นสันตติธรรม ผู้ที่ไปรับรู้เรื่องของสมองก็คือจิต จะเห็นได้ชัดเจนตอนร่างกายถูกดมยาให้สลบ หรือใช้ยาสลบ ร่างกายทุกส่วนก็สลบ รวมทั้งสมองด้วย แต่จิตไม่สลบ ยังคงรู้อยู่เป็นปกติ มิได้สลบตามร่างกาย จุดนี้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ขั้นสูงเท่านั้น จึงจะรู้และเข้าใจได้)
    ๒. วิญญาณธาตุตัวนี้แหละเป็นตัวสร้างอารมณ์สุข (พอใจ) สร้างอารมณ์ทุกข์ (ไม่พอใจ) ให้เกิดแก่ร่างกาย
    ๓. บุคคลใดเอาจิตไปเกาะอารมณ์ทั้งสองแล้วหลงคิดว่า สุข-ทุกขเวทนาของกายนี้มีในเรา เป็นของเรา (เราคือจิตไม่ใช่กาย) มีในเขา เป็นของเขา แต่พอร่างกายมันตาย อารมณ์เหล่านี้ซึ่งเกิดจาก วิญญาณธาตุ ก็ตายไปพร้อมกับกาย
    ๔. แต่จิตไม่เคยตาย จิตเป็นอมตะ ผู้ตายคือร่างกาย พร้อมวิญญาณธาตุ อันตรายอันใหญ่ยิ่งอยู่ที่จิตไปยึดเกาะติดวิญญาณธาตุ เกาะอารมณ์สุข-ทุกข์ว่าเป็นเราเป็นของเรา เอาเวทนาของกายมาเป็นเวทนาของจิต นี่แหละคือตัว สักกายทิฎฐิ ตัวอวิชชา
    ๕. เพราะแยกกาย - เวทนา - จิต - ธรรม ให้ออกจากจิตไม่ได้ สักกายทิฎฐิก็ตัดไม่ได้เช่นกัน

    (ขออธิบายสั้นๆ ว่า กาย - เวทนา ๒ ตัวแรก เป็นเรื่องของร่างกาย กายหรือรูปกายปกติของมันก็ เกิดดับๆ เป็นสันตติธรรม เป็นปกติของมัน เวทนาอาศัยกายอยู่ เมื่อกายเกิดดับๆ เวทนาก็ย่อม เกิด - ดับๆ ตามกาย ๒ ตัวนี้ต้องมีสติกำหนดรู้อยู่เสมอ หากไม่กำหนดรู้ มันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ของกายไม่เกี่ยวกับจิต ต้องกำหนดรู้ตลอดเวลา)

    ส่วนจิต หมายถึง เจตสิก คือ อารมณ์ของจิต ซึ่งปกติไม่เที่ยง เกิด - ดับๆ ๆ อยู่เป็นสันตติธรรมเช่นกัน สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ควรยึดว่ามันเป็นเราเป็นของเรา

    ส่วนธรรมก็ เกิด - ดับ ๆ ๆ ไม่เที่ยง ใครยึดเข้าก็เป็นทุกข์ทันที แบบเดียวกันกับเจตสิก

    สำหรับจิต คือ เรานั้นเป็นผู้รู้ เป็นผู้รับรู้เรื่องของธรรม ๔ ตัวนั้น คือ กาย - เวทนา - จิต - ธรรม มันเกิด - ดับๆ อยู่ตลอดเวลาคนละส่วนกับเราคือจิต ในการปฏิบัติที่ถูก จึงต้องรู้สักเพียงแต่ว่ารู้ รู้แล้ววางๆ ๆ ไม่ยึด - ไม่เกาะ - ไม่ปรุงแต่งไปตามสิ่งที่ตนรู้นั้นๆ ขอเขียนไว้สั้นๆ แค่นี้)

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ที่มา; FB BuddhaSattha
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ธันวาคม 2013
  20. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    @@@ จิตเกาะพระ ช่วยคุณได้ @@@


    [​IMG]

    ฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว มาฝึกแยกกายกับจิตในขณะที่ยังมีลมหายใจกันอยู่เถิด อย่ารอให้จิตแยกออกจากกายเอง ตอนที่กายมันสิ้นลมไปแล้วน่ะ เพราะมันไม่มีประโยชน์

    ตัวที่จะช่วยแยกกาย กับ จิต ออกจากกันได้นั้น ก็คือ "สติ" ตัวเดียวเท่านั้น

    "สติ" จะช่วยนำพาให้คุณได้ไปพบกับจิตเดิมแท้ของตัวเองที่หายไปนานกับ "ความหลงในอวิชชา"

    เมื่อ "สติ" นำพาไปพบ "จิต" แล้ว "สติ" ก็จะนำพาจิตไปพบกับ "ปัญญา" ซึ่งก็คือความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบแล้ว ใครพบที่สุดแห่งปัญญา ก็คือ ผู้นั้นพบที่แห่งบรมสุขอันบริสุทธิ์ ที่ไม่มีที่ใดเสมอเหมือนได้อีกแล้วในสามโลกนี้ สาธุ สาธุ สาธุ


    ธรรมมณี จบ.52(f):VO(f)
     

แชร์หน้านี้

Loading...