โสดาบัน คืออะไรถามหน่อย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อาหลี_99, 18 ธันวาคม 2007.

  1. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992
    บุคลที่ได้ โสดาบันคืออะไรหรือ ขอถามแบบมีๆมันนี้หละ ^-^
     
  2. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    โสดาบัน จะบรรลุธรรมได้ในไม่เกิน 7 ชาติ ถ้าเป็นโสดาบันได้ยังไง
    ก็ไม่ต้องนรกเเล้ว ศีล5เป็นปกติ ที่เหลือขอท่านผู้รู้มาบอกต่อด้วยนะครับ
     
  3. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
  4. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    ขออนุโมทนาบุญจากการให้ธรรมทาน ครับ
    สาาาาา...ธุ
    สาาาาา...ธุ
    สาาาาา...ธุ
     
  5. นายจั๊บ

    นายจั๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,110
    ตามลิงค์คำแนะนำของหลวงพ่อเลยครับ ไม่ยากๆนะ
     
  6. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    888
    ค่าพลัง:
    +1,937
    ขอตอบด้วยคำสั้นๆน่ะครับ ถ้าต้องการรายละเอียดก็ลองไปหาอ่านในพจนานุกรม

    โสดาบัน เป็นคำสมมุติ ที่กล่าวถึงบุคคลที่มองเห็นและยอมรับความจริงครั้งแรก ความจริงคือขันธ์ ๕ อันได้แก่ กายและใจ เป็นอนิจจัง ทุกขขัง อนัตตา โดยจะเห็นเพียงมุมใดมุมนึงก็ได้

    ถ้าผู้ใดมองเห็นความจริงตรงนี้แล้ว จะรู้ได้ว่า กายและใจ ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อรู้ว่ากายและใจไม่ใช่ของเราแล้วย่อมสามารถคลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ได้ตามลำดับ โดยผู้ที่มองเห็นความจริงครั้งแรกหรือตัดสังโยชน์เบื้องต่ำได้ ๓ ข้อ ในตำราเรียกบุคคลเหล่านี้ว่าพระโสดาบัน (คือผู้ที่เห็นความจริงว่ากาย ใจไม่ใช่ของเรา แต่ยังยึดอยู่)

    ถ้ามองเห็นความจริงครั้งที่ ๒ เรียกพระสกิทาคามี และครั้งที่ ๓ เรียกพระอนาคามี( ซึ่งในระดับนี้จะสามารถละกามได้เด็ดขาด ) และครั้งที่ ๔ ถือว่าปล่อยวางกาย ใจได้หมด เรียกว่า พระอรหันต์หรือเสขะบุคคล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2007
  7. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คำว่าโสดาบัน หากจะใช้ความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับพระธรรมปิฏกแล้ว ก็มีความหมายว่า"ผู้ถึงกระแสที่จะนำไปสู่นิพพาน, พระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล มี ๓ ประเภทคือ ๑.เอกพีซี เกิดอีกครั้งเดียว ๒.โกลังโกละ เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง ๓.สัตตักขัตตุปรมะ เกิดอีก ๗ ครั้ง เป็นอย่างมาก"

    แต่ถ้าหากจะตอบตามแนวทางหลักการส่วนตัวของข้าพเจ้าอันฝึกได้ผลดีแล้ว
    คำว่า"โสดาบัน" เป็นชื่อเรียก "ผล" แห่งการปฏิบัติธรรม ชั้นแรกสุด ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสองขั้น คือ 1.โสดาบัน ปฏิมรรค 2.โสดาบันปฏิผล คือ รู้เพียงแค่หนทางก่อน แล้วจึงรู้ ทั้งหนทางและผลแห่งหลักธรรมนั้นๆ
    ผู้บรรลุถึงชั้นโสดาบัน จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสออกจากร่างกายได้เป็นบางอย่างบางชนิดในทันทีที่ได้สัมผัสหรือประสบ ซึ่งก็ย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจในรายละเอียดแห่งหลักธรรมนั้นๆ แต่
    อาสวะแห่งกิเลสบางอย่างบางชนิด ก็ยังไม่สามารถขจัดออกมาได้ในทันที โดยเหตุที่ยังไม่รู้ซึ้งถึงแก่นแท้แห่งหลักธรรมนั้น ๆ หรือยังไม่สามารถฝึกฝนจนเกิดความชำนาญจนกลายเป็นกลไกอัตโนมัติ ต่อเมื่อฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ก็จะเข้าสู่ชั้น สกทาคามี อันสามารถ ขจัดกิเลสอย่างละเอียดได้
    (กิเลส มีทั้ง อย่างหยาบ และอย่างละเอียด)
    อนึ่ง ผู้บรรลุโสดาบัน เมื่อขจัดอาสวะแห่งกิเลส ก็จะเปล่งฉัพรรณรังสีออกมาเป็นแสงสีต่างๆกัน ด้วยฉะนี้
     
