เรื่องเด่น หลวงพ่อปานสอนหลวงพ่อฤๅษีเดินบนน้ำ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ชนะ สิริไพโรจน์, 17 กรกฎาคม 2014.

  1. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    maxresdefault.jpg
    หลวงพ่อปานสอนหลวงพ่อฤาษีเดินบนน้ำ
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    ในคืนหนึ่งฉันคิดว่า ถ้าฉันทำอะไรไม่ได้ ฉันจะลองฝึก
    เดินน้ำดู ว่ามันจะเป็นยังไงการเดินน้ำเดินท่า จะลอง
    เดินน้ำดู แล้วก็ลองเดินกลางคืนดึก ๆ ฉันก็เริ่มใช้ปถวีกสิณ
    กสิณดินเอาเข้ามาเพ่ง เพ่งจนกระทั่งปรากฏว่าน้ำในแก้วแข็ง
    จะเอานิ้วจิ้มลงไปตรงไหน น้ำมีสภาพเหมือนน้ำแข็งทุกอย่าง
    มันแข็งเป๋งเหมือนกับหิน ซ้อมอยู่อย่างนี้ ๓ คืน เมื่อ ๓ คืน
    แน่ใจแล้ว คืนหนึ่งตอนตี ๒ แล้วก็เดือน ๑๒ เสียด้วยนะ
    กำลังหนาวจัด ที่วัดบางนมโคนั่นมันด่านลม ลมหนาวพัดมา
    น้ำเป็นคลื่น ความหนาวเย็นสะท้าน

    ฉันก็เตรียมจะเดินน้ำ คิดว่าตอนนี้มันหนาวนี่ แล้วดึก ๆ อย่างนี้
    หลวงพ่อท่านคงจะไม่ออกไปนอกกุฏิ พระแก่คงจะไม่สู้กับ
    ความหนาว ฉันนุ่งผ้าผืนเดียว เตรียมพร้อมที่จะลงน้ำ ไปนั่ง
    อยู่ที่โป๊ะหน้าวัดแล้วก็เข้าปถวีกสิณ ประเดี๋ยวเดียวอธิษฐานจิต
    เอานิ้วจิ้มลงไปในน้ำ ปรากฏว่าน้ำแข็ง ฉันแน่ใจว่าน้ำแข็งมัน
    จะเดินได้แล้วฉันก็ก้าวลงจากโป๊ะ ตอนก้าวลงนี่แหละ บรรดา
    ลูกหลานทั้งหลาย การคุมอารมณ์มันไม่ทรงสภาพ สมาธิมัน
    เคลื่อน ตอนนี้เอง พอก้าวลงจากโป๊ะ ตัวมีน้ำหนักตัวทาง
    ต่ำมากลงตูมลงไปเลย

    ปรากฏว่าหัวมิดน้ำจมน้ำลงไป แล้วโผล่ขึ้นมารู้สึกว่ามันหนาวจัด
    แต่ว่าความอยากน่ะมันยังไม่ยับยั้ง มันยังไม่ยอมหนาว ตัวอยาก
    ด้วยอำนาจตัณหาน่ะ มันยังไม่ยอม มันยังอยากจะทำต่อไป
    พอขึ้นมาจากน้ำ นั่งอยู่บนโป๊ะ ปรากฏว่าหลวงพ่อปานยืนอยู่
    บนเขื่อนหน้าวัด ท่านร้องเรียกไปว่า ไอ้ลิงดำ นี่เอ็งจะแสดง
    ฤทธิ์หรือยังไงนี่ จะมาเดินน้ำเรอะ ท่านถามอย่างนั้น ก็หนีกัน
    ไม่ได้แล้วนี่ ในเมื่อหนีไม่ได้มันก็ต้องยอมรับ ก็ยกมือประณม
    ไหว้ท่านแล้วก็บอกว่า ผมจะเดินน้ำขอรับ

    ท่านก็บอกว่าฉันห้ามแล้วไม่ใช่เรอะ ห้ามแกแล้วนาว่า
    อภิญญาน่ะแกทำไม่ได้ แต่ความจริงถ้าแกจะทำมันก็เป็น
    ของไม่ยาก ทำได้ แต่ที่ฉันไม่ให้แกฝึก ให้แกฝึกในขั้น
    ของวิชชา ๓ นี่ก็เพราะว่าแกมีพันธะอยู่กับคน พระที่ได้
    อภิญญานี่น่ะ ได้อภิญญาแล้วจะอยู่กับคนไม่ได้ จะต้องเข้าป่า
    แต่แกนี่มีบริษัทมีบริวารมาก แกจะทรงอภิญญาไม่ได้ ในเมื่อ
    ทรงอภิญญาแล้ว เรื่องของอภิญญานี่น่ะ คนที่ยังเป็นโลกีย์วิสัย
    ยังมีอารมณ์ข้องอยู่ในกิเลส มันอดที่จะอวดดีไม่ได้

