<VSN><<<มาใหม่ สายเขาอ้อ อ.ชุม,อ.ปาล,อ.คง, สรุปรายการหน้า๑๐๓>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 25 ธันวาคม 2010.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]
    ประวัติหลวงปู่ลี ตาณํกโร
    วัดป่าหัวตลุก อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์


    ปฐมวัย

    หลวงปู่ลี ตาณํกโร มีนามเดิมว่า ลี นามสกุล ถุวัตถี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2479 ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 2 ปีฉลู ณ บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่2 บ้านนาฝายเหนือ ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โยมบิดาชื่อ นายเคน ถุวัตถี โยมมารดาชื่อ นางอ่อนจันทร์ ถุวัตถี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด 8 คน เป็นชาย 5 คน และหญิง 3 คน ดังนี้

    1. นางอบมา บูรพันธ์ (ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม
    2. นายบุญตา ถุวัตถี ถึงแก่กรรม
    3. นางคำภา ม่องคำหมื่น(ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม
    4. นายบุญเส็ง ถุวัตถี ถึงแก่กรรม
    5. นายอังคาร ถุวัตถี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อ-สกุลเป็น นายวิธาน สุชีวคุปต์และเป็นข้าราชการบำนาญมหาวิทยาลัยรามคำแหง)
    6. หลวงปู่พุฒ ฐานิสฺสโร มรณภาพ
    7. หลวงปู่ลี ตาณํกโร สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุก
    8. นางบุญนาง ทองสงคราม อาชีพทำนา ปัจจุบันอาศัยที่บ้านนาฝายเหนือ

    เด็กชายลีต้องกำพร้าบิดาในขณะที่อายุได้เพียง 3 ขวบ ซึ่งยังเล็กมาก จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของโยมมารดาและพี่ๆ ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลครอบครัว และอบรมสั่งสอนเด็กชายลีมาโดยตลอด จนเมื่ออายุครบเกณฑ์ที่จะต้องเข้าโรงเรียน

    เด็กชายลีเริ่มต้นเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล 19 วัดบ้านนาฝายเหนือ หมู่ที่ 2 ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีนายสมาน พินิจมนตรีเป็นครูใหญ่ในขณะนั้น จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ออกจากโรงเรียนแล้วมาช่วยครอบครัวทำนา

    เด็กชายลีเป็นเด็กที่ชอบเล่นสนุก ชอบพูดจาหยอกเย้าเพื่อนฝูง แต่ไม่เคยรังแกเพื่อนหรือทำร้ายใคร แต่กลับเป็นเด็กที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวด ไม่ชอบมีเรื่องชกต่อยและเป็นเด็กที่รู้จักกลัวในบาปบุญคุณโทษ โดยเฉพาะเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฟังนิทานสอดแทรกคำสอนจากหลวงปู่จันดี ซึ่งเป็นตาของเด็กชายลี ทำให้เด็กชายลีซึมซับธรรมะมาโดยไม่รู้ตัว หล่อหลอมให้เด็กชายลีมีจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรมและยังได้คอยชี้แนะเพื่อนๆไม่ให้ทำบาปอีกด้วย

    เหมือนโชคชะตากำหนดให้เด็กชายลีต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนา ทำให้แคล้วคลาดจากเหตุการณ์ที่เกือบคร่าชีวิตไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น

    วันหยุดเรียนวันหนึ่ง เพื่อนๆได้ชักชวนเด็กชายลีไปยังทุ่งนาเพื่อเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก และอาจจะได้กบหรือเขียดไปประกอบอาหารเป็นของแถม ขณะที่กำลังเดินอยู่บนคันนานั้น สายตาของเด็กชายลีก็เหลือบไปเห็นรูบนพื้นดิน ด้วยความสงสัยว่าจะมีกบหรือเขียดอยู่ในรู จึงเอามือขวาล้วงเข้าไป แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อสัตว์ที่อยู่ในรูนั้นไม่ใช่กบหรือเขียด หากเป็นงูเห่าที่ฉกกัดนิ้วกลางของเด็กชายลีทันที

    ในสมัยนั้นยังไม่มีโรงพยาบาล ครอบครัวจึงต้องให้หมอยาพื้นบ้านมาทำการรักษา แต่พิษงูเห่าแผ่ซ่านทำให้เด็กชายลีเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว แต่เหมือนปาฏิหาริย์ เด็กชายลีมีอาการทุเลาดีขึ้นและหายเป็นปกติในที่สุด เหลือเพียงนิ้วกลางที่หงิกงอไม่สามารถเหยียดตรงได้เหมือนนิ้วอื่นเป็นร่องรอยมาจนถึงปัจจุบันนี้เท่านั้น การรอดชีวิตดังกล่าวจึงเหมือนเป็นการสะสมบารมีธรรมมาเพื่อบวชเรียนในพระพุทธศาสนา ดังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ว่า “สัตว์ผู้มีภพในที่สุด จะไม่เป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพานเสียก่อน”

    เข้าสู่ร่มกาสวพัสตร์
    ออกจากบ้านมุ่งหน้ามาสู่วัด
    เพราะวัดดัดอารมณ์ที่งมโง่
    ยอมเป็นวัวเขาหลุดดุจคนโซ
    หมดพยศ หมดโก้ หมดเกียรติงาม
    ออกจากบ้านเข้าป่าสงบเงียบ
    เพื่อฝึกจิตให้เรียบดังมุ่งหมาย
    ออกจากบ้านไปหาที่ไม่มีตาย
    จิตกับกายก็ต้องพรากจากกันเอย

    เมื่อเติบใหญ่และเจริญวัยจนอายุสมควร เด็กชายลีจึงได้ตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุประมาณ 19 ปีเพื่อศึกษาธรรมะและพระปริยัติธรรม ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาฝายเหนือ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยมีพระอาจารย์บุญมา กลฺลญาโณ น.ธ.เอก เป็นเจ้าอาวาสและเป็นครูผู้สอนพระปริยัติธรรม

    สามเณรลีได้ศึกษาหลักสูตรนักธรรมตรี ต่อเนื่องถึงนักธรรมโทแต่ตัดสินใจไม่ศึกษาต่อในชั้นนักธรรมเอก เนื่องจากต้องการที่จะศึกษาวิปัสสนากรรมฐานมากกว่าการเรียนปริยัติธรรมและภาษาบาลีที่กำลังตื่นตัวกันมากในสำนักเรียนวัดโพธิ์ชัย ดังนั้นในปี พ.ศ. 2502 สามเณรลีในขณะนั้นจึงได้ออกเดินทางจากวัดโพธิ์ชัยไปอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโนเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตัวเอง

    การปฏิบัติธรรม
    พระราชาในกลดน้อย
    กลดหนึ่งคันนี้หรือคือปรางค์มาศ
    แม้เสื่อขาดเปรียบที่นอนอันอ่อนนุ่ม
    มีมุ้งห้อยย้อยยานต่างม่านคลุม
    มีบาตรอุ้มเปรียบเช่นเป็นโรงครัว

    การเบนเข็มชีวิตในร่มกาสวพัสตร์สู่พระนักปฏิบัติไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล สืบเนื่องจากวันหนึ่งหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการเรียนการสอบนักธรรม สามเณรลีได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว และได้รับรู้ข่าวร้ายที่สะเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก นั่นคือ พี่สาวได้เสียชีวิตจากการคลอดลูก

    ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักโดยมิได้คาดฝัน ทำให้สามเณรลีคิดถึงสัจธรรมของชีวิตข้อหนึ่งว่า “สิ่งใดมีเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา” หลังจากนั้นสามเณรลีได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ากลับวัดโพธิ์ชัยด้วยระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร เป็นการเริ่มต้นสละภาระของชีวิต และได้ออกเดินทางสู่ป่าช้าบ้านหนองโนในปี พ.ศ. 2502

    ก่อนที่จะออกเดินทางนั้น สามเณรลีได้พูดกับโยมมารดาและญาติพี่น้องอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เบิ่งดูหน้าข้อยให้คักๆเด้อ ครั้นข้อยบ่ได้เห็นธรรม สิบ่มาให้พวกเจ้าเห็นหน้าอีก” คำพูดนี้เป็นเหมือนการให้สัจจะปฏิญาณเพื่อที่จะเริ่มต้นศึกษาและปฏิธรรมอย่างจริงจังของหลวงปู่ลี

    หลวงปู่ลีได้เดินทางมาอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโน ห่างจากบ้านนาฝายเหนือประมาณ 3 กิโลเมตรและได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทองสุข สิริจนฺโท วัดป่าบ้านหนองโน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น

    หลวงพ่อทองสุขเป็นพระปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ป่าช้าฉันเอกามื้อเดียว นั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนาเป็นหลัก เป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของชาวบ้านโดยทั่วไป เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อำเภอเมือง จังหวัดเลย ซึ่งเป็นศิษย์สายบูรพาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    ภายหลังหลวงปู่ลีได้ขาดการติดต่อกับญาติพี่น้อง และไม่มีใครทราบว่าท่านได้บวชเป็นพระภิกษุตั้งแต่เมื่อใด แต่ญาติพี่น้องก็มิได้เป็นห่วงเนื่องจากเห็นว่าท่านได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและงดงามดีแล้ว รับรู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีได้เดินธุดงค์ไปจำพรรษาตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดป่าบ้านไร่ย็อก อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี และอีกหลายแห่งในจังหวัดนครพนม ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่ออกเดินทางจาริกแสวงบุญไปเรื่อยๆ ไม่อยู่อาศัยประจำที่ อันแสดงถึงความไม่ยึดติด

    ดังที่ท่านได้เคยเล่าให้บรรดาศิษยานุศิษย์ฟังดังนี้

    ปีพ.ศ. 2503 หลวงปู่ลีซึ่งมีอายุได้ 21 ปีได้ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนได้มีโอกาสกราบศึกษาธรรมะจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีอายุประมาณ 59 ปีในขณะนั้น

    ปี พ.ศ. 2504 เมื่อหลวงปู่ลีเดินธุดงค์จนถึงอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีโยมถวายปัจจัย แต่หลวงปู่ลีไม่รับ เนื่องด้วยหลวงปู่มีปฏิปทาไม่จับเงินทอง โยมจึงถวายเป็นตั๋วรถไฟ หลวงปู่ลีจึงขึ้นรถไฟเดินทางไปถึงเพียงจังหวัดอุตรดิตถ์เท่านั้น หลังจากนั้นก็เดินธุดงค์ต่อไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ และจำพรรษาที่ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับถ้ำผาปล่อง ในอำเภอเชียงดาว โดยในหนังสือบูรพาจารย์ได้บันทึกถึงความสำคัญของถ้ำปากเปียงเอาไว้ว่า

    “เมื่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้พักบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำเชียงดาวพอควรแล้ว ท่านได้จาริกผ่านมาบริเวณวัดถ้ำปากเปียง ต่อมาท่านได้ปรารภกับหลวงปู่แหวนว่า ถ้ำปากเปียงเป็นถ้ำที่เป็นมงคล มีพระอรหันต์มาดับขันธ์ที่นี้”

    หลวงปู่ลีได้จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงอยู่แต่เพียงรูปเดียว ท่ามกลางสภาพที่เป็นป่าเขา เงียบสงัดและเหมาะสมแก่การภาวนายิ่งนัก และท่านได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นพระป่ากรรมฐานสายบูรพาจารย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่แว่น ธนปาโล (วัดถ้ำพระสบาย อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง) ขณะที่หลวงปู่ลีมีอายุได้ 24 ปี หลวงปู่สิมมีอายุได้ประมาณ 59 ปี และหลวงปู่แว่นมีอายุได้ประมาณ 50 ปีเศษ

    หลวงปู่ลีมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมและรับใช้หลวงปู่สิมอย่างอดทน ไม่เห็นแก่ความยากลำบากของการเดินทางสู่ถ้ำผาปล่องที่ต้องปีนป่ายเชิงเขา เมื่อฝนตกทำให้พื้นลื่น ก็ทำให้ไถลลงมา สองข้างทางก็เป็นป่าเขารกชัฏ ไม่ได้มีไฟฟ้าส่องสว่างหรือเป็นทางคอนกรีตสะดวกสบายอย่างเช่นทุกวันนี้

    หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงและศึกษาพระธรรมจากหลวงปู่สิมและหลวงปู่แว่นได้ 1 ปี โดยหลวงปู่สิมได้กล่าวแก่หลวงปู่ลีอันมีนัยยะเป็นปริศนาธรรมเอาไว้ในคราวที่หลวงปู่ลีสรงน้ำถวายหลวงปู่สิมว่า “คุณลี ภาวนาดีๆ ปฏิบัติตัวให้เหมือนพระพุทธรูป”

    ปี พ.ศ. 2505 ปฏิบัติธรรมที่อำเภอหนองบัวโคก จังหวัดชัยภูมิ
    ปี พ.ศ. 2506 ปฏิบัติธรรมที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
    ปี พ.ศ. 2507 ปฏิบัติธรรมที่เขาช่องลม จังหวัดลพบุรี

    ระยะเวลาหลังจากนี้ไม่มีใครทราบว่าหลวงปู่ลีได้ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ใดบ้าง เนื่องจากปกติแล้วหลวงปู่ลีไม่ค่อยได้อธิบายประวัติส่วนตัวมากนัก ด้วยอุปนิสัยที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวดนั่นเอง

    ปี พ.ศ. 2511-2512 หลวงปู่ลีได้เดินทางไปหาพระพี่ชาย (พ่อใหญ่วิธาน) ซึ่งได้บวชเป็นพระสงฆ์อยู่ในขณะนั้นที่วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องขอญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย ซึ่งพระพี่ชายได้แนะนำไปว่าให้ไปญัตติเป็นธรรมยุติกนิกายที่วัดสุรพิมพาราม ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เนื่องจากมีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายโยมแม่ซึ่งได้แก่คุณน้าอาจารย์โฮม เป็นผู้อุปถัมภ์วัดอยู่ รวมทั้งมีพระอุปัชฌาอาจารย์ที่เคร่งครัด เคารพพระธรรมวินัย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ดังนั้นในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2512 เมื่อหลวงปู่ลีมีอายุได้ 32 ปีเศษ จึงได้ขอญัตติจตุตถกรรมใหม่เป็นพระสงฆ์ในธรรมยุตินิกายที่วัดสุรพิมพาราม โดยมีพระครูสารเมธากร (ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณประสาทสารคุณ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์ชนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูคุณสารวิจิตรเป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า “ตาณํกโร” ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ต่อสู้เอาชนะซึ่งกิเลส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อใหญ่วิธานได้ให้ข้อมูลอีกว่า ภายหลังจากที่ท่านได้ลาสิกขามาใช้ชีวิตเป็นฆราวาสในทางโลก มีครอบครัว ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ลี แล้วก็ได้รับคำตักเตือนให้สติจากหลวงปู่ลีว่า “พี่กำลังหลงระเริงไปตามวิถีโลก” คำเตือนนี้พ่อใหญ่วิธานได้จดจำไม่รู้ลืมมาจนถึงทุกวันนี้

    ปี พ.ศ. 2516 ปฏิบัติธรรมที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นพื้นที่สีแดง ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังปราบปรามผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์

    ปี พ.ศ. 2520- พ.ศ. 2524 ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย และได้ปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆในละแวกใกล้เคียงวัดหินหมากเป้ง เช่น ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท วัดลุมพินี เป็นต้น โดยเมื่อถึงวันลงอุโบสถ ท่านก็จะมาลงอุโบสถที่วัดหินหมากเป้ง โดยมีเพียงแคร่ไม้ กระท่อมพอกันแดด กันฝน ไม่มีไฟฟ้าให้แสงสว่าง ใช้น้ำฝน หากอยู่ในป่าช้าก็ใช้น้ำที่ขังตามหลุมบ่อในป่าช้านั้นเอง แตกต่างจากกุฏิที่พักอาศัยในทุกวันนี้ที่เหมือนพระเศรษฐี ดังที่หลวงปู่ลีมักกล่าวแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเสมอ

    ปี พ.ศ. 2523 ปฏิบัติธรรมพักอาศัยที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ได้ฝันไปว่ามีไฟไหม้พระพุทธรูป เมื่อรุ่งเช้าญาติโยมที่มาทำบุญได้นำหนังสือพิมพ์มาถวาย จึงได้ทราบข่าวเรื่องพระสงฆ์สุปฏิปันโนสายบูรพาจารย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้แก่หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ หลวงปู่วัน อุตฺตโม หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร พระเถระและพระนวกะรวม 7 รูป ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกมรณภาพทั้งหมด ที่ตำบลคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งหลวงปู่ลีเคยได้มีโอกาสกราบหลวงปู่จวนมาแล้ว

    บางครั้งในระหว่างการธุดงค์จากภาคเหนือสู่ภาคอีสานนั้น หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล จนค่ำมืดแล้วไม่พบหมู่บ้าน ท่านจึงปักกลดพักแรมข้างทางซึ่งเป็นป่าทึบ พอรุ่งเช้าได้ยินเสียงไก่ขันจึงรู้ว่ามีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ จึงได้ออกบิณฑบาต และถามถึงสถานที่แห่งนั้น จึงได้รู้ว่าท่านได้ปักกลดที่สี่แยกหนองบัวโคก อำเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งต่อมาโยมก็ได้นิมนต์ให้หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่นี่ด้วยความศรัทธา และหลวงปู่ก็รับนิมนต์ อันแสดงถึงคุณลักษณะของการเดินธุดงค์ที่ไม่ยึดติดในสถานที่ใดๆของหลวงปู่ลีนั่นเอง

    ปี พ.ศ. 2524 ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ สภ.อ.ลานสัก จังหวัดอุทัยธานี (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้จัดซื้อที่ดินมา 1 แปลงเพื่อจัดสร้างวัด โดยได้ปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่เกี่ยวกับการที่จะกราบนิมนต์พระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติดีงามมาจำพรรษา ในที่สุดก็ได้รับคำแนะนำให้นิมนต์หลวงปู่ลี ตาณํกโร และหลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ(วัดป่าศรีอุดมรัตนาราม ตำบลทมนางาม อำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี) มาจำพรรษา โดย ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ได้เดินทางไปนิมนต์ด้วยตนเอง แต่หลวงปู่ทั้งสองรับนิมนต์มาจำพรรษาได้ไม่นานนัก ก็แยกย้ายกันเดินธุดงค์ต่อไป โดยหลวงปู่ลีได้เดินธุดงค์มาปักกลดพักอาศัยที่ป่าหัวตลุก อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ในช่วงเวลาก่อนเข้าพรรษา 16 วัน

