ขอเชิญร่วมสมทบทุนกองทุนมรดกธรรม หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ วัดป่าบ้านค้อ อุดรธานี

ในห้อง 'ธรรมทาน - วิทยาทาน' ตั้งกระทู้โดย kamol_s, 29 มกราคม 2014.

  1. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    [​IMG]

    ขอเชิญร่วมสมทบทุนกองทุนมรดกธรรม หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ วัดป่าบ้านค้อ อุดรธานี



    โดยท่านสามารถบริจาคโดยตรงที่วัดป่าบ้านค้อ หรือสามารถโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ดังนี้

    ธนาคารกรุงไทย สาขาบ้านผือ
    ชื่อบัญชี กองทุนมรดกธรรมหลวงพ่อทูล (วัดป่าบ้านค้อ)
    บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 431-0-35644-3


    เมื่อโอนเงินกรุณาแจ้งวัดป่าบ้านค้อ หรือแฟ๊กซ์หลักฐานการโอนเงินมาที่วัด หรือส่ง email มาที่ watpabankoh@gmail.com

    วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี 41160 โทร. (042) 250730-2 , 08-5453-3245 , 08-9416-7825



    "บุญกุศลใดที่ท่านได้บำเพ็ญ ขอท่านจงอิ่มเอิบใจ เบิกบานในธรรม
    ธรรมใดที่ท่านควรรู้ควรเห็น ขอท่านจงมีปัญญาญาณ รู้แจ้งด้วยเทอญ"



    แหล่งอ้างอิง วัดป่าบ้านค้อ...แหล่งรวมธรรมะคำสอนหลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2014
  2. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    นอกจากนี้หากท่านต้องการร่วมทำบุญอื่นๆกับ วัดป่าบ้านค้อ สามารถร่วมบุญได้ดังนี้

    [​IMG]

    ผู้มีจิตศรัทธา ร่วมทำบุญในรายการต่างๆ สามารถโอนเงินผ่าน
    ธนาคารกรุงไทย สาขาบ้านผือ บัญชีออมทรัพย์ ดังนี้

    1 ชื่อบัญชีวัดป่าบ้านค้อ 431-1-02103-8
    เลขที่ 431-1-02103-8

    2 ชื่อบัญชีพระมหาธาตุเจดีย์ วัดป่าบ้านค้อ 431-1-16614-1
    เลขที่ 431-1-16614-1

    3 ชื่อบัญชีกองทุนมรดกธรรมหลวงพ่อทูล (วัดป่าบ้านค้อ)
    เลขที่ 431-0-35644-3

    4 ชื่อบัญชีทุนสงฆ์อาพาธ วัดป่าบ้านค้อ 431-0-23463-1
    เลขที่ 431-0-23463-1

    5 ชื่อบัญชีกองทุนเผยแผ่ธรรมะ วัดป่าบ้านค้อ 431-0-14981-2
    เลขที่ 431-0-14981-2

    6 ชื่อบัญชีสถานีวิทยุชุมชน วัดป่าบ้านค้อ 431-0-29833-8
    เลขที่ 431-0-29833-8

    7 ชื่อบัญชีทุนการศึกษาพระปัญญาพิศาลเถร 431-0-30083-9
    เลขที่431-0-30083-9



    เมื่อโอนเงินกรุณาแจ้งวัดป่าบ้านค้อ หรือแฟ๊กซ์หลักฐานการโอนเงินมาที่วัด หรือส่ง email มาที่ watpabankoh@gmail.com

    วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี 41160 โทร. (042) 250730-2 , 08-5453-3245 , 08-9416-7825

    "บุญกุศลใดที่ท่านได้บำเพ็ญ ขอท่านจงอิ่มเอิบใจ เบิกบานในธรรม
    ธรรมใดที่ท่านควรรู้ควรเห็น ขอท่านจงมีปัญญาญาณ รู้แจ้งด้วยเทอญ"


    แหล่งอ้างอิง วัดป่าบ้านค้อ...แหล่งรวมธรรมะคำสอนหลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2014
  3. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    ประวัติวัดป่าบ้านค้อ

    วัดป่าบ้านค้อ ตั้งอยู่บ้านค้อ ตำบลเขือน้ำ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ได้ก่อตั้งขึ้นโดยการนำของ “พระอาจารย์ทูล ขิบปปญโญ” (ปัจจุบันมรณภาพแล้วเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2551 ) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2528 มีเนื้อที่ 410 ไร่ ปัจจุบันมีเสนาสนะและสาธารณูปโภคเท่าที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัยปฏิบัติธรรมสำหรับพระและฆราวาส มีเสนาสนะป่าเหมาะแก่การปลีกวิเวกของผู้ใคร่ปฏิบัติธรรม ในส่วนของการเผยแพร่พระพุทธศาสนาและการบริการชุมชน จังหวัดอุดรธานี กำหนดให้วัดป่าบ้านค้อเป็นศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติประจำจังหวัดอุดรธานี และได้เคยจัดให้มีการบรรพชาอุปสมบทอบรมกลุ่มปฏิบัติธรรมแก่ นักเรียนและประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังมีฆราวาสทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้าพักรับอุบายธรรมภาคปฏิบัติอยู่อย่างสม่ำเสมอ การเดินทางไปยังวัดป่าบ้านค้อ สามารถใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2 (อุดรธานี – หนองคาย) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 13 เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 2021 (สายอุดร – บ้านผือ) อีก 20 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าวัดป่าบ้านค้ออีก 3 กิโลเมตร รวมระยะทางจากอุดรธานี ประมาณ 36 กิโลเมตร
     
  4. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    [​IMG]

    ประวัติพระปัญญาพิศาลเถร (ทูล ขิปฺปปญฺโญ) (ผู้ก่อตั้งวัดและอดีตเจ้าอาวาส)


    หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ เกิด ณ บ้านหนองค้อ ตำบลบัวค้อ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันจันทร์ ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๘ ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๔ ขณะอายุ ๒๖ ปี ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์(จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์

    ช่วงแรกที่ออกปฏิบัติภาวนานั้น ท่านได้จาริกบำเพ็ญสมณธรรมไปยังสถานที่สัปปายะหลายแห่ง ได้เข้าถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล หลังจากที่หลวงปู่ขาวละสังขารแล้ว ท่านจึงได้นำคณะศิษย์มาพำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดป่าบ้านค้อ

    ท่านได้อุทิศชีวิตให้กับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านได้เขียนหนังสือธรรมภาคปฏิบัติเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติว่า เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ได้รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร สาขาการแต่งหนังสือทางพระพุทธศาสนา

    จากการที่ท่านได้ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาเป็นอย่างมาก ดังนั้นในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ นามว่า “พระปัญญาพิศาลเถร”

    หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ มรณภาพ เมื่อวันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ณ วัดป่าบ้านค้อ รวมสิริอายุ ๗๓ ปี ๔๘ พรรษา และได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ณ วัดป่าบ้านค้อ

