ปาฏิหาริย์พระแม่ธรณี

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย happyokay, 22 พฤษภาคม 2014.

  1. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    [​IMG]
    ปาฏิหาริย์พระแม่ธรณี
    ขณะที่อาจาย์ยายเดินทางไปบำเพ็ญธรรมในประเทศอินเดีย เมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ท่านเล่าว่า สมัยนั้นอินเดียยังลำบากมากในเรื่องการเดินทาง เมื่อท่านเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าจำพรรษานานถึงสิบเก้าพรรษา ณ วัดแห่งแรกของพระองค์ ที่ท่านอณาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งขึ้นชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในอดีตกาล ได้สร้างวัดที่เมืองสาวัตถีขึ้นเป็นแห่งแรกถวายพระพุทธเจ้า(อาจารย์ยายบอกว่า ท่านจำชื่อวัดไม่ค่อยได้ เลยขอเรียกชื่อวัดง่ายๆว่า วัดสาวัตถี ท่านผู้อ่านผู้ใดรู้จักชื่อวัดก็แนะนำด้วยนะครับ) วัดในเมืองสาวัตถีจึงเป็นวัดแห่งแรกในศาสนาของพระองค์ พระองค์จึงจำพรรษาในวัดนี้นานถึงสิบเก้าพรรษา เรื่องนี้พระวิทยากรที่นำทางเป็นผู้บรรยาย ผิดถูกอย่างไร ขอกราบขอขมาพระพุทธองค์ และท่านผู้อ่านด้วยครับ ในช่วงนั้นอาจารย์ยายจิตโลดโผนมาก แบบว่า จิตออกรู้ออกเห็นไปหมด แต่เป็นคนเชื่อยาก เวลาไปถึงที่ใดมักอยากรู้ว่า ในกาลก่อนในสถานที่ต่างๆ มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์อย่างไรบ้าง ซึ่งในทุกๆที่ ก็ได้เห็นเรื่องราวต่างๆในนิมิต จึงส่งผลให้ผู้ร่วมเดินทาง ได้มีโอกาสร่วมรู้เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดนั้นด้วยทุกครั้งเช่นกัน เมื่อคณะของอาจารย์ยายเดินเข้าไปในอาณาบริเวณวัดสาวัตถี ทุกคนได้พากันไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่มากที่พระผู้บรรยายบอกว่า พระอานนท์ได้เป็นผู้อธิฐานจิตปลูกไว้ ทุกคนจึงพากันนั่งบนขอบปูนที่ล้อมเป็นวงกลมโคนต้นโพธิ์ จากนั้นก็ต่างคนต่างนั่งสมาธิ ในครั้งนี้อาจารย์ยายนั่งสมาธิจิตไม่ยอมรวมลงเหมือนทุกครั้ง อาจารย์ยายจึงลืมตาขึ้น มองอณาบริเวณที่กว้างใหญ่ แล้วคิดในใจ ว่า “เบื้องหน้าเราแห่งนี้เคยเป็นวัดที่พระพุทธองค์ และพระอรหันตสาวกต่างฝากรอยพระบาทรอยเท้าเต็มไปหมดในอดีดกาล แล้วรอบบริเวณก็เต็มไปด้วยซากปรักหักพังอยู่ทั่วไป เช่นเบื้ิองหน้าเรา” พระวิทยากรเล่าว่ากองหินที่ยังเห็นทับถมหักพังอยู่นั้น คือกุฎิของพระพุทธองค์ในอดีตกาล อาจารย์ยายอยากเห็นมากแต่จิตไม่ยอมรวมลงเป็นสมาธิ จากนั้นท่านเลยพยายามใหม่อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ ท่านคิดว่า ท่านนั่งลงทับดินที่โคนต้นโพธิ์ โดยที่ไม่มีอะไรรองนั่ง เมื่อร่างท่านสัมผัสดิน ในวินาทีนั้นท่านก็เกิดนึกขึ้นมาในจิตว่า เรื่องพระแม่ธรณีที่ท่านเคยสงสัย มีจริงหรือไม่มีจรึงขึ้นมา ท่านเลยอธิษฐานจิตว่า” ถ้าหากพระแม่ธรณีมีจริง ขอให้ท่านเมตา ขอให้ข้าพเจ้าจิตรวมลงเป็นสมาธิ มีบุญได้เห็นความเป็นจริงในอดีตกาลที่ผ่านมาของวัดแห่งแรกที่พระพุทธเจ้า และสาวกด้วยเถิดว่าเป็นอย่างไร “พออธิฐานจบก็หลับตากำหนดสติให้จิตเกิดสมาธิ ทันใดนั้น อาจารย์ยายบอกว่าจิตรวมทันทีอย่างรวดเร็วมาก ทั้งที่ก่อนหน้าทำอย่างไรก็ใม่ยอมรวมลง จากนั้นก็มีไออุ่นผุดขึ้นจากพื้นดินที่นั่ง ค่อยๆลามขึ้นมาจากขาที่อยู่ในท่านั่งสมาธิ ไออุ่นลามขึ้นมาเรื่อยๆพอมิดหัว จิตก็รวมดิ่งลงลึกสุดของสมาธิ จากนั้นก็เกิดโอภาสสว่างไสวเจิดจ้าในจิตของอาจารย์ยาย พอแสงสว่างเจิดจ้าของจิตดับลง ก็ปรากฎภาพพระสงฆ์จำนวนหกรูป โดยรูปหนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางที่มีฐานรองนั่งสูงสุด และพระอีกห้ารูปนั่งล้อมรอบ ในขณะนั้น อาจารย์ยายท่านบอกว่าเกิดความปิติมากเกินกว่าจะพรรณนาออกมาให้ฟังได้ แบบว่าพูดอย่างไรก็ไม่เหมือนภาวะที่สัมผัสได้ ในวูบนั้นอาจารย์ยายได้ก้มลงกราบพร้อมทั้งน้ำตาอาบแก้ม แล้วได้พูดว่า “อยากรู้จังเลยว่าในอดีตกาล พระท่านสวดมนต์กันอย่างไร แบบไหน เพราะอาจารย์ยายสวดมนต์ไม่เป็น ทั้นใดนั้น เสียงพระที่นั่งอยู่รายล้อมทั้งห้ารูปก็ยกมือพนมไหว้พระที่นั่งสูงกว่า พร้อมกับเปล่งเสียงสวดมนต์ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกัน ว่า “พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ” เสียงพระภิษุทั้งห้ารูปดังก้องกังวาน สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ทำให้อาจารย์ยายน้ำตาไหลพราก จากนั้นจิตก็ค่อยๆถอนออกมา จนเป็นปกติ แต่อาจารย์ยายก็ต้องแปลกใจว่า ภาพนิมิตเรื่องราวดับไปแล้ว เหตุไฉนเสียงของพระจึงยังคงดังก้องกังวานอยู่ ไม่ต่างกับที่ได้ยินเสียงของพระทั้งห้ารูปในนิมิต อาจารย์ยายจึงค่อยๆลืมตาดูว่าเสียงนั้นมาจากไหน ก็ปรากฎว่า เบื้องหน้าอีกฝั่งของขอบปูนที่ล้อมต้นโพธิ์พระอานนท์ อาจารย์ยายได้เห็นชายแขกรูปร่างสูงใหญ่มาก หน้าตามีสง่าราศี ได้นั่งสวดมนต์ พุทธังสะระณังคัจฉามิ ... แบบพระในนิมิตเลย ความไพเราะเหมือนแบบก้อปปี้ออกมาจากที่เดียว และที่อัศจรรย์คือคนเพียงคนเดียวทำไมพลังของเสียงที่เปล่งออกมาจึงดังก้องสะท้านไปทั่วบริเวณที่กว้างใหญ่ได้ขนาดนั้น แล้วคนๆนี้มาจากไหน จึงมานั่งสวดมนต์ดังก้องกังวาลไปทั่ววัดสาวัตถีในขณะนี้ เพราะก่อนนั่งสมาธิก็มีแต่พวกเรากันเอง เมื่อเขาสวดมนต์จบอาจารย์ยายเลยถามเพื่อนที่มาด้วยกันว่า “คนนี้มาจากไหน เขาเป็นใคร“ เพื่อนที่ได้ฟังเขาสวดมนต์ต่างน้ำตาไหลกันทุกคน พร้อมบอกว่า เขาเป็นคนเฝ้าบริเวณนี้ อาจารย์ยายจึงหยิบน้ำมะม่วงกล่องที่ชื้อในอินเดียส่งให้ชายคนนั้น พอเขารับเขาบอกพวกเราว่าเขามีอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้กินน้ำมะม่วงกล่องเป็นครั้งแรกในชีวิต อาจารย์ยายฟังแล้วอึ้ง รู้สึกสะเทือนใจ นึกว่าน้ำมะม่วงกล่องเล็กๆไม่กี่รูปี ทำไมเขาจึงไม่มีโอกาสชื้อกิน ช่างน่าสงสารจริง อาจารย์ยายจึงหยิบเงินรูปีทั้งหมดที่มีติดตัวส่งให้เขา ผู้อ่านคงคิดไม่ถึงกันแน่ว่าอะไรเกิดขึ้น ผู้ชายแขกแปลกหน้า เขายกมือให้อาจารย์ยายแล้วบอกว่า “เราขอบคุณ อีกไม่นานเราก็ต้องตายแล้ว ชีวิตเราไม่เคยขอเงินใครเลย ขอให้เราตายไปพร้อมกับการไม่ขอเถอะครับท่าน” เขาก้มลงกราบอาจารย์ยาย ชึ่งในขณะนั้นท่านยังสาวอยู่เลย แล้วเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้อาจารย์ยายคิดตามหลังเขาว่า เงินคือเศษกระดาษสำหรับคนบางคนที่จิตยึดในคำสอนของพระพุทธองค์ ชึ่งเขาบอกก่อนลาจากว่า “เรานั้นมีพระพุทธเจ้าหนึ่งเดียวในดวงใจ เรามอบหัวใจทั้งหมดในชีวิตนี้ถวายให้พระองค์ไปหมดแล้ว เมื่อวันที่เราตายจากโลกนี้ไป เราคงได้พบพระองค์แล้วก้มลงกราบบาทพระศาสดา” จากนั้นเขาก็เดินจากไป