    สภาพป่าหัวตลุกในขณะนั้นเป็นพื้นที่แน่นขนัดไปด้วยป่ามะพร้าว แต่หลวงปู่ลีก็ตั้งจิตมั่นที่จะปักกลดปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่นี่ ณ บริเวณต้นมะม่วงใหญ่ (ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันในบริเวณด้านหลังกุฏิของหลวงปู่ลี) ซึ่งป็นที่ดินในกรรมสิทธิ์ของนายเล็ก ชื่นสุขุม ต่อมาเมื่อญาติโยมชาวบ้านทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์มาปักกลด จึงได้ร่วมกันปลูกสร้างกระท่อมมุงหลังคาแฝกให้หลวงปู่ลี

    ในช่วงแรกที่หลวงปู่ลีมาปักกลดที่ป่าหัวตลุก ได้มีพระผู้ปกครองเขตตำบลลาดยาว เดินทางมาตรวจสอบโดยสอบถามชาวบ้านว่าหลวงปู่ลีได้เรี่ยไรเงินทองจากชาวบ้านหรือไม่ มีการกระทำผิดกฏของสงฆ์ประการใดบ้างหรือไม่ เพราะในขณะนั้นสภาพสังคมเต็มไปด้วยผู้ไม่ประสงค์ดีต่อประเทศชาติแอบแฝงมาในรูปแบบต่างๆ เป็นความจำเป็นที่พระผู้ปกครองจะต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่คำตอบที่ได้รับจากชาวบ้านคือ หลวงปู่ลีดำรงตนเป็นพระสงฆ์ที่มีวัตรงดงามและน่าศรัทธา โดยหลวงปู่ลีได้เคยจดบันทึกถึงเหตุการณ์ในขณะนั้นเอาไว้ว่า

    “การมาสร้างวัดครั้งแรกก็มีปัญหามากมาย บางคนเขาก็ว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ก็มี พวกญาติโยมเขาก็พูดไปตามกิเลสของเขานั้นเอง ญาติโยมเขาเห็นเราเป็นของแปลก เป็นคนแปลก เขาว่าพระอะไรไปอยู่ป่า พระต้องอยู่วัด ตอนแรกๆสถานที่อาตมาอยู่นี้เป็นป่า ญาติโยมปลูกกระท่อมให้อยู่ พอหลายปีไปญาติโยมเขาก็ค่อยรู้ไปเอง ครั้งแรกญาติโยมเขายังไม่รู้ ถ้าเขารู้เขาก็มีความภูมิใจที่เขาได้อุปัฏฐากเรา เขาว่าหลวงพ่อมาอยู่ทางนี้เป็นโชคดีของผม เป็นโชคดีของฉัน คนเราจะรู้ว่าคนร้ายคนดี ต้องอยู่ไปนานๆจึงรู้ ครั้งแรกก็ย่อมไม่รู้ คนเห็นกันครั้งแรกจะว่าดีเลยใช้ไม่ได้”

    ต่อมาหลวงปู่ลีได้ตั้งสำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกขึ้นบนเนื้อที่เพียงประมาณ 2 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน ญาติโยม ศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันทำบุญจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมจนมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 38 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา และอยู่ในระหว่างขั้นตอนขอจัดตั้งเป็นวัดจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

    ตอกย้ำความเป็นพระนักปฏิบัติที่มากด้วยบารมีและมุ่งมั่นเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

    พระอาจารย์อุทัย ฌานุตฺตโม (พระอาจารย์ติ๊ก) วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ได้เมตตาเล่าประวัติการปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่ลี ตาณํกโร เมื่อครั้งเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่โดยผ่านจังหวัดนครสวรรค์ ให้กับคณะศิษย์ได้ฟังเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ณ ภัตตาคารเล่งหงส์ว่า

    ประมาณปีพ.ศ.2520 หลวงปู่ลีได้ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชีงใหม่ จังหวัดหนองคาย โดยได้ศึกษาปฏิบัติก่อนหน้าพระอาจารย์อุทัย ในช่วงที่อยู่ในวัดหินหมากเป้งนั้น มีหลายครั้งที่หลวงปู่ลีออกเดินจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดลุมพินี วังน้ำมอก วัดป่าราชนิโรธเทสรังสี ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท ฯลฯ จนเมื่อหลวงปู่เทสก์จะรื้อศาลาไม้เพื่อก่อสร้างเป็นศาลาคอนกรีต หลวงปู่ลีก็ได้ไปกราบลาขออนุญาตหลวงปู่เทสก์ออกธุดงค์ไปยังป่าเขาต่างๆ หลวงปู่เทสก์ก็ได้อนุญาต ตั้งแต่นั้นมาพระอาจารย์อุทัยก็ไม่ได้เจอกับหลวงปู่ลีอีกเลย รู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีเคยปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพลอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย เป็นต้น

    พระอาจารย์อุทัยยังได้เล่าอีกว่า ปกติหลวงปู่ลีเป็นพระสงฆ์ที่พูดน้อย ไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องอะไร เยือกเย็น ไม่ชอบมีปากเสียงกับใคร ไปเร็ว มาเร็ว ไม่ยึดติด ชอบวิเวก มุ่งมั่นปฏิบัติละกิเลส ไม่สะสม มุ่งเน้นการพิจารณากายและจิต เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เมื่อครั้งที่ร่วมปฏิบัติธรมกับหลวงปู่ลี เคยฉันข้าวลิงด้วยกัน กล่าวคือมีข้าวนิดเดียวเท่านั้น แล้วต้องนำน้ำเปล่าเทลงไปให้ผสมกับข้าวในบาตรให้ข้าวพองจะได้มีปริมาณมากขึ้น จะได้อิ่มท้องไม่เกิดทุกขเวทนาขณะปฏิบัติธรรม จากที่เคยอยู่ร่วมกันก็ต่างคนต่างอยู่ กุฏิใครกุฏิมัน ไม่มีการพูดคุยสุงสิงนินทาใคร ต่างมุ่งปฏิบัติรีบเร่งความเพียรแต่เพียงอย่างเดียว จากกันไปนานเกือบ 30 ปี มาพบกับหลวงปู่ลีอีกครั้งเมื่อคราวก่อนสร้างศาลาใหญ่ วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เมื่อปีพ.ศ 2549 นี้เอง

    หลวงปู่เถื่อน กนฺตสีโล วัดพระธาตุหินเทิน อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ได้เมตตาให้สัมภาษณ์แก่นายประทิน พรมชาติ เจ้าของอู่ศุภชัยรุ่งเรืองการช่าง อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และนายวิสุทธิ สินเพ็ง รองปลัดเทศบาลนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 9 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 10.00 น. ณ วัดพระธาตุหินเทิน ซึ่งได้เรียบเรียงจากการถอดเทปคำสัมภาษณ์ได้ดังนี้ว่า ท่านเคยนิมิตเห็นหลวงปู่ลีขณะกำลังปฏิบัติธรรม

    “ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นปีแรกที่อาตมามาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้เจอท่านหรอก เพราะตัวเองประสบการณ์ก็ยังมีน้อยก็เลยมาปฏิบัติ ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ตอนอาตมาเดินจงกรม (ณ ป่าที่วัดพระธาตุหินเทิน) เห็นเป็นลำแสงพุ่งขึ้นมาจากในป่า มองเห็นด้วยตาเปล่า อาตมาก็ว่าเอ๊ะ! มีอะไรมาทำให้เกิดขึ้นนะ

    ปี พ.ศ. 2547 ก็เลยมานิมิตขึ้นมาอีกว่าไปเจอพระรูปร่างสูงขาว เห็นท่านเดินจงกรมอยู่รอบเขา อาตมาก็ไม่ได้ใส่ใจ ท่านก็เดินไปเดินมา พอเห็นเป็นพระท่านก็หายตัวไปในก้อนหินที่ในป่า ในนิมิตนะ คืออาตมาก็ไม่ได้พูดอะไร เหมือนหลวงปู่ลีท่านแสดงอยู่ หรือมาสอนอะไรก็ไม่รู้นะ ท่านก็เดินไปเดินมาแล้วหายเข้าไปนั่งสมาธิในก้อนหิน ท่านก็ไม่พูดอะไร ท่านก็นั่งดู เราก็ดูท่าน ท่านก็เลยนอน ในนิมิตท่านเป็นอัมพาตนะ ท่านเป็นอัมพาตนี้ท่านก็ดูสดใสดี อาตมาก็คิดว่าท่านเป็นอัมพาตยังไงเดินจงกรม หายไปหายมาได้ อาตมาก็เลยเกิดศรัทธาก็เลยเข้าไปกราบแล้วนมัสการพูดคุยกับท่าน

    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อเป็นอีหยัง”
    หลวงปู่ลี “ผมพิการ เป็นมานานแล้ว”
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อไม่มีคนดูแลแล้วหลวงพ่ออยู่ยังไง”
    หลวงปู่ลี “ผมก็อยู่ยังงี้ของผมก็อยู่อย่างสบายๆผมไม่ได้ยึดมั่นในสังขารผมก็สบายดี”
    หลวงปู่เถื่อน “เวลากินอาหาร ฉันอาหารล่ะ ใครเอามาให้”
    หลวงปู่ลี “ก็ฉันเท่าที่มี บางทีก็ไม่ฉัน ผมก็อยู่อย่างงี้ของผม” (แล้วท่านก็พูดในเรื่องธรรมะว่าสังขารร่างกายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อปฏิบัติธรรมไปถึงไหนแล้วล่ะ”
    หลวงปู่ลี “ผมสามารถรู้นะ”
    หลวงปู่เถื่อน “รู้อะไรล่ะหลวงพ่อ”
    หลวงปู่ลี “รู้ว่าคนจะไปสวรรค์น่ะ”
    หลวงปู่เถื่อน “อ้าว รู้ได้อย่างไร”
    หลวงปู่ลี “คนที่จะไปสวรรค์น่ะต้องผ่านผม”
    หลวงปู่เถื่อน “งั้นผมจะรู้ได้ไงว่าที่ไปสวรรค์ต้องมาผ่านหลวงพ่อ”
    หลวงปู่ลี “มีอยู่ 2 คนในหมู่บ้านที่ท่านไปอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ จะได้ไปสวรรค์”(แล้วท่านก็ได้บอกชื่อคนที่จะได้ไปสวรรค์)
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อรู้ได้ยังไง”
    หลวงปู่ลี “เขามาหาผม”
    ..........................................................................

    อาตมาได้ถามในนิมิตต่อว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าเป็นคนขอนแก่น ท่านมีรูปร่างสูงขาว เห็นท่านก็ยังไม่รู้หรอกว่าเป็นหลวงพ่อลี ก็เกิดนิมิตอันนี้แหละ ว่าเอ้อ! นิมิตเราต้องมีพระมาหาเรา ไม่รู้ว่าเป็นดวงจิตหลวงพ่อมาหาอาตมาบ่อยมาก มาครั้งแรกบอกว่ามาเที่ยวดูเห็นเธอ อาตมาก็ถามว่าหลวงพ่ออยู่วัดไหน ท่านก็ตอบว่าวัดหัวตลุกนั่นแหละ หลวงพ่อมาดูเธอนั้นแหละ มาดูวัดทุ่งหินเทิน....

    หลวงพ่อลีมาให้ธรรมะ เมื่ออาตมาได้เห็นท่านองค์จริงๆก็เห็นว่าร่างที่เห็นกับในนิมิตเหมือนกันกับท่าน จึงถามท่านว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่นหรือ ท่านก็บอกว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่น ได้เห็นมหัศจรรย์ก็เห็นหลวงพ่อลีนี่แหละมาปรากฏให้เห็นในนิมิตก่อน

    อาตมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อลีเมื่อปี พ.ศ.2547 ตอนนั้นยังอยู่กุฏิเก่า โดยโยมพาไป ไปเจอท่านท่านก็ไม่ค่อยพูด ไปนั่งรออยู่ 1-2 ชั่วโมงกว่าท่านจะออกมาจากกุฏิ อาตมาก็กราบท่าน ก็เป็นองค์เดียวกับในนิมิตเลย แล้วก็บอกว่าจะมาปฏิบัติธรรมะกับหลวงพ่อ และเล่านิมิตให้หลวงพ่อฟังอย่างที่เล่ามานี่แหละ ถ้าอาตมาไม่นิมิตก็ไม่รู้ ตั้งแต่มาก็ไม่ได้นิมิตถึงใครเลย ได้กราบหลวงพ่อลีคนเดียวนี่แหละ หลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ บอกว่าไม่มีใครมาพูดอย่างอาตมา แล้วบอกว่าอาตมาพูดถูกแล้ว ไม่ได้สอนอะไรมาก

    อาตมาได้นิมิตถึงหลวงพ่อลีก็ป็นสิ่งดี เพราะอาตมาก็ห่างจากครูบาอาจารย์มานาน สิ่งที่เห็นในนิมิตทำให้เห็นถึงสัจธรรม หลวงพ่อลีได้แสดงให้เห็นว่าเดินจงกรม นั่งสมาธิ เห็นตอนแรกก็ไม่ศรัทธา เพราะคิดว่าเป็นพระธรรมดา พอท่านแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติก็รู้สึกศรัทธาท่าน เชื่อมั่นว่าพระองค์นี้ต้องมีอะไรดีแน่ๆ จึงเข้าไปกราบแล้วถามท่านถึงร่างกายว่าเป็นอะไร ท่านตอบว่ามันเป็นสภาพของสังขาร เราไม่มีอำนาจเหนือมัน ท่านพูดในนิมิตอย่างนี้”

    เดินทางสู่อินเดีย “ต้นกำเนิดพระรัตนตรัย”

    อินเดีย คือ จุดหมายปลายทางสำคัญที่ครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้ที่อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์จะต้องเดินทางไปสัมผัสให้ได้ หลวงปู่ลีก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน จึงได้เดินทางไปอินเดีย เพื่อไปศึกษาสังเวชนียสถานที่สำคัญของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้จะต้องใช้ความอดทนทั้งทางกายและใจมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ท่านก็มิได้ย่นย่อ ดังคำบอกเล่าของท่านต่อไปนี้

    “ขอสรรเสริญญาติโยมที่จะพาหลวงพ่อไปประเทศอินเดีย ไปดูไปชมสถานที่ต่างๆในอินเดีย ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายปรารถนาสิ่งใด ขอให้สมปรารถนาตลอดกาล

    การไปอินเดียมีความรู้แปลกๆใหม่ๆเพิ่มเติมได้ดีมาก ทุกคนเกิดมากรรมพาอยู่ กรรมพาไป สังขารทั้งหลายมีความเกิดขึ้น และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ตลอดอนันตกาล

    ขอบใจญาติโยมที่มาส่งอาตมาที่สนามบินดอนเมืองเป็นที่สุด ก่อนที่เครื่องบินจะขึ้นสู่อากาศก็ลำบากลำบนพอสมควร พวกเจ้าหน้าที่ตรวจที่นั้นที่นี้รุงรังไปหมด เขามีเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน แต่อย่างไรก็อดทนเอาไม่เป็นไร เพราะอาตมาต้องการไปอินเดียอยู่แล้ว

    สิบห้านาฬิกาเครื่องออกจากดอนเมือง แต่อาตมาประทับใจตอนที่เครื่องบินสู่อากาศ มองเห็นก้อนเมฆเป็นกลุ่ม ช่างงามตาเสียจริง เครื่องบินถึงกัลกัตตามืดพอดี รุงรังพอสมควร เขาให้ไปตรงนั้นตรงนี้บ้าง แต่อดทน ต่อไปก็ขึ้นรถบัสไปที่พุทธคยาต่อรถไฟตอนสี่ทุ่มอินเดีย มันน่าสงสารเสียจริงๆ มันทุเรศเอานักเอาหนา ตอนที่เห็นนั้นเขานอนข้างถนน ก็เหมือนสุนัขบ้านเรานี้เอง รูปร่างมอมแมม บางทีอาตมาคิด เอ๊ะ คนเราเกิดมาทำไมต้องเป็นแบบนี้ แต่พอไปถึงวัดไทยพุทธคยาก็ดีใจ

    ไปชมแม่น้ำเนรัญชรา ไปชมบ้านนางสุชาดา ไปไหว้ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ขนหัวลุก อาตมาก็ดีใจ ไม่น่าจะเป็นก็เป็นได้ ถ้าเราไม่ออกจากบ้าน เราก็ไม่รู้ทางที่จะเที่ยว แต่ถ้าไม่เรียนวิชาดี ก็ไม่มีความรู้ และโบราณท่านว่า เกิดเป็นลูกผู้ชายอย่าได้ตายร่วมป่าช้า คล้ายว่าไปเรียนวิชาที่อื่นเสริมความรู้ อยู่แต่ที่เดียวความรู้ไม่ออก ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นพระธุดงค์กรรมฐานท่านจึงชอบไปที่โน้นบ้างที่นี้บ้าง ธรรมะธรรมโมจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ปัญญาไม่ทู่ไม่หดตัวมั่วสุมเปล่าๆเหมือนเต่าลงหม้อน้ำร้อนไม่มีทางออก

    การไปที่ประเทศอินเดียทำให้ข้าพเจ้าหูตาสว่างดีมาก เพราะได้ประสบการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง ของที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ของที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ว่าคนเรามีกรรมต่างๆกัน

    ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีประโยชน์มากที่สุด ถ้าใครไม่มาเรียนรู้ก็จะไม่ได้เห็น เราเห็นคนอินเดียเราสงสารเขา บางทีเราคิดไปว่าเขาเกิดมาทำไมจึงเป็นเช่นนี้

    การมาที่อินเดียมีประโยชน์มาก มีความปิติด้วย มีความสลดสังเวชด้วยเหมือนกับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

    ส่วนหนึ่งของเหตุการณ์มหัศจรรย์จากการพบเห็นของศิษยานุศิษย์

    เรื่องของนายดาว

    เรื่องที่ 1
    นายดาว เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ ได้นำรถอีต๊อกมาช่วยขนดินพัฒนาสำนักสงฆ์ป่าหัวตลุก เมื่อขนดินขึ้นรถได้พอสมควร หลวงปู่ก็ได้บอกแก่นายดาวว่า “พอแล้ว” นายดาวได้ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรครับหลวงปู่ รถผมเคยบรรทุกมากกว่านี้ยังไม่เป็นไรเลย”

    แต่เมื่อนายดาวขับรถออกมาได้หน่อยเดียว เหล็กสาลีรถอีต็อกก็เกิดขาดกลาง ทำให้นายดาวแปลกใจมาก เพราะเหล็กสาลี่นั้นมีขนาดใหญ่มาก ไม่น่าขาดได้