    อัฐิธาตุของหลวงพ่อทูลได้แปรสภาพเป็นพระธาตุ เป็นเครื่องประกาศคุณธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นพระอริยบุคคลอีกท่านหนึ่งที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมดังความมุ่งมั่นตามที่ท่านได้ตั้งสัจจะในครั้งออกบวชว่า
    “ท่านจะขอมอบกายและถวายชีวิตเพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์เจ้า จะทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2014
  5. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    [​IMG]

    ประวัติ พระครูปิยสีลาจารย์ (ไชยา อภิชโย)
    ( เจ้าอาวาส วัดป่าบ้านค้อ )


    พระอาจารย์ไชยา อภิชโย เกิด ณ ตำบลหนองหมื่นถ่าน อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๒ เข้ารับการบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ขณะอายุได้ ๓๖ ปี หลังจากอุปสมบทท่านได้มาอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ ที่วัดป่าบ้านค้อ ท่านเป็นกำลังสำคัญในการจัดอบรมธรรมทั้งแก่ข้าราชการ หมอ พยาบาล ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจปฏิบัติธรรมทั่วไป จนในปีพ.ศ. ๒๕๓๙ ท่านได้ออกมาเป็นเจ้าอาวาสวัดตาดน้ำพุ ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านค้อ และเจ้าคณะอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pjchaiya1.jpg
      pjchaiya1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      147 KB
      เปิดดู:
      265
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2014
  6. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
  7. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    ขออนุโมทนาบุญทุกๆท่านที่ได้มีส่วมร่วมในการทำบุญมหากุศลในคราวนี้ ทุกๆประการ ทุกุๆท่านด้วยเทอญ
     
  8. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    ขอเชิญร่วมสมทบทุนกองทุนมรดกธรรม หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ วัดป่าบ้านค้อ อุดรธานี ในคราวนี้ด้วยเทอญ ขออนุโมทนาบุญ
     
  9. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    เราจะปล่อยตัวให้กิเลสตัณหา ลากตัวไป ลากตัวมา อยู่อย่างนี้หรือ ทำไมจึงไม่ใช้ปัญญาพิจารณาดู ความเป็นมา ความเป็นอยู่ และความเป็นไป ในชาติภพของตัวเราบ้าง

    (จากหนังสือ พ้นกระแสโลก โดย หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ)

    https://www.facebook.com/WatpabankohDhamma
     
  10. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    เทศน์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วันตรุษจีน เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

    "วันนี้เป็นวันตรุษจีน ตรุษจีนก็คือวันเป็นมงคลแก่คนเรานั่นแหละ ไม่ว่าจีนว่าไทยก็คือคนเหมือนกัน วันนี้เป็นวันตรุษของมนุษย์ ตรุษของคนทั่วประเทศนั่นแหละ ให้ยึดไปเป็นคติ เรื่องตรุษนั่นท่านมีมาอะไรก็ไม่ทราบ แต่เราจับได้ในจุดใหญ่ว่าเป็นวันมงคลของชาตินั้นๆ นี่ก็เป็นวันมงคลของพวกเราทั้งหลาย มาวัดมาวาวันไหนเป็นมงคลทั้งนั้น ไม่มาวัดมาวาก็ขอให้มีธรรมภายในใจเถอะ อยู่ในบ้านก็เป็นธรรม อยู่นอกบ้านไปไหน เคลื่อนไหวมันเกิดจากเราๆ จากคนๆ เดียวคนเดียวนี้ เคลื่อนไหวไปมาเป็นบาปหรือเป็นบุญ เป็นมงคลหรือเป็นอัปมงคล มันอยู่กับเรา ให้พิจารณาตนบ้างนะ

    อย่าพากันเป็นบ้ายศบ้าลาภบ้าสรรเสริญ มันพิลึกนะมนุษย์เรา เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองพุทธแต่มันเป็นเมืองบ้ายศบ้าลาภบ้าสรรเสริญเยินยอ อันนี้มันเด่นเหลือเกินนะ เอาธรรมจับมันก็รู้ซิ มีแต่ให้กิเลสจับกันตกหลุมตกบ่อตกส้วมตกถานวันยังค่ำไม่มีวันโผล่นะ ถ้าเอาธรรมจับแล้วลากกันขึ้นได้เลย เราดูจริงๆ นี่นะไม่ใช่ธรรมดา นี้เอาธรรมมาสอนโลก ไม่ใช่เรื่องของหลวงตาบัว เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนโลก"

    https://www.facebook.com/watpabaantaad.luangta?fref=ts
     
  11. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    ประวัติองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

    ชาติภูมิ - หลวงตา ถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาแห่งสกุล “โลหิตดี” ณ ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีฉลู บิดาชื่อ “นายทองดี” มารดาชื่อ “นางแพง” ได้ให้มงคลนามว่า “บัว”

    การศึกษา - ท่านเป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่ง มีความขยัน อดทน และ มีความรับผิดชอบสูง จะเห็นได้จากผลการเรียนอันดีเยี่ยม โดยสอบได้ที่สองในชั้นประถมปีที่ ๑ พอขึ้นชั้นประถมปีที่ ๒, ที่ ๓ ก็สอบได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๓ ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับสูงสุดในสมัยนั้นแล้ว ท่านก็ไม่ได้เรียนต่อในชั้นใดอีกเลย

    อุปนิสัย - ท่านมีอุปนิสัยถือความสัตย์ความจริง ทำอะไรก็ทำจริง เวลาทำการทำงานจะไม่อยากให้คนรู้คนเห็น แม้ในยามบวชเป็นพระแล้ว เวลาทำความเพียร ท่านไม่ยอมให้ใครเห็นได้ง่ายๆ ทำทางจงกรมหลบอยู่ในป่า และในยามค่ำคืนต้องรอจนหมู่คณะขึ้นกุฏิหมดแล้ว ท่านจึงจะลงเดินจงกรม และที่เด่นมาก ก็คือ มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ สังเกตได้จากการทำงานของท่าน จะทำไปเรื่อยๆจนเสร็จงาน ถ้าไม่มืด หรือไม่ใช่เวลากินข้าวกลางวัน ก็ไม่ยอมเลิก จนพวกน้องๆพากันมาบ่นให้พ่อแม่ฟังว่า “ถ้าพ่อแม่ไม่ไปทำงานด้วย พี่ชายทำงานไม่ยอมเลิกยอมหยุด ยังกับว่า จะเอาให้น้องๆตายไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว”

    สู่ร่มกาสาวพัสตร์ - ท่านได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดโยธานิมิตร บ้านหนองขอนกว้าง ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ พระอุปัชฌาย์คือ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ได้ให้ฉายานามว่า “ญาณสมฺปนฺโน” แปลว่า “ผู้ถึงพร้อมด้วยญาณ”