  8. n18_master

    n18_master เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +155
    สรุปจากลิงค์ด้านบนให้นะครับ
    บุคคลที่จะบรรลุโสดาบันได้ หรือเป็นพระโสดาบันแล้ว
    จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ครับ
    1.เคารพอย่างยิ่งในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    2.มีความมั่นคงในศีล ของตน ถ้าเป็นฆราวาสหรือคนธรรมดา
    ก็ ศีล 5 ไม่บกพร่องเลย ยอมตายไม่ยอมผิดศีลเด็ดขาด
    3.ระลึกถึงความตายอยู่เสมอเป็นประจำอย่างน้อยทุกวัน
    4.มีอารมณ์ต้องการพระนิพพานอย่างยิ่ง คือทำบุญ หรือทำความดี
    ทุกๆอย่างเพื่อพระนิพพานเท่านั้น
    หากกระทู้นี้พอจะมีคุณความดีอยู่บ้าง
    ขอยกคุณความดีให้ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    ครูบาอาจารย์ อันมีหลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นที่สุด
    หากมีความผิดพลาดอันใด ขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียวครับ
     
  9. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    เมื่อปุถุชนสิ้นสงสัยในพระรัตนตรัยอย่างสิ้นเชิง
    เพราะได้สัมผัสความจริงของจิตเดิมแท้ที่ไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ
    เห็นอาการต่าง ๆ ของจิตได้ชัดเจนว่ามีการปรุงขึ้นตามกิเลสตัณหาจนทำให้เกิดเวทนาทั้งหลาย
    จึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสภาวะจิตที่ปราศจากกิเลศอันเป็นจิตที่อยู่ในสภาวะนิพพาน
    เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงจิตผู้รู้ที่ปราศจากการปรุงแต่งใด ๆ ว่ามีความเป็นอยู่นิ่งอยู่อย่างไร
    เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้นแล้วจะเกิดหิริโอตตัปปะสำรวมระวังไม่ก้าวล่วงละเมิดศีลตามสถานะของตนเพราะรู้ว่าเป็นการนำตนให้ออกห่างจากสภาวะจิตเดิมแท้อย่างไม่ต้องสงสัย
    ถึงแม้ว่าจะยังละกิเลศใด ๆ ไม่ได้เลยแต่ความสำรวมระวังจะยับยั้งไม่ให้ทำสิ่งที่ก้าวล่วงศีลเลย
    ส่งผลให้มีความเพียรพยายามอยู่เนือง ๆ ที่จะกำจัดกิเลศทั้งหลายให้ออกไปจากสันดาน
    ต่อเมื่อชำระกิเลศให้เบาบางลงได้แล้วจึงได้ชื่อว่าเป็นสกิทาคามีบุคคล
    เนื่องจากการเห็นและความระลึกถึงภาวะนิพพานเป็นอารมณ์จะเกิดอิทธิบาท 4 ที่จะปลดปล่อยความยึดมั่นในขันธ์ทั้ง 5 อันเป็นทางแห่งการตัดกามราคะจนเบื้องปลายละอวิชชาได้สิ้นจึงจะจบกิจที่ต้องทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2007
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เรื่องนี้ ต้องให้ พระโสดาเองมาตอบถึงจะชัดเจน

    แต่ผมตอบให้ก่อน

    โสดาบัน คือ บุคคลธรรมดา แต่มีปัญญา มองเห็นสัจธรรม
    ซึ่ง เมื่อเห็นธรรมนั้นแล้ว ก็จะรู้เท่าทันต่อความเป็นจริง

    ไม่โง่ ไม่หลง ทำอะไรถูกทาง ไม่ตัดสินใจเรื่อยเปื่อย ตามยถากรรม หรือ แบบไม่รู้

    เรียกว่า ผู้แรกสัมมาทิฎฐิ หรือ มีความเห็นชอบ คือ มีปัญญาชอบ รู้ทางเดินในชีวิตตนเอง อีกทั้งยังช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย เพราะรู้วิถีแห่งสรรพสิ่ง

    ในทางตำรา บอกว่าจะต้องละสังโยชน์สามได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ทำลายความโง่สามประการ ในสันดานตนได้