    เรื่องที่ 2
    หลวงปู่ลีได้ให้นายดาวเดินสายไฟและติดหลอดไฟ 4-5 จุดบนกุฏิไม้หลังหนึ่งเพิ่มเติม (ปัจจุบันได้รื้อถอนไปแล้วเนื่องจากปลวกกินจนผุ) ซึ่งมีการเดินสายไฟไว้แต่เดิมบ้างแล้ว นายดาวเดินไปถอดสายไฟที่เชื่อมกับสายไฟแรงต่ำเพื่อตัดไฟเข้าตัวกุฏิ แล้วนายดาวก็เดินสายไฟพร้อมกับต่อหลอดไฟ ในขณะที่ต่อสายไฟเข้ากับหลอดไฟนั้น นายดาวถอดปลอกฉนวนที่สายไฟออก แล้วใช้มือเปล่าจับบิดเกลียว พันด้วยเทปกาวพันสายไฟ ทำอย่างนี้ทุกจุดที่ต่อเข้ากับหลอดไฟจนเสร็จ ขณะที่เดินสายไฟนั้นหลวงปู่จะยืนดูใกล้ๆตลอดเวลา เมื่อเสร็จหลวงปู่บอกให้ไปลองตรวจดูว่าไฟฟ้าติดหรือยัง นายดาวจึงออกไปเพื่อจะไปต่อไฟ แต่พอมองกลับมาที่กุฏิกลับพบว่าไฟฟ้าติดทุกหลอด โดยที่นายดาวยังไม่ได้ต่อไฟ นายดาวแปลกใจและตกใจ เพราะนั่นเท่ากับว่าตัวเองต่อไฟด้วยมือเปล่าโดยที่มีไฟอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย นี่เป็นเพราะบารมีของหลวงปู่แท้ๆ

    เรื่องที่ 3
    นายดาวและนายจิ๊ ได้ทำการต่อสายไฟจากเสาไฟฟ้ามายังกุฏิโดยติดแล็คที่เสากุกิอย่างแน่นหนา พอเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่จึงถามว่า “แน่นไหม” นายดาวและนายจิ๊ตอบหลวงปู่ว่า “เอาช้างมาฉุดก็ไม่หลุดครับ”

    หลวงปู่จึงเดินไปจับสายไฟแล้วลองดึงดู แล็คที่ติดยึดเอาไว้กลับหลุดลงมา จากนั้นหลวงปู่ก็หันมาบอกนายดาวและนายจิ๊ว่า “อย่าคุย”

    อย่าประมาทครูบาอาจารย์

    มีชายคนหนึ่งมาทำบุญที่สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกโดยมากับเพื่อนที่เคยมาทำบุญที่นี่ พอทำบุญเสร็จก็กลับบ้านไป และได้กล่าวถึงหลวงปู่ว่า หลุกหลิกเหมือนลิง หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี ชายคนเดิมได้กลับมาทำบุญที่สำนักสงฆ์และได้เข้าไปกราบหลวงปู่ ขณะที่ก้มลงกราบ หลวงปู่ได้กล่าวยิ้มๆกับชายคนนั้นว่า “ลูกลิงกราบพ่อลิงซะ” ชายคนนั้นถึงกับตกตะลึงที่หลวงปู่ล่วงรู้ว่าได้เคยพูดถึงหลวงปู่ไว้อย่างไร จึงรีบกราบขมาหลวงปู่ทันที

    หลวงปู่ช่วยลูกศิษย์

    เรื่องที่ 1
    นายณรงค์ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงปู่เล่าว่า ได้ช่วยหลวงปู่ซ่อมฐานพญานาค ขณะที่กำลังทำงานอยู่หลวงปู่ได้บอกกับนายณงรค์ว่าให้ไปเอาเชือกมาผูกพญานาคเอาไว้ พอนายณงรค์เดินพ้นไปจากจุดที่ทำงาน พญนาคก็ล้มลงตรงนั้นพอดี คำสั่งของหลวงปู่ทำให้นายณรงค์แคล้วคลาดไปได้อย่างหวุดหวิด

    เรื่องที่ 2
    นายณรงค์เล่าว่านายจิ๊ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ ได้ช่วยหลวงปู่ทุบผนังกั้นห้องภายในกุฏิต้อนรับอาคันตุกะ ขณที่กำลังทุบผนังอยู่นั้น หลวงปู่ก็ได้เรียกนายจิ๊ให้ออกมาให้พ้นจากผนังที่กำลังทุบ พอนายจิ๊เดินพ้นตรงนั้น ผนังที่เหลืออยู่ด้านบนก็ร่วงลงมาพอดี

    ก่อนที่หลวงปู่จะพูด หลวงปู่คิดทุกคำ

    นายณรงค์เล่าว่าเมื่อตอนสร้างศาลาใหม่ๆวันนั้นเป็นวันตั้งแบบเทเสาศาลา หลวงปู่ถามว่า

    “ได้บอกเจ้าที่เจ้าทางหรือยัง” ลูกศิษย์ได้ตอบหลวงปู่ว่า “มาทุกวันคุ้นกันดีครับ”

    หลังจากนั้นไม่นานขณะที่กำลังทำงานอยู่ นายณรงค์ดึงเชือกที่ผูกตัวรัดแบบเสาเพื่อให้เสาตั้งตรง แล้วตัวรัดเบบเสาหลุดกระเด็นมาถูกที่เบ้าตาพอดี นายดาวเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะ ไม่ทันขาดคำตัวรัดแบบเสาก็กระเด็นมาโดนศีรษะของนายดาว ทำให้ศีรษะโน นายไทลูกศิษย์อีกคนหนึ่งได้บอกว่า “รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง” จากนั้นไม่เท่าไหร่ นายไทก็เดินเตะตะปูได้รับบาดเจ็บไปอีกคน เป็นการสั่งสอนให้รู้จักระมัดระวังคำพูดก่อนพูดของหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ได้เคยสอนเสมอว่าก่อนที่หลวงปู่จะพูด หลวงปู่ก็คิดทุกคำ

    ปาฏิหาริย์พระสมเด็จรุ่นแรก

    ป้าคนหนึ่งมาที่สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกและเล่าเหตุการณ์ให้ลูกศิษย์หลวงปู่ฟังว่า ป้าขี่รถจักรยานยนต์กลับจากตลาดลาดยาวเพื่อจะกลับบ้านทางทุ่งแม่น้ำตามถนนสายลาดยาว-เขาชนกัน เมื่อถึงทางแยกเข้าบ้าน ป้าก็เลี้ยวรถตัดหน้ารถจักรยานยนต์ที่วัยรุ่นขับขี่มาด้วยความเร็วสูง จึงถูกชนอย่างแรงจนรถกระเด็นไปไกล ป้าได้เล่าต่อว่า ป้าตกใจมากลุกขึ้นยืนและสังเกตตัวเอง แต่ไม่เป็นอะไรเลย มีเพียงเคล็ดขัดยอกบ้าง ป้าเดินไปยกรถขึ้นมาแล้วขี่ต่อไปได้ ส่วนวัยรุ่นคนนั้นสลบไป แล้วป้าก็หยิบสร้อยที่คล้องคอออกมาให้ลูกศิษย์หลวงปู่ดู แล้วบอกว่าป้าคล้องสมเด็จหลวงปู่ลีรุ่นแรกที่ป้านับถือมากองค์เดียวเท่านั้น

    ฟ้าผ่าไม่ตาย

    นายณรงค์เล่าว่ามีสองสามีภรรยามาเล่าให้ฟังว่าวันหนึ่งทั้งสองคนขี่รถจักรยานนต์กลับมาจากไปทำธุระขณะที่ผนกำลังตกพอดี เมื่อขี่มาถึงตรงโดนโม่ เกิดฟ้าผ่าลงมาพอดี ภรรยาของเขาได้นำถุงพลาสติกมาสวมหัวเอาไว้ และถูกสะเก็ดไฟกระเด็นมาโดนถุงจนเป็นรูพรุนเหมือนโดนสะเก็ดไฟจากเครื่องอ๊อกเหล็ก ทั้งสองสามีภรรยารู้สึกหน้ามืด หูอื้อ จนขี่รถส่ายไปมา จึงหยุดรถกลางถนน รถบัสที่ตามหลังมาจึงจอดและมีคนลงไปดู ปรากฏว่าทั้งสองสามีภรรยาไม่ได้เป็นอะไรเลย โดยสามีได้บอกว่าตนเองคล้องเหรียญรุ่นเจริญสุขของหลวงปู่ลี ตาณํกโร

    ใครชวนใคร

    วันหนึ่งลูกศิษย์ของหลวงปู่ทราบข่าวว่าหลวงปู่เดินทางไปวัดม่วงจังหวัดอ่างทองและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บรรดาลูกศิษย์ได้นั่งพูดคุยกันและตอนหนึ่งนายเทวาได้พูดขึ้นว่า “อยากรู้หนอว่าใครชวนใคร หลวงปู่ชวนหรือว่าผู้จัดการไวไวนิมนต์หลวงปู่” หลังจากที่พูดแล้วก็ชวนกันไปวัดเพื่อรอกราบหลวงปู่ เวลาประมาณ 20.00 น.หลวงปู่ก็มาถึงกุฏิและไปนั่งที่เก้าอี้ ลูกศิษย์ตามเข้าไปกราบหลวงปู่ ยังไม่ทันกราบเสร็จ หลวงปู่ก็ได้พูดขึ้นมาพร้อมทั้งชี้ไปที่ผู้จัดการไวไวว่า “โยมเขานิมนต์หลวงปู่ไปน่ะ” ลูกศิษย์ที่พากันไปกราบหลวงปู่ต่างหันมามองหน้ากัน และรู้สึกขนลุกซู่

    หลวงปู่เมตตาสารวัตรณรงค์

    สารวัตรณรงค์ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงปู่เล่าว่าเมื่อตอนที่เข้าไปเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ใหม่ๆ ได้นำวัตถุมงคลที่ได้รับจากที่ต่างๆรวมใส่กล่อง เมื่อมีโอกาสจึงนำไปขอบารมีหลวงปู่เพื่ออธิษฐานจิตให้ หลวงปู่เอามือแตะที่กล่องแล้วว่าบอกว่าเสร็จแล้ว สารวัตรณรงค์คิดในใจว่าวัตถุมงคลจะได้รับพลังจากหลวงปู่ครบทุกองค์หรือไม่หนอ เกิดความลังเลใจ

    พอตกกลางคืนสารวัตรก็ฝันเห็นหลวงปู่มานั่งตรงหัวเตียง แล้วบอกให้สารวัตรนำกล่องวัตถุมงคลกล่องนั้นมา สารวัตรจึงนำกล่องวัตถุมงคลมาถวาย หลวงปู่รับกล่องมาวางที่ตักแล้วเป่าให้ “เพี้ยง!” สารวัตรรู้สึกดีใจมาก จนตกใจตื่นขึ้นมาจึงได้รู้ว่าฝันไป สารวัตรบอกว่าตั้งแต่นั้นมาก็หายสงสัยลังเลใจทั้งสิ้นทั้งปวง

    รูปหล่อปั๊มหลวงปู่ลี วัดป่าหัวตลุก ตอกโค๊ทวัว หายากครับผม

    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]




    ให้บูชา 1,950บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lplee1.jpg
      lplee1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.3 KB
      เปิดดู:
      7,917
    • lplee2.jpg
      lplee2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.1 KB
      เปิดดู:
      6,850
    • lplee3.jpg
      lplee3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.6 KB
      เปิดดู:
      5,399
    • lplee4.jpg
      lplee4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.2 KB
      เปิดดู:
      5,680
    • showimage.jpg
      showimage.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52 KB
      เปิดดู:
      7,231
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]
    พระอาจารย์คลังแสง ปัญญาพโล ได้จัดสร้างพระเครื่องหลากหลายรุ่นเพื่อบูรณะโบราณสถานและปรับแต่งทัศนียภาพบนเขากุฏ ที่สมเด็จเจ้าเกาะยอ สหธรรมิกหลวงปู่่ทวดได้สร้างเจดีย์เก่าแก่ไว้ รุ่นแรกๆ ที่สร้าง ก็มีประสบการณ์มากครับ และเพราะบล็อกสวย หลวงพ่อแกะเอง บางรุ่นปั๊มเอง และหลวงพ่อคลังแสงท่านตอกโค้ดเองทุกองค์ครับ พระเครื่องทุกรุ่นท่านสร้างได้สวยมาก เป็นที่หาบูชา โด่งดังไปถึงมาเลเซียสิงคโปร์

    พระสมเด็จหลวงพ่อทวดกันภัย 55 สำนักสงฆ์เขากุฏิ ทองแดงหน้ากากเงิน พิมพ์ใหญ่ สวยมากครับผม

    [​IMG]

    [​IMG]




    ปิดรายการนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2015
  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]
    พระสมเด็จหลวงพ่อทวดกันภัย 55 สำนักสงฆ์เขากุฏิ ทองแดง พิมพ์เล็ก สวยมากครับผม
    [​IMG]

    [​IMG]




    มีให้บูชา 6องค์ให้บูชาองค์ละ 725บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]
    พระสมเด็จหลวงพ่อทวดกันภัย 55 สำนักสงฆ์เขากุฏิ เนื้อว่านฝังตะกรุดเงิน พิมพ์ใหญ่ สวยมากครับผม
    [​IMG]




    ให้บูชา 750บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]
    พระสิวลี พระอาจารย์คลังแสง สำนักสงฆ์เขากุฏิ จ.สงขลา สร้างปี2553

    เป็นพระใหม่มาแรง มีประสบการณ์ 3จังหวัดแล้ว พระอาจารย์คลังแสงแกะบล็อคเอง ถือว่าท่านเป็นพระที่มีฝีมือทางด้านศิลปะมาก พิมพ์ใหญ่ สวยมาก สร้างน้อย เป็นอีกรุ่นที่น่าเก็บครับ เนื่องจากเป็นรุ่นแรก หาเก็บยากแล้วตอนนี้

    [​IMG]




    ปิดรายการนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2015
  6. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]
    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)


    [FONT=&quot]พระสามเหลี่ยม เนื้อผงเกษร [FONT=&quot]108 ผสมผงสมเด็จวัดระฆัง พิธี 25 ศตวรรษ ท่านพ่อลี วัด อโศการาม[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]([FONT=&quot]สุดยอดหายากสุดๆ พุทธคุณสูงมากๆ มหาลาภ มหาโภคทรัพย์ เจริญรุ่งเรือง เสริมดวงชะตาราศรี ป้องกันภัย เมตตามหานิยม[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot]

    มีคำนิยามว่า " ทองคำ หาง่ายกว่าพระของท่านพ่อลี คง จะไม่กล่าวเกินไปใน พ.ศ. นี้ครับ"
    รุ่นนี้ สร้างจากผงมวลสารล้วนๆ ที่สำคัญๆ มากมาย...เช่น ผงเกษรดอกไม้ 108 ผงธูปอธิษฐาน ผงโยคีฮาเล็บ(ผงสำคัญใน"พระมงคลมหาลาภ"
    [/FONT]ดัง บันทึกดังนี้ เมื่อโยคีโยฮาเล็บ เจ้าพิธี สร้างผงวิเศษด้วยวิธีประยุกต์ของท่านแล้วอัญเชิญพรหมชั้นโสฬสมาทำการปลุกเสก ผง เสร็จพิธีแล้ว ท่านพ่อลี วัดอโศการามเข้าไปเดินดูในโบสถ์ว่าทำอะไรกัน ก็ยื่นมือไปหมายผัสสะดูก็สะดุ้งโหยง” เฮ้ยหยังแรงจังซี้ “ก็เลยขอผงไป 1 บาตร เพื่อสร้างพระพุทธจักรของท่านที่วัดอโศการาม
    [/FONT][FONT=&quot]) ผงพระธาตุ ผงว่าน ผงพุทธคุณต่างๆ มากมาย..
    โดยเฉพาะ ผงสมเด็จวัดระฆัง จำนวนมากที่ท่านพ่อลี เก็บรักษาไว้ ท่านได้นำมาผสมในพระสามเหลี่ยมนี้จนหมดสิ้น..
    หายากสุดๆ ....สร้างไม่กี่ร้อยองค์
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    สร้างในปี พ.ศ.๒๕๐๐ พิธีใหญ่ฉลอง ๒๕ ศตวรรษของทางสายวัดป่าฯ จัดขึ้นที่วัดอโศกราม จ.สมุทรปราการ
    งานนี้กว่าจะเกิดขึ้นได้และทำสำเร็จมีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นกับท่านพ่อลี มากมายและใช้เงินเป็นล้านได้ในสมัยก่อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เพราะบารมี ของท่านพ่อลีงานนี้จึงสำเร็จ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    ท่าน พ่อลี เป็นพระอริยะเจ้าที่บรรลุธรรมชั้นสูงมากๆ เป็นพระที่มีบุญฤทธิ์สูงมากๆ สามารถอธิษฐานขอพระบรมสารีริกธาตุ จนพระธาตุเสด็จมาโปรดท่าน เป็นจำนวนมาก ...ในประเทศไทย ไม่ปรากฏว่ามีพระอริยเจ้าองค์ใดทำได้อย่างท่านเลยครับ..
    หลวงตามหาบัว เล่าให้ฟังว่า ท่านพ่อลี เป็นพระรูปเดียวที่หลวงปู่มั่น ไม่เคยตำหนิอะไรเลย หากแต่หลวงปู่มั่น ยังยกย่องในคุณธรรมว่าท่านพ่อลี เป็นพระที่บริสุทธิ์จริงๆ ...
    ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมานี้ จะหาผู้ที่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงอย่างท่านพ่อลีนี้ มีไม่เกิน 10 ท่านครับ..
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    ท่านพ่อลีท่านเป็นพระที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ทั้งภูมิธรรม
    ของท่านก็สูงน่าเคารพท่านเป็นพระที่ปฏิบัติอย่าง
    เข้มแข็งโดยท่านหลวงปู่มั่นท่านรับรองการปฏิบัติ
    ของท่านอย่างชัดเจนและท่านเป็นพระที่มีพลังจิต
    เข้มแข็งตามบุญวาสนาของท่านที่สั่งสมมาโดย
    ท่านหลวงปู่มั่นท่านเคยกล่าวว่า ในยุคสมัยนี้จะหาผู้มีพลังจิตเข้มแข็งเท่าท่านลี และ ท่านฝั้นไม่มีอีกแล้ว ท่านพ่อลีท่านยังสามารถอัญเชิญพระบรมธาตุ และพระธาตุมาได้ดังใจปารถนาจนเป็นที่เลื่องชื่อ..
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    เคย มีพวกทหารลองดีกับพ่อท่านลี เกิดจากความคิดบ้าๆว่า พระอรหันต์จะยิงไม่เข้า เลยพากันเอาปืนไปยิงพ่อท่านลี ปรากฏว่ายิงไม่เข้า แล้วพวกทหารก็เริ่มมีอันเป็นไปทีละคน จนพวกที่เหลือต้องกราบขอขมา..
    มี คนไปขอให้พ่อท่านลีเสกพระให้ ท่านก็ไม่ว่าอาไรยิ้มๆๆ แล้วเอาพระจุ่มในน้ำมนต์ แล้วส่งให้ ไอ่คนนั้นก็ไม่เชื่อ เอาไปให้หลวงปู่แหวนเสก หลวงปู่บอก โอ้ นี่.....เสกมาละนะบารมีเยี่ยมเลย เอามาให้เราเสกอีกทำไม ?
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    บาง คนก็ไปขอมวลสารทำพระ ท่านก็ตักทรายแถวๆกุฏิแล้วก็เป่าๆๆยืนให้ คนที่ไปขอก็โมโห ที่ได้แต่ทรายมา เลยจะเททิ้งปรากฏว่าเทแล้วทรายไม่หล่นมาสักเม็ดเลย..
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    เป็น พิธีใหญ่อีกพิธีที่รวบรวมสายกรรมฐานของท่านอาจารย์ใหญ่มั่น มาชุมนุมกันเพียบ...ถ้าใครเคยไปวัดอโศการามจะเห็นเป็นภาพวาดบนฝาผนังโบถ์ใน งานนี้

