เพื่อการกุศล หลวงพ่อนิคม วัดทุ่งยายดำ ร่วมบูชาวัตถุมงคลสมทบทุนสร้างพระอุโบสถ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย AKE369, 19 พฤษภาคม 2014.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. AKE369

    AKE369 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ประวัติ หลวงพ่อพระอธิการนิคม วชิรญาโน
    พระอธิการนิคม วชิรญาโน วัดทุ่งยายดำ ต.ท่าตะเกียบ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ผู้ดูแลวัดทุ่งยายดำ และเลขานุการ เจ้าคณะตำบลท่าตะเกียบ เขต๒
    นามสกุลเดิม หมอนชู เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๔(ปีฉลู) ที่บ้านโพธิ์เตี้ย ตำบลสรรพยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท บิดาชื่อ ส่ง มารดาชื่อ ทองย้อย มีพี่น้องเป็นชาย๕คน เป็นหญิง๔คน ท่านเป็นคนที่๗ ซึ่งคุณตาคุณยายขอไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ จนจบชั้นประถมปีที่๔ มารดาจึงให้ท่านมาอยู่ด้วย จนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๔ จากนั้นก็ได้ไปสมัครเป็นอาสาสมัครทหารพรานที่จังหวัด จันทบุรี-ตราด ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้๑๗ปี ทำงานอยู่ชายแดน จันทบุรี-ตราด ได้สิบกว่าปี
    ต่อมามารดาก็ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ท่านจึงมีโอกาสได้อุปสมบทเพื่อมารดาโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่วัดระฆังโฆสิตาราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ แล้วเริ่มศึกษานักธรรมจนจบชั้นนักธรรมเอก จากนั้นก็ข้ามไปเรียน วิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดมหาธาตุ ตรงท่าพระจันทร์ และไปเรียน วิปัสสนาเพิ่ม ที่สำนักสอนทวี แถวสี่แยกบางคล้า จังหวัด ฉะเชิงเทรา พระอาจารย์ในสมัยนั้นบอกว่า คงเอาตัวรอดไปปฏิบัติเองได้แล้ว จึงหันมาเรียนอักขระเลขยันต์ กับท่านอาจารย์ มณฑป รัตนวิหก อยู่แถวๆ วังเวศร์ฯ ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้ที่รู้จักคุ้นเคยว่า ยันต์เพชรพญาธรของท่านสุดยอดจริงๆ เป็นยันต์พระอิศวร มีพญานาคเป็นสร้อยสังวาลย์ แต่เวลาที่อาตมภาพเรียนนั้น ตอนวาดก็วาดเป็นงูจงอางพันคอพระอิศวร เป็นวิชาทางเมตตามหานิยม ค้าขาย ร่ำรวย และยังใช้เป็นองค์ภวานาในสมถกรรมฐานได้อีกด้วย จากนั้นก็เริ่มออกถือธุดงค์วัตร รอนแรมในป่าน้อยป่าใหญ่ ในเขตป่าเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี จนวันหนึ่งขณะที่ท่องปาฏิโมกข์แก้บนเหล่าเทวดาอยู่ก็ได้ยินเสียงดังเหมือนไม้หักพอหันไปดู ปรากฏว่าเป็นพญางูใหญ่โหนอยู่บนกอไผ่ ทำให้กอไผ่นั้นหักเสียงดังขึ้นมา แค่ได้เห็นก็เหมือนกับพิษงูแล่นไปทั่วสรรพางค์กายของเรา ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ จึงคิดว่า เรากลับมาตายที่นี้จนได้ ไหนๆก็จะตายแล้ว ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ดีกว่า จึงเริ่มสวดคาถาแผ่เมตตาให้ สี่ตระกูลพระญางูใหญ่ด้วยเสียงอันดังเท่าที่จะทำได้ เพื่อเอาเสียงเป็นเพื่อน หลับตาสวดไปเรื่อยๆ คิดว่า คาบลมหายใจใดลมหายใจหนึ่ง ตัวเราคงถูกกลืนกินไปในท้องงูจงอางใหญ่เสียเป็นแน่ พอสวดจบลืมตาดู ตาต่อตาประสานกัน จึงได้อ่านออกว่า เขาไม่กินเราแล้ว จากนั้นงูก็ โหนออกไปทางกอไผ่อีกกอไผ่ กอนั้นก็หักดังลั่นขึ้นมาอีก อาตมาภาพพยายามมองดูว่า จะยาวสักแค่ไหนแต่ก็มองไม่เห็น จนกระทั่งมันลับตาเราไป ยอมรับว่า ขณะนั้นกำลังใจเสียเอามากๆเลย ไม่สามารถจะเจริญกรรมฐานได้ พอรุ่งขึ้น พวกตำรวจป่าไม้นำอาหารมาถวาย จึงได้ถามเขาเกี่ยวงูใหญ่ พวกเขาบอก อ้าว !!! อาจารย์ก็เจอหรือ? ต้องเป็นคนมีบุญถึงได้เจอ นี่ลูกสาวฉันก็เห็นว่า หัวอยู่อีกฝั่ง หางอยู่อีกฝั่ง ในลำคลองมีแต่ลำตัวยาวเหลือเกิน ใครๆเขาว่า เป็นงูเจ้า เฮ้อ!!! โล่งอก แต่ก็เสียกำลังใจ เก็บกลดเก็บบาตรกลับวัด พอไปถึงวัด กลางคืนนั่งกรรมฐานก็ได้เห็นในนิมิตอีก แต่อีคราวนี้ มีเครื่องทรงเป็นสังวาลย์พร้อม นานนักกว่าอาตมจะหายกลัวลงได้ เพราะว่าแต่เดิมก็เป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว มานั่งพินิจพิจารณาดู หรือว่าจะเป็นงูที่พันคอพระอิศวรอยู่ตามที่ได้เรียนยันต์มาก็เป็นไปได้ แต่ก็ไม่อาจหาข้อสรุปลงได้ และต่อมาไม่นานนักก็ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เห็นท่านนั่งอยู่ในกายของเราใสเหมือนแก้วมีอำนาจเหนือจิตใจเรา มีญาณหยั่งรู้ถึงอนาคต มีอำนาจในการเสกเป่าชะงักนัก เป็นเหตุให้อาตมากลายเป็นพระเกจิอาจารย์ไปโดยปริยาย ใครต่อใครก็คิดว่า อาตมาภาพเก่งกาจ อาตมาภาพก็ไม่ได้บอกใครว่า ใช่หรือไม่ใช่ตัวเอง แต่ตัวอาตมารู้อยู่ว่าไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์ของเรา แต่ก็ใช้ความศักดิ์สิทธิ์นั้นนานอยู่หลายปีทีเดียว จนอยู่มาวันหนึ่งเกิดความคิดว่า หากวันหนึ่งวันใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่กับเราแล้ว เราจะทำอย่างไร จะทำใจได้หรือเปล่า ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวันนี้มันไม่ใช่ของตัวเราเอง ทำไมเราไม่สร้างมันขึ้นมาเป็นของเราเอง จากนั้นก็พยายามสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ท่านตอบว่า ก็เป็นไปได้ แต่จะต้องสูญเสียสิ่งที่เคยได้ เคยมี เคยเป็น รวมทั้งเกียรติยศศักดิ์ศรีผู้คนที่เคยเคารพนับถือก็จะเลิกนับถือ ก็ถามท่านต่อไปว่า แล้วยังพอมีเวลาเหลือพอที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นเป็นของตัวเองได้หรือไม่ ท่านก็ตอบว่า เวลามีเหลือเฟือ จากนั้นก็จะเริ่มฝืนไม่ทำตามอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ในที่สุดอาตมาภาพก็กลายเป็นคนบ้า ต้องลาสิกขาไปในพรรษาที่สิบเห็นจะได้