    แม้เรียนปริยัติ ก็ไม่ทิ้งเรื่องภาวนา - ท่านได้ไปถามคำภาวนาจากท่านพระครู “กระผมอยากภาวนา จะให้ภาวนายังไง?” “เออ! ให้ภาวนา พุทโธ นะ เราก็ภาวนา พุทโธ เหมือนกัน ท่านได้ฝึกหัดภาวนาอย่างไม่ลดละ แรกๆจิตใจก็ไม่สงบเท่าใดนัก แต่เมื่อทำอยู่หลายครั้งหลายหน จิตก็เริ่มสงบตัวลงไปโดยลำดับ จนกระทั่งเห็นความอัศจรรย์ของจิต

    ออกปฏิบัติเต็มตัว เป็นตายฝากไว้กับธรรม - ท่านออกเดินทางมุ่งสู่จังหวัดนครราชสีมา โดยพกหนังสือปาฏิโมกข์เพียงเล่มเดียวติดย่ามไปเท่านั้น และเข้าจำพรรษาที่วัดในอำเภอจักราช เป็นปีพรรษาที่ ๘ ท่านเร่งทำความเพียรทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่มาถึงทีแรกจนตลอดพรรษา
    “คราวนี้จะเอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มเหตุเต็มผล เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย อย่างอื่นไม่หวังทั้งหมด หวังความพ้นทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น จะให้พ้นทุกข์ในชาตินี้แน่นอน ขอแต่เพียงท่านผู้หนึ่งผู้ใด ได้ชี้แจงให้เราทราบ เรื่องมรรคผลนิพพาน ว่า มีอยู่จริงเท่านั้น เราจะมอบกายถวายชีวิตต่อท่านผู้นั้น และมอบกายถวายชีวิตต่ออรรถต่อธรรม ด้วยข้อปฏิบัติอย่างไม่ให้อะไรเหลือหลอเลย ตายก็ตายไปกับข้อปฏิบัติ ไม่ได้ตายด้วยความถอยหลัง จิตปักลงเหมือนหินหัก”
    ท่านออกเดินทางจากจังหวัดนครราชสีมา มุ่งหน้าไปจังหวัดอุดรธานี ตั้งใจว่าจะไปจำพรรษากับท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าโนนนิเวศน์ แต่ก็ไม่ทันท่าน เพราะท่านรับนิมนต์ไปจังหวัดสกลนครเสียก่อน ท่านจึงไปพักที่วัดทุ่งสว่าง จังหวัดหนองคาย พอดีมีพระมาจากวัดบ้านโคกนามน เล่าให้ฟังว่า “ท่านพระอาจารย์มั่นดุมาก ไม่เพียงแต่ดุเท่านั้น พอไล่ได้ ก็ไล่หนีเลย”
    ท่านฟังแล้วรู้สึกถึงจิตถึงใจกับความเด็ดของท่านพระอาจารย์มั่น และแอบคิดอยู่แต่ผู้เดียวในใจว่า “...อาจารย์องค์นี้ล่ะ จะเป็นอาจารย์ของเรา ต้องให้เราไปเห็นเอง ท่านจะดุแบบไหน ครูบาอาจารย์ชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศไทยมานานขนาดนี้ จะดุด่าขับไล่ไสส่งโดยหาเหตุผลไม่ได้นี้ เป็นไปไม่ได้...”

    พบท่านพระอาจารย์มั่น - ท่านพักอยู่ที่วัดทุ่งสว่าง ประมาณ ๓ เดือน พอถึงเดือนพฤษภาคม ๒๔๘๕ เป็นพรรษาที่ ๙ ของท่าน ก็ออกเดินทางจากหนองคาย ไปสกลนคร เพื่อมุ่งสู่ท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งพักอยุ่ที่บ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
    พอได้โอกาสจึงได้เข้ากราบเรียนถวายตัวเป็นศิษย์ และเรียนให้ท่านทราบถึงที่มาที่ไปพอท่านได้รู้จัก พอกราบเรียนเสร็จ ก็ครุ่นคิดวิตกกังวลอยู่ภายในใจ “ไม่อยากได้ยินเลย คำที่ว่า ที่นี่เต็มแล้ว รับไม่ได้แล้ว กลัวว่าหัวอกจะแตก...” สักครู่หนึ่ง ท่านพระอาจารย์มั่นก็พูดว่า “นี่ พอดีนะนี่ เมื่อวานนี้ท่านเนตรไปจากนี้ แล้ววันนี้ท่านมหาก็มา ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้อยู่ กุฏิไม่ว่าง” ท่านพระอาจารย์มั่นพูดธรรมดาๆ ถึงจะเมตตารับท่านไว้แล้วก็ตาม แต่ก็ทำให้ท่านรู้สึกหวาดเสียวอดใจหายใจคว่ำไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะไม่ได้อยู่
    ถามทางชาวบ้านเดินลัดเลาะไปตามทางด่าน ถึงวัดพอดีมืดค่ำ ก็ไปเห็นศาลาหลังหนึ่ง เกิดสงสัยขึ้น “ถ้าเป็นศาลา มันก็ดูว่าเล็กไป ถ้าว่าเป็นกุฏิ ก็จะใหญ่ไป” พอดีท่านพระอาจารย์มั่น กำลังเดินจงกรมอยู่ที่ข้างศาลา ท่านก็เดินไปพบท่านพระอาจารย์มั่นบนทางจงกรม ท่านพระอาจารย์มั่นจึงถามขึ้นว่า “ใครมานี่?” ท่านกราบเรียนว่า “ผมครับ” ท่านพระอาจารย์มั่นก็กล่าวขึ้นอย่างดุๆ พร้อมกับใส่ปัญหาให้คิดในทันทีว่า “...อันผมๆนี้ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผม ตรงที่มันไม่ล้าน...” พอได้ยินดังนั้น ท่านรู้สึกว่า พลาดไปอย่างถนัดใจ จึงกราบเรียนขึ้นใหม่ทันทีว่า “ผม ชื่อ พระมหาบัวครับ” “เออ! ก็ว่าอย่างนั้นสิ มันถึงจะรู้เรื่องกัน อันนี้ว่า ผม ผม ใครมันก็มี ผมเต็มหัว ทุกคน”

    ติดสมาธิอยู่ ๕ ปี - ในระยะนั้น สมาธิของท่านมีความแน่นหนามั่นคงมาก ถึงขนาดที่ว่า จะให้แน่วอยู่ในสมาธิสักกี่ชั่วโมงก็ได้ และเป็นความสุขอย่างยิ่ง ไม่อยากจะออกยุ่งกับอะไร มีความพอใจกับการที่จิตหยั่งลงสู่ความรู้อันเดียวแน่วแน่อยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็นึกว่า ความรู้เด่นๆนี่เองจะเป็นนิพพาน ท่านติดสุขในสมาธิอยู่เช่นนี้ ถึง ๕ ปีเต็ม จนท่านพระอาจารย์มั่น ต้องใช้อุบายฉุดลากออกมา “ท่านจะนอนตายอยู่นั่นหรือ? ท่านรู้ไหม? สุขในสมาธิเหมือนเนื้อติดฟัน ท่านรู้ไหม? สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิต้องรู้สมาธิ ปัญญาต้องรู้ปัญญา อันนี้มันเอาสมาธิเป็นนิพพานเลย มันบ้าสมาธินี่ สมาธินอนตายอยู่นี่หรือ? เป็นสัมมาสมาธิน่ะ”