    สำหรับพระที่มาในพิธีนี้ ล้วนแล้วแต่เป็น เพชรในยอดฉัตร ทั้งนั้น เป็นพิธีที่สมบูรณ์ที่สุด ของวัดอโศการาม ยิ่งใหญ่มากๆ

    ปลุกเสกกัน 7 วัน 7 คืน...
    ดังรายนามต่อไปนี้ ..
    1. พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาโม วัดป่าสาละวัน โคราช
    2. หลวงพ่อลี วัดอโศการาม
    3. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม สกลนคร
    4. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า นครพนม
    5. หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ วังสพุง เลย
    6. หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง หนองคาย
    7. หลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์

    8. หลวงตามหาบัว วัดบ้านตาด
    9. หลวงปู่หลุย วัดถ้ำผาบิ้ง
    10. หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง
    11. หลวงปู่หลอด วัดใหม่เสนา
    12. ท่านพ่อเฟื่อง วัดธรรมสถิต
    13. หลวงปู่เจี๊ยะ วัดภูริทัตฯ
    14. หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล
    15. เจ้าคุณแดง วัดป่าประชานิยม
    16. หลวงปู่ดูล วัดบูรพาราม
    17. หลวงปู่อ่อน ญานสิริ
    18. หลวงปู่แว่น วัดถ้ำพระสบาย
    19. พระอาจารย์จวน
    ฯลฯ
    ทั้งหมดนี้เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถรทั้งสิ้นเรียกว่าเป็นพระคณาจารย์ฝ่ายกัมมัฏฐานล้วนๆ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พิเศษพระองค์นี้เป็นพระที่บรรจุอยู่ในกรุของวัดอโศการาม เพิ่งแตกกรุเมื่อหลายปีที่ผ่านมา จึงปรากฏคราบกรุสวยงาม ดูเก่ามีเสน่ห์มากๆ[FONT=&quot]
    ปัจจุบันเป็นที่แสวงหากันมาก เพราะปรากฏพุทธคุณอย่างเอกอุ ศักดิ์สิทธิ์มากๆ

    [/FONT]
    [FONT=&quot]พุทธคุณ สุดๆ ไปเลยครับ เพราะแค่พ่อท่านลีองค์เดียวก็เหลือล้นสุดๆ แล้ว แต่นี่ได้พระอริยะเจ้าสายหลวงปู่มั่น มากันครบถ้วนขนาดนี้ ก็คิดกันเองว่าจะขนาดไหน...[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [/FONT]
    [​IMG]


    [FONT=&quot]

    [/FONT]องค์ที่7 ให้บูชา 2,450บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    พระสมเด็จแกะจากเพชรหน้าทั่ง(พิมพ์ใหญ่) ปลุกเสกโดย หลวงปู่คำบุ คุตฺตจิตโต วัดกุดชมภู จ.อุบลราชธานี สายอิสาน สวยแชมป์

    เพชรหน้าทั่งนี้ผู้รู้กล่าวกันว่าเป็นของกายสิทธิ์ที่มีเทพทั้งฝ่ายยักษ์และ ฝ่ายคนธรรพ์ดูแลรักษาอยู่ถ้าใครบางมีไม่ถึงไปเอาเองโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ ยินยอมให้ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้นการเอามานั้นแม้ว่าจะไม่ได้มาด้วยการใช้ วิชาแบบตัดเหล็กไหลแต่เขาก็เรียกว่าเป็นการตัดเพชรออกมาเช่นกันคือการขอพลี เอามาอย่างถูกวิธีเจ้าป่าเจ้าเขายินยอมให้จึงสามารถได้มาอย่างปลอดภัย

    กายสิทธิ์ของดีจากเมืองลับแลเป็นของที่มีอานุภาพมากมีเจ้าปู่ตาเพชรเป็น พลังงานวิญญาณที่คอยดูแลรักษาธาตุชนิดนี้อยู่โดยเฉพาะการบูชานั้นท่านให้น้ำ เอาดอกมะลิเท่านั้นกับน้ำฝนมาเป็นของถวาย เจ้าปู่ตาเพชรทำการรักษาบูชาให้ดีจะบังเกิดโชคลาภนานาประการ ผู้บูชาไว้ไม่มีอดอยากยากจนเลยนอกจากนั้นเพชรทั่งยังสามารถพกติดตัวเอาไปได้ ทุกที่ ไม่มีเสื่อมแต่หากปฏิบัติตัวไม่ดีองค์เพชรหน้าทั่งก็สามารถพกติดตัวเอาไปได้ ทุกที่ไม่มีเสื่อม แต่หากปฏิบัติตัวไม่ดีองค์เพชรหน้าทั่งก็สามารถเสด็จหนีไปได้เหมือนกัน คล้ายๆกับพระธาตุเจ้านั่นแล โบราณเชื่อกันว่า เพชรหน้าทั่ง เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่จะทำให้ ผู้ที่เป็นเจ้าของเกิดความร่ำรวย มักจะอยู่ในเขตที่มีสายแร่ทองคำภายใต้ภูเขาลูกนั้น

    "เพชร หน้าทั่งนี้เป็นของดีของวิเศษ สามารถป้องกันสัตว์มีพิษ กัดต่อย ประเภทงูเงี้ยวเขี้ยวขอนี้ไว้ใจได้เลยไม่ว่าจะเข้าป่าดงพงไพรที่ใดๆเป็น รับรองว่าไม่มีมาก้าวก่าย"
    "ยิ่งเป็นพวกภูตผีปีศาจหรือคุณไสยมนต์ดำด้วยแล้ว หากมีเพชรหน้าทั่งอยู่กับตัวอย่าได้ไปเกรงกลัวสิ่งนี้จะช่วยคุ้มครอง ป้องกันได้อย่างแน่นอน"

    อิทธิสรรพคุณเพชรหน้าทั่ง (เพชรมหามงคล)ถ้าอยู่ที่ผู้ใดจะคุ้มครองป้องกันภัยภยันตรายต่างๆไปตลอดชีวิต บูชาไว้กับบ้าน ป้องกันภัยในครอบครัว ค้าขายก็ดี ทั้งดูดพิษสัตว์ ผู้มีวาสนาจึงมีไว้บูชาเป็นงูสวัดฝนละลายน้ำซาวข้าวทา หาย

    [​IMG]
    การที่จะนำเพชรหน้าทั่งมาแกะเป็นพระได้นั้นมีขั้นตอนยากสุดๆ ก้อนเพชรแต่ละก้อนเนื้อไม่เหมือนกัน เป็นลักษณะแบบเป็นชั้นๆ สังเกตองค์พระแล้วใช้ความพยายามสูงมาก เนื่องจากพื้นเนื้อไม่เสมอกัน ถ้าก้อนที่ไม่หนาแน่นจริง ๆ จะแกะไม่ได้เลย (อาจจะเป็นเพราะมีสิ่งรักษาอยู่ด้วย) องค์นี้ช่างฝีมือดีรับประเทศนำมาแกะเป็นเนื้อดีมากมีเส้นสายลายเพชรหน้าทั่ง งดงาม และเป็นเนื้อที่แกะยากจริง ๆ ครับ ท่านที่เคยสัมผัสเพชรหน้าทั้งจะรู้ดีว่าขนาดไหนดูก้อนก็จะรู้ครับว่าแกะยากจริง ๆ เพราะความหนาแน่นในก้อนไม่เท่ากัน


    [​IMG]
    ***หลวงปู่ฤาษี กตปุญฺโญ วัดภูน้อย อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภูองค์นี้พิเศษมากครับ ในคณะที่ท่านอธิฐานจิตครั้งสุดท้าย (อธิฐานเดี่ยวที่กุฏิท่าน ไตรมาส 3 เดือนปี 52 ) ตอนที่ผมไปนำกลับ ท่านอธิฐานเพื่อบันทึกภาพไม่น่าเชื่อ จู่ ๆ ก็เกิดฟ้าร้องเสียงสนั่น และผ่าลงบริเวณใกล้ ๆ วัด และมีงูสิงห์ขนาดใหญ่มาก เลื้อยเข้ามาบนศาลาด้วยครับ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดบริเวณหน้าอกข้างขวาหลวงปู่จู่ ๆ ก็เกิดเรืองแสงขึ้นมาบนจีวร ดังภาพที่ถ่ายมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติมาก ไม่ใช่ภาพจากฝุ่น หรือรูปจตุคามที่เราเคยเห็นนะครับ แต่เป็นแสงที่เปล่งออกมาจากภายในลอดผ่านออกมาทางจีวรหลวงปู่ฤาษี กตฺปุญฺโญ เมื่อถามท่าน หลวงปู่บอกแต่เพียงว่าหินที่นำมาปลูกเสกและจะนำกลับวันนี้มีคุณวิเศษมาก และ มีพุทธคุณในตัวไม่ต้องไปปลูกเสกที่ใดก็สามารถคุ้มครองผู้ที่ศรัทธานั้นได้ หินทุกชนิดใด้ทำปฏิกิริยากับสิ่งที่อยู่ในตัวหลวงปู่ลูก!!!หลวงปู่บอกอย่าง นั้น และไม่ได้พูดอะไรอีกโปรดใช้วิจารณญานด้วยนะครับเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเท่า นั้นครับ
    ***หลวงปู่อ่อง ฐิตฺธมฺโม วัดเทพสิงหาญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ก่อนนำกลับท่านว่าเป็นของมีค่าเอาไว้บูชาไม่มีวันจนท่านว่าอย่างนั้นครับ
    ***หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ อ.บ้านทุ่งคำ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ท่านให้พรว่า เจริญสุข ร่ำรวย ๆ
    ***พระอาจารย์ชัย กิตฺติญาโณ วัดป่าบ้านกอก อ.เมือง จ.ขอนแก่น อธิฐานจิตเดียวในพระอุโบสถ ก่อนกลับท่านพระอาจารย์เรียกพระลูกศิษย์มาทดสอบพลังวิชาปรากฎว่ามีพลัง มากกว่าวัตถุมงคลทุกชนิด นี่คือพระผู้ประสบการณ์เหนียวและคงกระพันชาตรีเป็น 1 ในขอนแก่นตอนนี้ครับ

    วิธีบูชา
    ตำราว่าเอาเพชรมงคล แช่ไว้กับน้ำฝน หรือน้ำสะอาด ผู้มีเพชรมงคลไว้บูชา ควรหาดอกมะลิ บูชาหรือขอให้มีโชคลาภ ให้ปลอดภัยมีความสุข
    เมื่อออกจากบ้านไปหาลาภ ไห้ว่าคาถาข้างล่างนี้ 3 จบจะมีลาภปลอดโรคปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
    "จุติ จิตตัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ"
    เข้าหาผู้ใหญ่ "พุทโธ นะโมพุทธาย

    [​IMG]

    ให้บูชา 2,750บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ดเกห.jpg
      ดเกห.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.5 KB
      เปิดดู:
      5,429
    • ดเก.jpg
      ดเก.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.9 KB
      เปิดดู:
      4,308
    • pkb3-horz.jpg
      pkb3-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      559.2 KB
      เปิดดู:
      5,037
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2014
  8. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    พระสมเด็จแกะจากไม้พยุง 1000 ปี (พิมพ์เล็ก) หลวงปู่คำบุ คุตฺตจิตโต วัดกุดชมภู จ.อุบลราชธานี สายอิสาน สวยแชมป์

    “พะยูง” เป็นไม้เนื้อแข็งเช่นเดียวกับไม้สัก ตะเคียน มีชื่อและความหมายดี เชื่อว่าบ้านใดปลูกไว้ประจำบ้าน จะทำให้บุคคลในบ้านมีแต่ความเจริญ มีฐานะดีขึ้น ช่วยไม่ให้ชีวิตตกต่ำ เพราะพยุงคือการประคับประคองให้คงอยู่ ให้มั่นคงหรือการยกให้สูงขึ้น
    พะยูงจัดเป็นไม้มงคลที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร หรือก่อฐานประดิษฐ์ถาวรวัตถุต่างๆ เช่น พิธีก่อกฤษ์ หรือว่างศิลาฤกษ์ คนไทยจัด ลำดับ ” พะยูง” ให้อยู่ใน 9 ชนิดไม้มงคลที่ปลูกไว้ในบ้าน ประกอบด้วย ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ์, ทองหลวง, ไผ่สีสุก, กันเกรา, ทรงบาดาล, สัก, พะยูง, ขนุน
    กระทั่งมีกลอนบทหนึ่งที่กล่าวถึงไม้มงคลทั้ง 9 ในส่วนของไม้พะยูงว่า

    ไม้พะยูง พยุงฐานะงานทำนั้น
    ให้คงมั่นพลันยิ่งทุกสิ่งที่
    ปลูกไว้กันนั้นคุณจุนเจือมี
    ไม้พยุงดี ไม่ดูดายขยายไป
    สมเด็จไม้พยุงองค์นี้ แกะจากไม้พยุง 1000 ปี กลายเป็นพระธาตุ
    ซึ่งหายากมากที่สุดในปัจจุบัน ถ้าหากพูดถึงการนำมาสร้างวัตถุมงคลนั้น


    [​IMG]
    สมเด็จไม้พยุงองค์นี้ แกะจากไม้พยุง 1000 ปี กลายเป็นพระธาตุซึ่งหายากมากที่สุดในปัจจุบัน ถ้าหากพูดถึงการนำมาสร้างวัตถุมงคลนั้นขอเรียนท่านทั้งหลายว่ายังไม่เคยเจอ เพราะหาของเหล่านี้นั้นยากนักหนา เป็นพิมพ์เล็กนิยมสุดมีไม่กี่องค์ในโลกนี้ บวกกับฝีมือช่างระดับประเทศงานปรานีตสุด และพระเกจิผู้ทรงพลังบุญญานุภาพปลุกเสกให้อีกตั้งหลายองค์ก็สุดยอดแห่งการบูชาและเก็บรักษาแล้วครับ


    [​IMG]
    ***หลวงปู่ฤาษี กตปุญฺโญ วัดภูน้อย อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภูองค์นี้พิเศษมากครับ ในคณะที่ท่านอธิฐานจิตครั้งสุดท้าย (อธิฐานเดี่ยวที่กุฏิท่าน ไตรมาส 3 เดือนปี 52 ) ตอนที่ผมไปนำกลับ ท่านอธิฐานเพื่อบันทึกภาพไม่น่าเชื่อ จู่ ๆ ก็เกิดฟ้าร้องเสียงสนั่น และผ่าลงบริเวณใกล้ ๆ วัด และมีงูสิงห์ขนาดใหญ่มาก เลื้อยเข้ามาบนศาลาด้วยครับ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดบริเวณหน้าอกข้างขวาหลวงปู่จู่ ๆ ก็เกิดเรืองแสงขึ้นมาบนจีวร ดังภาพที่ถ่ายมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติมาก ไม่ใช่ภาพจากฝุ่น หรือรูปจตุคามที่เราเคยเห็นนะครับ แต่เป็นแสงที่เปล่งออกมาจากภายในลอดผ่านออกมาทางจีวรหลวงปู่ฤาษี กตฺปุญฺโญ เมื่อถามท่าน หลวงปู่บอกแต่เพียงว่าหินที่นำมาปลูกเสกและจะนำกลับวันนี้มีคุณวิเศษมาก และ มีพุทธคุณในตัวไม่ต้องไปปลูกเสกที่ใดก็สามารถคุ้มครองผู้ที่ศรัทธานั้นได้ หินทุกชนิดใด้ทำปฏิกิริยากับสิ่งที่อยู่ในตัวหลวงปู่ลูก!!!หลวงปู่บอกอย่าง นั้น และไม่ได้พูดอะไรอีกโปรดใช้วิจารณญานด้วยนะครับเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเท่า นั้นครับ
    ***หลวงปู่อ่อง ฐิตฺธมฺโม วัดเทพสิงหาญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ก่อนนำกลับท่านว่าเป็นของมีค่าเอาไว้บูชาไม่มีวันจนท่านว่าอย่างนั้นครับ
    ***หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ อ.บ้านทุ่งคำ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ท่านให้พรว่า เจริญสุข ร่ำรวย ๆ
    ***พระอาจารย์ชัย กิตฺติญาโณ วัดป่าบ้านกอก อ.เมือง จ.ขอนแก่น อธิฐานจิตเดียวในพระอุโบสถ ก่อนกลับท่านพระอาจารย์เรียกพระลูกศิษย์มาทดสอบพลังวิชาปรากฎว่ามีพลัง มากกว่าวัตถุมงคลทุกชนิด นี่คือพระผู้ประสบการณ์เหนียวและคงกระพันชาตรีเป็น 1 ในขอนแก่นตอนนี้ครับ

    วิธีบูชา
    เมื่อออกจากบ้านไปหาลาภ ไห้ว่าคาถาข้างล่างนี้ 3 จบจะมีลาภปลอดโรคปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
    "จุติ จิตตัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ"
    เข้าหาผู้ใหญ่ "พุทโธ นะโมพุทธาย

    [​IMG]

    ให้บูชา 1,550บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pkb5-horz.jpg
      pkb5-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      461 KB
      เปิดดู:
      4,665
    • ดเกหs.jpg
      ดเกหs.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.8 KB
      เปิดดู:
      5,118
    • ดเก.jpg
      ดเก.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.9 KB
      เปิดดู:
      169
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2014
  9. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    สมเด็จเบ็ญจภาคีแกะจากไม้ตะเคียน 1000 ปี พิมพ์ใหญ่ ปลุกเสกโดย หลวงปู่คำบุ จ.อุบลราชธานี และคณาจารย์ สายอิสาน สวยแชมป์

    เป็นไม้มี อาถรรพ์และสักดิ์สิทธิ์ในตัวหากผู้ใดได้มีไว้ครอบครองถือว่ามีบุญญาธิการมาก ส่งผลให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน พร้อมด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ โชคลาภเงินทอง แคล้วคลาดปลอดภัย ร่ำรวยทันตาเห็น ไม้ตะเคียนถือว่าเป็นไม้สักดิ์สิทธิ์มีสิ่งสิงสถิตย์อยู่ทุกชิ้น บุคคลที่มีบุญเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ครอบครองครับ ถ้าปฎิบัติได้เนื้อไม้ตะเคียนจะมีน้ำอาถรรพ์ไหลออกมาจากองค์พระลองอธิฐานใช้ ดูครับ!!!

    ได้รับรับการปลุกเสกและอธิฐานจิตจากพระสงฆ์ผู้เรืองเวทย์แห่งภาค อิสานหลายรูป อาทิเช่น
    1.หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต วัดกุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
    2.หลวงปู่อ่อง วัดเทพสิงหาญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี
    3.หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ อ.บ้านทุ่งคำ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร
    4.หลวงปู่ฤาษี กตปุญฺโญ วัดภูน้อย อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู
    5.พระอาจารย์ชัย กิตฺติญาโณ วัดป่าบ้านกอก อ.เมือง จ.ขอนแก่น
    และพระเกจิอีกมากมาย หลายพิธีปลุกเสก และ มหาพิธีพุทธาภิเษกหลายครั้ง ของดีจริง ๆ เข้มขลังเต็มพลังครับ
    ต้องนำไปใช้ดูไม่ผิดหวังครับ เฉพาะรายชื่อผู้อธิฐานก็สุดยอดแล้วครับ

    ขอเน้นย้ำนะครับว่าไม้ตะเคียน 1000 ปี หายากจริง ส่วนมากที่นำมาแกะจะเป็นรูพรุนเสียหายมากกว่าองค์นี้มีรูพรุนเล็กน้อยถือว่าเป็นธรรมชาติหายากมากส่องดูขนลุกขลังจริง ๆครับ

    [​IMG]
    ภาพประกอบไม้ตะเคียน 1000 ปี กลายเป็นหินและนำมาแกะเป็นองค์พระครับ เป็นพิมพ์นิยมสุดมีไม่กี่องค์ในโลกนี้ บวกกับฝีมือช่างระดับประเทศงานปรานีตสุด
    และพระเกจิผู้ทรงพลังบุญญานุภาพ ปลุกเสกให้อีกตั้งหลายองค์ ก็สุดยอดแห่งการบูชาและเก็บรักษาแล้วครับ


    [​IMG]
    ***หลวงปู่ฤาษี กตปุญฺโญ วัดภูน้อย อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภูองค์นี้พิเศษมากครับ ในคณะที่ท่านอธิฐานจิตครั้งสุดท้าย (อธิฐานเดี่ยวที่กุฏิท่าน ไตรมาส 3 เดือนปี 52 ) ตอนที่ผมไปนำกลับ ท่านอธิฐานเพื่อบันทึกภาพไม่น่าเชื่อ จู่ ๆ ก็เกิดฟ้าร้องเสียงสนั่น และผ่าลงบริเวณใกล้ ๆ วัด และมีงูสิงห์ขนาดใหญ่มาก เลื้อยเข้ามาบนศาลาด้วยครับ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดบริเวณหน้าอกข้างขวาหลวงปู่จู่ ๆ ก็เกิดเรืองแสงขึ้นมาบนจีวร ดังภาพที่ถ่ายมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติมาก ไม่ใช่ภาพจากฝุ่น หรือรูปจตุคามที่เราเคยเห็นนะครับ แต่เป็นแสงที่เปล่งออกมาจากภายในลอดผ่านออกมาทางจีวรหลวงปู่ฤาษี กตฺปุญฺโญ เมื่อถามท่าน หลวงปู่บอกแต่เพียงว่าหินที่นำมาปลูกเสกและจะนำกลับวันนี้มีคุณวิเศษมาก และ มีพุทธคุณในตัวไม่ต้องไปปลูกเสกที่ใดก็สามารถคุ้มครองผู้ที่ศรัทธานั้นได้ หินทุกชนิดใด้ทำปฏิกิริยากับสิ่งที่อยู่ในตัวหลวงปู่ลูก!!!หลวงปู่บอกอย่าง นั้น และไม่ได้พูดอะไรอีกโปรดใช้วิจารณญานด้วยนะครับเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเท่า นั้นครับ
    ***หลวงปู่อ่อง ฐิตฺธมฺโม วัดเทพสิงหาญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ก่อนนำกลับท่านว่าเป็นของมีค่าเอาไว้บูชาไม่มีวันจนท่านว่าอย่างนั้นครับ
    ***หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ อ.บ้านทุ่งคำ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ท่านให้พรว่า เจริญสุข ร่ำรวย ๆ
    ***พระอาจารย์ชัย กิตฺติญาโณ วัดป่าบ้านกอก อ.เมือง จ.ขอนแก่น อธิฐานจิตเดียวในพระอุโบสถ ก่อนกลับท่านพระอาจารย์เรียกพระลูกศิษย์มาทดสอบพลังวิชาปรากฎว่ามีพลัง มากกว่าวัตถุมงคลทุกชนิด นี่คือพระผู้ประสบการณ์เหนียวและคงกระพันชาตรีเป็น 1 ในขอนแก่นตอนนี้ครับ

    วิธีบูชา
    เมื่อออกจากบ้านไปหาลาภ ไห้ว่าคาถาข้างล่างนี้ 3 จบจะมีลาภปลอดโรคปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
    "จุติ จิตตัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ"
    เข้าหาผู้ใหญ่ "พุทโธ นะโมพุทธาย

    [​IMG]

    ให้บูชา 1,550บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pkb7-horz.jpg
      pkb7-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      561.7 KB
      เปิดดู:
      5,613
    • pkba04.jpg
      pkba04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.1 KB
      เปิดดู:
      4,148
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2014
  10. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]
    ล็อกเก็ตหลวงปู่สายวัด ดอนกระต่ายทอง หายากครับ

    ล็อกเก็ตหายาก หลวงปู่สาย วัดดอนกระต่ายทอง ฉากสีฟ้า ด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่ ด้านหลังติด ตะกรุดเงิน ผ้าจีวร และที่สำคัญมีเส้นเกษา ของหลวงปู่ติดอยู่ด้วย หลวงปู่ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูงมากครับ ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว วัตถุมงคลของท่านจึงครบครัน ทั้งเมตตา และ แคล้วคลาด คงกระพันครับ

    [​IMG]


    ให้บูชา 2,950บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.1 KB
      เปิดดู:
      4,503
    • DSC03003-horz.jpg
      DSC03003-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      439.3 KB
      เปิดดู:
      7,812
  11. ebankky

    ebankky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +62

    จององค์นี้ครับ
     
  12. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    รับทราบการจองครับผม ยอดโอน 1150+60 = 1210บ.รวมค่าจัดส่งแล้ว
    โอนแล้วโทรแจ้งได้เลยครับผม
     
  13. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]

    [​IMG]

    องสรภาณมธุรส (หลวงพ่อบ๋าวเอิง) วัดสมณานัมบริหาร (วัดญวน สะพานขาว)

    สัตว์โลกทั้งหลายย่อมต้องพบกับสภาวะ ๔ อย่าง คือ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย..”

    ในพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้ล้วน “เป็นความทุกข์” เพราะเมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ไปแล้วก็ยังต้องไป “เวียนว่ายตายเกิด” ในภพชาติต่างๆ หาสูญสิ้นไม่....
    “การทำบาปด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี แม้จะกระทำในที่ลับไม่มีผู้ใดรู้ ก็ยังมีผู้หนึ่งรู้จนได้ ผู้นั้นคือ....ตนเอง....”

    กรุงเทพมหานครย้อนหลังไปประมาณ ๗๐ ปี ชื่อของ “องสรภาณมธุรส (หลวงพ่อบ๋าวเอิง)” อดีตเจ้าอาวาส “วัดสมณานัมบริหาร” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “วัดญวน สะพานขาว” เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในฐานะที่ท่านเป็นพระสงฆ์ญวน สังกัดอนัมนิกาย ที่มีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักของพุทธศาสนา

    ความเมตตาของท่านนอกจากการให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บแล้ว สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในยุคสมัยนั้นคือ “การอัญเชิญวิญญาณ” และ “การติดต่อสื่อสารกับสิ่งเร้นลับ” เช่น เทพ เทวดา วิญญาณของนักบวชที่ล่วงลับไปแล้ว ฯลฯ.....

    วัดสมณานัมบริหาร..เป็นวัดฝ่าย”อนัมนิกาย..” เดิมชื่อ “วัดเกี๋ยงเพื้อกตื่อ” ตั้งอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ชาวญวนที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้สร้างขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดสมณานัมบริหาร"

    อนัม....แปลว่า ญวน หรือเวียดนาม คนที่มีเชื้อสายของประเทศเวียดนามเราเรียกว่าคนญวน หรือคนอนัม ซึ่งเมื่อคนเหล่านั้นอพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในเมืองไทยและมีการสร้างวัดขึ้น

    เราจึงเรียกวัดเหล่านั้นว่า วัดญวน หรือวัดอนัม ซึ่งคำว่า “อนัม หรือ ญวน หรือ เวียดนาม” จึงเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน ดังนั้นคำว่า “อนัมนิกาย” จึงสามารถแปลได้ว่า...
    “การถือพระพุทธศาสนาอย่างเมืองญวน”

    แต่เนื่องจากพระญวนในประเทศเวียดนามกับพระญวนในประเทศไทยไม่ได้มีการติดต่อกัน โดยต่างฝ่ายต่างก็ถือคติและธรรมเนียมตามประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่ ดังนั้นพระญวนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จึงหันมายึดถือตามแนวของพระสงฆ์ไทยในบางเรื่อง เช่นการไม่ฉันข้าวเย็น การครองผ้าสีเหลือง ฯลฯ

    ซึ่งลักษณะแบบนี้จะแตกต่างจากพระสงฆ์ในประเทศเวียดนามหรือประเทศจีน คือพระสงฆ์ที่นั่นสามารถฉันข้าวเย็นได้ การครองผ้าจีวรมีทั้งสีเทา สีแดงฝาด สีเหลือง และสีอื่น ๆ เพียงแต่”ข้อวัตรปฏิบัติอย่างอื่นและกิจของสงฆ์ที่พึงทำ”ก็ยังคงปฏิบัติตามแบบในประเทศเวียดนามเหมือนเดิม เช่น ประเพณีการทำกงเต็ก หรือการให้ความเคารพและเชื่อถือในเรื่องของเทพเจ้าต่างๆ

    หลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านเป็นพระที่ได้รับการยอมรับของลูกศิษย์และคนทั่วไปว่ามีความสามารถในการเชิญวิญญาณ ซึ่งท่านเคยเล่าให้ฟังว่าตัวท่านเองมีความสนใจในเรื่องของจิตและวิญญาณ ท่านจึงได้เริ่มค้นคว้าและทดสอบอยู่หลายปี จนท่านสามารถเชิญวิญญาณลงมาประทับบนร่างทรงได้...

    ท่านอธิบายว่าการประทับทรงนี้เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อกับวิญญาณได้โดยตรงและเป็นวิธีการแต่เพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณได้ชัดเจนกว่าวิธีการในแบบอื่นๆ

    “ผลของการเชิญวิญญาณ จะทำให้เราพบว่าวิญญาณนั้นๆ มีสภาพอย่างไรและวิญญาณเหล่านั้นได้รับผลกรรมที่ตนเองเคยกระทำไว้เมื่อครั้งสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างไร...”

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงได้ตรัสรู้พระธรรมอันประเสริฐสุด คือ “อริยสัจ ๔” ซึ่งเป็นทางที่ทำให้พระองค์ทรงหลุดพ้นจากมวลทุกข์ ไปสู่จุดหมายปลายทางคือ “พระนิพพาน” คือไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดใน “วัฏฏะสงสาร” อีกต่อไป...

    เรื่องของ “การเวียนว่ายตายเกิด” หรือ “การสืบภพชาติ” มีกล่าวไว้ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาและก็มีเรื่องจริงให้พวกเราได้เห็นเป็นตัวอย่าง เช่น การระลึกชาติ ฯลฯ

    จะว่าไปแล้วถึงเรื่องเหล่านี้จะฟังดูแล้วเหมือนเป็นนิทานหรือนวนิยายสำหรับใครบางคน แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คงเชื่อถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง.....

    “อาตมาภาพได้พยายามค้นคว้าหาวิธีที่จะนำเรื่องเหล่านี้มาแสดงให้ประจักษ์แก่คนทั่วไป โดยการเรียนรู้จากวิญญาณหรือที่เราเรียกกันว่า “สิ่งไม่มีตัวตน” ซึ่งถ้าเราปฏิบัติให้ถูกวิธีแล้วก็จะได้รับผลที่ปรากฏตามมา ส่วนว่าใครจะเชื่อแค่ไหนก็แล้วแต่ความวินิจฉัยของแต่ละคน...”

    หลวงพ่อบ๋าวเอิงมักจะถ่อมตนเสมอว่าท่านเองเป็นเพียงนักปฏิบัติและชอบศึกษาค้นคว้าหาความจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ท่านเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้าในลัทธิ..

    “มหายานแห่งอนัมนิกาย...”
    ท่านได้ใช้หลักที่ว่า...
    “เชื่อเป็นแม่บทแห่งความสำเร็จ”
    สำหรับเป็นหลักในการปฏิบัติ
    และท่านก็เชื่อต่ออีกว่ามนุษย์เราทุกคนล้วนตกอยู่ในอำนาจสามประการคือ “กิเลส กรรม และวิบาก” ด้วยหลักที่ว่าเมื่อชีวิตและร่างกายแตกดับแล้ว จิตวิญญาณย่อมเกิดสืบภพชาติต่อไปอีก อดีตวิญญาณของคนเราต้องมีแน่ ซึ่งสิ่งนั้นเองเป็นมูลเหตุให้ท่านมีความคิดที่ว่า “การติดต่อกับวิญญาณ” สามารถกระทำได้

    พูดถึงเรื่องของการติดต่อกับวิญญาณหรือที่เราจะเรียกง่ายๆ ว่าการติดต่อกับภูตผีอะไรทำนองนี้ ผมเคยเรียนถามกับท่านพระสมณานัมธีราจารย์(ติ่นเรียน) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร องค์ปัจจุบัน ว่าท่านเชื่อหรือไม่ว่าเรื่องผีมีจริง แทนคำตอบท่านกลับถามผมว่า..
    “โยมต้องถามตัวเองก่อนว่าเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า”
    แน่นอนครับคำตอบคือ... “เชื่อ”
    การสนทนาจึงดำเนินต่อไปว่า ตามทัศนคติความเชื่อของชาวญวนพื้นฐานโดยทั่วไปเชื่อในเรื่องของวิญญาณ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวจึงเป็นที่มาของพิธีกรรมที่เราเรียกกันว่า “กงเต็ก”

    ท่านว่าพิธีกงเต็กมีมานานเนกาเลแล้ว...ซึ่งผมเองก็คงไม่ต้องอธิบายมากเพราะคติความเชื่อในพิธีกงเต็กนี้ ปัจจุบันก็ยังคงมีการประกอบพิธีอยู่เสมอ นัยว่าเพื่อเป็นเกียรติ เป็นประโยชน์แก่ผู้ถึงแก่กรรม ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นพิธีกงเต็กเสมอๆทั้งในงานราษฏร์และงานพิธีของหลวง

    คำว่า “กงเต็ก” ประกอบด้วยสองคำรวมกันครับ
    คือคำว่า “กง” ในพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน หมายถึง การกระทำในสิ่งที่ถูกที่ชอบซึ่งเป็นประโยชน์แทนวิญญานผู้มรณะ
    และคำว่า “เต็ก” หมายถึง กุศลกรรมอันเกิดจากกรรมดี

    พิธีกงเต็กตาม”ธรรมเนียมของชาวญวน” จะประกอบไปด้วย ๕ ขั้นตอนคือ ชุมนุมเทวดา เชิญวิญญาณให้มาสถิตอยู่ในโคมจำลอง เปิดมณฑลพิธี สวดแผ่เมตตาและส่งข้ามสะพาน....

    และด้วยเหตุที่ว่าพิธีกงเต็ก มี”บทอัญเชิญเทพเจ้าและวิญญาณ” หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านจึงได้นำวิธีการนี้มาใช้ในการติดต่อกับวิญญาณครับ ความสำเร็จที่ได้จากเคล็ดลับอันนี้จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์นี้ครับ เรื่องมีอยู่ว่า....

    ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ หลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปทำพิธีกงเต็กให้แก่ นายฮ้วย แซ่หลือ โดยพิธีเริ่มในเวลาประมาณบ่ายสองโมง หลังจากได้ดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอนต่างๆครบถ้วนแล้ว

    ในช่วงเวลาประมาณหกโมงเย็น ท่านได้ตั้งจิตอธิฐานระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ให้ทรงโปรดประทานโอกาสให้ดวงวิญญาณของนายฮ้วย แซ่หลือมาสิงสถิตย์ในโคมจำลอง(ที่สถิตของวิญญาณ-ตามพิธีกรรม) เพื่อที่ว่าวิญญาณจะได้ฟังธรรมและรับการแผ่ส่วนบุญกุศลจากบรรดาบุตรของนายฮ้วย....

    หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านเล่าว่า ในขณะนั้นเกิดนิมิตเห็นแสงสว่างขนาดเท่าไฟฉายส่องแสงเป็นลำและพุ่งตรงมาที่ท่าน ซึ่งในลำแสงนั้นท่านสังเกตว่ามีจุดเล็กๆเคลื่อนที่เข้ามายังตัวท่าน และมันก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ จนท่านสังเกตเห็นว่ามันเป็น..
    "ภาพของวิญญาณในร่างมนุษย์"

    ซึ่งภาพนั้นเป็นร่างของมนุษย์สวมเสื้อกุยเฮงและกางเกงปั่งลิ้นสีดำ ลักษณะของร่างกายผอมและหลังค่อมเล็กน้อย เมื่อดวงวิญญาณนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ท่านสักพักก็หายไป ด้วยความประหลาดใจท่านจึงนำเอาลักษณะของชายชราคนนี้ไปถามกับบรรดาลูกๆของผู้ตาย คำตอบที่ได้รับคือชายคนนั้นคือ “...นายฮ้วย แซ่หลือ...” นั่นเอง....

    หลวงพ่อเล่าว่า ขณะที่ท่านคิดว่าจะรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณเพื่อใช้เป็นคติสอนคน..

    ท่านได้เกิดความวิตกว่ายังมีบุคคลอีกจำนวนมากที่ไม่เชื่อและไม่เลื่อมใสในเรื่องหล่านี้ ดูได้จากปัญหาข้อถกเถียงในเรื่องของ “การเข้าทรง” ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ....เชื่อถือได้ขนาดไหน

    ครับ...ท่ามกลางมรสุมของความเคลือบแคลงว่า “เชื่อได้หรือไม่” ในที่สุดหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านได้ตัดสินใจนำเรื่องราวเหล่านี้ตลอดจนประสบการณ์ทางวิญญาณที่เกิดขึ้นมาเผยแพร่

    ท่านกล่าวด้วยความมั่นใจว่า.....ท่านไม่กลัวเรื่องที่ว่าคนจะกล่าวหาท่านว่าเป็นพระงมงายไม่มีเหตุผล เพราะเรื่องที่ท่านทำมันไม่ใช่การทำลาย แต่มันเป็นเรื่องของการทำประโยชน์ และที่สำคัญมันเป็นการเผยแพร่ในเรื่องของจิต วิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด ตลอดจนบาปบุญคุณโทษ...