    สักระยะหนึ่ง ก็สักเดือนสองเดือนก็ไปอุปสมบทใหม่ ครั้งนี้ใช่เวลาสิ้นไปสองปีกว่าจึงได้หายเป็นปรกติ จึงได้ถือฤกษ์นั้น เข้าไปกราบท่านเจ้าขณะอำเภอ วังน้ำเย็น ไปขอให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ก็เหมือนเราได้อุปสมบทอีกครั้งเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ แต่ว่าครั้งนี้ต้องการเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อจะเริ่มเรียนรู้พระธรรม พระวินัยกันใหม่อีกรอบ ได้ขออนุญาตพระอาจารย์ออกแสวงหาประพฤติปฏิบัติแล้วก็เริ่มเดินธุดงค์ มาพบวัดทุ่งยายดำแห่งนี้ เป็นที่สัปปายะมาก เห็นแล้วมันรู้สึกอบอุ่นเหมือนเป็นบ้านที่เราเคยอยู่แต่จากไปนานแสนนาน
    คืนแรกที่วัดทุ่งยายดำ พอจำวัดหลับไปฝันเห็นว่า ตัวเรายืนตะพายกลดตะพายบาตรเหลียวหาเจ้าอาวาส เพื่อจะขออนุญาตท่านอยู่ เห็นท่านอยู่บนกุฏิสูงลิปทีเดียว แหงนคอคุยกับท่านว่า มาขออยู่ปฏิบัติธรรม เรื่องเงินเรื่องทอง ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเอาไป รับลองเลยว่า ผมไม่เอาไปสักบาทเดียว จากนั้นท่านตอบว่า ถ้าท่านจะอยู่นี่ก็ให้อยู่เฉยๆสักสองปี ก็รับปากท่าน แล้วมาคิดดูแล้ว มันตรงกับความต้องการของเราทีเดียว แต่แปลกใจที่ว่า เวลาสองปีแรกนั้นไม่เห็นมีใครมาทำบุญสักคน พออาตมาภาพไปกิจนิมนต์ที่ไหน ถ้ารู้ว่ามาจากทุ่งยายดำ เขาจะแสดงอาการรังเกียจทันที เราก็ไม่ใช่คนพื้นที่ ก็ไม่ทราบว่ารังเกียจเรื่องอะไร จนอยู่ต่อมาจึงทราบว่า เป็นสำนักล้างพระ ใครต่อใครก็แอบมาทำความชั่วแล้วก็จากไปเป็นเวลาเกือบสามสิบปีแล้ว ให้หลังสองปีผ่านพ้น สภาพการณ์ก็เปลี่ยนไปผู้คนเริ่มไว้วางใจเริ่มมาทำบุญกันไม่ขาดสาย ต่อเนื่องตลอดวัน ต่อเนื่องตลอดปี จนบางครั้งจะต้องขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ ไปสรงน้ำกันเลยทีเดียว
    ผู้คนที่มาทำบุญก็เริ่มมีคำถามแปลกๆ บางท่านถามว่า ที่นี่มีงูหรือ บางท่านบอกว่า เห็นงูขาว ส่วนอาตมาไม่เคยเห็นสักที ต่อมาก็ปรารภกันว่าจะสร้างเมรุเผาศพ อาตมาว่าจะสร้างไว้ด้านหลังวัด คิดว่าไม่อยากโชว์ แต่หลังวัดกับเป็นทิศตะวันออก มีหลวงตาองค์หนึ่งท่านเห็นงูใหญ่สองตัวพันเกี้ยวกันอยู่ในห้องน้ำ เป็นงูจงอางใหญ่ เห็นกันแบบสดๆ ไม่ใช่เห็นในฝัน ถึงสองวันซ้อนๆ พอตกกลางดึกอาตมานั่งกรรมฐานอยู่ก็ได้ยินเสียงคนเดินรอบๆกุฏิ บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็สามารถเข้ามาสะกิดเนื้อตัวเราได้ ตอนนั้นทั้งพระทั้งเณรเข้าไปรวมกันอยู่ในกุฏิอาตมากันหมด ไม่มีใครอยากให้มืดสักคนเดียว ไม่อยากให้ถึงกลางคืนเลย แล้วก็ฝันเห็นหลวงพ่อเจ้าอาวาสองค์นั้นที่เคยฝันเห็นนั่งอยู่บนคองูใหญ่ บอกว่าสร้างตรงนั้นไม่ได้ ก็เถียงกันไป พอสักพักงูก็เคลื่อนตัว แผนดินก็ไหวสะเทือนเลื่อนลั่น รู้สึกตัวขึ้นมากลัวเหลือเกิน แต่เป็นหัวหน้าเป็นอาจารย์เขาจำต้องซ่อนความกลัวเอาไว้ พอรุ่งขึ้นความรู้สึกเกิดมาว่า วันนี้คงเจอดีกันแน่ ในที่สุดตกบ่ายโมงเห็นจะได้ เกิดอาเพศขึ้น ผีเข้าเณรก่อน แล้วเข้าสิงพระ กว่าจะแก้ไขได้ก็ยุ่งอยู่ทั้งวัน จำต้องยอมเขา หันมาตกลงสร้างทางหน้าวัด เมื่อประชุมปรึกษาพระสงฆ์ให้อนุญาต ประธานสาธุการให้อาการของใจที่วิตกกังวลหวาดกลัวกับอาเพศที่เกิดขึ้นอยู่ รวมทั้งภูตผีปีศาจที่มาเดินร้องห่มร้องไห้ร้องทุกข์ก็มลายหายไปสิ้น กลับมาสงบสุขเหมือนเดิมอีกครั้ง ก็สร้างเมรุเผาศพแล้วเสร็จในปีเดียว สิ้นเงินค่าก่อสร้าง ล้านเศษๆ จากนั้นก็สร้างศาลาคู่เมรุ สร้างกุฏิ ห้องน้ำ มาโดยลำดับ
    หลวงพ่อดำ ในขณะที่อาตมามาถึงใหม่ๆ นั้น เป็นพระที่ชำรุด ได้ยินว่า ไปอัญเชิญมาจากบ้านกกเหลี่ยม ทางเขตติดต่อกับพนัสนิคม เนื่องจากที่นั้นกลายเป็นวัดร้าง เมื่อมาถึงก็ชำรุด จึงได้วางปะปนอยู่กับซากปรักหักพังของศาลพระภูมิเก่าๆ พระพุทธรูปแตกหักอยู่มุมหนึ่งของวัด มาถึงก็ได้เห็นว่า ตบะของหลวงพ่อดำจริงๆ จึงได้ไปนิมนต์พระเพื่อนกันที่พอมีฝีมือทางนี้มาช่วยซ่อมแซมบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ เพิ่มวัตถุมงคลเข้าไปอีก ทั้งผ้าประเจียด พิศมรมงคลหลายอย่างแล้วจึงได้รู้และยอมรับกันว่า หลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เนื่องจากเห็นว่า ผู้คนจำนวนมากเดินทางมาแก้บนด้วยดอกมะลิสดกันอยู่บ่อยๆ และใช้ดอกมะลิมาสักการบูชาเป็นจำนวนมาก มีญาติโยมเจ้าที่ศรัทธาจากตลาดหัวตะเข้ประสงค์จะสร้างพระ มาปรารภก็เลยอนุญาตให้สร้าง ที่ได้เห็นกันอยู่นี้ ต่อมาเขาเอารถแม็คโครมาขุดหลุมเพื่อจะทำตอหม้อ และเมื่อทำตอหม้อเสร็จ กำลังจะดันดินกลบราตรีนั้น โยมที่ผ่านทางวัด ก็เห็นงูใหญ่เลื่อยลงไปในหลุมนั้น พอเช้ามาต้องกลบหลุมนั้นก็กลัวว่า จะดันดินทับฝังงูเอาไว้ในนั้น ก็เลยว่า สร้างหุ่นงูเอาไว้แทนแล้วกัน พอทำเสร็จก็เที่ยวไปเข้าฝันผู้คนให้โชคดีให้ลาภเป็นที่กล่าวขานล่ำลือกัน ต่อมาพระพุทธรูปองค์นั้นหมายใจจะเป็นที่สักการะและที่พึ่งทางใจของชาวบ้าน จึงได้อธิฐานชื่อว่า พระพุทธอู่ทอง ต่อมาก็เป็นสถานที่ใช้เวียนเทียนในเทศกาลสำคัญๆ ทุกครั้งที่มีการเวียนเทียน ปัจจุบันนี้ วัดทุ่งยายดำ ได้ดำเนินการขออนุญาตตั้งวัด และได้รับการอนุญาตเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ได้ดำเนินการขออนุญาตตั้งวัดในขณะนี้อยู่ระหว่างรอตราตั้งวัด คาดว่าจะได้รับตราตั้งวัดในเร็ววันนี้ วัตถุมงคลของวัดทุ่งยายดำที่ขึ้นชื่อก็มี ตะกรุดโทน ผ้ายันต์ เมตตามหานิยม เทพสาลิกา ปลัดขิกเพชรพญาธร ผ้ายันต์พญาคชสีห์ ทางเมตตามหานิยมค่าขายร่ำรวย ส่วนมากจะนำออกแจกในงานบุญกฐิน หรืองานทอดผ้าป่า หรือแจกให้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าภาพในการสร้างถาวรวัตถุ วัตถุมงคลทุกๆชิ้นจะจดจานด้วยมือ เขียนด้วยมือ จึงมีจำนวนน้อย ไม่พอเพียงต่อความต้องการของผู้ที่รู้จัก จึงขอเจริญพร ขออภัยกับท่านเจ้าภาพที่บริจาคจตุปัจจัยทำบุญแล้ว แต่ยังไม่ได้รับวัตถุมงคลสักชิ้น
    ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่สละทรัพย์สมบัติ จตุปัจจัยทำบุญสร้างพระอุโบสถ ขอให้ท่านเข้าถึง มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ จงทั่วกัน จงทุกท่าน จงทุกประการ เทอญ……
    สาธุ…พระอธิการนิคม วชิรญาโน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2014
  2. AKE369