    1 คือ สักกายทิฎฐิ คือ มองอะไรหยาบๆ เห็นอะไรก็คิดว่า สิ่งนั้นเป็นจริงเป็นจัง
    เช่น พอเกิดเรื่องราว ก็เห็นว่า เรื่องราวใหญ่โต จะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป
    ด้วยทิฎฐิเช่นนี้เอง จึงร้อนรน ตามสิ่งนั้นสิ่งนี้ คิดอะไรขึ้นมาได้ ก็เหมาเอาว่ามันเป็ฯจริงเป็นจัง ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ความคิด ผุดขึ้นก็ดับไป หาจริงไม่ได้ แบบนี้เรียกว่า คิดอะไรเป็นจริงเป็นจัง ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านั้น มันหาถาวรและเป็นตัวตนไม่

    2 วิจิกิจฉา คือ การที่ พอเราเห็นอะไรเป็นจริงเป็นจัง เราก็สงสัยว่า แล้วสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันมาได้อย่างไร ทำไมมันเป็นแบบนั้น ต่อไปจะเป็นอย่างไร
    ทีนี้ พอเข้าใจว่า สิ่งนี้ไม่มีตัวตน สิ่งที่ต่อจากสิ่งนี้ มันจะไปมีตัวตนได้อย่างไร แล้วเราจะมานั่งสงสัยมันหาพระแสงอะไรอยู่

    3 สีลพตรปรามาส คือ การถือข้อวัตรผิดๆ หรือ ยึดถือการกระทำที่ผิดๆ สืบเนื่องมาจาก การสงสัย หรือ วิจิกิจฉา พอสงสัยว่า ไอ้นั่นไอ้นี่คืออะไร มันจะทำอะไรเรา เราจะเป็นอย่างไร ทั้งความกลัว ความไม่รู้มันก็ผลักดันให้เราหาคำตอบแบบผิดๆ เราก็เชื่อแบบผิดๆ แก้ปัญหาแบบผิดๆ ถือ ศีลแบบผิดๆ เพราะปราศจากปัญญาหาเหตุนั่นเอง

    ก็หวังว่าจะเข้าใจคร่าวๆ ง่ายๆ นะ
     
  11. bunlert

    bunlert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +820
    อนุโมทนา สาธุ.........

    พูดดี ทำดี คิดดี
     
  12. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ได้อารม วิปัสสนาญาณทั้ง 16 เรียกว่าตายแล้วเกิดใหม่ในสมาธิ
    ก็จะได้ชื่อว่า โสดาบัน ครับ คนที่ผ่านตรงนี้ จะรู้ได้ด้วยตนเอง
    และอีก 7 ชาติที่ลงมาเกิดนั้นจะจำได้ด้วยว่าต้องปฏิบัติธรรม
    เพราะสะสมสติมาเยอะมากๆ อ้อลืมบอกไปนอกจากบุญและบาป
    ที่ติดตัวเราข้ามชาติได้ กำลังสติ ก็ติดตัวเราข้ามภพชาติได้เหมือนกันครับ
    เพราะฉะนั้นสะสมสติกันให้มากๆ นะครับ
     
  13. West Wind

    West Wind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +564
    ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ

    กำลังสังสัยอยู่พอดี ว่าคนธรรมดาๆจะรู้ได้อย่างไรว่าได้บรรลุระดับโสดาบันมาแล้วกี่ชาติ
    หากเกิดมาใหม่แล้ว ไม่ต่อยอด เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
    ที่ต้องยืดเส้นทางไปอีกแสนไกล :)
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ึคนธรรมดารู้ได้อย่างไรว่า เราบรรลุธรรมมาแล้วกี่ชาติ ตัวนี้แหละ คือ ตัวสงสัย ว่าอดีตเราจะเป็นอย่างไร อนาคตเราจะเป็นอย่างไร ถ้า พระโสดาบัน เกิดมาใหม่ ท่านจะไม่มีอารมณ์สงสัย ท่านจะปล่อยวางได้ เพราะเห็นว่า เราคิด เราสงสัยขึ้นนี้ ไม่มีแก่นสาร เรารู้มาเราได้อะไร ก็ไม่ได้อะไร
    เราจะทำอะไรต่อไป ขึ้นอยุ่กับวันนี้ และชาตินี้เท่านั้น
    พระโสดาบัน ท่านไม่มีอารมร์สงสัยแล้ว จะเกิดอีกกี่ชาตินั้น ไม่สำคัญ

    หลักของโบราณนั้น เวลาพุดอะไรท่านจะประมาณ เป็นตัวเลขประมาณ ทีนี้จะเกินเจ็ดชาติก็มี
    ต้องดุในตำราอื่นด้วยนะ
     