    “อาตมาเผยแพร่ด้วยความสุจริตใจ ด้วยศีลของพระพุทธองค์ ด้วยสัจจะของพระภิกษุ ถ้าจะมีผู้กล่าวหาว่าอาตมาทำเพื่อสร้างบารมีให้ตัวเอง อาตมาขอเจริญพรเสียก่อนในที่นี้ว่า

    อาตมามีบารมีของตัวเองมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาอะไรอีกให้เกิดมลทินแก่ตัวเอง บารมีที่ว่านี้คือบารมีขององค์พระพุทธเจ้าที่อาตมาได้อาศัยอยู่ในขณะนี้....”

    “การสละตัวเข้าเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้า และประพฤติตามธรรมของพระองค์ เท่านี้ก็เป็นบารมีที่น่าภูมิใจมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาบารมีอะไรอีกแล้วสำหรับอาตมา...”

    ความกล้าหาญของหลวงพ่อบ๋าวเอิงในการเลือกที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เสี่ยงต่อการต่อต้านของคนหลายคน ทำให้เรื่องราวที่เป็นเหมือนนวนิยายกลายเป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาอีกยาวนาน...

    ในช่วงประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๑ หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้รับนิมนต์จากคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อกวนอู ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อไปประกอบพิธี”เทวาภิเษกเบิกพระรัศมี เจ้าพ่อกวนอู” โดยมีการตกลงกันว่าหลวงพ่อแค่เพียงแต่ประกอบพิธีทางศาสนาให้ครบถ้วนและถูกต้องตามวิธีการเท่านั้น

    ส่วนเรื่องของการเชิญเจ้าพ่อกวนอูเพื่อให้มาประทับทรงลุยไฟเป็นเรื่องของศาลเจ้า โดยท่านให้เหตุผลว่า มันไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ มันเป็นเรื่องของเจ้าพ่อกวนอูเองว่าจะกระทำได้หรือไม่ และถ้าวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว ท่านก็จะดลบันดาลลงประทับทรงลุยไฟเอง...

    แต่การณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อเสร็จพิธีของท่าน คณะกรรมการศาลเจ้าได้ขอร้องไม่ให้ท่านกลับ และขอร้องให้ท่านเชิญวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูด้วย

    เนื่องจากการจัดงานครั้งนี้คณะกรรมการได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจและทุนทรัพย์ลงไปมาก จึงอยากขอชมเป็นบุญตาว่าความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องเทพเจ้าทั้งหลายในโลกโดยเฉพาะเจ้าพ่อกวนอูนั้นมีจริงและศักดิ์สิทธิ์จริง...

    เรื่องนี้จบลงตรงที่ท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนิมนต์ครั้งนี้ได้ ท่านว่ามันเป็นลักษณะของการเสี่ยง เพราะตั้งแต่เกิดมาท่านยังไม่เคยมีความคิดจะตั้งตัวเป็นอาจารย์ในทางเชิญวิญญาณเจ้าพ่อเจ้าแม่ลุยไฟเลย ครั้นถึงเวลาลุยไฟจริงๆ ท่านว่าแทบจะเป็นลมเพราะนึกว่าถ่านที่นำมาใช้ในพิธีลุยไฟจะใช่แต่เพียงถังสองถัง แต่นี่กลับมีมากถึงหลายเล่มเกวียน...

    “ข้าพเจ้าตกตลึงและจิตใจเต้นเป็นตีกลอง เหงื่อกาฬไหลทันที ไม่สามารถจะนำมาบอกเล่าได้อย่างไรถูก ยืนงงอยู่กับที่เป็นเวลานาน ขณะที่ผู้คนก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนต่อไหนเต็มลานไปหมด มองดูแล้วใจหาย....”

    หลวงพ่อบ๋าวเอิงเล่าว่า...ท่านจุดธูปสวดมนต์ภาวนาตั้งเป็นหลายชั่วโมง ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าพ่อกวนอูจะเสด็จลงมาประทับทรงสักที และเมื่อหันกลับไปมองดูคนที่เข้ามาร่วมพิธี ท่านว่าถ้าแทรกแผ่นดินได้ก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเลย...

    อีกอย่างถ้าเจ้าพ่อกวนอูไม่ยอมเสด็จลงมาลุยไฟเห็นทีจะต้องกราบถวายวัดและคืนตำแหน่งสมภาร คิดไปคิดมาท่านก็คิดถึงพระคาถาอัญเชิญวิญญาณในพิธีกงเต็ก..

    ท่านว่าพระคาถานี้มีเพียง ๑๔ คำและสำหรับพระญวนแล้วนับว่าเป็นหญ้าปากคอกเลยทีเดียว ท่านจึงสั่งให้พระที่มาด้วยสวดขึ้น ขณะที่ตัวท่านได้ถือธูปสำรวมจิตและส่งกระแสจิตไปที่รูปเจ้าพ่อกวนอู...

    “ถ้ามีความศักดิ์สิทธิ์จริงแท้ ขอให้เข้าประทับร่างทรงคนหนึ่งคนใดลุยไฟให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตาประชาชนในกาลบัดนี้เถิด....”

    สรุปรวบรัดว่าหลวงพ่อบ๋าวเองสามารถอัญเชิญวิญญาณเจ้าพ่อกวนอูให้ประทับทรงและลุยไฟได้สำเร็จ แต่ท่านว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นยังไม่ได้ทำให้ท่านมั่นใจ เพราะมันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบบังเอิญชั่วครั้งชั่วคราว

    ดังนั้นเมื่อท่านกลับมาถึงวัดท่านจึงได้จัดการบวงสรวงบูชาเจ้าพ่อกวนอูที่ศาลภายในวัดสมณานัมบริหาร และเมื่อท่านทำพิธีเชิญ ผลที่ได้รับคือท่านสามารถอัญเชิญดวงวิญญาณเจ้าพ่อกวนอูได้จริง...ครับเล่าลือกันว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ปากน้ำโพ

    “ถนนทุกสายล้วนมุ่งตรงสู่วัดญวน”

    [​IMG]
    ตลอดชีวิตของหลวงพ่อ..ท่านได้ทุ่มเทกับเรื่องราวของจิต วิญญาณและการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือและมีการพิมพ์เผยแพร่แจกเป็นวิทยาทาน โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนอ่านเข้าใจในเรื่องพวกนี้และเชื่อมั่นในเรื่องของ"บาปบุญคุณโทษ..."

    “พูดถึงเรื่องการทำบุญ จะเอาบุญมาล้างบาปเห็นเป็นไม่ได้ ทำกรรมใดกรรมนั้นก็ติดตัวไป ใช้หนี้กรรมเรื่อยไป..

    การทำบุญทุกครั้งไม่ต้องขอร้องวิงวอนให้ผลบุญสนองอย่างนั้นอย่างนี้ ผลแห่งการสร้างบุญที่ได้สร้างไปในทางใดก็ให้ผลในทางนั้น....

    และจุดมุ่งหมายหรือทางที่บุญจะให้ผลดีที่สุดคือพระนิพพาน ไม่มีการเกิดมาใช้หนี้กรรมอีกต่อไป....”
    ครับ...หากเพื่อนๆ เชื่อว่า"ชาตินี้มีจริง"ก็คงจะไม่ปฏิเสธและเชื่อว่า"ชาติหน้าก็มีจริง"เช่นกัน....

    ชาวพุทธมีความเชื่อว่าหากได้ปฏิบัติตามพระธรรม จะทำให้บุคคลผู้ที่ปฏิบัตินั้นสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และบางทีอาจสามารถก้าวเข้าไปสู่สภาวะอันสูงสุดคือ “นิพพาน”

    การที่ได้เรียนรู้ในเรื่องของวิญญาณอย่างถ่องแท้ถือว่าเป็นประโยชน์ ซึ่งพวกเราควรศึกษาและรับทราบไว้บ้าง เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะตามคติชาวพุทธเชื่อมั่นว่า...
    “การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นถือว่าพวกเรามีบุญเป็นอันมาก สามารถที่จะกระทำความดีได้ตลอดเวลา”
    ว่ากันว่า.."อานิสงส์ของการทำความดีมีมาก" ..เพราะ
    “ความดีถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มครองตัวเรา”

    ขอขอบคุณข้อมูลศิษท์กวง

    เหรียญหลวงพ่อบ่าวเอิง วัดญวณ จัดสร้างในวันที่ ๔ มีนาคม 2522 สวยมากครับ

    [​IMG]


    ให้บูชา 850บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.7 KB
      เปิดดู:
      4,583
    • 027.jpg
      027.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.5 KB
      เปิดดู:
      4,681
    • ba1-horz.jpg
      ba1-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      608 KB
      เปิดดู:
      5,821
    • 19.jpg
      19.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.3 KB
      เปิดดู:
      4,256
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2014
  14. ebankky

    ebankky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +62
    ราการที่ 54 ล็อคเก็ต ลป.หงษ์ รุ่นกำแพงแก้ว หน้า48 ครับ

    วันนี้เวลา14:51น ได้โอนเข้าบช.ธ.กรุงเทพแล้วครับพี่ ยอด1210บ.
    กรุณาจัดส่งที่ นายธีระพล โรจนโรวรรณ 16/1 ซ.วจี13 ถ.วจี อ.หล่มสัก
    จ.เพชรบูรณ์ 67110 โทร.083-8776169 ขอบคุณครับพี่โม:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2014
  15. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    รับทราบครับน้องแบงค์ พรุ่งนี้จัดส่งให้ครับผม
     
  16. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]

    [​IMG]

    พระกริ่งพระเจ้าห้าพระองค์ หลวงปู่หมุน เนื้อนวะโลหะพิเศษ

    หลอมจากชนวนพระกริ่งเก่า และแผ่นพระยันต์ศักดิ์สิทธิ์ รวมน้ำหนักกว่า 50 กิโลกรัม ก้นอุดผงทันตธาตุ(ฟัน)ของท่านเจ้าคุณสนธิ์ ซึ่งเป็นมรดกของหลวงพ่อจำลอง ศิษย์ก้นกุฎิของท่านเจ้าคุณฯ สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกเลื่อนสมณศักดิ์ พระเทพวิมลโมลี วัดสุทัศน์เทพวราราม

    ชนวนในการจัดสร้างพระกริ่งมีดังนี้
    1.แผ่นยันต์ตำราพิชัยสงคราม
    2.แผ่นยันต์ 108 นะปถมัง 14 ตำราพระสังฆราชแพ
    3.ชนวนรูปหล่อรุ่นแรกของหลวงปู่อิง
    4.ชนวนพระกริ่งรุ่นแรกของหลวงปู่หมุน
    5.ตะปูสังขวานร ที่ตอกตรึงหลังคาพระอุโบสถวัดสุทัศน์
    6.ทันตธาตุ(ฟัน)ของพระมงคลราชมุนี หรือเจ้าคุณสนธิ์ ผสมผงอิติปิโสรัตนมาลา ชันโรงใต้ดิน

    เข้าร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก 5 พิธีใหญ่ ของวัดสุทัศน์ปี 2543-2544 การปลุกเสกได้เชิญพระสงฆ์ที่มีอายุเกินร้อยปีมาร่วมปลุกเสกมีดังนี้
    1.หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล อายุ 106 ปี
    2.หลวงปู่ลมัย ฐิตมโน อายุ 101 ปี
    3.หลวงปู่เหมือน ฐานุตุตโม อายุ 104 ปี
    4.หลวงปู่กอง จันทวโส อายุ 103 ปี
    5.หลวงปู่อิง โชติโญ อายุ 115 ปี

    สุดยอดพระกริ่งสายหลวงปู่หมุนอีกรุ่นหนึ่ง พระกริ่งพระเจ้าห้าพระองค์ วัดสุทัศน์ เนื้อนวโลหะพิเศษเต็มสูตร เข้าดินไทย หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล ปลุกเสก และ อีก 4 พระเถราจารย์ ก้นอุดผงทันตธาตุ(ฟัน) เจ้าคุณศรีสนธิ์ พระกริ่งรุ่นนี้หล่อหลอมจาก มหามงคลชนวนพิเศษ จากพระกริ่งเก่า และ แผ่นพระยันต์ชนวนศักดิ์สิทธิ์ รวมน้ำหนักกว่า 50 กิโลกรัม ก้นอุดผงทันตธาตุ ท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์ จากศิษย์ก้นกุฎิของท่านเจ้าคุณฯ ชนวนในการสร้างพระกริ่งมีดังนี้ 1 แผ่นยันต์ตำราพิชัยสงคราม 2 แผ่นยันต์ 108 นปถมัง 14 ตามตำราพระสังฆราชแพ 3 ชนวนพระกริ่งรุ่นแรกหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล วัดบ้านจาน 4 ชนวนจากรูปหล่อรุ่นแรกหลวงปู่อิง 5 ตะปูสังขวานร ที่ตอกตรึงหลังคาพระอุโบสถวัดสุทัศน์ 6 ผงทันตธาตุเจ้าคุณศรีสนธิ์ ผสมผงอิติปิโส รัตนมาลา+ ชันโรงพิเศษ ใต้ดิน เข้าร่วมมหาพิธี พุทธาภิเษก 5 ครั้งใหญ่ของวัดสุทัศน์ ในปี 2543 -2544 การปลุกเสกนั้น ได้นิมนต์ พระเกจิที่มีอายุ เกิน 100 ปี 5 รูป ด้วยกันคือ 1 หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล อายุ 106 ปี 2 หลวงปู่ละมัย ฐิตมโน อายุ 101 ปี 3 หลวงปู่เหมือน ฐานุตตโม อายุ 104 ปี 4 หลวงปู่กอง จันทวโส อายุ 103 ปี 5 หลวงปู่อิง โชติโญ อายุ 115 ปี ถือได้ว่าเป็นรุ่นที่อธิษฐานจิตโดยสุดยอดพระเถราจารย์

    ไม่ได้พบเจอง่ายแล้วครับ เป็นพระกริ่งนวะโลหะเต็มสูตรหล่อดินไทยของหลวงปู่หมุนที่ต้องจับตามองดีๆ ครับ สุดยอดทั้งเนื้อหามวลสารการสร้างและพิธียิ่งใหญ่ เป็นพระกริ่งนวะโลหะหล่อดินไทยถัดจากรุ่นกริ่งเจริญลาภครับ ต่อไปเป็นตำนานแน่นอนครับผม โชคลาภไหลมาเทมาครับ องค์นี้หมายเลข 367 มาพร้อมกล่องเดิมครับ หลวงปู่หมุนบอกว่า "วัตถุมงคลรุ่นนี้พลังมาก ถ้าไปรบก็จะชนะ ถ้าประกอบธุรกิจก็จะประสบความสำเร็จ ถ้าค้าขายก็ขายดี โชคดีทุกอย่าง" ตอกโค้ตหนุมานแผลงฤทธิ์ และหมายเลข องค์นี้สภาพสมบูรณ์มาก มีคราบขี้เบ้าติดมาแต่เดิมเลย สวยประกวดได้เลยครับ มีแฟนสวยควงไม่อายเพื่อน มีพระสวยห้อยได้ไม่อายเซียนครับผม

    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]


    สนใจpm หรือโทรสอบถามได้ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2014
  17. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    [​IMG]

    ประวัติ หลวงปู่จันทร์ ขันติโก วัดโฉลกหลำเกาะพงั้น
    หลวงพ่อมีนามเดิมว่า จันทร์ นามสกุล จันทร์อินทร์ เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน 10 ปีชวด ประมาณ 2443 โยมบิดาของท่านชื่อ นายครบ โยมมารดาชื่อ นางทองดี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน คือ หลวงพ่อจันทร์, นางจอน, นายเกลื้อม, นางเคล้า, นางนวล, นางพัฒน์ จันทร์อินทร์ และน้องสาวต่างมารดา 1 คน คือ นางกระจ่าง พรหมรักษ์ หลวงพ่อจันทร์เกิด ณ. บ้านมะเดื่อหวาน ตำบลเกาะพะงัน อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

    คลอดเอาเท้าออก
    เมื่อหลวงพ่อจันทร์คลอดนั้น กล่าวกันว่าท่านเอาเท้าออกก่อน ด้วยผู้คนสมัยนั้นเชื่อสืบต่อกันมาว่า เมื่อใครเกิดก้างปลาติดคอ หากกลืนกล้วย กลืนข้าวปั้นเป็นก้อนแล้ว ก้างปลายังไม่หลุด ก็ให้ไปหาคนที่เวลาคลอดเอาเท้าออกก่อน แล้วให้คนผู้นั้นเอาหัวแม่เท้าจุ่มน้ำ เอาน้ำนั้นให้กิน ก้างปลาจักหลุดแล
    ดังนั้น เมื่อคนละแวกบ้านมะเดื่อหวานมีปัญหา ก้างปลาติดคอ หลังจากหมดทางแก้แล้วก็มักมาหาหลวงพ่อจันทร์ ผู้เป็นดั่งเสมือนที่พึ่งสุดท้าย เพื่อขอให้ท่านเอาหัวแม่เท้าจุ่มน้ำ สำหรับใช้ดื่มแก้ก้างปลาติดคออยู่เสมอ หลวงปู่จันทร์ จึงเป็นผู้ช่วยปลดเปลื้องทุกข์บางประการของชาวบ้านในยุคที่วิทยาการทางแพทย์ มีเพียงแค่ระดับภูมิปัญญาท้องถิ่น มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แม้หลวงพ่อจันทร์มรณภาพแล้ว หลายคนยังนิยมเอาเหรียญของท่านมาแช่น้ำทำเป็นน้ำมนต์ดื่มแก้อาการก้างติดคอ กันอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็ได้เห็นผลกันมาแล้วมากราบ

    ศิษย์หลวงพ่อเพชร วชิโร
    ราวปี พ.ศ. 2456 เมื่ออายุประมาณ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดมะเดื่อหวาน โดยมี หลวงพ่อเพชร วชิโร (พระครูวิบูลย์ธรรมสาร) เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชแล้วสามเณรจันทร์ก็ติดตามไปอยู่รับใช้และเล่าเรียนอักขระวิธี กรรมฐานวิปัสสนา กับหลวงพ่อเพชรที่วัดเขาน้อย การได้ศึกษาฝึกฝนกับหลวงพ่อเพชรซึ่งเป็นพระที่เคร่งครัดเชี่ยวชาญชำนาญการ สอนวิปัสสนากรรมฐาน นับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่เสมือนเป็นการช่วยสร้างพื้นฐานอันแน่นหนาในเรื่อง เอกัคตาจิต ให้ท่านตั้งแต่วัยเยาว์ รวมตลอดทั้งเคล็ดวิธีอุปเท่ห์ในทางเวทวิทยาคมบางประการด้วย เมื่อมีพื้นฐานที่แน่นหนา มั่นคง เหมาะสม ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เติบโต เจริญก้าวหน้าได้ดียิ่งในอนาคต