    AKE369 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,862
    เนื่องด้วยดำริของหลวงพ่อนิคม วัดทุ่งยายดำ ให้ผมและพี่หนุ่ม๑๖โสฬส รับเป็นตัวแทนของทางวัดทุ่งยายดำ มาบอกบุญทุกท่านเพื่อหาจตุปัจจัยร่วมสร้างพระอุโบสถของวัดทุ่งยายดำ ซึ่งยังขาดจตุปัจจัยสำหรับการสร้างพระอุโบสถอีกประมาณ 700,000 บาท ถึงจะสร้างแล้วเสร็จ จึงได้มาบอกบุญกับทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2014
  3. AKE369

    AKE369 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ส่วนรูปของวัตถุมงคลที่จะออกให้ทำบุญในครั้งนี้เดี๋ยวจะรีบนำมาลงให้ครับ
     
  4. oomdi

    oomdi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    405
    ค่าพลัง:
    +1,261
    ติดตามครับ
     
  5. AKE369

    AKE369 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ขอบคุณครับ และขออนุโมทนาบุญด้วยครับที่เข้ามาติดตามงานบุญงานกุศลครับ สาธุ ส่วนวัตถุมงคลเดี๋ยวจะรีบลงให้ดูครับ ขอบคุณครับ
     
  6. แควใหญ่

    แควใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,271
    ค่าพลัง:
    +10,008
    ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  7. ๑๖โสฬส

    ๑๖โสฬส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    1,690
    ค่าพลัง:
    +8,723
    ขออนุญาติ ขยายตัวอักษรประวัติของหลวงพ่อนิคมให้อ่านสะดวกขึ้นนะครับ


    ประวัติ หลวงพ่อพระอธิการนิคม วชิรญาโน

    พระอธิการนิคม วชิรญาโน วัดทุ่งยายดำต.ท่าตะเกียบ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ผู้ดูแลวัดทุ่งยายดำ และเลขานุการเจ้าคณะตำบลท่าตะเกียบ เขต๒
    นามสกุลเดิม หมอนชู เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม๒๕๐๔(ปีฉลู) ที่บ้านโพธิ์เตี้ย ตำบลสรรพยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท บิดาชื่อ ส่งมารดาชื่อ ทองย้อย มีพี่น้องเป็นชาย๕คน เป็นหญิง๔คน ท่านเป็นคนที่๗ซึ่งคุณตาคุณยายขอไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ จนจบชั้นประถมปีที่๔มารดาจึงให้ท่านมาอยู่ด้วย จนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๔จากนั้นก็ได้ไปสมัครเป็นอาสาสมัครทหารพรานที่จังหวัด จันทบุรี-ตราดซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้๑๗ปี ทำงานอยู่ชายแดน จันทบุรี-ตราดได้สิบกว่าปีต่อมามารดาก็ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งท่านจึงมีโอกาสได้อุปสมบทเพื่อมารดา
    <O:p</O:p</O:p
    อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙ที่วัดระฆังโฆสิตาราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯแล้วเริ่มศึกษานักธรรมจนจบชั้นนักธรรมเอก จากนั้นก็ข้ามไปเรียน วิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุ ตรงท่าพระจันทร์ และไปเรียน วิปัสสนาเพิ่ม ที่สำนักสอนทวีแถวสี่แยกบางคล้า จังหวัด ฉะเชิงเทรา พระอาจารย์ในสมัยนั้นบอกว่าคงเอาตัวรอดไปปฏิบัติเองได้แล้ว หลวงพ่อนิคมจึงหันมาเรียนและศึกษาด้านอักขระเลขยันต์ กับท่านอาจารย์ มณฑปรัตนวิหก อยู่แถวๆ วังเทเวศร์ฯ ซึ่งท่านเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้ที่รู้จักคุ้นเคยในเรื่องของยันต์เพชรพญาธร (ซึ่งหลวงพ่อนิคมได้รับการถ่ายทอดมาจนหมดสิ้น) ยันต์เพชรพญาธรของท่านนี้นับว่าสุดยอดจริงๆ เป็นยันต์พระอิศวร มีพญานาคเป็นสร้อยสังวาลย์แต่เวลาที่อาตมภาพเรียนนั้น ตอนวาดก็วาดเป็นงูจงอางพันคอพระอิศวรเป็นวิชาทางเมตตามหานิยม ค้าขาย ร่ำรวยและยังใช้เป็นองค์ภวานาในสมถกรรมฐานได้อีกด้วย จากนั้นก็เริ่มออกถือธุดงค์วัตรรอนแรมในป่าน้อยป่าใหญ่ ในเขตป่าเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรีจน


    วันหนึ่งขณะที่ท่องปาฏิโมกข์แก้บนเหล่าเทวดาอยู่ก็ได้ยินเสียงดังเหมือนไม้หักพอหันไปดูปรากฏว่าเป็นพญางูใหญ่โหนอยู่บนกอไผ่ ทำให้กอไผ่นั้นหักเสียงดังขึ้นมาแค่ได้เห็นก็เหมือนกับพิษงูแล่นไปทั่วสรรพางค์กายของเรา ไม่อาจขยับเขยื้อนได้จึงคิดว่า เรากลับมาตายที่นี้จนได้ ไหนๆก็จะตายแล้วก็นึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ดีกว่า จึงเริ่มสวดคาถาแผ่เมตตาให้สี่ตระกูลพระญางูใหญ่ด้วยเสียงอันดังเท่าที่จะทำได้ เพื่อเอาเสียงเป็นเพื่อนหลับตาสวดไปเรื่อยๆ คิดว่า คาบลมหายใจใดลมหายใจหนึ่งตัวเราคงถูกกลืนกินไปในท้องงูจงอางใหญ่เสียเป็นแน่ พอสวดจบลืมตาดู ตาต่อตาประสานกันจึงได้อ่านออกว่า เขาไม่กินเราแล้ว จากนั้นงูก็ โหนออกไปทางกอไผ่อีกกอไผ่กอนั้นก็หักดังลั่นขึ้นมาอีก อาตมาภาพพยายามมองดูว่า จะยาวสักแค่ไหนแต่ก็มองไม่เห็นจนกระทั่งมันลับตาเราไป ยอมรับว่า ขณะนั้นกำลังใจเสียเอามากๆเลยไม่สามารถจะเจริญกรรมฐานได้ พอรุ่งขึ้น พวกตำรวจป่าไม้นำอาหารมาถวายจึงได้ถามเขาเกี่ยวงูใหญ่ พวกเขาบอก อ้าว !!! อาจารย์ก็เจอหรือ? ต้องเป็นคนมีบุญถึงได้เจอ นี่ลูกสาวฉันก็เห็นว่า หัวอยู่อีกฝั่ง หางอยู่อีกฝั่งในลำคลองมีแต่ลำตัวยาวเหลือเกิน ใครๆเขาว่า เป็นงูเจ้า เฮ้อ!!! โล่งอกแต่ก็เสียกำลังใจ เก็บกลดเก็บบาตรกลับวัด พอไปถึงวัดกลางคืนนั่งกรรมฐานก็ได้เห็นในนิมิตอีก แต่คราวนี้ มีเครื่องทรงเป็นสังวาลย์พร้อมนานนักกว่าอาตมจะหายกลัวลงได้ เพราะว่าแต่เดิมก็เป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว

    ครั้นมานั่งพินิจพิจารณาดูหรือว่าจะเป็นงูที่พันคอพระอิศวรอยู่ตามที่ได้เรียนยันต์มาก็เป็นไปได้แต่ก็ไม่อาจหาข้อสรุปลงได้และต่อมาไม่นานนักก็ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นท่านนั่งอยู่ในกายของเราใสเหมือนแก้วมีอำนาจเหนือจิตใจเรามีญาณหยั่งรู้ถึงอนาคต มีอำนาจในการเสกเป่าชะงักนักเป็นเหตุให้อาตมากลายเป็นพระเกจิอาจารย์ไปโดยปริยาย ใครต่อใครก็คิดว่าอาตมาภาพเก่งกาจ อาตมาภาพก็ไม่ได้บอกใครว่า ใช่หรือไม่ใช่ตัวเองแต่ตัวอาตมารู้อยู่ว่าไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์ของเราแต่ก็ใช้ความศักดิ์สิทธิ์นั้นนานอยู่หลายปีทีเดียว จนอยู่มาวันหนึ่งเกิดความคิดว่าหากวันหนึ่งวันใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่กับเราแล้ว เราจะทำอย่างไรจะทำใจได้หรือเปล่า ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวันนี้มันไม่ใช่ของตัวเราเองทำไมเราไม่สร้างมันขึ้นมาเป็นของเราเองจากนั้นก็พยายามสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ท่านตอบว่า ก็เป็นไปได้แต่จะต้องสูญเสียสิ่งที่เคยได้ เคยมี เคยเป็นรวมทั้งเกียรติยศศักดิ์ศรีผู้คนที่เคยเคารพนับถือก็จะเลิกนับถือ ก็ถามท่านต่อไปว่าแล้วยังพอมีเวลาเหลือพอที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นเป็นของตัวเองได้หรือไม่ท่านก็ตอบว่า เวลามีเหลือเฟือจากนั้นก็จะเริ่มฝืนไม่ทำตามอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นในที่สุดอาตมาภาพก็กลายเป็นคนบ้าต้องลาสิกขาไปในพรรษาที่สิบเห็นจะได้สักระยะหนึ่งก็สักเดือนสองเดือนก็ไปอุปสมบทใหม่ครั้งนี้ใช่เวลาสิ้นไปสองปีกว่าจึงได้หายเป็นปรกติ จึงได้ถือฤกษ์นั้นเข้าไปกราบท่านเจ้าขณะอำเภอ วังน้ำเย็น ไปขอให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ก็เหมือนเราได้อุปสมบทอีกครั้งเพื่อเริ่มชีวิตใหม่แต่ว่าครั้งนี้ต้องการเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อจะเริ่มเรียนรู้พระธรรมพระวินัยกันใหม่อีกรอบได้ขออนุญาตพระอาจารย์ออกแสวงหาประพฤติปฏิบัติแล้วก็เริ่มเดินธุดงค์มาพบวัดทุ่งยายดำแห่งนี้ เป็นที่สัปปายะมากเห็นแล้วมันรู้สึกอบอุ่นเหมือนเป็นบ้านที่เราเคยอยู่แต่จากไปนานแสนนาน