อาจารย์ยายจึงก้มลงกราบต้นโพธิ์พระอานนท์แล้วขอขมาลาโทษ ถ้าเคยทำอะไรล่วงเกินพระแม่ธรณี พร้อมแผ่เมตตาถวายท่าน ที่ทำให้มีโอกาสได้พบสิ่งมหัศจรรย์ ทั้งในนิมิตแล้วก็ของจริง รวมทั้งยังมีพยานกล่าวอ้างอิงได้อีกด้วย ทุกคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยยังมีชีวิตอยู่กันทั้งนั้น ต่อจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดถ่ายหนักเบาที่ไหน อาจารย์ยายจะยกมือขอขมาก่อนทุกครั้ง และแผ่เมตตาให้ท่านทุกครั้งเป็นเวลานานมากนับจากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้
    สำหรับเหตุการณ์ในอินเดียครั้งนั้น หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปี ในปีที่สอง อาจารย์ยายได้เดินทางไปอินเดีย และไปที่ต้นโพธิ์พระอานนท์อีกครั้งหนึ่ง ท่านได้ถามคนเฝ้าวัดถึงผู้ชายคนนั้น และคำตอบที่ได้ก็คือ เขาได้ตายไปแล้วในปลายปีนั้นเอง สาธุ ขอผลบุญที่เคยกระทำมา นำส่งเขาสู่สุขคติโลกสรรค์ เทอญ(คำพูดอาจารย์ยาย)
    บ้านสนทนาธรรมภวันตุเต ก่อนที่จะมีรูปปั้นพระแม่ธรณีองค์ที่เห็นดังรูปที่โพสมาบูชา โดยที่อาจารย์ยายไม่ได้แสวงหา แต่ท่านได้มาเองจากการที่ช่วยให้ลูกของอาจารย์ยายขายที่ดินได้ คนที่หนึ่งยี่สิบแปดล้าน คนที่สอง สามร้อยล้าน จึงเป็นที่มาของพระแม่ธรณีที่ประทับอยู่ในภวันตุเตดังที่เห็น แล้วเป็นที่มาของเรื่องเล่า ตอนต่อไป ครับ สาธุ (แฮปปี้)
    ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ที่
    https://www.facebook.com/ubonwattana.limlertpong.9
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ปาฏิหาริย์พระแม่ธรณี ตอนที่สอง
    เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีพี่คนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ยาย แต่อาจารย์ยายท่านบอกว่า ขอเรียกว่า ลูกหลานดีกว่า ได้มาปรารภว่า “อยากขายที่ดินได้ ขอให้คุณแม่ช่วยด้วยเถอะ ไปดูที่ของหนูหน่อยเถอะค่ะ ถือว่าไปเยื่อมเยืยนหนูสักครั้ง” ในที่สุดอาจารย์ก็ตอบไปว่า “ไป” แล้วก็ไม่ยอมไป ทั้งๆที่ ที่ดินชึ่งก็อยู่ใกล้ๆ ทำให้พี่เขาสงสัยว่า ทำไมอาจารย์ยาบอกว่า ไป แต่ไม่ได้ไป ท่านจึงบอกว่า “ยืนอยู่ตรงไหนก็อธิษฐานถึงพระแม่ธรณีได้ทั้งหมด และตอนนี้ก็อธิษฐานขอบารมีพระแม่ธรณีให้แล้ว” จากนั้นอาจารย์ยายจึงบอกพี่เขาว่า “จะขายที่ได้ แต่ขายได้ไม่ถึงยี่สิบแปดล้าน แต่จะขายได้แค่ยี่สิบเจ็ดล้าน” ในขณะนั้น พี่เขาก็ยังงง เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครมาติดต่อซื้อเลย จากนั้นพี่เขาเลยถามว่า “อีกนานป่าวค่ะคุณแม่” อาจารย์ยายบอกว่า “ก็เรากำลังจะเดินทางไปกราบพระพุทธเจ้าที่ประเทศอินเดีย อีกเดือนหนึ่งก่อนถึงเวลาเดินทาง ลูกจึงจะสามารถขายที่ดินแปลงนั้นได้จริงๆ ในราคายี่สิบเจ็ดล้าน” และความมหัศจรรย์ก็ปรากฎขึ้น นั่นคือ พี่คนนี้สามารถขายที่ดินได้ในราคา ยี่สิบเจ็ดล้านก่อนจะเดินทางไปอินเดียหนึ่งเดือนจริงๆอย่างน่าเหลือเชื่อ ในเวลานั้นเป็นช่วงที่อาจารย์ยายกำลังก่อสร้างตึกสนทนาธรรม ซึ่งใกล้จะเสร็จเต็มทีแล้ว อาจารย์ยายหวังว่าจะทำให้เสร็จก่อนเดินทางไปอินเดีย ด้วยพระคุณของอาจารย์ยายที่เมตตาพี่เค้าในครั้งนี้ พี่เขาเลยขอเป็นเจ้าภาพสมทบช่วยอาจารย์ยายมา หนึ่งแสนบาท(ผมขอ อนุโมทนา สาธุกับพี่ด้วยครับ) ลูกหลานภวันตุเตทุกคที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทึ่งในความเมตตา และความมหัศจรรย์ของพระแม่ธรณีไปตามๆกัน จึงมีความคิดอยากอัญเชิญพระแม่ธรณีมาตั้งบูชากราบไห้ว ที่ภวันตุเต แต่อาจารย์ยายท่านยังเฉยๆ จึงไม่มีใครกล้า เพราะเหตุผลของท่านก็คือ ความศรัทธา ความนับถือ อยู่ที่จิต ไม่ใช่สิ่งสมมุติ