    สามเณรจันทร์ได้อยู่ศึกษาปฏิบัติ ปลูกสร้างพื้นฐานกับหลวงพ่อเพชร สุดยอดพระเถราจารย์ของเกาะพะงันเป็นเวลากว่า 2 พรรษาแล้วก็ลาสิกขาออกไปเผชิญโลกต่อไป ครั้นอายุครบอุปสมบทท่านได้บวชเป็นพระภิกษุ ตามประเพณีของลูกผู้ชายชาวไทย ณ วัดใหม่ (วัดศรีทวีป) อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุยรูปที่สาม เป็นพระอุปัชฌาย์บวชอยู่ 2-3 พรรษาก็สละเพศบรรพชิต ลาสิกขา แล้วท่านก็มีครอบครัว ภรรยาของท่านชื่อ นางหีดนุ้ย เป็นชาวใต้ เกาะพะงัน มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ
    1. นายเจน จันทร์อินทร์
    2. นางเจิม ชำนาญกิจ
    ครอบครัวของท่านตั้งอยู่ที่ บ้านบ่อผุด เกาะสมุย หลังจากภรรยาของท่านถึงแก่กรรม ท่านก็เกิดเบื่อหน่ายฆราวาสวิสัย ตระหนักในไตรลักษณ์ที่ว่า
    “สรรพสิ่งล้วน เปลี่ยนแปร ไม่แท้เที่ยง
    ทุกสิ่งเพียง ของสมมุติ อย่ายึดมั่น
    มิใช่ตัว ใช่ตนจริง ทุกสิ่งนั้น
    ล้วนแปลงผัน ล้วนทุกข์ท้น มิทนทาน”

    ประมาณ พ.ศ.2489 ท่านได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่งด้วยเจตจำนงแน่วแน่ที่จะยึดถือ เป็นตัวตาย ตั้งใจที่จะให้ได้มีผ้าเหลืองห่อหุ้มศพ เป็นการบวชตลอดชีวิตที่จะไม่ลาสิกขาออกมาอีก ครั้งนี้หลวงพ่อจันทร์ อุปสมบทที่วัดสำเร็จ เกาะสมุยโดยมี พระครูทีปาจารคุณารักษ์(มี อินทสุวัณโณ) อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุย รูปที่ 4 เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า “ขันติโก” เมื่อหลวงพ่อจันทร์บวชแล้ว ได้มาอยู่ปฎิบัติธรรมที่บ้านโฉลกหลำ สถานที่ที่ท่านพำนักเป็นเพียงที่พักสงฆ์ เรียกว่า ที่พักสงฆ์เจริญสุข ซึ่งมีเพียงศาลาหลังเล็กๆ สำหรับที่พระภิกษุพักอาศัย ครั้นประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 25 บ้านโฉลกหลำ ได้กลายเป็นท่าเรือประมง ที่บรรดาเรือประมงซึ่งจับปลาอยู่บริเวณใกล้เคียงมักมาขายส่งปลาให้แก่เรือ รับซื้อที่เรียกว่า เรือห้องเย็น รวมทั้งอาศัยเป็นที่กำบังลมพักผ่อนและเติมเสบียงในช่วงฤดูที่มิใช่หน้าลม ว่าว ครั้นถึงยามฤดูลมว่าวประมาณระหว่างเดือน (จันทรคติ) 12 ถึงเดือน 2 อ่าวโฉลกหลำเป็นจุดรับลมว่าว ภายในอ่าวมีคลื่นลมแรง เหล่าเรือประมงจะต้องใช้อ่าวแห่งอื่น เช่น อ่าวน้ำตกธารเสด็จ เป็นท่าเรือ ด้วยความเป็นท่าเรือดังกล่าว ทำให้โฉลกหลำเป็นแหล่งที่มีเงินสะพัด เป็นแหล่งงาน เป็นที่แสวงโชค เป็นแหล่งธุรกิจที่สำคัญของเกาะพะงันในขณะนั้น ก่อนที่เกาะพะงันกลายเป็นแหล่งที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันนี้

    เมื่อหลวงพ่อจันทร์ มาพำนักอยู่ยังที่พักสงฆ์เจริญสุขแล้ว ท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ รวมทั้งอุโบสถ กระทั่งทำที่พักสงฆ์ได้กลายเป็นวัดตามกฎหมาย โดยมีประกาศตั้งวัดเมื่อ วันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2519 เรียกว่า สำนักสงฆ์โฉลกหลำ เมื่อได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2520 จึงเป็นสภาพเป็นวัดโดยบริบูรณ์ และใช้ชื่อว่า ”วัด” ได้ตามกฎหมายแล้วทางวัดก็ได้จัดงานผูกพัทธสีมาในปี พ.ศ. 2522 หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก จึงเป็นพลังสำคัญในการสร้างวัดและเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดโหลกหลำ

    สร้างเมรุ
    หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก ยังได้ชักชวนชาวบ้าน ภายใต้ความสนับสนุนร่วมแรงแข็งขันของท่านกำนันวุฒิ ชมอินทร์ อดีตกำนันดีเด่นของตำบลเกาะพะงัน คนดีที่โลกไม่เคยลืม ได้ช่วยกันสร้างเมรุในวัดโฉลกหลำ
    นับเป็นเมรุเผาศพแบบใหม่เป็นแห่งแรกของอำเภอเกาะพะงัน เพราะขณะนั้นวัดอื่นๆ ยังใช้เมรุแบบเก่าที่ตั้งโลงบนฐานปูน ตะแกรงเหล็ก ไม่มีอะไรปกปิด แล้วสุมเพลิงข้างล่างแบบที่ฝรั่งนักท่องเที่ยวเรียกแบบล้อเลียนว่า ที่กระทำบาบีคิว หรือ ที่ปิ้งบาบีคิว

    หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก
    นายโชติ เมืองทอง เล่าว่าหลวงพ่อจันทร์ เป็นพระที่มีนิสัยใจคอเยือกเย็น ดีก็ไม่พูด ร้ายก็ไม่พูด แม้ใครนินทา ติเตียนก็ไม่พูด ไม่โต้ตอบ ใจคอท่านหนักแน่นมีขันติ มีความอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่ชอบใจ นับว่าหลวงพ่อจันทร์เป็นผู้ที่มีความอดกลั้น อดทนสมกับฉายาของท่าน

    พระสมเด็จปกโพธ์ยุคต้น
    ปาฏิหารย์ หลวงพ่อจันทร์
    1 .หลงบ้าน
    ในงานวันขึ้นปีใหม่ ครั้งหนึ่งชาวบ้านโฉลกหลำจำนวนมากได้เข้าไปทำบุญปีใหม่ในวัดโฉลกหลำเพื่อ ความเป็นสิริมงคล จึงมีการนิมนต์หลวงพ่อจันทร์ มาอวยพรปีใหม่พร้อมทั้งประพรมน้ำพระพุทธมนต์
    นายโชติ เมืองทอง ซึ่งขณะนั้นไม่ค่อยเลื่อมใสนัก เมื่อมีผู้มาชวนไปรับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์จากหลวงพ่อจันทร์ จึงได้กล่าวเป็นหมิ่นทำนองว่า “ประพรมน้ำ ถ้ายังไม่พอ ที่บ้านยังมีอีกบ่อ” เนื่องจากตามบ้านเรือนในท้องถิ่นไทยภาคใต้นั้นโดยส่วนมากนักขุดบ่อน้ำไว้ สำหรับใช้สอยประจำบ้านแทบทุกหลัง คำกล่าวเชิงหมิ่นของนายโชติ มีความหมายว่า หากน้ำพุทธมนต์ที่หลวงพ่อจันทร์ใช้ประพรมอยู่ไม่เป็นการเพียงพอก็ให้ไปเอา น้ำในบ่อที่บ้านของตน ซึ่งอยู่ใกล้วัดมาใช้แทนด้วย มีเจตนาที่จะชี้ให้เห็นว่า น้ำพระพุทธมนต์ของหลวงพ่อจันทร์ ก็เหมือนกับน้ำในบ่อที่บ้านนั้นแหละหามีอะไรแตกต่างกันไม่เสร็จพิธีแล้วนายโชติ ก็ยังนั่งเสวนาอยู่ในวัด จนเริ่มมืด ตามบ้านเรือนและภายในวัดต่างเปิดไฟฟ้าสว่างไสว เมื่อเห็นว่าค่ำแล้วนายโชติก็เดินกลับบ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ วัด ห่างจากเขตวัดเพียงประมาณ 50 เมตรเท่านั้น แต่ปรากฏว่านายโชติเดินวนเวียนรอบวัดอยู่ 2-3 รอบ ก็ยังหาหนทางที่จะเดินจากวัดไปยังบ้านไม่พบ กระทั่งฝ่ายภรรยาเห็นว่าค่ำมืดมากแล้วยังไม่กลับบ้านก็เลยออกมาตามหา นั้นแหละนายโชติจึงสามารถกลับบ้านได้ถูก เหตุการณ์หลงบ้านตนเองครั้งนั้นใครๆ ต่างเข้าใจว่านายโชติ เมาจนกลับบ้านไม่ถูก แต่นายโชติปฎิเสธว่ามิได้เมามายขนาดนั้น และบ้านก็ยังอยู่ติดกับวัดมองกันก็เห็นเพราะตั้งอยู่ในที่โล่ง ไม่มีทัศนียภาพอื่นมาบดบัง อีกทั้งบริเวณใกล้วัดก็มิได้มีบ้านเรือนอยู่หนาแน่นแต่ประการใด กับการได้เคยเดินเข้าออกมาแต่ไหนแต่ไรถึงจะเมาสักขนาดไหนก็ย่อมเดินกลับได้ ถูกอยู่ดี ส่วนเหตุที่เป็นดังนั้นคงเนื่องมาจากคำพูดที่นายโชติได้พูดเชิงดูหมิ่น บันดาลให้นายโชตหลงทาง เที่ยวเดินวนเวียนรอบวัด หาทางกลับบ้านไม่ถูก นายโชติยืนยันว่าที่หาทางกลับบ้านไม่ถูกในครั้งนั้นมิใช่เพราะความเมาอย่าง แน่นอน แต่เป็นเพราะบางสิ่งบางอย่างลึกลับเชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อ จันทร์ กระทำให้ตนต้องสำนึกว่าสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ มีศีล สมาธิและวิทยาคมย่อมกระทำบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ต่างจากสามัญธรรมดา ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมานายโชติได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในอิทธิคุณของหลวงพ่อจันทร์เป็นอันมาก

    2.ไม่ค่อยจำวัด ในยามเวลากลางคืน
    บรรดาศิษย์ที่เคยอยู่รับใช้หลวงพ่อจันทร์ กล่าวพ้องต้องกันว่าในยามกลางคืนท่านไม่ค่อยจะจำวัด มักใช้เวลาในเพลากลางคืนสำหรับการสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิ กรรมฐาน เขียนผงเรียกสูตรนาม ทำพระ หรือปลุกเสกพระ โดยเฉพาะในคืนที่เป็นวันธรรมสวนะ ท่านมักทำพระ ปลุกเสกพระสมเด็จเสมอๆ หลวงพ่อจันทร์มักทำพิธีปลุกเสกพระเพียงลำพัง ท่านจะใช้เวลานั่งบริกรรมปลุกเสกพระเกือบตลอดทั้งคืน และทำการปลุกเสกติดต่อกันหลายราตรี กระทั่งประจักษ์แจ้งว่าเป็นการเพียงพอเพียบพร้อมอิทธิสรรพคุณแล้วจึงจักออก แจกจ่าย ด้วยความพิถีพิถันในการประสิทธิอิทธิคุณในองค์พระดังกล่าว จึงยังผลให้ผู้มีพระสมเด็จหลวงพ่อจันทร์บูชา ต่างมั่งมีมากมายหลากหลายประสบการณ์

    3.สติปัฏฐาน
    เพราะเหตุที่หลวงพ่อจันทร์ได้ใช้เวลากลางคืนปฏิบัติกิจต่างๆ ไม่ค่อยได้พักผ่อน ไม่ค่อยได้จำวัดในเวลากลางคืนเลย ท่านจึงต้องใช้เวลาพักผ่อนในตอนกลางวัน ช่วงบ่ายเป็นประจำ
    แต่น่าแปลกนักที่ว่า ขณะที่ท่านกำลังจำวัดอยู่นั้นเมื่อพระบวชใหม่รูปใดซึ่งมักชอบท่องจำบทสวด เสียงดังอยู่ในกุฏิใกล้ๆ กันนั้น เกิดออกเสียงอักขระในบทสวดมนต์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนแม้เพียงตัวเดียว หลวงพ่อจันทร์ก็จะร้องทักเสียงที่ผิดอักขระทันที ทั้งๆ ที่ท่านกำลังจำวัดอยู่ จึงเป็นที่เชื่อกันว่าหลวงพ่อจันทร์ คงปฏิบัติแนวสติปัฏฐานด้วย ดังนั้น แม้ยามนอนหลับขณะกำลังจำวัดอยู่ ก็ยังมีสติกำกับ ยังได้ยิน สามารถรับรู้อยู่ตลอดเวลา

    ศึกษาตำราหลวงพ่อเพชร
    มีตำราเป็นสมุดโบราณเล่มหนึ่งซึ่งบันทึกเรื่องราวเวทวิทยาคม มนตราอักขระเลขยันต์ พิธีอุปเท่ห์ต่างๆ ที่สืบทอดกันมาแต่บรรพกาล เป็นตำราของเก่าที่ หลวงพ่อเพชร วชิโร อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุย รูปที่สอง พระเถราจารย์ที่ชาวประชานับถือกันว่าเป็น พระสงฆ์ระดับเหนือโลก องค์หนึ่งของสุราษฎร์ธานี หลวงพ่อจันทร์ได้เคยนำมาศึกษาฝึกฝนทดลองปฏิบัติในครั้งที่หลวงพ่อเพชรยัง อยู่ในวัยหนุ่ม ตำราเล่มนี้มีชื่อเรียกขานในหมู่ลูกศิษย์ว่า ” ตำรา ตาขาว ” ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งตามนามของท่านผู้เป็นเจ้าของเดิม ด้วยเหตุที่ ตาขาวผู้เป็นเจ้าของเดิมของตำราพระเวทเล่มนี้ มีศักดิ์ (ตามความเกี่ยวเนื่องทางสายเลือด) เป็นปู่ของหลวงพ่อจันทร์ ดังนั้นหลังจากหลวงพ่อเพชรมรณภาพแล้ว ตำราดังกล่าวจึงตกทอดสู่หลวงพ่อจันทร์ ท่านจึงได้รับตำราศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นคู่มือปฏิบัติ ประกอบกับหลวงพ่อจันทร์เคยมีพื้นฐานที่แน่นหนามั่นคงในทางเอกัคตาจิต ตั้งแต่ที่เคยบวชเป็นสามเณร เคยฝึกฝนปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อเพชร ครั้นมีตำราคู่มือปฏิบัติที่พร้อมสรรพ จึงทำให้ท่านสามารถบรรลุสัมฤทธิ์ผลได้ แม้จะเป็นการศึกษาด้วยตนเอง

    4.หนังเหนียว
    นายสามารถ เรืองโรจน์ เคยเห็นหลวงพ่อจันทร์ นั่งลับมีดโกนตราตุ๊กตาคู่ ซึ่งเป็นมีดโกนที่ผู้ใช้ต่างเชื่อถือในคุณภาพ ความคมกริบ เพื่อไว้สำหรับปลงเกศาในวันโกน หลวงพ่อจันทร์นั่งลับมีดโกนอยู่ครู่ใหญ่จนคมกริบดีแล้ว ท่านได้ใช้มีดโกนเล่มนั้นกรีดแขนของท่านอย่างแรง นายสามารถเห็นแล้วตกใจ คิดว่าเลือดคงไหลโกรกเป็นแผลเหวอะหวะ และงุนงงว่าอยู่ดี ๆไยท่านถึงได้ทำร้ายตัวเองเช่นนั้น แต่ปรากฏว่าคมมีดโกนมิอาจทำอันตรายใดๆ ให้แก่ผิวหนังของท่านได้ แม้ท่านจักได้กรีดซ้ำหลายหนก็ตาม อีกครั้งหนึ่ง นายชา ชมจันทร์ อาสาลับมีดโกนให้หลวงพ่อจันทร์ ได้นั่งลับมีดอยู่เป็นเวลานานกระทั่งเห็นว่าคมดีแล้วก็ยื่นมีดถวายท่านพร้อม กับพูดทำนองว่า ”มีดคมขนาดนี้ รับรองปลงผม 2-3 หัว ใช้เวลาไม่กี่นาที” หลวงพ่อจันทร์ รับมีดโกนมามองดูแล้วกล่าวว่า ”คมยังไง” พร้อมกับใช้มีดโกนนั้นกรีดแขนของท่านอย่างแรง แทนที่เลือดจะไหลทะลัก ผิวหนังเป็นแผลตามรอยมีดกรีดดั่งสามัญวิสัยตามปกติกลับไม่ เป็นว่าไม่ระคายผิวท่านเลย นายชาเห็นดังนั้นแล้วถึงร้องไห้โฮ บ่นว่า อุตสาห์นั่งลับอยู่ตั้งนานนึกว่าจะคม ที่ไหนได้กลับเชือดเนื้อเถือหนังหลวงพ่อจันทร์ก็ไม่เข้า

    เขียนผง
    เดิมทีเดียวหลวงพ่อจันทร์เขียนผงลบผงเก็บไว้สำหรับผสมแป้งหอมทาตัว เมื่อผู้ใช้หลายคนได้ประจักษ์ถึงสรรพคุณในทางเมตตามหาเสน่ห์ มหานิยม มีประสบการณ์บ่อยๆเข้าผู้ศรัทธาเลยขอให้ท่านทำเป็นพระ เมื่อผู้ศรัทธารบเร้าเรียกร้องมากๆ เข้าในที่สุดหลวงพ่อจันทร์ก็ได้ตอบสนองคำร้องขอของผู้ศรัทธา จึงทำพระรูปสี่เหลี่ยมอย่างที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า พระสมเด็จ ออกมา โดยพระรุ่นแรกของท่านสร้างออกมาประมาณหลังจาก พ.ศ. 2510