    คืนแรกที่วัดทุ่งยายดำพอจำวัดหลับไปฝันเห็นว่า ตัวเรายืนตะพายกลดตะพายบาตรเหลียวหาเจ้าอาวาสเพื่อจะขออนุญาตท่านอยู่ เห็นท่านอยู่บนกุฏิสูงลิปทีเดียว แหงนคอคุยกับท่านว่ามาขออยู่ปฏิบัติธรรม เรื่องเงินเรื่องทอง ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเอาไป รับลองเลยว่าผมไม่เอาไปสักบาทเดียว จากนั้นท่านตอบว่า ถ้าท่านจะอยู่นี่ก็ให้อยู่เฉยๆสักสองปีก็รับปากท่าน แล้วมาคิดดูแล้ว มันตรงกับความต้องการของเราทีเดียว แต่แปลกใจที่ว่าเวลาสองปีแรกนั้นไม่เห็นมีใครมาทำบุญสักคน พออาตมาภาพไปกิจนิมนต์ที่ไหนถ้ารู้ว่ามาจากทุ่งยายดำ เขาจะแสดงอาการรังเกียจทันที เราก็ไม่ใช่คนพื้นที่ก็ไม่ทราบว่ารังเกียจเรื่องอะไร จนอยู่ต่อมาจึงทราบว่า เป็นสำนักล้างพระใครต่อใครก็แอบมาทำความชั่วแล้วก็จากไปเป็นเวลาเกือบสามสิบปีแล้วให้หลังสองปีผ่านพ้นสภาพการณ์ก็เปลี่ยนไปผู้คนเริ่มไว้วางใจเริ่มมาทำบุญกันไม่ขาดสาย ต่อเนื่องตลอดวันต่อเนื่องตลอดปี จนบางครั้งจะต้องขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำไปสรงน้ำกันเลยทีเดียว


    ผู้คนที่มาทำบุญก็เริ่มมีคำถามแปลกๆ บางท่านถามว่าที่นี่มีงูหรือ บางท่านบอกว่า เห็นงูขาว ส่วนอาตมาไม่เคยเห็นสักทีต่อมาก็ปรารภกันว่าจะสร้างเมรุเผาศพ อาตมาว่าจะสร้างไว้ด้านหลังวัดคิดว่าไม่อยากโชว์ แต่หลังวัดกับเป็นทิศตะวันออกมีหลวงตาองค์หนึ่งท่านเห็นงูใหญ่สองตัวพันเกี้ยวกันอยู่ในห้องน้ำ เป็นงูจงอางใหญ่เห็นกันแบบสดๆ ไม่ใช่เห็นในฝัน ถึงสองวันซ้อนๆพอตกกลางดึกอาตมานั่งกรรมฐานอยู่ก็ได้ยินเสียงคนเดินรอบๆกุฏิ บ้างก็ร้องไห้บ้างก็สามารถเข้ามาสะกิดเนื้อตัวเราได้ตอนนั้นทั้งพระทั้งเณรเข้าไปรวมกันอยู่ในกุฏิอาตมากันหมดไม่มีใครอยากให้มืดสักคนเดียว ไม่อยากให้ถึงกลางคืนเลยแล้วก็ฝันเห็นหลวงพ่อเจ้าอาวาสองค์นั้นที่เคยฝันเห็นนั่งอยู่บนคองูใหญ่บอกว่าสร้างตรงนั้นไม่ได้ ก็เถียงกันไป พอสักพักงูก็เคลื่อนตัวแผนดินก็ไหวสะเทือนเลื่อนลั่น รู้สึกตัวขึ้นมากลัวเหลือเกินแต่เป็นหัวหน้าเป็นอาจารย์เขาจำต้องซ่อนความกลัวเอาไว้พอรุ่งขึ้นความรู้สึกเกิดมาว่า วันนี้คงเจอดีกันแน่ ในที่สุดตกบ่ายโมงเห็นจะได้เกิดอาเพศขึ้น ผีเข้าเณรก่อน แล้วเข้าสิงพระ กว่าจะแก้ไขได้ก็ยุ่งอยู่ทั้งวันจำต้องยอมเขา หันมาตกลงสร้างทางหน้าวัด เมื่อประชุมปรึกษาพระสงฆ์ให้อนุญาตประธานสาธุการให้อาการของใจที่วิตกกังวลหวาดกลัวกับอาเพศที่เกิดขึ้นอยู่รวมทั้งภูตผีปีศาจที่มาเดินร้องห่มร้องไห้ร้องทุกข์ก็มลายหายไปสิ้นกลับมาสงบสุขเหมือนเดิมอีกครั้ง ก็สร้างเมรุเผาศพแล้วเสร็จในปีเดียวสิ้นเงินค่าก่อสร้าง ล้านเศษๆ จากนั้นก็สร้างศาลาคู่เมรุ สร้างกุฏิ ห้องน้ำมาโดยลำดับ


    หลวงพ่อดำ ในขณะที่อาตมามาถึงใหม่ๆ นั้น เป็นพระที่ชำรุด ได้ยินว่า ไปอัญเชิญมาจากบ้านกกเหลี่ยม ทางเขตติดต่อกับพนัสนิคม เนื่องจากที่นั้นกลายเป็นวัดร้าง เมื่อมาถึงก็ชำรุด จึงได้วางปะปนอยู่กับซากปรักหักพังของศาลพระภูมิเก่าๆ พระพุทธรูปแตกหักอยู่มุมหนึ่งของวัด มาถึงก็ได้เห็นว่า ตบะของหลวงพ่อดำจริงๆ จึงได้ไปนิมนต์พระเพื่อนกันที่พอมีฝีมือทางนี้มาช่วยซ่อมแซมบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ เพิ่มวัตถุมงคลเข้าไปอีก ทั้งผ้าประเจียด พิศมรมงคลหลายอย่างแล้วจึงได้รู้และยอมรับกันว่า หลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เนื่องจากเห็นว่า ผู้คนจำนวนมากเดินทางมาแก้บนด้วยดอกมะลิสดกันอยู่บ่อยๆ และใช้ดอกมะลิมาสักการบูชาเป็นจำนวนมาก มีญาติโยมเจ้าที่ศรัทธาจากตลาดหัวตะเข้ประสงค์จะสร้างพระ มาปรารภก็เลยอนุญาตให้สร้าง ที่ได้เห็นกันอยู่นี้ ต่อมาเขาเอารถแม็คโครมาขุดหลุมเพื่อจะทำตอหม้อ และเมื่อทำตอหม้อเสร็จกำลังจะดันดินกลบราตรีนั้น โยมที่ผ่านทางวัด ก็เห็นงูใหญ่เลื่อยลงไปในหลุมนั้นพอเช้ามาต้องกลบหลุมนั้นก็กลัวว่า จะดันดินทับฝังงูเอาไว้ในนั้น ก็เลยว่าสร้างหุ่นงูเอาไว้แทนแล้วกันพอทำเสร็จก็เที่ยวไปเข้าฝันผู้คนให้โชคดีให้ลาภเป็นที่กล่าวขานล่ำลือกันต่อมาพระพุทธรูปองค์นั้นหมายใจจะเป็นที่สักการะและที่พึ่งทางใจของชาวบ้านจึงได้อธิฐานชื่อว่า พระพุทธอู่ทอง ต่อมาก็เป็นสถานที่ใช้เวียนเทียนในเทศกาลสำคัญๆทุกครั้งที่มีการเวียนเทียน ปัจจุบันนี้ วัดทุ่งยายดำ ได้ดำเนินการขออนุญาตตั้งวัดและได้รับการอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยซึ่งก็ได้ดำเนินการขออนุญาตตั้งวัดในขณะนี้อยู่ระหว่างรอตราตั้งวัดคาดว่าจะได้รับตราตั้งวัดในเร็ววันนี้ วัตถุมงคลของวัดทุ่งยายดำที่ขึ้นชื่อก็มีตะกรุดโทน ผ้ายันต์ เมตตามหานิยม เทพสาลิกา ปลัดขิกเพชรพญาธร ผ้ายันต์พญาคชสีห์ทางเมตตามหานิยมค่าขายร่ำรวย ส่วนมากจะนำออกแจกในงานบุญกฐิน หรืองานทอดผ้าป่าหรือแจกให้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าภาพในการสร้างถาวรวัตถุวัตถุมงคลทุกๆชิ้นจะจดจานด้วยมือ เขียนด้วยมือ จึงมีจำนวนน้อยไม่พอเพียงต่อความต้องการของผู้ที่รู้จัก จึงขอเจริญพรขออภัยกับท่านเจ้าภาพที่บริจาคจตุปัจจัยทำบุญแล้ว แต่ยังไม่ได้รับวัตถุมงคลสักชิ้น


    ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่สละทรัพย์สมบัติ จตุปัจจัยทำบุญสร้างพระอุโบสถขอให้ท่านเข้าถึง มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ จงทั่วกัน จงทุกท่านจงทุกประการ เทอญ……
    สาธุ…พระอธิการนิคม วชิรญาโน

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 พฤษภาคม 2014
  8. rave22

    rave22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2012
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เห็นชื่อพี่เอก เลยกดเข้ามารอร่วมบุญ
     
  9. AKE369

    AKE369 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ขอบคุณครับ ขอเรียนเชิญทุกท่านเข้ามาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันครับ
     
  10. AKE369

    AKE369 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ขอบคุณพี่หนุ่มมากๆเลยครับ อ่านง่ายขึ้นเยอะเลยครับพี่:cool::cool::cool:
     
  11. AKE369

    AKE369 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ขอบคุณครับที่ให้ความไว้วางใจกันครับ แค่มีจิตที่อยากร่วมทำบุญก็ได้บุญแล้วครับ ร่วมบุญสร้างโรงครัว สร้างห้องน้ำ ของหลวงปู่จันทร์ วัดป่าหนองยางแล้ว ก็เรียนเชิญร่วมสร้างโบถส์ หลวงพ่อนิคม วัดทุ่งยายดำ เป็นบุญกุศลแรงกล้าทั้งนั้นครับ
     
  12. ๑๖โสฬส

    ๑๖โสฬส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    1,690
    ค่าพลัง:
    +8,723
    นำรูปผ้ายันต์ของหลวงพ่อนิคม วัดทุ่งยายดำ มาให้ชมครับ เป็นลายมือที่ท่านเขียนเองกับมือ

    เพชรพญาธร ผืนเล็กครับ (ถ้าผืนใหญ่ขนาดผ้า 1หลาจะมีรูปพระศิวะ นั่งอยู่เหนือ เพชรพญาธร
    [​IMG]

    เพชรพญาธรตัวเล็ก หลวงพ่อนิคม วัดทุ่งยายดำครับ
    [​IMG]
     
  13. ๑๖โสฬส

    ๑๖โสฬส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    1,690
    ค่าพลัง:
    +8,723
    ผ้ายันต์ขนาด 1หลา เป็นยันต์ราหูเขียนมือครับ (ผมถ่ายไม่ชัดครับเนื่องจากแสงไม่พอ ถ้ามีโอกาสจะนำรูปชัดๆมาเเก้ให้ครับ)
    [​IMG]
     
  14. ๑๖โสฬส

    ๑๖โสฬส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    1,690
    ค่าพลัง:
    +8,723
    คขสิงห์ หายากครับลายมือหลวงพ่อนิคมเช่นกัน (ผืนนี้เสียครับท่านเลยเมตตาให้มาเป็นที่ระลึก) ผมเลยนำมาเผยเเพร่ให้ชมครับ (หากมีชัดๆจะนำรูปใหม่มาแก้ให้ครับ วันนี้ถ่านมาให้ชมคร่าวๆ)
    [​IMG]
     
  15. ๑๖โสฬส

    ๑๖โสฬส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    1,690
    ค่าพลัง:
    +8,723
    ข้อมูลส่วนอื่นรอคุณเอกมา เพิ่มเติมนะครับ ผ้ายันต์แต่ละผืนที่หลวงพ่อเขียนนั้นท่านบริกรรมภาวนาจนเกิดตัวตน ใช้ผ้าขนาด 1หลา เขียนเองกับมือ 1ผืน ต่อ 1 วัน(กรณีที่ท่านอยู่วัดและไม่มีกิจนิมนต์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤษภาคม 2014
  16. AKE369

    AKE369 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ผ้ายันต์ท่านสวยและสุดยอดทั้งนั้นครับ งาน Handmadeครับ กว่าจะเขียนได้แต่ละผืนต้องใช้เวลามากครับ เพราะต้องภาวนาพร้อมกับเขียนอักขระแต่ละตัวครับ
     
  17. ๑๖โสฬส

    ๑๖โสฬส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    1,690
    ค่าพลัง:
    +8,723
    อานิสงส์ของการสร้างอุโบสถ


    [​IMG]

    สมัยนี้ การสร้างวัด ต้องอาศัยกำลังทรัพย์และกำลังคนมหาศาล เพราะต้องสร้างวัดให้เพียบพร้อมด้วยสถานที่ร่มรื่น มีอาคารโรงเรือนมากมาย โดยเฉพาะมีโรงอุโบสถ หรือโบสถ์ สถานที่ที่จะต้องใช้ เพื่อการทำสังฆกรรมสำคัญๆหลายอย่าง อาทิ การให้การอุปสมบทแก่กุลบุตร การสวดทำอัพภานกรรม การสวดญัตติทุติยกรรมวาจา การสวดญัตติจตุตถกรรมวาจา ฯลฯ ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

    เนื่องจากโบสถ์ ที่สร้างขึ้นทุกวันนี้ คณะสงฆ์สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้หลายอย่างคือ เป็นอาคารอเนกประสงค์ รวมทั้งใช้เป็นที่ประชุมที่แสดงธรรม ที่ฝึกอบรมสมาธิภาวนา ที่สวดมนต์ ทำวัตรเช้าค่ำ และที่พักอาศัยชั่วคราว สำหรับต้อนรับพระอาคันตุกะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่สร้างโบสถ์ถวายพระสงฆ์ จึงได้บุญกุศลมากมาย ทั้งชาตินี้และชาติหน้า กล่าวคือ

    ชาตินี้ ผู้มีศีลเป็นพื้นฐาน ที่ถวายโรงอุโบสถ ย่อมได้ความปลื้มปีติสุขอย่างสูง เมื่อได้ทราบว่า พระสงฆ์ได้ใช้โรงอุโบสถที่ตนสร้างถวายอย่างคุ้มค่า เกียรติคุณของผู้ถวายย่อมฟุ้งขจรไกล ผู้ถวายย่อมได้ สดับพระธรรมเทศนา เพิ่มพูน ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้จิตใจสะอาด สว่าง สงบสุขได้มากขึ้น แม้จะสิ้นชีพก็ไม่หลงทำกาลกิริยา(ตาย) ย่อมมีอารมณ์ยึดมั่นในกุศล เป็นอาสันนกรรมที่ดี

    ชาติหน้า ถ้าผู้ถวายโรงอุโบสถ ยังมีกิเลสอยู่ถึงแก่กรรมลง เขาย่อมได้ไปเกิดในกำเนิดที่ดี มีความสะดวกสบายที่เรียกว่า สุคติโลกสวรรค์ อันเพียบพร้อมด้วยสิ่งที่ประเสริฐ ที่พึงพอใจ อันเป็นฝ่ายโลกิยสมบัติและจะได้บรรลุคุณธรรมต่างๆ อาทิ ฌาน อภิญญา อริยมรรค อริยผล และกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุด

    การผูกพันธสีมา และฝังลูกนิมิต

    เมื่อมีตัวอาคาร หรือโรงอุโบสถ อันมีขนาดใหญ่พอสมควร มีเสนาสนะอื่นๆ ที่พระสงฆ์ใช้พักอาศัย อำนวยความสะดวกและใช้ประกอบศาสนกิจ ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในพื้นที่ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของสงฆ์ และได้รับอนุญาตจากทางราชการบ้านเมืองแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายพระสงฆ์ ที่จะต้องมีพิธีผูกพัทธสีมา อันรวมถึงการเตรียมลูกนิมิตไว้พร้อมสรรพ ซึ่งชาวบ้านมัก เรียกว่า "งานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต" ทั้งนี้ จำเป็นต้องปฏิบัติ ให้เป็นไปตามพระวินัยพุทธบัญญัติก่อน พระสงฆ์จึงกระทำสังฆกรรมที่กำหนดไว้ในพระวินัยได้

    *บุญสร้างโบสถ์ หาทำยาก บุญหนักศักดิ์ใหญ่ ที่วัดนี้ไม่เคยมีโบสถ์มาก่อนเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบท้าวสักกเทวราชและเทวดาทั้งหลายที่มาทูลถามว่า...
    " การให้อะไร ชนะการให้ทั้งปวง
    รสแห่งอะไร ชนะรสทั้งปวง
    ความยินดีในอะไร ชนะความยินดีทั้งปวง
    ความสิ้นไปแห่งอะไร ชนะทุกข์ทั้งปวง"

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบว่า........