    แต่ความจริงสิ่งที่จะอวดไม่ใช่อวดดี มันเป็นอวดเลว
    แต่ไอ้ความเลวนี่เราเข้าใจว่ามันเป็นความดี มันเป็นความผิด
    เพราะผิดพุทธพจน์ แต่ว่าไม่เป็นไร ในเมื่อเธอมีความปรารถนา
    ฉันก็จะให้ทำ แต่ว่าทำได้คราวนี้คราวเดียวนะ ต่อไปห้ามทำ
    เพื่อเป็นการพิสูจน์อารมณ์สมาธิของเธอ เอาอย่างนี้

    ตั้งอารมณ์ใหม่ เมื่อกี้นี้เธอทำผิด เพราะว่าเธอตั้งใจอธิษฐาน
    ให้แม่น้ำทั้งแม่น้ำเป็นน้ำแข็ง อย่างนี้มันผิดจากจริยามาก
    ถ้าน้ำเป็นน้ำแข็งทั้งแม่น้ำแล้วเรือแพสัญจรไปมาไม่ได้
    การจราจรมันก็ติดขัด อย่างนี้มีโทษนะ เป็นการกลั่นแกล้ง
    ชาวบ้านเขา ถ้ากระไรก็ดีละก็ เธอเอาใหม่ เธอทำอย่างนี้
    เธอตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอน้ำที่ข้าพเจ้าเหยียบไปนี่นะ เท้า
    ของข้าพเจ้าเหยียบไปตรงไหนขอให้น้ำตรงนั้นแข็ง
    แล้วก็ควบคุมอารมณ์ให้ทรงอยู่ในอุปจารสมาธิ

    ในขั้นแรกเข้าปถวีกสิณก่อน ให้ถึงฌาน ๔ ท่านเรียกตาม
    ภาษาพระว่าจตุตถฌาน แปลว่าฌาน ๔ มีอารมณ์เป็น
    อุเบกขาดีแล้ว คลายจิตลงมาสู่อุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานว่า
    น้ำที่ข้าพเจ้าเอาเท้าเหยียบไป จะเป็นตรงไหนก็ตาม ขอน้ำ
    ตรงนั้นจงแข็งเหมือนหินหรือไม่ก็เหมือนดินให้ข้าพเจ้าเดิน
    ไปได้โดยสะดวก แล้วก็เข้าฌาน ๔ ใหม่ แล้วคลายฌาน ๔ ออก
    เมื่อตั้งอารมณ์อยู่ในอุปจารสมาธิแล้วก็เดินไป แค่นี้ทำได้ไม่ยาก
    เรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องไม่ยาก

    ความจริงเธอมีความสามารถพอจะทำได้ แต่ว่ามันไม่ใช่วิสัย
    ของเธอควรทำ ฉันจึงห้าม เธอไม่ต้องวิตกกังวล ผลใดก็ตาม
    ที่เธอมีความปรารถนา ผลนั้นจะมีความสำเร็จกับเธอ เมื่อเธอ
    ผ่านการบวชไปแล้ว ๒๖ พรรษา เรื่องการเอาดีเอาพระอภิญญา
    ไปอวดชาวบ้านอย่านึกว่ามันเป็นของดี ถ้าชาวบ้านเขารู้ว่าเธอ
    ทำได้เขาจะขอให้เธอทำ แล้วในที่สุดเธอก็จะเหน็ดเหนื่อย
    ถ้าเธอไม่ทำให้กับบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนั้นก็จะ
    พากันว่าพากันนินทา พากันพูดเสียดสี หนักเข้า ๆ อารมณ์จิต
    ของเธอก็จะไม่ดีตกอยู่ในอำนาจของโทสะ