  15. West Wind

    West Wind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +564
    ท่าทางข้าพเจ้ายังห่างขั้นโสดาบันอีกมาก

    กับการเริ่มต้น
    ไม่สงสัย ก็ไม่เกิดคำถาม
    ไม่มีคำถาม ก็ไม่รู้คำตอบ
    ไม่มีคำตอบ ก็หาหนทางไม่เจอ

    ระดับการเรียนรู้ และ เข้าใจ ของแต่ละคนนั้นลึกซึ้งนะคะ
     
  16. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    หุหุ ปฏิบัติมากๆ อย่างน้อยๆ มาเจอเวปนี้ คุยเรื่องธรรมะ ก็ถือว่ามีบุญแล้ว
    ที่ได้มาเจอและปฏิบัติ ไม่ต้องรีบไม่ต้องเร่ง ของเก่าจะค่อยๆ มาเองครับ
    เมื่อเวลานั้นมาถึง
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คำถาม ที่นำไปสู่คำตอบที่เป็นแนวทาง คนละเรื่องกับการสงสัยที่จะหาคำตอบไปไมุ่ึถึงปลายทาง

    ตัวอย่าง

    ตัวเลขเอามาบวกกันทำอย่างไร

    ตัวเลขตัวนี้ ทำไมต้องเขียนแบบนี้
     
  18. gitti

    gitti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ขอถามต่ออีกนิดนะคะ เคยอ่านเรื่องที่หลวงพ่อท่านเล่ามาหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับท่านที่บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว พอบรรลุได้ไม่นานก็จะมีอันต้องทำให้ถึงแก่ความตาย และได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ตามแต่บุญและศรัทธา อันนี้ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่าคะ ถ้าเป็นไปตามนี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคะ หากว่าเข้าใจผิดไปก็ขอกราบขออภัยมาด้วยนะคะ สาธุๆ
     
  19. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992
    <TABLE class=tborder id=post437842 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>tamsak<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_437842", true); </SCRIPT>
    ทีม พระไตรปิฏก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 07:46 PM
    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: Bangkhen, Bangkok
    อายุ: 44 ปี
    ข้อความ: 3,302 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 47,799 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 35,364 ครั้ง ใน 2,924 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 4964 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_437842 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ของฝากปีใหม่จากหลวงพี่เล็ก 2
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ขออนุญาตนำสิ่งที่หลวงพี่เล็กได้กล่าวต่อญาติโยมและลูกศิษย์ลูกหาที่ไปถวายสังฆทาน ณ บ้านอนุสาวรีย์ ซึ่งคุณ "นางมารร้าย" ได้นำไปพิมพ์ไว้ในกระโถนข้างธรรมาสน์มาให้อ่านกัน ถือเป็นของฝากปีใหม่จากหลวงพี่เล็กครับ.

    [​IMG][​IMG]

    พระครู ธรรมธรเล็ก สุธัมมปัญโญ



    ''จิตใจคนเรา ต้องมีสิ่งดีให้ยึดเกาะ ไม่มีอะไรเกาะก็ไม่มีอะไรปล่อยวาง
    การจะไปถึงนิพพานต้องปล่อยวางทั้งดีและไม่ดี และถ้าไม่ยึดเกาะสิ่งดีไว้ก็อาจทำให้ใจมุ่งไปเกาะในสิ่งไม่ดี เกิดโทษกับชีวิต ฉะนั้นต้องเกาะความดีเอาไว้ พอได้จังหวะพอดีก็ค่อยปล่อย เพื่อจะหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดไปสู่พระนิพพาน ''



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2007
  20. yougon

    yougon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +21
    เมื่อได้ปํญญา หรือ มีความรู้ที่ดับทุกข์ได้แล้วนำมาฝึกปฏิบัติจนเกิดผล สามารถดับอวิชชาได้อย่างแท้จริง เรียกว่า สักกายะทิฐิดับ ก็ไม่ต้องมีอะไรสงสัยในพระธรรมคำสอน จึงยกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้เหนือหัว เรียกว่า วิจิกิจฉาดับ ความสงสัยในพระธรรมคำสอนก็ไม่มี ความเป็นอยู่ก็เปลี่ยนไปตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเรียกว่า สีลพรตปรามาสดับ...น่าจะเป็นคุณสมบัติของโสดาบันบุคคล ลองไปพิจารณาดูนะครับ....
    "ไม่เที่ยง เกิด ดับ"
     

แชร์หน้านี้

Loading...