    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
    สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
    สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ
    ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ
    การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
    ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
    ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
    ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คน....

    อานิสงส์การถวายสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน

    -ถวายทานกับพระอรหันต์ 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระพุทธเจ้า 1 ครั้ง
    -ถวายทานกับพระพุทธเจ้า 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน 1 ครั้ง

    และถ้าถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน 1 ครั้ง คือ สร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่น สร้างสุขา ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น"

    การถวายสังฆทาน 1 ครั้งในชีวิต และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ มีศรัทธาแท้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้ จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติ ขึ้นชื่อว่า ความยากจนเข็ญใจ ไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่เกิดในที่นั้น ผลที่ให้ไปไกลมาก

    ท่านกล่าวว่า แม้แต่พระพุทธญาณเอง ก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวาย สังฆทาน คำว่า”ไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน“ หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน“

    การทำบุญ ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญมาก ต้องทำบุญถูกที่ ถูกเวลา ตรงกับความต้องการ และสิ่งที่ทำบุญ จะต้องเป็นประโยชน์สำหรับคนส่วนมาก วัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เป็นศูนย์รวมจิตใจ ในการทำความดี การทำบุญเพื่อสร้างวัด จึงได้อานิสงส์เป็นอย่างมาก เพราะเงินที่ทำบุญ มีส่วนให้วัดสำเร็จได้ ถ้าไม่มีเราวัดคงจะสำเร็จไม่ได้ และที่สำคัญเป็นการสืบทอดพุทธศาสนาให้คงอยู่ ไปอีกนานเท่านาน

    ผลแห่งการทาน จะสมบูรณ์ได้อย่างไร

    ---ผลแห่งการบำเพ็ญทาน จะมีอานิสงส์ไพศาลนั้น จำต้องเกิดจากศรัทธาอันบริสุทธิ์ ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย สภาพจิตใจของผู้ให้ทานจะต้องมีความสดใส ปีติยินดี ไม่กังวล ไม่เสียดาย แม้ก่อนและหลังขณะให้ทาน จิตใจของผู้นั้นยังมั่นคงยินดีสดใสอยู่ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหวแปรปรวน

    วิถีแห่งการบำเพ็ญทาน ควรทำดังนี้

    1.บุคคลใดที่ให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่น ย่อมได้โภคทรัพย์ แต่จะไม่ได้บริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิด
    2.บุคคลที่ไม่ได้ให้ทานด้วยตนเอง แต่ชักชวนผู้อื่น ย่อมได้บริวารสมบัติ แต่ไม่ได้โภคสมบัติ
    3.บุคคลใดที่ไม่ได้ให้ทานด้วยตนเอง และไม่ชักชวนผู้อื่น ย่อมไม่ได้โภคสมบัติ และไม่ได้บริวารสมบัติ เป็นบุคคลเที่ยวกินเดน
    4.บุคคลที่ได้ให้ทานด้วยตนเอง และชักชวนผู้อื่นด้วย ย่อมได้ทั้งโภคสมบัติและบริวารสมบัติสมบูรณ์ บริบูรณ์

    ทานที่เห็นผลในปัจจุบัน

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่ ผมฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี ครั้งนั้นแล สีหเสนาบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า.......

    สีหเสนาบดี :ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงสามารถบัญญัติผลแห่งทาน ที่จะพึงเห็นได้ในปัจจุบันหรือหนอ ”

    พระผู้มีพระภาค:

    “สามารถ ! ท่านสีหเสนาบดี” แล้วจึงตรัสต่อไปว่า “ท่านสีหเสนาบดี ! ทายกผู้เป็นทานบดี (เจ้าของทาน) ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนเป็นอันมาก แม้ข้อนี้ ก็เป็นผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง อีกประการหนึ่ง สัตบุรุษผู้สงบ (คนดี) ย่อมคบหาทายกผู้เป็นทานบดี แม้ข้อนี้ ก็เป็นผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง อีกประการหนึ่ง ทายกผู้เป็นทานบดี จะเข้าไปสู่ที่ประชุมใดๆ คือ ที่ประชุมกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีหรือสมณะ ก็ย่อมเป็นผู้องอาจ ไม่เก้อเขิน เข้าไป แม้ข้อนี้ ก็เป็นผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง อีกประการหนึ่ง ทายกผู้เป็นทานบดี เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ แม้ข้อนี้ ก็เป็นผลแห่งทานที่จะพึงได้ในสัมปรายภพ”

    สีหเสนาบดี :

    ---ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง ๔ ข้อเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคในผลแห่งทาน ๔ ข้อนี้ ก็หามิได้ แม้ข้าพระองค์เองก็ทราบดี คือ ข้าพระองค์ ก็เป็นทายก เป็นทานบดี ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ ของชนเป็นอันมาก สัตบุรุษผู้สงบย่อมคบหาข้าพระองค์ ผู้เป็นทายกเป็นทานบดี กิตติศัพท์อันงามของข้าพระองค์ ผู้เป็นทายก เป็นทานบดี ย่อมขจรทั่วไปว่า สีหเสนาบดี เป็นทายก เป็นทานบดี จะเข้าไปสู่ที่ประชุมใด คือ ที่ประชุมกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี หรือสมณะ ก็ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เก้อเขินเข้าไป

    ---ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผลแห่งทานที่พึงเห็นเอง ๔ ข้อนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสบอกแล้ว ข้าพระองค์ ย่อมเชื่อต่อพระผู้มีพระภาคในผลแห่งทาน ๔ ข้อนี้ ก็หามิได้ แม้ข้าพระองค์เองก็ย่อมทราบดี ส่วนผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง (ข้อที่ ๕) ที่พระผู้มีพระภาค ตรัสบอกข้าพระองค์ว่า ทายกผู้เป็นทานบดี เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ข้าพระองค์ย่อมไม่ทราบ ก็แต่ว่าข้าพระองค์ ย่อมเชื่อต่อพระผู้มีพระภาคในข้อนี้”

    พระผู้มีพระภาค :

    ---“อย่างนั้นท่านสีหะเสนาบดีๆ ! คือ ทายกผู้เป็นทานบดีเมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์” นรชนผู้ไม่ตระหนี่ให้ทาน ย่อมเป็นที่รักของชนเป็นอันมาก ชนเป็นอันมากย่อมคบหานรชนนั้น นรชนนั้น ย่อมได้เกียรติ มียศ เจริญ เป็นผู้ไม่เก้อเขิน แกล้วกล้าเข้าสู่ที่ประชุมชน

    ---เพราะเหตุนี้แล บัณฑิตผู้หวังสุข จงขจัดมลทิน คือ ความตระหนี่แล้ว ให้ทาน บัณฑิตเหล่านี้ ย่อมประดิษฐานในไตรทิพย์ ถึงความเป็นสหายของเทวดา ร่าเริงอยู่ตลอดกาลนาน บัณฑิตเหล่านั้น ได้ทำสิ่งที่มุ่งหวัง ได้ทำกุศลแล้ว จุติจากโลกนี้แล้ว ย่อมมีรัศมีเปล่งปลั่ง เที่ยวชมไปในอุทยานชื่อ นันทวัน ย่อมเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ เพลิดเพลิน รื่นเริง บันเทิงใจอยู่ในนันทวัน สาวกทั้งปวงของพระสุคตผู้ไม่มีกิเลส ผู้คงที่ทำตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว ย่อมร่าเริงทุกเมื่อ ฯ