    ฌานต่าง ๆ มันก็จะเสื่อม หรือว่าถ้าหากว่าฌานไม่เสื่อม
    คนก็จะติดในฤทธิ์ ในเมื่อคนติดในฤทธิ์เสียแล้ว พระอื่น
    แสดงฤทธิ์ไม่ได้ คนเขาก็ไม่เลื่อมใส แล้วคนที่ติดในฤทธิ์
    ทั้งหมดก็ไม่ต้องการบุญต้องการกุศล ต้องการอย่างเดียว
    คือให้พระแสดงฤทธิ์ให้ดู อย่างนี้ศาสนาขององค์สมเด็จ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะเสื่อม

    อาการอย่างนี้ปิณโฑลภารทวาชะทำมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้า
    ที่เหาะไปเอาบาตรแก่นจันทร์ พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เพราะว่า
    ชาวบ้านที่ไม่เคยเห็นการเหาะมาดูการเหาะกันทุกคน ต่างก็พากัน
    อยากจะเห็นพระเหาะ เพราะไม่เคยเห็นเลย เมื่อคนนี้ได้ดูแล้ว
    คนอื่นยังไม่ได้ดูก็ขอดูใหม่ เมื่อท่านปิณโฑลภารทวาชะไม่เหาะ
    ให้ดู ก็ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อว่าต่อขาน จนกระทั่งท่านรำคาญ
    ท่านก็ต้องเหาะให้ดู เป็นอันว่าการเหาะของท่านปิณโฑลภารทวาชะ
    ต้องเหาะกันทุกวัน วันละหลายครั้ง เพราะชาวบ้านรู้ถึงไหนก็มาถึงนั่น
    การเห็นคนเหาะมันเห็นยาก ไม่มีใครเขาทำให้เห็น เมื่อปรากฏ
    ว่าคนทำได้เข้าก็อยากดูกันใหญ่

    ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็เรียกท่านปิณโฑลภารทวาชะมาติเตียน
    ต่าง ๆ แล้วก็มีพระพุทธบัญญัติตรัสห้ามว่า ต่อแต่นี้ไป
    พระองค์ใดก็ตามจะแสดงปาฏิหาริย์จะต้องได้รับอนุญาต
    ฃจากพระองค์เสียก่อน ถ้าใครไม่ได้รับอนุญาตจากพระองค์
    แล้วแสดงปาฏิหาริย์ พระองค์ทรงปรับเป็นโทษ เรียกว่ามี
    ความผิดตามพระวินัย นี่เรื่องมันใหญ่ เธอจำไว้นะ เธอเรียน
    มาแล้ว เธอพบแล้วน่าจะจำ

    แต่เอาเถอะ ในเมื่อกิเลสตัณหามันยังบังคับใจเธออยู่
    เธออยากจะทำก็จงทำ เอ้า ทำได้แล้ว ท่านบอกให้ฉันทำ
    ฉันก็ทำ ในเมื่ออธิษฐานตามท่านมันไม่ยาก ท่านบอกให้
    เข้าฌาน ๔ ฉันก็เข้าปุ๊บ เข้าปุ๊บ แป๊บเดียวมันไม่ถึงครึ่งวินาที
    มันก็ได้ฌาน ๔ เป็นของง่ายไม่ใช่ของยาก จะว่าเป็นของ
    กล้วย ๆ ก็ได้ กล้วยก็กล้วยสุกไม่ใช่กล้วยดิบ เมื่อเข้า
    ฌาน ๔ สบายใจถอยจิตออกมาถึงอุปจารสมาธิแล้วอธิษฐาน
    ตามที่ท่านบอกว่าน้ำตรงไหนที่ข้าพเจ้าเหยียบลงไป ขอน้ำ
    ตรงนั้นจงแข็งเหมือนดิน แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ เข้าปุ๊บเดียว
    ก็ถึง เมื่อออกจากฌาน ๔ แล้วก็ตั้งจิตอยู่ในอุปจารสมาธิ
    อธิษฐานใหม่ว่าน้ำที่ข้าพเจ้าเหยียบจงแข็ง เหยียบลง
    ตรงไหนตรงนั้นจงแข็ง