    ต่อมาอีกสองเดือน คุณพี่สุขสันต์ลูกคนโปรดของอาจารย์ยาย ไดัโทรสับมาหาพี่แหม่มซึ่งเป็นพี่สาว ซึ่งในขณะนั้นพี่แหม่มอยู่ที่ภวันตุเตกับอาจารย์ยาย พี่สุขสันต์ได้บอกว่า “จะเป็นนายหน้าขายที่ดิน ในราคาสามร้อยล้านบาท ขอให้พี่แหม่มช่วยเดินไปบอกคุณแม่ให้ที และขอให้คุณแม่เมตตาช่วยให้ขายได้” จากนั้นพี่แหม่มได้เดินถือโทรสับมาหาอาจารย์ยาย พร้อมบอกให้อาจารย์ยายได้รับรู้เรื่องดังกล่าว เพียงพี่แหม่มพูดจบเพียงเท่านั้น ท่านเลยลุกขึ้นจากการสนทนาธรรมกับคนมากมาย จากนั้นจึงบอกพี่แหม่มจุดธูปมาให้เก้าดอก แล้วท่านก็เดินตรงไปที่กลางสนามหญ้าเพื่ออธิฐานจิตเงียบๆ แบบไม่มีใครได้ยิน พออธิษฐานเสร็จท่านก็ปักธูปลงกลางสนามหญ้า แล้วบอกพี่แหม่มให้บอกพี่สันต์ว่า “แม่จุดธูปบอกพระแม่ธรณีให้แล้ว สันต์จะขายที่ได้แน่นอน ยังไงก็แล้วแต่ ให้ส่งข่าวบอกด้วย ถ้าเป็นจริง”
    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง พี่สุขสันต์ได้ส่งข่าวมาบอกว่า ขายที่ได้ในราคาสามร้อยล้านได้จริงๆ เป็นเรื่ีองที่พวกเราตื่นเต้นกันมาก และที่แปลกคืออาจารย์ยายไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ให้เห็นเลย โดยเฉพาะการจุดธูปทำพิธีอะไรแบบนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นอาจารย์ยายปักธูปบอกกล่าวพระแม่ธรณีให้เห็น พี่สันต์ได้ระลึกถึงพระคุณของอาจารย์ยายที่พี่เค้าเรียกท่านว่า”คุณแม่” ที่เมตตาช่วยเหลือในครั้งนี้ และที่ผ่านๆมา พี่เค้าจึงนำเงินมาให้อาจารย์ยายสองแสนบาท เพื่อร่วมสร้างตึกสนทนาธรรมที่พวกเราได้เห็น และได้เข้าไปนั่งสนทนาธรรมกับอาจารย์ยายในวันนี้ครับ
    จากเงินสามแสนบาทที่พระแม่ช่วย และประทานพรให้อาจารย์ยายผ่านลูกหลานภวันตุเต แบบแตกต่างกันไป ในกาลต่อมา สำหรับพี่ที่ขายที่ได้ยี่สิบเจ็ดล้าน ก็ได้พาพ่อ และแม่ไปเที่ยวเมืองลาว พอพี่เค้าได้เห็นรูปปั้นพระแม่ธรณีเลยซื้อกลับมา แล้วนำมามอบให้อาจารย์ยายตั้งไว้ให้พวกเราได้เคารพ และขอพรท่าน เพื่อความเป็นศิริมงคลครับ
    อาจารย์ยายบอกแฮปปี้เสมอครับว่า “เวลามาบ้านภวันตุเตทุกครั้งก่อนกลับ ก็ขอให้กราบพระแม่ธรณี แล้วให้ใช้มือแตะน้ำที่เป็นฐานรองพระแม่อันเป็นสมมติแทนน้ำ ที่ท่านบีบออกมาจากหมวยผม แล้วนำมาแตะเนื้อตัว ลูบศรีษะ เพื่อความเป็นสิริมงคล ยายเชื่อว่าพระแม่จะประทานพรให้นะลูก จำไว้ สาธุ”
    ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของเรื่อง “พระแม่ธรณีที่ภวันตุเต” ด้วยความเมตตาของอาจารย์ยายจึงทำให้แฮปปี้มีเรื่องมาเล่าให้พี่ๆ น้อง ๆและเพื่อนๆได้ฟังกันครับ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ (แฮปปี้)
    อ่านเรื่องราวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/ubonwattana.limlertpong.9
     
  3. quanlikit

    quanlikit สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +3
    วัดพระเชตวัน เจ้าค่ะ
     