    ที่มา:อานิสงส์ของการสร้างอุโบสถ์
    เวปบ้านโลกทิพย์
     
  18. AKE369

    AKE369 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,862
    รูปโบถส์ วัดทุ่งยายดำครับ ยังเหลือทาสีและตกแต่งอีกบางส่วนทั้งภายในและภายนอกครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06915.JPG
      DSC06915.JPG
      ขนาดไฟล์:
      154.1 KB
      เปิดดู:
      260
    • DSC06916.JPG
      DSC06916.JPG
      ขนาดไฟล์:
      163.4 KB
      เปิดดู:
      237
    • DSC06925.JPG
      DSC06925.JPG
      ขนาดไฟล์:
      172.9 KB
      เปิดดู:
      347
    • DSC06926.JPG
      DSC06926.JPG
      ขนาดไฟล์:
      163.1 KB
      เปิดดู:
      210
    • DSC06927.JPG
      DSC06927.JPG
      ขนาดไฟล์:
      162.1 KB
      เปิดดู:
      175
    • DSC06924.JPG
      DSC06924.JPG
      ขนาดไฟล์:
      86.9 KB
      เปิดดู:
      259
    • DSC06928.JPG
      DSC06928.JPG
      ขนาดไฟล์:
      145.5 KB
      เปิดดู:
      188
    • DSC06929.JPG
      DSC06929.JPG
      ขนาดไฟล์:
      159.7 KB
      เปิดดู:
      185
    • DSC06930.JPG
      DSC06930.JPG
      ขนาดไฟล์:
      163.2 KB
      เปิดดู:
      190
  19. ๑๖โสฬส

    ๑๖โสฬส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    1,690
    ค่าพลัง:
    +8,723
    อานิสงส์ของการทำบุญ

    พฤศจิกายน 30, 2011 โดย ธ. ธรรมรักษ์

    ถวายกฐิน เป็นสุดยอดของทาน เป็นทานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานให้กับมนุษย์ เพราะบุญที่เกิดขึ้นจะปรากฏแก่ผู้ให้และผู้รับเป็นบุญที่หาที่สุดไม่ได้ เมื่อดับขันธ์แล้วจะไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สถิตอยู่ในวิมานแก้วสูง ๕ โยชน์ มีนางเทพอัปสรเป็นบริวารถึง ๑ หมื่นเป็นเทพที่ได้นุ่งผ้าทิพย์ ด้วยอานิสงส์แห่งการทำกฐินนี้เอง (วัดที่จะรับกฐินได้ ต้องมีพระจำพรรษาครบตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไปเท่านั้น)

    ถวายผ้าป่า อานิสงส์ทำให้มีความสุข มีความสมัครสมนาสามัคคี ชีวิตไม่ตกต่ำทั้งภพนี้และภพหน้า มีกินมีใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ ทั้งหญิงและชายจะอุดมได้ด้วยโภคทรัพย์ด้วยเครื่องอลังการทั้งข้าวของเงินทอง และข้าทาสบริวารชายหญิงมิได้ขาด เมื่อดับขันธ์ไปแล้วจะเกิดในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ถวายองค์พระพุทธรูป อานิสงส์สร้างบารมี มีศักดิ์มีศรีเป็นที่รักและเคารพทั้งเทพและเทวดา ตลอดจนทั้ง ๓ โลก เมื่ออยู่ในโลกทิพย์จะมีรัศมีกายที่สว่างไสวเมื่อเกิดเป็นมนุษย์จะมีรูปร่างอันงดงามอวัยวะครบถ้วนทั้ง ๓๒ ประการ ทำให้บุคคลผู้นั้นหลุดพ้นจากภยันตราย อันตรายต่างๆ เมื่อดับชีพแล้วจะไม่ไปสู่อบายภูมิ เมื่อยังชีพอยู่ย่อมจะเจริญก้าวหน้าและถึงสิ้นความสำเร็จทั้งปวง สามารถตั้งจิตอธิฐานเข้าสู่พุทธภูมิได้

    ถวายเครื่องบวชพระ (เป็นเจ้าภาพการบวช) ได้รับอานิสงส์อันหาขอบเขตมิได้ บุญกุศลจะถึงบิดา-มารดา บรรพบุรุษ เคราะห์หามยามร้ายจะหมดไป ย่อมได้รับอานิสงส์อันไพศาลทั้งภพนี้และภพหน้า ตราบเข้าสู่พระนิพพาน

    ถวายปัจจัยภิกษุอาพาธ อานิสงส์จะทำให้สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงดี ทั้งภพนี้และภพต่อๆ ไป

    ถวายข้าวสาร อานิสงส์จะทำให้มีกินมีใช้ไม่ขาดแคลนในทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติ

    ถวายคำสาธารณูปโภคในวัด (ค่าน้ำ-ค่าไฟ) ทำให้เกิดแสงสว่างสำเร็จซึ่งทิพยจักษุในชีวิตสว่างไสวและร่มเย็นเป็นสุข มีกินมีใช้อุดมสมบูรณ์ทุกๆ ประการ

    ถวายสังฆทาน อานิสงส์ไม่มีโอกาสได้พบสิ่งที่ลำบากยากแค้น มีแต่ความสุขสมบูรณ์ทั้งภพนี้ และภพหน้า แม้ไปเกิดในภพไหนก็มีแต่ความสุขความเจริญ บริบูรณ์ไปด้วยลาภยศ โภคทรัพย์ พ้นทุกข์ทั้งปวงเสวยสุขสมบัติทั้ง ๓ ประการ อย่างเพียบพร้อม คือ มนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ เมื่อสิ้นอายุจะเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดา สถิตอยู่ในวิมานทองบนสวรรค์ แม้บุคคลนั้นเข้าสู่นิพพานและอานิสงส์ยังไม่หมดสิ้น

    ถวายสร้างหลังคาวิหาร อานิสงส์จะมีความสุข ความเจริญที่สมบูรณ์ทั้งภพนี้และภพหน้ามีผู้คอยปกป้องดูแลรักษา คอยช่วยเหลือคุ้มครองเมื่อมีภัยมาคุกคามเมื่อสิ้นอายุขัยจะปรากฏในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อุดมด้วยวิมานแก้ว วิมานทอง พร้อมบริวาร

    ถวายธรรมมะ (หนังสือสวดมนต์) จะเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม สามารถรู้และเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้ดีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ชีวิตไม่ตกต่ำ สามารถเข้าสู่ปกระแสนิพพานได้เร็ว

    สร้างเวจกุฎี (สร้างส้วม) ให้วัด อานิสงส์จะไม่มีความทุกข์โศกโรคภัยเลย เพราะสร้างที่ปลดทุกข์ให้กับมนุษย์ จะมีความสุขความสบายทั้งภพนี้และภพต่อๆ ไป

    ซื้อที่ดินถวายวัด อานิสงส์ผลบุญนี้ จะทำให้มีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลอีกทั้งมีทรัพย์และบริวาร เมื่อดับขันธ์ไปแล้วจะมีวิมานที่กว้างใหญ่ไพศาลพร้อมด้วยบริวาร มีความสุข ความเจริญทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติ จนถึงพระนิพพาน

    ถวายทุนการศึกษาพระปริยัติธรรม อานิสงส์สามารถเรียนรู้เข้าใจทั้งทางโลกและทางธรรมได้ง่ายศึกษาพระไตรปิฎกสำเร็จโดยเร็ว สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย

    ถวายกองเพล (บูชา) จะมีชื่อเสียง มีเกียรติภูมิทั่วทั้ง ๓ โลก เป็นที่เคารพรักทั้งพรหมโลก เทวโลก มนุษย์โลก ถ้าไปเกิดบนสวรรค์ก็จะได้เสวยทิพยสมบัติ เสยสุขชั่วกาลนาน

    ถวายระฆัง จะมีเสียงดังกังวาน ไพเราะสดใส มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทั้ง ๓ โลก

    ถวายพระไตรปิฎก ทำไห้เป็นผู้มีปัญญาเลิศล้ำ สามารถที่จะมองเห็นภพภูมิตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ มีอานิสงส์ที่จะประมาณได้ หากได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะได้เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว ดวงแก้ว จักรแก้ว และชั้นดุสิต บริบูรณ์ด้วยวิมานปราสาทแก้ว ถึง ๘๔,๐๐๐ ปรางค์ นับว่าเป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่สุดประมาณ

    สร้างพระอุโบสถ เป็นอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาล เมื่อยังชีพอยู่ก็เจริญด้วยอายุวรรณะ สุขะ พละ มีผู้คนชื่นชมยกย่องอุดมไปด้วยเกียรติลาภยศ เต็มไปด้วยความองอาจกล้าหาญเสมอไปทุกที่ เมื่อสิ้นชีพดับขันธ์แล้วจะเสวยสุขอยู่ในสรวงสวรรค์อันเป็นบรมสุข

    สร้างกุฏิ เป็นการส่งเสริมบำรุงพระพุทธศาสนาเพราะเป็นการสร้างที่พำนักอาศัยของพระภิกษุสามเณร จะเป็นบารมีอันยิ่งใหญ่เมื่อเป็นมนุษย์เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจะเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สถิตอยู่ในวิมานอันงดงามด้วยแก้ว ๗ ประการ แวดล้อมด้วยนางฟ้า นางเทพอัปสรเป็นบริวารเสวยสุขย่างเกษมสำราญ ชั่วกาลนาน

    สร้างศาลา สำหรับเป็นที่ปฏิบัติธรรมและที่พักสำหรับพระภิกษุสงฆ์และกำบังแดดฝนให้คนทั้งหลายที่สัญจรไปมา ย่อมให้เกิดอานิสงส์ทั้งภพนี้และภพหน้า ย่อมอุดมไปด้วยบุญกุศล ถึงซึ่งความสำเร็จที่ปรารถนา