    ดับอวิชชาทำลายกรงขังแห่งวัฏฏะ - พรรษาที่ ๑๖ เป็นปีที่ ๙ แห่งการออกปฏิบัติ ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ วันจันทร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ คืนเดือนดับ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เวลา ๕ ทุ่มตรง เป็นคืนแห่งความสำเร็จระหว่างกิเลสกับธรรมภายในใจตัดสินกันลงได้

    ฝึกตนเองดีแล้ว จึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่า ทำตามพระพุทธเจ้า - หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ถือเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีคุณูปการต่อชาวไทยอย่างใหญ่หลวง ข้อวัตรปฏิปทาอันหมดจดงดงามย่อมเป็นเนติแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม การทำอัตตัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ตน ก็ถึงที่สุดแล้ว โดยอยู่จบพรหมจรรย์เสร็จกิจในพระพุทธศาสนาบรรลุคุณธรรมขั้นสูงสุด การทำญาตัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ญาติมิตร ก็ถึงที่สุดแล้ว โดยเทศนาอบรมพระเณร และโปรดโยมมารดา จนตั้งอยู่ในอริยภูมิ การทำโลกัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ต่อโลก ก็ถึงที่สุดแล้ว ด้วยเมตตาธรรมอันเปี่ยมล้นแผ่ไปในเหล่าสรรพสัตว์ ดังเช่น การช่วยเหลือ โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ โรงเรียนต่างๆ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ประสบทุกข์ภัย การทำนุบำรุงพุทธศาสนา การจัดตั้งเครือข่ายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน และที่สำคัญยิ่งคือ เทศนาธรรมที่ตรงแน่วต่อมรรคผลนิพพาน ถือเป็นธรรมสมบัติอันล้ำค่า ที่องค์หลวงตาได้มอบไว้แก่ปวงศิษย์ทุกคน

    แม้ในวาระสุดท้าย ที่ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน กระแสแห่งเมตตาธรรมขององค์หลวงตา ยังคงแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วผืนแผ่นดินไทย หลวงตาเคยพูดไว้ “ศพของเราจะเผาด้วยฟืน ส่วนเงินให้เอาไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง” พวกเราเคยได้ยินคำพูดเช่นนี่ที่ไหนบ้าง? ไม่เคยได้ยินใครพูดเช่นนี้มาก่อนเลย แต่หลวงตาซึ่งอยู่ในวัยอันชราภาพมากแล้ว กลับพูดได้อย่างองอาจกล้าหาญ และไม่สะทกสะท้าน

    ท่านเป็นพระมหาเถระที่มีคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง มีลูกศิษย์ลูกหาเคารพนับถือมากมาย ใช่แต่เท่านั้น หลวงตา ยังเป็นท่านพ่อ “ของทูลกระหม่อมน้อย” เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ดังนั้น หากจะกระทำการใดๆ เพื่อความยิ่งใหญ่แบบโลกๆแล้ว จะให้ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็สามารถทำได้
    แต่มาบัดนี้ สิ่งที่ปรากฏท้าทายต่อสายตาของพวกเราทุกคน กลับเป็นเชิงตะกอนแบบสมถะเรียบง่าย แต่สง่างามและภูมิฐานอยู่ในที จิตกาธานอันเป็นที่ตั้งสรีระสังขารขององค์หลวงตา จะกลายเป็นภาพความงามที่ประทับอยู่ในความทรงจำของปวงศิษย์ทุกคน และตรึงทุกสายตาให้หยุดนิ่ง เมื่อยามได้ประสบพบเห็น

    หลวงตาได้ใช้สรีระสังขารของท่าน หล่อหลอมหัวใจของคนไทยทั้งชาติ ให้เป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นทองคำศักดิ์สิทธิ์ ประดิษฐานในคลังหลวง เปล่งรัศมีเหลืองอร่ามงามตระการตา มอบเป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย คือ “หัวใจทองคำ” แก่ลูกหลานชาวไทย ให้ช่วยกันปกป้องคุ้มครอง “คลังหลวง” ให้อยู่คู่ชาติไทย ไปตลอดอนันตกาล
    บัดนี้ หลวงตาได้ละสังขาร เข้าสู่แดนอมตะมหานฤพาน ลาลับจากพวกเราไป ไปแล้วไปลับไม่หวนคืนกลับ พวกเรามาส่งท่าน ณ จุดสุดท้ายปลายแดน อันเป็นรอยต่อระหว่างสมมุติ กับ วิมุติ เมื่อหวนรำลึกถึงคำกล่าวขององค์หลวงตาที่ว่า “เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสารต่อโลก เพราะหลังจากนี้แล้ว...เราตายแล้ว...เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล”

    นี้...ช่างเป็นคำกล่าวที่องอาจกล้าหาญ ดุจพระยาไกรสรสีหราชผู้เป็นจอมไพร บันลือสีหนาทด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ ภิกษุผู้เฒ่าในวัยอันชราภาพมากแล้ว ได้ประกาศแสนยานุภาพแห่งพระพุทธศาสนา ดัวยเมตตาธรรมอันบริสุทธิ์ล้ำค่าไม่มีประมาณ ก่อให้เกิดคุณูปการแผ่ไปในเหล่าสรรพสัตว์ เปรียบหยาดน้ำฝนตกจากนภากาศ รดราดผืนพสุธาอันแห้งผาก...ให้ชุ่มฉ่ำเย็น ฉะนั้น

    พ่อแม่ครูอาจารย์... องค์หลวงตา...ของปวงศิษย์ทุกคน ผู้เปรียบประดุจ ร่มโพธ์แก้ว ร่มไทรทอง ที่ให้ความร่มเย็นแก่ปวงศิษย์มาช้านาน พลันมาละสังขาร ลาลับจากพวกเราไป ช่างยากเย็นยิ่งนัก ที่จะข่มจิตหักใจ หักห้ามน้ำตามิให้หลั่งไหล ศิษย์ทั้งหลายจะขอปฏิบัติบูชา ตามรอยบาทขององค์หลวงตา เข้าสู่พระนิพพานเมืองแก้วให้จงได้ พ่อแม่ครูอาจารย์...หลวงตา... ได้ดับขันธ์ปรินิพพานจากไปแล้ว เหลือไว้แต่พระคุณนามอันเพริศแพร้วบรรเจิดจ้า กิตติศัพท์อันงามเฟื่องฟุ้งทั่วไตรโลกา เปล่งรัศมีธรรมงามสง่า ให้โลกนี้ได้ร่ำลือว่า นี่คือ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ผู้เป็นมหาบุรุษรัฐอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงคุณธรรมอันล้ำเลิศ มีคุณูปการแผ่ไปในไตรโลกธาตุไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ผู้เหยียบแผ่นดินสะท้านสะเทือน...