  4. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ขอบคุณครับ อนุโมทนา สาธุ ^__^
     
  5. uthaimai

    uthaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +1,344
    ปาฏิหาริย์พระแม่ธรณี

    ขณะที่อาจาย์ยายเดินทางไปบำเพ็ญธรรมในประเทศอินเดีย เมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ท่านเล่าว่า สมัยนั้นอินเดียยังลำบากมากในเรื่องการเดินทาง เมื่อท่านเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าจำพรรษา นานถึงสิบเก้าพรรษา ณ วัดแห่งแรกของพระองค์ ที่ท่านอณาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งขึ้นชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในอดีตกาล ได้สร้างวัดที่เมืองสาวัตถีขึ้นเป็นแห่งแรก ถวายพระพุทธเจ้า(อาจารย์ยายบอกว่า ท่านจำชื่อวัดไม่ค่อยได้ เลยขอเรียกชื่อวัดง่ายๆว่า วัดสาวัตถี ท่านผู้อ่านผู้ใดรู้จักชื่อวัดก็แนะนำด้วยนะครับ) วัดในเมืองสาวัตถีจึงเป็นวัดแห่งแรกในศาสนาของพระองค์ พระองค์จึงจำพรรษาในวัดนี้ นานถึงสิบเก้าพรรษา เรื่องนี้พระวิทยากรที่นำทางเป็นผู้บรรยาย ผิดถูกอย่างไร ขอกราบขอขมาพระพุทธองค์ และท่านผู้อ่านด้วยครับ ในช่วงนั้นอาจารย์ยายจิตโลดโผนมาก แบบว่า จิตออกรู้ออกเห็นไปหมด แต่เป็นคนเชื่อยาก เวลาไปถึงที่ใดมักอยากรู้ว่า ในกาลก่อนในสถานที่ต่างๆ มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์อย่างไรบ้าง ซึ่งในทุกๆที่ ก็ได้เห็นเรื่องราวต่างๆในนิมิต จึงส่งผลให้ผู้ร่วมเดินทาง ได้มีโอกาสร่วมรู้เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดนั้นด้วยทุกครั้งเช่นกัน เมื่อคณะของอาจารย์ยายเดินเข้าไปในอาณาบริเวณวัดสาวัตถี ทุกคนได้พากันไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่มากที่พระผู้บรรยายบอกว่า พระอานนท์ได้เป็นผู้อธิฐานจิตปลูกไว้ ทุกคนจึงพากันนั่งบนขอบปูนที่ล้อมเป็นวงกลมโคนต้นโพธิ์ จากนั้นก็ต่างคนต่างนั่งสมาธิ ในครั้งนี้อาจารย์ยายนั่งสมาธิจิตไม่ยอมรวมลงเหมือนทุกครั้ง อาจารย์ยายจึงลืมตาขึ้น มองอณาบริเวณที่กว้างใหญ่ แล้วคิดในใจ ว่า “เบื้องหน้าเราแห่งนี้เคยเป็นวัดที่พระพุทธองค์ และพระอรหันตสาวกต่างฝากรอยพระบาทรอยเท้าเต็มไปหมดในอดีดกาล แล้วรอบบริเวณก็เต็มไปด้วยซากปรักหักพังอยู่ทั่วไป เช่นเบื้ิองหน้าเรา” พระวิทยากรเล่าว่ากองหินที่ยังเห็นทับถมหักพังอยู่นั้น คือกุฎิของพระพุทธองค์ในอดีตกาล อาจารย์ยายอยากเห็นมากแต่จิตไม่ยอมรวมลงเป็นสมาธิ จากนั้นท่านเลยพยายามใหม่อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ ท่านคิดว่า ท่านนั่งลงทับดินที่โคนต้นโพธิ์ โดยที่ไม่มีอะไรรองนั่ง เมื่อร่างท่านสัมผัสดิน ในวินาทีนั้นท่านก็เกิดนึกขึ้นมาในจิตว่า เรื่องพระแม่ธรณีที่ท่านเคยสงสัย มีจริงหรือไม่มีจรึงขึ้นมา ท่านเลยอธิษฐานจิตว่า” ถ้าหากพระแม่ธรณีมีจริง ขอให้ท่านเมตา ขอให้ข้าพเจ้าจิตรวมลงเป็นสมาธิ มีบุญได้เห็นความเป็นจริงในอดีตกาลที่ผ่านมาของวัดแห่งแรกที่พระพุทธเจ้า และสาวกด้วยเถิดว่าเป็นอย่างไร “พออธิฐานจบก็หลับตากำหนดสติให้จิตเกิดสมาธิ ทันใดนั้น อาจารย์ยายบอกว่าจิตรวมทันทีอย่างรวดเร็วมาก ทั้งที่ก่อนหน้าทำอย่างไรก็ใม่ยอมรวมลง จากนั้นก็มีไออุ่นผุดขึ้นจากพื้นดินที่นั่ง ค่อยๆลามขึ้นมาจากขาที่อยู่ในท่านั่งสมาธิ ไออุ่นลามขึ้นมาเรื่อยๆพอมิดหัว จิตก็รวมดิ่งลงลึกสุดของสมาธิ จากนั้นก็เกิดโอภาสสว่างไสวเจิดจ้าในจิตของอาจารย์ยาย พอแสงสว่างเจิดจ้าของจิตดับลง ก็ปรากฎภาพพระสงฆ์จำนวนหกรูป โดยรูปหนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางที่มีฐานรองนั่งสูงสุด และพระอีกห้ารูปนั่งล้อมรอบ ในขณะนั้น อาจารย์ยายท่านบอกว่าเกิดความปิติมากเกินกว่าจะพรรณนาออกมาให้ฟังได้ แบบว่าพูดอย่างไรก็ไม่เหมือนภาวะที่สัมผัสได้ ในวูบนั้นอาจารย์ยายได้ก้มลงกราบพร้อมทั้งน้ำตาอาบแก้ม แล้วได้พูดว่า “อยากรู้จังเลยว่าในอดีตกาล พระท่านสวดมนต์กันอย่างไร แบบไหน เพราะอาจารย์ยายสวดมนต์ไม่เป็น ทั้นใดนั้น เสียงพระที่นั่งอยู่รายล้อมทั้งห้ารูปก็ยกมือพนมไหว้พระที่นั่งสูงกว่า พร้อมกับเปล่งเสียงสวดมนต์ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกัน ว่า “พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ” เสียงพระภิษุทั้งห้ารูปดังก้องกังวาน สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ทำให้อาจารย์ยายน้ำตาไหลพราก จากนั้นจิตก็ค่อยๆถอนออกมา จนเป็นปกติ แต่อาจารย์ยายก็ต้องแปลกใจว่า ภาพนิมิตเรื่องราวดับไปแล้ว เหตุไฉนเสียงของพระจึงยังคงดังก้องกังวานอยู่ ไม่ต่างกับที่ได้ยินเสียงของพระทั้งห้ารูปในนิมิต อาจารย์ยายจึงค่อยๆลืมตาดูว่าเสียงนั้นมาจากไหน ก็ปรากฎว่า เบื้องหน้าอีกฝั่งของขอบปูนที่ล้อมต้นโพธิ์พระอานนท์ อาจารย์ยายได้เห็นชายแขกรูปร่างสูงใหญ่มาก หน้าตามีสง่าราศี ได้นั่งสวดมนต์ พุทธังสะระณังคัจฉามิ ... แบบพระในนิมิตเลย ความไพเราะเหมือนแบบก้อปปี้ออกมาจากที่เดียว และที่อัศจรรย์คือคนเพียงคนเดียวทำไมพลังของเสียงที่เปล่งออกมาจึงดังก้องสะท้านไปทั่วบริเวณที่กว้างใหญ่ได้ขนาดนั้น แล้วคนๆนี้มาจากไหน จึงมานั่งสวดมนต์ดังก้องกังวาลไปทั่ววัดสาวัตถีในขณะนี้ เพราะก่อนนั่งสมาธิก็มีแต่พวกเรากันเอง เมื่อเขาสวดมนต์จบอาจารย์ยายเลยถามเพื่อนที่มาด้วยกันว่า “คนนี้มาจากไหน เขาเป็นใคร“ เพื่อนที่ได้ฟังเขาสวดมนต์ต่างน้ำตาไหลกันทุกคน พร้อมบอกว่า เขาเป็นคนเฝ้าบริเวณนี้ อาจารย์ยายจึงหยิบน้ำมะม่วงกล่องที่ชื้อในอินเดียส่งให้ชายคนนั้น พอเขารับเขาบอกพวกเราว่าเขามีอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้กินน้ำมะม่วงกล่องเป็นครั้งแรกในชีวิต อาจารย์ยายฟังแล้วอึ้ง รู้สึกสะเทือนใจ นึกว่าน้ำมะม่วงกล่องเล็กๆไม่กี่รูปี ทำไมเขาจึงไม่มีโอกาสชื้อกิน ช่างน่าสงสารจริง อาจารย์ยายจึงหยิบเงินรูปีทั้งหมดที่มีติดตัวส่งให้เขา ผู้อ่านคงคิดไม่ถึงกันแน่ว่าอะไรเกิดขึ้น ผู้ชายแขกแปลกหน้า เขายกมือให้อาจารย์ยายแล้วบอกว่า “เราขอบคุณ อีกไม่นานเราก็ต้องตายแล้ว ชีวิตเราไม่เคยขอเงินใครเลย ขอให้เราตายไปพร้อมกับการไม่ขอเถอะครับท่าน” เขาก้มลงกราบอาจารย์ยาย ชึ่งในขณะนั้นท่านยังสาวอยู่เลย แล้วเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้อาจารย์ยายคิดตามหลังเขาว่า เงินคือเศษกระดาษสำหรับคนบางคนที่จิตยึดในคำสอนของพระพุทธองค์ ชึ่งเขาบอกก่อนลาจากว่า “เรานั้นมีพระพุทธเจ้าหนึ่งเดียวในดวงใจ เรามอบหัวใจทั้งหมดในชีวิตนี้ถวายให้พระองค์ไปหมดแล้ว เมื่อวันที่เราตายจากโลกนี้ไป เราคงได้พบพระองค์แล้วก้มลงกราบบาทพระศาสดา” จากนั้นเขาก็เดินจากไป