    สร้างเจดีย์ (บูรณะเจดีย์) จะเป็นกุศลจริยาอันประเสริฐ ก่อเกิดประโยชน์สุขแก่ชีวิตคนอย่างมหาศาล เพราะเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ให้คนทั่วไปได้สักการบูชาอานิสงส์ผลบุญนี้ ย่อมประสบความสุขความเจริญบริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ และลาภยศ สรรเสริญ ทั้งภพนี้และภพหน้า

    บูรณปฏิสังขรณ์ ถือเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนา ศาสนสถานถือเป็นอานิสงส์ผลบุญอันยิ่งใหญ่ นำความสุขความเจริญทั้งภพนี้ภพหน้า จนเข้าสู่พระนิพพาน

    ไถ่ชีวิตโค กระบือ อานิสงส์มีอายุที่ยืนยาวปราศจากสรรพทุกข์สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ เรื่องคับแค้นใจจะคลายและหายไปเป็นที่เคารพเมตตาทั้ง ๓ โลก (เพราะโค กระบือ เป็นสัตว์ใหญ่ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เช่นเดียวกับมนุษย์ อยู่ติดใกล้ชิดกับมนุษย์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างแม่ลูก เหมือนดั่งมนุษย์) เรื่องทุกข์โศกหมดไป

    ปล่อยนก อานิสงส์จะมีอิสรภาพในชีวิตไม่ต้องถูกจองจำ สามารถเดินทางโดยสวัสดิภาพ คดีความจะหลุดรอดพ้นภัย

    ปล่อยปลา อานิสงส์ให้ชีวิตพ้นจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง มีชีวิตยืนยาว (อานิสงส์ในการไถ่ชีวิตโค-กระบือ ปล่อยนก ปล่อยปลานี้ เป็นการให้ชีวิตทั้ง ๓ ทาง คือ สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก (อากาศ) ถือว่าเป็นการทำครบสูตรทุกประการ คือเป็นการสะเดาะเคราะห์อันยิ่งใหญ่)

    ถวายโลงศพ อานิสงส์ดับทุกข์โศกโรคภัย สิ่งอัปมงคลต่างๆ มลายไป มีอายุที่ยืนยาว รอดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

    ปัจจัยให้ผู้ป่วยอนาถา อานิสงส์จะมีสุขภาพดี แข็งแรงทั้งภพนี้และภพต่อๆไป มีผิวพรรณวรรณะสดใส ทั้งกาย-ใจ อุดมสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน

    ให้ทุนการศึกษา นักเรียนนักศึกษา อานิสงส์ทำให้เป็นผู้รู้ เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมไม่ตกต่ำในทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติ อานิสงส์ถึงลูกหลานวงศ์ตระกูล

    มูลนิธิผู้พิการตาบอด อานิสงส์ทำให้มีดวงตาที่แจ่มใส สามารถมองเห็นสัจธรรมได้ทิพยญาณ (จักษุ) มีความสุขทุกภพทุกชาติเข้าสู่กระแสนิพพานได้ง่าย

    มูลนิธิผู้พิการหูหนวก อานิสงส์ทำให้ได้ทิพยโสต (หูทิพย์) ล่วงรู้ถึงจิตใจคน สามารถสำเร็จญาณเข้าสู่กระแสพระนิพพานได้ง่าย

    บริจาคโครงการสาธารณภัย แจกทานผ้าห่ม อานิสงส์จะมีแต่ความสุขสมบูรณ์ มีแต่ความอบอุ่น ไม่ขาดแคลนในทุกภพชาติ บุญกุศลถึงบุตรหลานบริวาร

    แจกยาสามัญประจำบ้าน สุขภาพจะสมบูรณ์แข็งแรง ไม่รู้จักเจ็บป่วยทุกภพทุกชาติ

    แจกเสื้อผ้า อานิสงส์จะมีเครื่องแต่งกายที่เป็นทิพย์มีความสวยสดงดงามมีรัศมีกาย

    อานิสงส์ของการทำบุญขอนำเรื่องที่ท่านหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี ศิษย์เอกของหลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโค ท่านเล่าไว้นานแล้ว แต่ยังน่าฟังและใช้ได้ตลอดกาล จึงกราบเรียนขออนุญาตท่านไว้ ณ ที่นี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นธรรมทาน เรื่องมีอยู่ว่า

    “..เรื่องพระสารีบุตร จากพระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ หน้า ๑๖๑ เมื่อพระสารีบุตรท่านเจริญพระกรรมฐานเป็นที่สบายอารมณ์แล้ว ท่านไปแดนเปรตพบหญิงเปรตคนหนึ่งผอมมีแต่ซี่โครง เปลือยกายมีเส้นเอ็นสะพรั่ง ท่านจึงถามว่า

    “เธอเป็นใคร”

    การถามแบบนี้แสดงว่าท่านทราบว่าเปรตนั้นเป็นใคร แต่ระเบียบของพระรู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้ ระเบียบนี้พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นปกติ

    เปรตตอบว่า

    “เมื่อก่อนในชาติที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติ ฉันเป็นมารดาของท่าน เวลานี้ฉันหิวมาก มีความกระหายในอาหาร เมื่อความหิวเกิดขึ้นก็กินน้ำลาย เสมหะ นํ้ามูก ที่เขาถ่มทิ้ง กินไขมันเหลวจากซากศพที่เขาเผา กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตร เป็นต้น

    ลูกเอ๋ย ลูกจงให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้าง แม่จะได้เลิกหิวเสียที”

    พระสารีบุตรท่านตั้งใจจะช่วยมารดา เมื่อท่านรับรองว่าจะช่วยแล้วท่านก็มาปรึกษากับพระโมคคัลลานะ พระอนุรุทธ พระกับปินะ หรือที่ชาวบ้านหรือพระนักเทศน์เรียกว่า “พระกบิน” ท่านทั้งหมดช่วยกันสร้างกุฏิ ๔ หลังใน ๔ ทิศ (สร้างกุฏิเพิงหมาแหงน)

    และถวายข้าวหยิบมือหนึ่ง กับข้าวหยิบมือหนึ่ง ใส่ใบไม้ และนํ้าหนึ่งฝาบาตร ผ้ากว้างคืบ ยาวคืบ หนึ่งผืน ถวายพระสงฆ์เป็นสังฆทานและวิหารทาน แล้วร่วมกันอุทิศส่วนกุศลให้มารดาพระสารีบุตร (มารดาคนนี้เคยเป็นมารดาพระสารีบุตรเมื่อ ๑๐๐ ชาติที่แล้วมา ไม่ใช่มารดาในชาติปัจจุบันของท่านซึ่งก่อนตายท่านเป็นพระโสดาบัน)

    เมื่ออุทิศส่วนกุศลให้แล้ว อานิสงส์บังเกิดดังนี้

    ถวายข้าวและนํ้า ทำให้เธอได้ร่างกายที่เป็นทิพย์

    ถวายผ้าคืบยาวคืบเป็นเหตุให้เธอได้เครื่องประดับที่เป็นทิพย์

    ถวายกุฏิเพิงหมาแหงน เป็นเหตุให้เธอได้วิมานที่สวยงามมาก

    ถวายนํ้า ๑ ฝาบาตร เป็นเหตุให้เธอได้สระโบกขรณี

    เมื่อยามราตรีเธอก็ปรากฏกายพร้อมทั้งวิมานและสระโบกขรณีให้พระโมคคัลลานะเห็น

    ท่านก็ถามว่า “เป็นใคร”

    เธอตอบว่า

    “ฉันคือมารดาพระสารีบุตรที่เป็นเปรต ที่พระสารีบุตรถวายสังฆทานและพระคุณเจ้าช่วยกันสร้างกุฏิถวายสงฆ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้”

    แสดงว่าคนฉลาดรู้จักทำบุญไม่ต้องสิ้นเปลืองมาก ก็ได้รับอานิสงส์สูง เมื่อให้เขา เขาได้รับ เราผู้ทำก็มีผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อให้ใครก็ตามผู้รับก็มีผลไม่บกพร่อง..”

    โปรดอย่าลืมว่า การทำบุญที่ได้บุญมากนั้น “เจตนา” นั้นสำคัญมาก เป็นแรงส่งชั้นดี การทำบุญด้วยวัตถุอันเลิศ ให้กับบุคคลอันเลิศ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใดๆ ทำไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่มั่นคง ประกอบด้วยศรัทธาอันดี ถึงพร้อมด้วยปิติเบิกบานใจผลบุญที่ได้ย่อมไพบูลย์ฉันนั้น

    ที่มา:http://torthammarak.wordpress.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 พฤษภาคม 2014
  20. jumnien331

    jumnien331 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +460
    มารอด้วยอีกคนครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...