    ข้อมูลจำเพาะ
    วันเกิด : วันอังคารที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๕๖
    วันละสังขาร : วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔ เวลา ๓.๕๓ น.
    รวมสิริอายุ : ๙๗ ปี ๕ เดือน ๑๗ วัน พรรษา ๗๗
    วันบรรลุธรรมสิ้นกิเลส : วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๒๓.๐๐ น.


    ขอบคุณข้อมูลจากเว็บวัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน

    แหล่งอ้างอิง doisaengdham.org
     
  12. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ วันถวายเพลิงท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ณ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร

    ทางคณะสงฆ์ตั้งให้วันนี้เป็น “วันบูรพาจารย์” เพื่อรำลึกในพระบารมีหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

    เทศน์หลวงตาเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

    "เราเคารพสุดยอดละพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ สุดยอดจริงๆ อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุไปหมดพ่อแม่ครูจารย์มั่น นั่นละคือพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบัน ถ้าอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วนั้นละบอกชัดเจน นั้นคือพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบัน

    https://www.facebook.com/watpabaantaad.luangta?fref=ts
     
  13. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    วันนี้วันที่ ๓๑ มกราคมเป็น “วันบูรพาจารย์ ภูริทัตตเถรานุสรณ์” คือวันคล้ายวันประชุมเพลิงสรีระสังขารท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร พระบูรพาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน ครบ ๖๔ ปี


    วันนี้วันที่ ๓๑ มกราคมเป็น “วันบูรพาจารย์ ภูริทัตตเถรานุสรณ์” คือวันคล้ายวันประชุมเพลิงสรีระสังขารท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร พระบูรพาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน ครบ ๖๔ ปี ทุก ๆ วันที่ ๓๑ มกราคมนี้คณะพระกัมมัฏฐานจะมารวมรำลึกอาจาริยบูชาคุณท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร ซึ่งเป็นปัจฉิมสถานที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. ขณะมีอายุ ๘๐ ปี พรรษา ๕๖ ภายหลังจึงได้มีการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ตรงบริเวณกุฏิที่องค์ท่านมรณภาพ และเมื่อวันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๓ ได้มีพิธีประชุมเพลิงสรีระสังขารท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งภายหลังได้มีการก่อสร้างพระอุโบสถ ในบริเวณที่ประชุมเพลิงนั่นเอง คณะสงฆ์ศิษยานุศิษย์ จึงได้กำหนดวันที่ ๓๑ มกราคมของทุก ๆ ปี เป็น “วันบูรพาจารย์”

    ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ยังไม่มีพระมหาเถระรูปใดจะยิ่งใหญ่ด้วยวัตรปฏิบัติปฏิปทา ถึงพร้อมด้วยศีลธรรม มีอำนาจจิตยิ่งใหญ่ครอบโลกธาตุ เป็นที่เคารพบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้มากมายถึงเพียงนี้ พระอรหันต์ในประเทศไทย ล้วนเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แทบทั้งนั้น

    "..พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการ ให้ท่องในใจอยู่เสมอว่าเรามีความ แก่-เจ็บ-ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน.." โอวาทธรรมคำสอนพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    เดิมท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ด้วยเห็นว่าจะเป็นการเนิ่นช้า จึงถอนความปรารถนานั้น มุ่งมั่นเป็นพระอรหันต์ในปัจจุบันชาติ ปี พ.ศ.๒๔๗๘ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บรรลุธรรมชั้นสูงสุดที่ถ้ำดอกคำ ต.น้ำแพร่ อ.พร้าว เชียงใหม่ จากนั้นธุดงค์ไปยังดอยนะโม ท่านได้พูดกับหลวงปู่ขาวว่า "ผมหมดงานที่จะทำแล้ว ก็อยู่สานกระบุงตะกร้า พอช่วยเหลือพวกท่านและลูกศิษย์ลูกหาได้บ้างเท่านั้น"

    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถือธุดงค์ ทรงผ้าบังสกุลตลอดชีวิต, ธุดงค์ภาคอีสานกลาง เหนือในไทย, ลาว, เขมร, พม่า ได้แสวงหาวิเวกบำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่างๆ ชอบอยู่ตามถ้ำ ตามราวป่าลึก ป่าช้า ป่าชัฏที่แจ้ง หุบเขา ซอกเขา ห้วย ธารเขา เงื้อมเขา ท้องถ้ำ เรือนว่างทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงบ้าง ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง อาศัยบิณฑบาตกับชาวป่าชาวเขา

    ปฏิปทาท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต "ธุดงควัตรที่ท่านถือปฏิบัติเป็นอาจิณ ๔ ประการ คือ
    ๑. บังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุล นับตั้งแต่วันอุปสมบทมา ตราบจนกระทั่งถึง วัยชรา จึงได้พักผ่อน ให้คหบดีจีวรบ้างเพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย
    ๒. บิณฑบาตกังคธุดงค์ ถือภิกขาจารวัตร เที่ยวบิณฑบาต มาฉัน เป็นนิตย์ แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉัน จนกระทั่งอาพาธ ลุกไม่ได้ ในปัจฉิมสมัยจึงงดบิณฑบาต
    ๓. เอกปัตติกังคธุดงค์ ถือฉันในบาตร ใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธหนักจึงงด
    ๔. เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียว เป็นนิตย์ตลอดมา แม้ถึงอาพาธหนักในปัจฉิมสมัยก็มิได้เลิกละ

    ปัจฉิมวัย

    ในวัยชรานับแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นต้นมาท่านหลวงปู่มั่นมาอยู่ที่จังหวัดสกลนคร เปลี่ยนอิริยาบถ ไปตามสถานที่วิเวกผาสุกวิหารหลายแห่ง คือ เสนาสนะป่าบ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง ( ปัจจุบันเป็นอำเภอโคกศรีสุพรรณ ) บ้าง แถวนั้นบ้าง

    ครั้น พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงย้ายไปอยู่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนถึงปีสุดท้ายแห่งชีวิต ตลอดเวลา ๘ ปีในวัยชรานี้ท่านได้เอาธุระอบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ทางสมถวิปัสสนาเป็นอันมาก ได้มีการเทศนาอบรมจิตใจศิษยานุศิษย์เป็นประจำวันศิษย์ผู้ใกล้ชิด ได้บันทึกธรรมเทศนาของท่านไว้และได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเผยแพร่แล้วให้ชื่อว่า "มุตโตทัย"

    มาถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุย่างเข้า ๘๐ ปี ท่านเริ่มอาพาธเป็นไข้ ศิษย์ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ก็ได้เอาธุระรักษาพยาบาล ไปตามกำลังความสามารถ อาการอาพาธก็สงบไปบ้างเป็นครั้งคราวแต่แล้วก็กำเริบขึ้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนจวนออกพรรษา อาพาธก็กำเริบมากขึ้น ข่าวนี้ได้กระจายไปโดยรวดเร็ว พอออกพรรษา ศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ใกล้ไกล ต่างก็ทยอยกันเข้ามา ปรนนิบัติ พยาบาล ได้เชิญหมอแผนปัจจุบันมาตรวจ และรักษาแล้วนำมาพักที่เสนาสนะป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม เพื่อสะดวกแก่ผู้รักษา และศิษยานุศิษย์ที่จะมาเยี่ยมพยาบาล อาการอาพาธมีแต่ทรงกับทรุดลงโดยลำดับ

    วาระนิพพาน ณ วัดป่าสุทธาวาส

    หลังจากที่ท่านพักอาพาธที่วัดป่าบ้านกลางโนนภู่ ๑๑ วันแล้ว คณะศิษย์นุศิษย์ได้อาราธนาองค์หลวงปู่มั่นนอนในเปลพยาบาลแล้วนำท่านขึ้นรถเพื่อมาพัก ณ วัดป่าสุทธาวาส ออกเดินทางแต่เช้าจากพรรณานิคม ถึงวัดป่าสุทธาวาส สกลนคร เกือบ ๑๒ นาฬิกา เพราะทางหินลูกรังกลัวจะกระเทือนมาก ท่านฯ ก็หลับมาตลอด นำท่านฯ ขึ้นกุฏิ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดก็มีท่านวัน ท่านหล้า ผู้จัดที่นอนให้ท่านฯ ได้ผินศีรษะไปทางทิศใต้ ปกติเวลานอนท่านฯ จะผินศีรษะไปทางทิศตะวันออก ด้วยความพะว้าพะวัง จึงพากันลืมคิดที่จะเปลี่ยนทิศทางศรีษะของท่านฯ

    เวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. เศษ ท่านฯ รู้สึกตัวตื่นตื่นขึ้นจากหลับ แล้วพูดออกเสียงได้แต่อือ ๆ แล้วก็โบกมือเป็นสัญญาณ แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านฯ ประสงค์สิ่งใด มีสามเณรรูปหนึ่งอยู่ที่นั้น เห็นท่าอาการไม่ดี จึงให้สามเณรอีกรูปไปนิมนต์พระเถระทุกรูป มีเจ้าคุณจูม พระอาจารย์เทสก์ พระอาจารย์ฝั้น เป็นต้น มากันเต็มกุฏิ

    เท่าที่สังเกตดู ท่านใกล้จะละสังขารแล้ว แต่อยากจะผินศีรษะไปทางทิศตะวันออก ท่านพลิกตัวไปได้เล็กน้อย ท่านหล้า ( พระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต ) คงเข้าใจ เลยเอาหมอนค่อย ๆ ผลักท่านไป ผู้เล่าประคองหมอนที่ท่านหนุน แต่ท่านรู้สึกเหนื่อยมาก จะเป็นการรบกวนท่านฯ ก็เลยหยุด ท่านฯ ก็เห็นจะหมดเรี่ยวแรง ขยับต่อไปไม่ได้ แล้วก็สงบนิ่ง ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ต้องเงี่ยหูฟัง ท่านวันได้คลำชีพจรที่เท้า ชีพจรของท่านเต้นเร็วชนิดรัวเลย รัวจนสุดขีดแล้วก็ดับไปเฉย ๆ ด้วยอาการอันสงบ

    ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นไว้ใน "ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" ไว้ว่า "... องค์ท่าน เบื้องต้นนอนสีหไสยาสน์ คือ นอนตะแคงข้างขวา แต่เห็นว่าท่านจะเหนื่อยเลยค่อย ๆ ดึงหมอนที่หนุนอยู่ ข้างหลัง ท่านออกนิดหนึ่ง เลยกลายเป็นท่านนอนหงายไป พอท่านรู้สึกก็พยายามขยับตัวกลับคืนท่าเดิม แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะหมดกำลัง พระอาจารย์ใหญ่ก็ช่วยขยับหมอนที่หนุนหลังท่านเข้าไป แต่ดูอาการท่านรู้สึกเหนื่อยมาก เลยต้องหยุด กลัวจะกระเทือน ท่านมากไป ดังนั้น การนอนท่านในวาระสุดท้ายจึงเป็นท่าหงายก็ไม่ใช่ ท่าตะแคงข้างขวาก็ไม่เชิง เป็นเพียงท่าเอียงๆ อยู่เท่านั้น เพราะสุดวิสัย ที่จะแก้ไขได้อีก

    อาการท่านกำลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง บรรดาศิษย์ซึ่งโดยมากมีแต่พระกับเณร ฆราวาสมีน้อย ที่นั่งอาลัยอาวรณ์ ด้วยความหมดหวังอยู่ขณะนั้น ประหนึ่งลืมหายใจไปตาม ๆ กัน เพราะจิตพะว้าพะวังอยู่กับอาการท่าน ซึ่งกำลังแสดง อย่างเต็มที่ เพื่อถึงวาระสุดท้ายของท่านอยู่แล้ว ลมหายใจท่านปรากฏว่า ค่อยอ่อนลงทุกทีและละเอียดไปตาม ๆ กัน ผู้นั่งดู ลืมกระพริบตา เพราะอาการท่านเต็มไปด้วยความหมดหวังอยู่แล้ว ลมค่อยอ่อนและช้าลงทุกทีจนแทบไม่ปรากฏ วินาทีต่อไปลมก็ค่อย ๆ หายเงียบไป อย่างละเอียดสุขุม จนไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า ท่านได้สิ้นไปแล้วแต่วินาทีใด เพราะอวัยวะทุกส่วน มิได้แสดงอาการผิดปกติ เหมือนสามัญชนทั่ว ๆ ไปเคยเป็นกัน ต่างคนต่างสังเกตจ้องมองจนตาไม่กระพริบ สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องพอให้สะดุดใจเลยว่า "ขณะท่านลาขันธ์ ลาโลกที่เต็มไปด้วยความกังวลหม่นหมองคือขณะนั้น "