อาจารย์ยายจึงก้มลงกราบต้นโพธิ์พระอานนท์แล้วขอขมาลาโทษ ถ้าเคยทำอะไรล่วงเกินพระแม่ธรณี พร้อมแผ่เมตตาถวายท่าน ที่ทำให้มีโอกาสได้พบสิ่งมหัศจรรย์ ทั้งในนิมิตแล้วก็ของจริง รวมทั้งยังมีพยานกล่าวอ้างอิงได้อีกด้วย ทุกคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยยังมีชีวิตอยู่กันทั้งนั้น ต่อจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดถ่ายหนักเบาที่ไหน อาจารย์ยายจะยกมือขอขมาก่อนทุกครั้ง และแผ่เมตตาให้ท่านทุกครั้งเป็นเวลานานมากนับจากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้
    สำหรับเหตุการณ์ในอินเดียครั้งนั้น หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปี ในปีที่สอง อาจารย์ยายได้เดินทางไปอินเดีย และไปที่ต้นโพธิ์พระอานนท์อีกครั้งหนึ่ง ท่านได้ถามคนเฝ้าวัดถึงผู้ชายคนนั้น และคำตอบที่ได้ก็คือ เขาได้ตายไปแล้วในปลายปีนั้นเอง สาธุ ขอผลบุญที่เคยกระทำมา นำส่งเขาสู่สุขคติโลกสรรค์ เทอญ(คำพูดอาจารย์ยาย)
    บ้านสนทนาธรรมภวันตุเต ก่อนที่จะมีรูปปั้นพระแม่ธรณีองค์ที่เห็นดังรูปที่โพสมาบูชา โดยที่อาจารย์ยายไม่ได้แสวงหา แต่ท่านได้มาเองจากการที่ช่วยให้ลูกของอาจารย์ยายขายที่ดินได้ คนที่หนึ่งยี่สิบแปดล้าน คนที่สอง สามร้อยล้าน จึงเป็นที่มาของพระแม่ธรณีที่ประทับอยู่ในภวันตุเตดังที่เห็น แล้วเป็นที่มาของเรื่องเล่า ตอนต่อไป ครับ สาธุ (แฮปปี้)
    ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ที่

    https://www.facebook.com/ubonwattana.limlertpong.9
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2014
  6. uthaimai

    uthaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +1,344
    ปาฏิหาริย์พระแม่ธรณี ตอนที่สอง

    เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีพี่คนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ยาย แต่อาจารย์ยายท่านบอกว่า ขอเรียกว่า ลูกหลานดีกว่า ได้มาปรารภว่า “อยากขายที่ดินได้ ขอให้คุณแม่ช่วยด้วยเถอะ ไปดูที่ของหนูหน่อยเถอะค่ะ ถือว่าไปเยื่อมเยืยนหนูสักครั้ง” ในที่สุดอาจารย์ก็ตอบไปว่า “ไป” แล้วก็ไม่ยอมไป ทั้งๆที่ ที่ดินชึ่งก็อยู่ใกล้ๆ ทำให้พี่เขาสงสัยว่า ทำไมอาจารย์ยาบอกว่า ไป แต่ไม่ได้ไป ท่านจึงบอกว่า “ยืนอยู่ตรงไหนก็อธิษฐานถึงพระแม่ธรณีได้ทั้งหมด และตอนนี้ก็อธิษฐานขอบารมีพระแม่ธรณีให้แล้ว” จากนั้นอาจารย์ยายจึงบอกพี่เขาว่า “จะขายที่ได้ แต่ขายได้ไม่ถึงยี่สิบแปดล้าน แต่จะขายได้แค่ยี่สิบเจ็ดล้าน” ในขณะนั้น พี่เขาก็ยังงง เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครมาติดต่อซื้อเลย จากนั้นพี่เขาเลยถามว่า “อีกนานป่าวค่ะคุณแม่” อาจารย์ยายบอกว่า “ก็เรากำลังจะเดินทางไปกราบพระพุทธเจ้าที่ประเทศอินเดีย อีกเดือนหนึ่งก่อนถึงเวลาเดินทาง ลูกจึงจะสามารถขายที่ดินแปลงนั้นได้จริงๆ ในราคายี่สิบเจ็ดล้าน” และความมหัศจรรย์ก็ปรากฎขึ้น นั่นคือ พี่คนนี้สามารถขายที่ดินได้ในราคา ยี่สิบเจ็ดล้านก่อนจะเดินทางไปอินเดียหนึ่งเดือนจริงๆอย่างน่าเหลือเชื่อ ในเวลานั้นเป็นช่วงที่อาจารย์ยายกำลังก่อสร้างตึกสนทนาธรรม ซึ่งใกล้จะเสร็จเต็มทีแล้ว อาจารย์ยายหวังว่าจะทำให้เสร็จก่อนเดินทางไปอินเดีย ด้วยพระคุณของอาจารย์ยายที่เมตตาพี่เค้าในครั้งนี้ พี่เขาเลยขอเป็นเจ้าภาพสมทบช่วยอาจารย์ยายมา หนึ่งแสนบาท(ผมขอ อนุโมทนา สาธุกับพี่ด้วยครับ) ลูกหลานภวันตุเตทุกคที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทึ่งในความเมตตา และความมหัศจรรย์ของพระแม่ธรณีไปตามๆกัน จึงมีความคิดอยากอัญเชิญพระแม่ธรณีมาตั้งบูชากราบไห้ว ที่ภวันตุเต แต่อาจารย์ยายท่านยังเฉยๆ จึงไม่มีใครกล้า เพราะเหตุผลของท่านก็คือ ความศรัทธา ความนับถือ อยู่ที่จิต ไม่ใช่สิ่งสมมุติ