    แล้วหลวงพ่อปานก็มีบัญชาบอก เอ้า เดินได้ เพียงเท่านั้น
    ฉันก็เดินน้ำเล่นได้ตามสบาย หลวงพ่อปานบอกว่า
    ทรงกำลังใจไว้ให้ดีนะ ฉันจะกลับไปนอน แกเดิน
    ตามสบายเถอะ จะเดินสักกี่ชั่วโมงก็ได้ เท่านี้แหละ
    อภิญญาเป็นของไม่ยาก ฉันก็เดินเล่นทั้ง ๆ ที่อากาศ
    หนาว ตัวก็เปียก แต่จิตมันอยากนี่ ความครึ้มใจมันมี
    มันก็เลยไม่หนาว เดินอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ๆ
    มันก็ถึงตี ๔ กว่า ๆ เพราะเขาตีระฆัง ก็เกรงว่าพระ
    จะมาเห็นเข้า ก็เลยเลิกกลับมาที่นอน ผลัดผ้าผลัดผ่อน
    นุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิ เข้าเจริญพระกรรมฐาน
    ตามเวลาปกติ คืนนั้นเลยไม่ต้องได้นอนกัน

    เป็นอันว่าเรื่องการเจริญอภิญญาของฉันคือเดินน้ำ
    ก็หมดไป นี่ลูกหลานฟังไว้นะ เมื่อฟังแล้วก็จงจำว่า
    เรื่องของความอยากนี่มันไม่ใช่ของดี มันไม่มีอะไร
    จะดีหรอก ความอยากนอกรีตนอกรอยนี่นะไม่ดี
    เข้าใจว่าการเจริญอภิญญาดี ถ้ามันเป็นวิสัยของเรา
    เราได้ง่าย ๆ มันก็ดี ถ้ารู้สึกว่าจะได้ยากเราก็คิดว่า
    อภิญญานี่น่ะไม่ใช่อรหัตผล แล้วอภิญญาไม่ใช่พระโสดา
    สกิทาคา อนาคา อภิญญาก็คือโลกีย์ญาณ ถึงแม้ว่าจะได้
    สักเท่าไรก็ตามที จิตก็ยังตกอยู่ในอำนาจกิเลส ตัณหา
    อุปาทาน กรรม

    ถ้าหากว่าเราทำได้ยาก เราก็หาโอกาสแบบนี้ดีกว่า หาโอกาส
    ทำอย่างอื่น คือ เจริญวิปัสสนาญาณให้สามารถตัดสังโยชน์
    ๓ ประการ ได้เป็นพระโสดาบันแทน หรือว่าเป็นพระสกิทาคามี
    หรือเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ เอายังงั้นเลยดีกว่า นี่ทำ
    ยากนา ถ้าทำได้ง่าย ๆ คือเป็นวิสัยของเราละก็ทำเถอะ ไม่เป็นไร
    เพราะการได้อภิญญานี่เป็นการช่วยให้การบรรลุมรรคผลสำเร็จ
    ได้โดยง่าย ถ้าเราไม่เมาอภิญญา แต่ว่าเราได้อภิญญาแล้ว
    เมาอภิญญาอย่างท่านพระเทวทัตไม่ดีเหมือนกัน ชวนลงนรก
    เรื่องนี้ขอผ่านไปไม่มีอะไรหนัก นี่เล่าให้ฟังเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2014
  2. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    ในเมื่อคนติดในฤทธิ์เสียแล้ว พระอื่นแสดงฤทธิ์ไม่ได้ คนเขาก็ไม่เลื่อมใส แล้วคนที่ติดในฤทธิ์ทั้งหมดก็ไม่ต้องการบุญต้องการกุศล ต้องการอย่างเดียวคือให้พระแสดงฤทธิ์ให้ดู อย่างนี้ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะเสื่อม

    เรื่องของความอยากนี่มันไม่ใช่ของดี มันไม่มีอะไรจะดีหรอก ความอยากนอกรีตนอกรอยนี่นะไม่ดี เข้าใจว่าการเจริญอภิญญาดี ถ้ามันเป็นวิสัยของเรา เราได้ง่าย ๆ มันก็ดี ถ้ารู้สึกว่าจะได้ยากเราก็คิดว่าอภิญญานี่น่ะไม่ใช่อรหัตผล แล้วอภิญญาไม่ใช่พระโสดา สกิทาคา อนาคา อภิญญาก็คือโลกีย์ญาณ ถึงแม้ว่าจะได้สักเท่าไรก็ตามที จิตก็ยังตกอยู่ในอำนาจกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม

    ชอบในคำสอนที่หลวงพ่อปานและหลวงพ่อฤาษีได้กล่าวสอนไว้ ขอกราบในบารมีของท่านด้วยความเคารพศรัทธาอย่างสูงยิ่ง กราบอนุโทนา สาธุ
     
  3. Tewadhama

    Tewadhama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +188
    สาธุ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    SadhuDhamma1.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...