    พอเห็นท่าไม่ได้การ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ พูดเป็นเชิงไม่แน่ใจขึ้นมาว่า "ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ " พร้อมกับยก นาฬิกาขึ้นดูเวลา ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๒ นาฬิกา ๒๓ นาที จึงได้ถือเวลามรณภาพของท่าน พอทราบว่าท่านสิ้นไปแล้วเท่านั้น มองดูพระเณรที่นั่งรุมล้อมท่านอยู่เป็นจำนวนมาก เห็นแต่ความโศกเศร้าเหงาหงอย และน้ำตาบนใบหน้าที่ไหลซึมออกมา ทั้งไอทั้งจาม ทั้งเสียงบ่นพึมพำ ไม่ได้ถ้อยได้ความใครอยู่ที่ไหน ก็ได้ยินเสียงอุบอิบพึมพำ ทั่วบริเวณนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบเหงาเศร้าใจ อย่างบอกไม่ถูก เราก็เหลือทน ท่านผู้อื่นก็เหลือทน ปรากฏว่าเหลือแต่ร่างครอบตัวอยู่เวลานั้น ต่างองค์ต่างนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ราวกับโลกธาตุได้ดับลง ในขณะเดียวกับขณะที่ท่านอาจารย์ลาสมมติคือขันธ์ก้าวเข้าสู่แดนเกษม ไม่มีสมมติความกังวลใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวายอีก ผู้เขียนแทบหัวอกจะแตกตายไปกับท่านจริงๆ เวลานั้นทำให้รำพึงรำพัน และอัดอั้นตันใจไปเสียทุกอย่าง ไม่มีทางคิดพอขยับขยายจิตที่กำลังว้าวุ่น ขุ่นเป็นตม เป็นโคลนไปกับการจากไปของท่าน พอให้เบาบางลงบ้าง จากความแสนรัก แสนอาลัยอาวรณ์ที่สุดจะกล่าว ที่ท่านว่าตายทั้งเป็นเห็นจะได้แก่คนไม่เป็นท่าคนนั้นแล

    ดวงประทีปที่เคยที่เคยสว่างไสวมาประจำชีวิตจิตใจได้ดับวูบสิ้นสุดลง ปราศจากความอบอุ่นชุ่มเย็นเหมือนแต่ก่อนมา ราวกับว่าทุกสิ่งได้ขาดสะบั้นหั่นแหลกเป็นจุณไปเสียสิ้น ไม่มีสิ่งเป็นที่พึ่งพอเป็นที่หายใจได้เลย มันสุด มันมุด มันด้าน มันตีบตันอั้นตู้ไปเสียหมดภายในใจ ราวกับโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรเป็นสาระ พอเป็นที่เกาะของจิตผู้กำลังกระหายที่พึ่ง ได้อาศัยเกาะพอได้หายใจ แม้เพียงวินาทีหนึ่งเลย ทั้งที่สัตว์โลกทั่วไตรภพอาศัยกันประจำภพกำเนิดตลอดมา แต่จิตมันอาภัพอับวาสนาเอาอย่างหนักหนา จึงเห็นโลกธาตุ เป็นเหมือนยาพิษเอาเสียหมดเวลานั้น ไม่อาจเป็นที่พึ่งได้ ปรากฏแต่ท่านพระอาจารย์มั่นองค์เดียว เป็นชีวิตจิตใจ เพื่อฝากอรรถ ฝากธรรม และฝากเป็นฝากตายทุกขณะลมหายใจเลย ..."

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานที่วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร ตรงกับวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. สิริอายุ ๘๐ ปี ๕๖ พรรษา และได้ประชุมเพลิงเมื่อวันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๓ ซึ่งภายหลังได้ก่อสร้างพระอุโบสถ ในบริเวณที่ประชุมเพลิง และพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตรงบริเวณกุฏิที่องค์ท่านมรณภาพ ภายในพิพิธภัณฑ์ได้อัญเชิญพระอัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ประดิษฐานไว้ให้ประชาชนได้กราบสักการบูชากัน อีกทั้งอัฐบริขารข้าวของเครื่องใช้ขององค์หลวงปู่มั่น ที่แสดงถึงความสมถะเรียบง่ายแบบพระป่า

    “..ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตนเพราะตัวตนเป็นบ่อเกิดแห่งสมบัติทั้งปวง..”

    โอวาทธรรมคำสอนพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต



    https://www.facebook.com/thindham?fref=ts
     
  14. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    “..ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตนเพราะตัวตนเป็นบ่อเกิดแห่งสมบัติทั้งปวง..”

    โอวาทธรรมคำสอนพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต



    https://www.facebook.com/thindham?fref=ts
     
  15. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    "องค์หลวงปู่มั่น และหลวงตาท่านได้ปรารภไว้ไม่คลาดเคลื่อน ถึงอายุที่องค์ท่านทั้งสองจะละสรีระสังขาร"

    กัณฑ์ที่ ๑.
    เทศน์หลวงตา ณ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
    เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เรื่อง ใจไม่มีอะไรกดถ่วง

    "อายุเท่าไร (๙๗) ใกล้แล้วนะ บวชตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๗๗ กี่ปีมาแล้วนะ (๗๖ พรรษาครับผม) นู่นละ ขนาดนั้นละ ครองผ้าเหลืองก็ครองมาเลยตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งป่านนี้ ไม่เคยสึก ไม่เคยอยากสึก แต่เริ่มบวชมาเรื่อยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ไม่เคยอยากสึกนะ ไม่มี ไม่ปรากฏ กิเลสมีอยู่ก็ตามแต่มันไม่มีก็บอกไม่มี อยากสึกอยากหาอยากอะไรไม่เคยมี นี่ก็อายุ ๙๗ แล้ว จะทนไปนานเท่าไร ไม่นานละ

    พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นอายุ ๘๐ นะ ท่านบอกไว้เลยละ บอกตั้งแต่ยังไม่ตาย “เราไม่เลย ๘๐” ท่านบอกไว้เลย “อายุเราแค่ ๘๐” พูดอย่างนั้น พอก้าวเข้านั่นแล้วเริ่มป่วยแล้ว “เออมาแล้วนะทีนี้” ท่านบอกแล้วนะ “เริ่มป่วยครั้งนี้ป่วยจนสุดยอดไม่กลับ” ท่านว่าอย่างนั้น “ป่วยจนตายไม่กลับ” จนตายจริงๆ ท่านบอกไว้แล้วว่าอายุท่านไม่เลย ๘๐ พอดีก้าวเข้า ๘๐ ท่านก็เป็น ท่านก็บอกเลย “ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา ป่วยคราวนี้ไม่หาย แต่มันไม่ตายง่ายๆ นะ โรคทรมาน” ท่านว่าอย่างนั้น “หากครั้งนี้แหละ” ท่านว่า เรื่อยมาจนสิ้นสุด

    อายุของท่านดูว่า ๘๐ นะหลวงปู่มั่น ๘๐ เรานี้มันเท่าไร ๙๗ นู่นน่ะ มันยังขวางโลกอยู่เหรอ เดี๋ยวนี้มัน ๙๗ ปี มันจะไปแล้วแหละ ไม่มีใครห้าม ไม่ฟังเสียงใครละ พอถึงเวลามันแล้วมันก็ไปของมันเท่านั้น จะไปหรืออยู่มันก็ไม่มีอารมณ์นะ เราจะเป็นจะตายก็ไม่มีอารมณ์ จะไปเมื่อไรก็ได้จะตายเมื่อไรก็ได้ไม่มีอารมณ์ อารมณ์ตายไม่มีมากดถ่วงไม่มีเลย เวลาจะไปแล้ว จะไปแล้วเหรอ ปุ๊บเลย อายุเรามัน ๙๗ ตั้ง ๙๖ ๙๗ ปีแล้วจะหาอยู่ที่ไหนอีก"