    ต่อมาอีกสองเดือน คุณพี่สุขสันต์ลูกคนโปรดของอาจารย์ยาย ไดัโทรสับมาหาพี่แหม่มซึ่งเป็นพี่สาว ซึ่งในขณะนั้นพี่แหม่มอยู่ที่ภวันตุเตกับอาจารย์ยาย พี่สุขสันต์ได้บอกว่า “จะเป็นนายหน้าขายที่ดิน ในราคาสามร้อยล้านบาท ขอให้พี่แหม่มช่วยเดินไปบอกคุณแม่ให้ที และขอให้คุณแม่เมตตาช่วยให้ขายได้” จากนั้นพี่แหม่มได้เดินถือโทรสับมาหาอาจารย์ยาย พร้อมบอกให้อาจารย์ยายได้รับรู้เรื่องดังกล่าว เพียงพี่แหม่มพูดจบเพียงเท่านั้น ท่านเลยลุกขึ้นจากการสนทนาธรรมกับคนมากมาย จากนั้นจึงบอกพี่แหม่มจุดธูปมาให้เก้าดอก แล้วท่านก็เดินตรงไปที่กลางสนามหญ้าเพื่ออธิฐานจิตเงียบๆ แบบไม่มีใครได้ยิน พออธิษฐานเสร็จท่านก็ปักธูปลงกลางสนามหญ้า แล้วบอกพี่แหม่มให้บอกพี่สันต์ว่า “แม่จุดธูปบอกพระแม่ธรณีให้แล้ว สันต์จะขายที่ได้แน่นอน ยังไงก็แล้วแต่ ให้ส่งข่าวบอกด้วย ถ้าเป็นจริง”
    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง พี่สุขสันต์ได้ส่งข่าวมาบอกว่า ขายที่ได้ในราคาสามร้อยล้านได้จริงๆ เป็นเรื่ีองที่พวกเราตื่นเต้นกันมาก และที่แปลกคืออาจารย์ยายไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ให้เห็นเลย โดยเฉพาะการจุดธูปทำพิธีอะไรแบบนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นอาจารย์ยายปักธูปบอกกล่าวพระแม่ธรณีให้เห็น พี่สันต์ได้ระลึกถึงพระคุณของอาจารย์ยายที่พี่เค้าเรียกท่านว่า”คุณแม่” ที่เมตตาช่วยเหลือในครั้งนี้ และที่ผ่านๆมา พี่เค้าจึงนำเงินมาให้อาจารย์ยายสองแสนบาท เพื่อร่วมสร้างตึกสนทนาธรรมที่พวกเราได้เห็น และได้เข้าไปนั่งสนทนาธรรมกับอาจารย์ยายในวันนี้ครับ
    จากเงินสามแสนบาทที่พระแม่ช่วย และประทานพรให้อาจารย์ยายผ่านลูกหลานภวันตุเต แบบแตกต่างกันไป ในกาลต่อมา สำหรับพี่ที่ขายที่ได้ยี่สิบเจ็ดล้าน ก็ได้พาพ่อ และแม่ไปเที่ยวเมืองลาว พอพี่เค้าได้เห็นรูปปั้นพระแม่ธรณีเลยซื้อกลับมา แล้วนำมามอบให้อาจารย์ยายตั้งไว้ให้พวกเราได้เคารพ และขอพรท่าน เพื่อความเป็นศิริมงคลครับ
    อาจารย์ยายบอกแฮปปี้เสมอครับว่า “เวลามาบ้านภวันตุเตทุกครั้งก่อนกลับ ก็ขอให้กราบพระแม่ธรณี แล้วให้ใช้มือแตะน้ำที่เป็นฐานรองพระแม่อันเป็นสมมติแทนน้ำ ที่ท่านบีบออกมาจากหมวยผม แล้วนำมาแตะเนื้อตัว ลูบศรีษะ เพื่อความเป็นสิริมงคล ยายเชื่อว่าพระแม่จะประทานพรให้นะลูก จำไว้ สาธุ”
    ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของเรื่อง “พระแม่ธรณีที่ภวันตุเต” ด้วยความเมตตาของอาจารย์ยายจึงทำให้แฮปปี้มีเรื่องมาเล่าให้พี่ๆ น้อง ๆและเพื่อนๆได้ฟังกันครับ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ (แฮปปี้)
    อ่านเรื่องราวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่
    https://www.facebook.com/ubonwattana.limlertpong.9
     

แชร์หน้านี้

Loading...