    อนึ่ง หลวงพ่อจบ เรืองโรจน์ เคยบอกว่า หลวงพ่อจันทร์เป็นผู้มีความสามารถชำนาญใน การทำยันต์เต่าเรือน มาก โดยได้ศึกษาเคล็ดวิธีจากตำราตาขาวฉบับที่หลวงพ่อเพชร วชิโร เคยศึกษา
    นายสามารถ เรืองโรจน์ สมัยเมื่อเป็นนักเรียนชั้นประถมและเป็นเด็กวัดด้วย เคยแอบดูหลวงพ่อจันทร์ทำผงพระในกุฏิเวลากลางคืน เห็นท่านขึงผ้าขาวไว้ผืนหนึ่งที่หน้าโต๊ะบูชา ความสูงของผ้าอยู่ระดับศีรษะ (เวลานั่ง) แล้วท่านก็ก้มลงเขียนอักขระในกระดานชนวนที่วางอยู่ด้านล่างของผ้าขาว แท่งดินสอที่ใช้เขียนในอักขระเป็นแท่งผงปั้นที่ท่านได้จัดทำขึ้นเอง เขียนไปบริกรรมไปจนหมดแท่งผง แล้วท่านก็ลุกขึ้นทำการกวาดผงจากข้างบนผ้าขาวที่ขึงไว้ด้านบน
    นายสามารถยืนยันว่า ไม่เคยเห็นท่านกวาดผงจากกระดานชนวน เพราะผงได้ลอยขึ้นไปอยู่ทางด้านบนของผ้าขาวที่ขึงไว้ข้างบนซึ่งไม่ทราบว่า ลอยขึ้นไปได้อย่างไรกัน นับว่าหลวงพ่อจันทร์มีกรรมวิธีทำผงที่แปลกกว่าใคร เพราะโดยส่วนมากพระคณาจารย์ต่างๆ มักใช้ผงพระจากกระดานชนวน หรือที่ทะลุลงใต้กระดานชนวน แต่หลวงพ่อจันทร์กลับใช้ผงที่ลอยทะลุผ้าขึ้นไปอยู่บนด้านบนของผ้าที่ขึงไว้ เหนือศีรษะอีกทีหนึ่ง เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก

    พระสมเด็จ
    พระสมเด็จหลวงพ่อจันทร์ได้สร้างออกมาเป็นระยะตลอดชีวิตของท่าน การจำแนกระหว่างรุ่นแรกกับรุ่นหลังๆ มักดูกันที่เนื้อหา ความอ่อน-แก่ของปูน คือพระรุ่นหลังๆ จะมีความแก่ปูนมากกว่ารุ่นแรกๆ วรรณะของพระยุคแรกมักมีสีน้ำตาลหรือเหลืองอ่อน หนึกนุ่มกว่า กับทั้งมีร่องรอยของผงถ้วยนรสิงห์บดผสมอยู่ด้วย แต่โดยส่วนมากแล้ว นักเล่นหามักไม่ค่อยจำแนกรุ่น เพราะถือว่าเจตนาในการสร้างของหลวงพ่อ ก็มิได้ตั้งเกณฑ์กำหนดรุ่นไว้ และถือว่าพระยุคแรกหรือยุคหลังมีความแตกต่างกันนิดหน่อยของเนื้อหาขององค์ พระเท่านั้น ส่วนสรรพคุณอิทธิคุณนั้นมิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด
    พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์มีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ทรง อาทิเช่น
    1. พระสมเด็จฐานสามชั้น จำแนกออกได้เป็นสามแบบ กล่าวคือ
    1.1 พิมพ์ใหญ่ มีขนาดประมาณ 2.6 x 3.9 ซม. ส่วนหนาประมาณ 0.5 ซม. เส้นซุ้มคู่และที่ระหว่างเส้นซุ้มกับขอบองค์พระมีลวดลายเป็นเส้นนูน
    1.2 พิมพ์กลาง องค์พระจะอยู่ภายในครอบแก้ว หรือเส้นซุ้มเดี่ยว
    1.3 พิมพ์เล็ก องค์พระจะอยู่ภายในเส้นซุ้มเดี่ยว เช่น เดียวกับพิมพ์กลาง
    2. พระสมเด็จฐานเจ็ดชั้น เป็นพระที่มีน้อย ไม่ค่อยจะได้พบเห็น
    3. พระสมเด็จฐานเก้าชั้น องค์พระอยู่ภายในเส้นซุ้มเดี่ยว
    4. พระสมเด็จพิมพ์แหวกม่าน
    5. พิมพ์ขุนแผน
    6. พิมพ์นางพญา มีหลายแบบ
    7. พิมพ์ปิดตา
    ในแต่ละพิมพ์ มีขนาดแตกต่างกันอยู่บ้าง และมีรูปแบบศิลปะย่อยๆ แตกต่างกันออกไปอีก สรุปรวมจำแนกอย่างละเอียดแล้ว พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์มีจำนวนประมาณ 30 กว่าพิมพ์ พระของท่านส่วนมากเป็นพระเนื้อผง มีเนื้อว่านอยู่เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

    วิธีการสร้างพระผงของหลวงพ่อจันทร์
    ท่านจะทำออกมาเรื่อยๆ คือเมื่อท่านเขียน ผงนอโม ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ฯลฯ ได้จำนวนพอสมควรแล้วก็เอามาผสมกับมวลสารอื่นๆ เช่น เกสรดอกไม้ ผงถ้วยนรสิงห์บดละเอียด แร่เหล็กไหลเกาะพะงัน ที่ตกทอดมาจากหลวงพ่อเพชร (เฉพาะยุคแรกเท่านั้น) ข้าวก้นบาตร กล้วยหอม ฯลฯ แล้วตำให้อยู่ในตัวครกเล็กโดยส่วนมาก โดยเฉพาะในยุดแรกๆ หลวงพ่อจะเป็นผู้ดำเนินการด้วยตัวท่านเองหมดทุกขั้นตอน ทั้งการผสม การตำ การกดพิมพ์ ภายหลังมีพระเณรมาช่วยตำ ช่วยกดพิมพ์บ้าง แต่ก็อยู่ภายใต้การดูแลควบคุมอย่างใกล้ชิดของท่าน แม่พิมพ์ที่ใช้สร้างพระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์ โดยส่วนมากมักเป็นแม่พิมพ์ที่แกะจากหินลับมีดโกน ซึ่งมีความเปราะ แตกหักง่าย ใช้ได้ไม่นานก็มักชำรุดต้องเปลี่ยนแม่พิมพ์ใหม่ เป็นเหตุให้ พระของท่านมีรูปแบบศิลปะพิมพ์ทรงแยกย่อยได้ประมาณกว่า 30 พิมพ์ โดยมีรูปลักษณ์หลักอยู่ 4 แบบ คือ สมเด็จสามชั้น เจ็ดชั้น เก้าชั้น และพิมพ์แหวกม่าน ดังกล่าวแล้ว ครั้นพิมพ์พระสมเด็จแล้ว ท่านก็เลือกฤกษ์ยามตามพิธี เริ่มทำการปลุกเสกโดยลำพัง ติดต่อกันไปเรื่อยๆ ตามอุปเท่ห์กลวิธีที่เล่าเรียนมา กระทั่งถูกต้องครบถ้วนตามกระบวนการตำราพิธี มั่นใจในอิทธิคุณ อันสัมฤทธิ์แล้ว ก็จักนำมาออกแจกจ่ายให้ญาติโยม

    ด้วยเหตุนี้ ยุคสมัยอ่าวโหลกหลำมีสถานภาพเป็นท่าเรือประมงสำคัญแห่งหนึ่งในภาคใต้ฝั่ง ตะวันออก เรียกประมงจากจังหวัดต่างๆ ได้แวะเวียนอาศัยพักหลบลม จำหน่ายปลา พักผ่อนและเติมเสบียงอยู่เสมอ พวกเรือประมง (ยุคนั้น) โดยมากเป็นคนในแถบที่ชาวเกาะเรียกว่า “พวกเมืองใน” คือพวกชาวไทยที่พูดสำเนียงภาคกลางในจังหวัดชายทะเลละแวกปริมณฑลของกรุงเทพ ฯ เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ ”พวกวันอ๋อ” หรือ พวกตะวันออก เช่น ระยอง จันทบุรี รวมทั้งที่มาจากเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กับปากน้ำหลังสวนชุมพร จึงทำให้พระสมเด็จหลวงพ่อจันทร์จำนวนมากได้รับการแจกจ่ายไปอยู่ตามจังหวัด ชายทะเลเหล่านั้น

    พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์ ปรากฏอิทธิคุณในด้านต่างๆ ทั้ง คงกระพัน มหาอุตม์ เมตตา มหาเสน่ห์ ฯลฯ แต่ที่โด่งดังเป็นอันมากก็คือ เรื่องมหาเสน่ห์ แต่ ณ ที่นี้ จะของดเว้นกล่าวถึงในส่วนรายละเอียด เพราะเกรงว่าอาจมีผลข้างเคียงในทางที่กลายเป็นการชี้โพรงให้กระรอก เพราะการบันทึกเรื่องราวไว้เป็นลายลักษณ์อักษรสิ่งตีพิมพ์นั้น เป็นสิ่งที่ควรอยู่ถาวร ทั้งสามารถแพร่หลายไปได้โดยกว้าง มิอาจจำกัด ควบคุม จำแนกรับรู้ข่าวสารได้ ไม่ได้มีข้อจำกัดเหมือนการเล่าด้วยวาจา ที่อาจเลือกเฟ้นผู้รับมีวงจำกัดในการเผยแพร่ และคงอยู่แต่ในเพียงความทรงจำ อีกทั้งการนำอิทธิคุณ ความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์ของวัตถุบูชาแทนพระรัตนตรัย ไปใช้ในการเสริมสนองขุนเลี้ยงตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ และการกระทำข่มเหงกดขี่ บีบบังคับ เอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ ย่อมมิใช่เจตนารมณ์ของการเกิดแห่งวัตถุบูชา และมิใช่วัตถุประสงค์ของท่านผู้สร้าง ผู้เสกวัตถุบูชา เหล่านั้น อิทธิคุณความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์ของวัตถุบูชาแทนพระรัตนตรัยควรมีไว้ สำหรับเพื่อการป้องกัน ปกป้องให้รอดปลอดพ้นจากทุจริตมิจฉากรรม จำกัดกรรมที่มิควรประสงค์มิให้บังเกิดหรือเสริมสนองเอื้ออำนวยกิจอันควรแก่ การณ์เท่านั้น ด้วยข้อจำกัดของการสื่อสารที่มิอาจเฟ้นผู้รับการสื่อสารได้ เพื่อมิให้เกิดผลข้างเคียงในทางลบ แม้พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์จักมีประสบการณ์มากมายในทางนี้ ก็ต้องกราบขออภัยที่จำเป็นต้องงดเว้นการกล่าวถึงวิธีการรายละเอียดแห่งการ ปรากฏผลด้านมหาเสน่ห์ของสมเด็จหลวงพ่อจันทร์ไว้ ณ ที่นี้

    อนึ่ง หลวงพ่อจันทร์ ได้มีข้อห้ามประการสำคัญข้อหนึ่ง สำหรับผู้ใช้พระของท่านนั่นคือ ห้ามอมพระ (ห้ามเอาพระใส่ปากอม) โดยเด็ดขาด


    พระสมเด็จมหาเสน่ห์ หลวงปู่จันทร์วัดโฉลกหลํา พะงัน พิมพ์คะแนน 3ชั้นซุ้มคู่

    พิมพ์ที่นิยมค่าบูชาตอนนี้เกินหมื่นไปแล้วครับ ตอนนี้มาเลย์เข้ามากว้านซื้อไปหมดครับ ยิ่งองค์ไหนมีรอบมีดขูดเอาผงไปใช้ ยิ่งได้ราคาครับ แต่มีข้อห้ามคือห้ามผิดลูกเมีย ต้องรับผิดชอบไปเลย....สมัยก่อนนักเลงแม่กลองยังเคยเดินเรือมาเอาพระของท่าน ขนาดพระเมืองเพชรและพระเมืองชลอยู่ใกล้ๆ และมีดีมากมาย แต่ก็ยังขวนขวายมาลองพระถึงพงัน นักเลงคนนี้บอกว่าหลวงปู่จันทร์ท่านทำไว้ครบ แขวนเดี่ยวได้เลยตั้งแต่ จีบสาวยันตะลุมบอน เลือดออกแค่ยางบอนครับ...ส่วนคู่อริถ้าด้อยกว่าหลวงพ่อทาบหรือหลวงพ่อแก้ว โดนยิงทะลุเรือเจ็บ-ตายหมดครับ.. ปัจจุบันพระสมเด็จหลวงปู่จันทร์เป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากในหมู่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างเสาะแสวงมาบูชาเพราะเชื่อมั่นในพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องมหาเสน่ห์เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้ที่พบเห็น ดีเยี่ยมในทางเมตตามหานิยมเกื้อกูลในการประกอบอาชีพทำมาหากิน จนเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างและเป็นที่กล่าวขาน กันจนติดปากว่า"ขุนแผนเมืองใต้" แต่ในด้านมหาอุด คงกะพันก็ไม่ได้เป็นรองในด้านมหาเสน่ห์เลย เรียกได้ว่าพุทธคุณครอบจักรวาล...ส่วนมวลสารในการสร้างพระสมเด็จของหลวงปู่จันทร์จะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกับพระผงสำนักอื่น เพราะวัสดุที่หลวงปู่ใช้ผสมล้วนแล้วแต่หากันในบริเวณเกาะหรือในทะเล เพราะวัสดุที่หลวงปู่ให้ลูกศิษย์ไปหามาเป็นตัวผสมล้วนแล้วแต่เป็นของดีและมีพุทธคุณอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็น กัลปังหา ปูนเปลือกหอยและเกสรดอกไม้หรือว่านยาต่างๆ และผงปถมังที่หลวงพ่อลบทะลุกระดาน โดยหลวงปู่จันทร์ท่านจะหาวันและเวลาดีๆในการบริกรรมคาถาในการสร้างพระสมเด็จ ..ในปัจจุบันสมเด็จหลวงปู่จันทร์หายากยิ่งนัก เพราะผู้ที่นำไปบูชาแล้วเกิดประสบการณ์และปาฎิหารย์ ต่างๆอย่าโชกโชน จึงเป็นวัตถุมงคลที่เห็นไม่มากนักในยุคปัจจุบัน...สำหรับบรรดาลูกศิษย์ที่ต้องการพุทธคุณที่เด่นชัดในเรื่องมหาเสน่ห์และโชคลาภ โภคทรัพย์ดีมากๆ ครับยังกะแขวนวัดปากน้ำเลยครับ

    ปัจจุบันพระสมเด็จหลวงปู่จันทร์เป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากในหมู่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างเสาะแสวงมาบูชาเพราะเชื่อมั่นในพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องมหาเสน่ห์เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้ที่พบเห็น ดีเยี่ยมในทางเมตตามหานิยมเกื้อกูลในการประกอบอาชีพทำมาหากิน จนเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างและเป็นที่กล่าวขานกันจนติดปากว่า"ขุนแผนเมืองใต้" แต่ในด้านมหาอุด คงกะพันก็ไม่ได้เป็นรองในด้านมหาเสน่ห์เลย เรียกได้ว่าพุทธคุณครอบจักรวาล...ส่วนมวลสารในการสร้างพระสมเด็จของหลวงปู่จันทร์จะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกับพระผงสำนักอื่น เพราะวัสดุที่หลวงปู่ใช้ผสมล้วนแล้วแต่หากันในบริเวณเกาะหรือในทะเล เพราะวัสดุที่หลวงปู่ให้ลูกศิษย์ไปหามาเป็นตัวผสมล้วนแล้วแต่เป็นของดีและมีพุทธคุณอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็น กัลปังหา ปูนเปลือกหอยและเกสรดอกไม้หรือว่านยาต่างๆ และผงปถมังที่หลวงพ่อลบทะลุกระดาน โดยหลวงปู่จันทร์ท่านจะหาวันและเวลาดีๆในการบริกรรมคาถา ในการสร้างพระสมเด็จ ร่วมสร้างและกดพิมพ์โดยชาวบ้านที่ อาศัยอยู่ในบริเวณรอบเกาะพงันและพระเณรในวัด...ในปัจจุบันสมเด็จหลวงปู่จันทร์หายากยิ่งนัก เพราะผู้ที่นำไปบูชาแล้วเกิดประสบการณ์และปาฎิหารย์ ต่างๆอย่าโชกโชน จึงเป็นวัตถุมงคลที่เห็นไม่มากนักในยุคปัจจุบัน.... .สมัยก่อนนักเลงแม่กลองยังเคยเดินเรือมาเอาพระของท่านครับ ขนาดพระเมืองเพชรและพระเมืองชลอยู่ใกล้ๆ และมีดีมากมาย แต่ก็ยังขวนขวายมาลองพระถึงพงัน นักเลงคนนี้บอกว่าหลวงปู่ จันทร์ท่านทำไว้ครบ แขวนเดี่ยวได้เลยตั้งแต่ จีบสาวยันตะลุมบอน เลือดออกแค่ยางบอนครับ...ส่วนคู่อริถ้าด้อยกว่าหลวงพ่อทาบหรือหลวงพ่อแก้ว โดนยิงทะลุเรือเจ็บ-ตายหมดครับ ตามที่"อาจารย์สมตา แห่งคลองวังพระเครื่อง" ศิษย์ก้นกุฏิหลวงพ่อ ท่านเล่าว่า พระสมเด็จของหลวงพ่อ ท่านทำใว้ มากมาย ใส่กระด้งบ้าง ถาดจีนบ้าง รองด้วยผ้าจีวรบ้าง แม่พิมพ์ก็เป็นทั้งไม้ ทั้งปูนพลาสเตอร์ แต่พระท่านไม่เคยเหลือจากวัดเลย แม้ท่านจะทำพระเป็นกิจวัตรก็ตาม ก่อนจากหลวงพ่อบอกว่า ให้ไปดีมีสุข มีคนรัก คนไคร่ ถ้าไปหมู่บ้านไหน ดูแล้วเขาไม่ชอบเรา ให้ท่องคาถา"มิสังพุทธธัง 3 จบ" แล้วเอาพระกูใส่ในบ่อเลย รับรอง จะรักมึงทั้งหมู้บ้าน......

    [​IMG]



    ให้บูชา 2,950บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,053
    ค่าพลัง:
    +5,460
    รับทราบการจองครับ โอนรายการนี้ไม่ต้องเพิ่มค่าส่งแล้วนะครับ เดี๋ยวจะได้ส่งพร้อมรายการเดิมที่โอนมาแล้วเลย
     
  19. ebankky

    ebankky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +62
    จองรายการนี้ครับ

     
  20. มเหศวร

    มเหศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    2,776
    ค่าพลัง:
    +792
    พี่โม............ส่งมาให้ผมยัง เดี่ยวติดหยุดยาวนะพี่โม
     

แชร์หน้านี้

Loading...