    กัณฑ์ที่ ๒).
    เทศน์ ณ วัดแสงธรรมวังเขาเขียว จ.นครราชสีมา
    เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓

    "จะไปที่ไหนก็ไปเสียตอนนี้ ไม่นานนะบอกตรงๆ บอกว่าไม่นาน จะไปที่ไหนก็ไปเสีย ตายแล้วมันไม่ได้ไป นี่ก็ไม่นาน อายุ ๙๗ แล้วมันก็ไม่นานเหมือนกัน (ยังไม่ถึงร้อยเลยเจ้าค่ะ) อันนี้มันไม่มีร้อยนะ มันมีอยู่ที่ลมหายใจ พอลมหายใจขาดปุ๊บไปเลย ถ้ายังจะมาวิตก เราเองยังไม่เห็นวิตกเลย เฉย (หลวงตารั้งไว้ก่อนเจ้าค่ะ) เวลานี้รั้งไว้แล้วแต่เวลาจะไปไม่รั้ง ปล่อยเลย"

    https://www.facebook.com/watpabaantaad.luangta?fref=ts
     
  16. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    เทศน์หลวงตา ณ วัดเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโน จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๓

    เรื่อง "ชาติของเราสุดเพียงเท่านี้"

    "บวชคราวนี้เป็นบวชครั้งสุดท้ายด้วย เกิดคราวนี้เป็นเกิดครั้งสุดท้ายด้วย จะไม่กลับมาเกิดอีกและจะไม่กลับมาตายอีกต่อไป สุดขีดแล้วในการบำเพ็ญความดีของเราได้บำเพ็ญเต็มกำลังความสามารถ เรียกว่าสุดกำลังไม่อยากไปไหนล่ะ พอ ลงธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วพอ หมดเลย พากันเข้าใจเอานะ นี่เข้าถึงขั้นธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ไม่ไปไหนทีนี้ ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน

    เต็มยศในชาตินี้ของเรา ชาตินี้เรียกว่าเป็นชาติสุดท้ายของเรา หมดทุกอย่างในหัวใจ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วหมด ไม่มีที่จะเคลื่อนย้ายไปไหนอีกไม่มี เรียกว่าสิ้นสุดเพียงเท่านี้ สมเหตุสมผลบวชคราวนี้นะ สมใจถึงใจเลยบวชคราวนี้ ไม่มีที่สงสัยว่าจะยังบกพร่องอะไรอีกไม่มี หมด

    ชาติของเราสุดเพียงเท่านี้ หมดๆเลย ความเกิดความตายไม่มีเงื่อนต่อล่ะ พอ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วพอ เรียกว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว ฟังให้ชัดนะ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายจะไม่กลับมาเกิดมาตายอีกต่อไป สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นกับนิพพานเป็นอันเดียวกัน"

    https://www.facebook.com/watpabaantaad.luangta?fref=ts
     
  17. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    "..พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ตลอดเวลา ใจได้รู้เห็นตามความเป็นจริง จะได้เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย คายจากความยินดีในสังขารร่างกาย อันไม่เป็นแก่นสาร เมื่อเห็นทุก ๆ อย่าง เห็นเป็นอนัตตาก็ไม่มีที่อยู่ อัตตาคือบ้านอยู่อาศัยของกิเลส เมื่ออัตตาไม่มีอยู่ในหัว กิเลสหมดไปโดยอัตโนมัต ภพชาติหมด.."

    หลวงปู่คำพอง (หลวงตาน้อย) ปัญญาวุโธ “พระอริยสงฆ์ผู้มีปัญญาเป็นอาวุธ”


    https://www.facebook.com/thindham
     
  18. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีความสูงศักดิ์มาก อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ มนุษย์เราจะต่ำลงกว่าสัตว์ และจะเลวกว่าสัตว์อีกมากมาย อย่าพากันทำ ให้พากันละบาป บำเพ็ญบุญ ทำแต่คุณความดี อย่าให้เสียชีวิตเปล่าที่มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์

    ...คติธรรมคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต...


    แหล่งอ้างอิง facebook.com/พระอรหันต์-สายหลวงปู่มั่น
     
  19. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    โยม : หลวงตาคะ ถ้าฆราวาสถือศีล ๕ หรือถือศีล ๘ อย่างนี้นะคะ ถ้าเทียบกับสงฆ์ซึ่งถือศีล ๒๐๐ กว่าข้อ ในเมื่อถือศีลต่างกัน ในการปฏิบัติธรรมเพื่อให้รู้ได้ถึงที่สุดแห่งธรรม จะถึงได้เท่ากันหรือเปล่าคะ

    หลวงตา : ท่านได้บอกไว้หรือเปล่าล่ะว่านี้นิพพานของศีล ๕ นี้นิพพานของศีล ๘ นี้นิพพานของพระ ๒๒๗ ท่านได้บอกไว้หรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่ได้บอกไว้เราก็อุตริละซิ ถามแบบอุตริเราตอบไม่ได้ตอบแบบอุตริอย่างนั้น เราจะตอบตามหลักความจริงว่า นิพพานมีอันเดียวเท่านั้น ธรรมแท้มีอันเดียวเท่านั้นไม่มีสอง ใครจะปฏิบัติในศีลในธรรมข้อใดก็ตาม ธรรมแท้นั้นสามารถจะปฏิบัติได้ด้วยกันถึงได้ด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย เพราะการรักษาศีลนี้เป็นอาการของธรรมแต่ละประเภท ๆ แต่ธรรมแท้ ๆ ที่เข้าไปสู่ความละเอียดนั้นเข้าไปได้เหมือนกัน


    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    จากหนังสือ คำถามคำตอบปัญหาธรรม

    แหล่งอ้างอิง facebook.com/พุทธมหาเจดีย์หลวงตาพระมหาบัว-ญาณสมฺปนฺโน-ภูผาแดงฯ
     
  20. kamol_s

    kamol_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    17,388
    ค่าพลัง:
    +4,860
    "น้อมธรรม เข้ามาสู่ใจ
    มาดูที่จิตใจ มาดูที่ตน มาฝึกฝนอบรมที่ตน
    จะเป็นคนฉลาดในการพิจารณาในธรรม
    ฉลาดในการพัฒนาตัวเอง เลยมาแก้ไขตัวเอง
    ตรงนี้แหละการประพฤติปฏิบัติของพวกเรา
    พวกเราจึงจะได้ประโยชน์ในการปฏิบัติ"

    หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

    แหล่งอ้างอิง facebook.com/พระอรหันต์-สายหลวงปู่มั่น
     

แชร์หน้านี้

Loading...