แชร์ผลการปฏิบัติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฐสิษฐ์929, 13 มิถุนายน 2014.

  1. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ใช่ครับคุณ ปุณฑ์ ถึงมีการรณรงค์ พุทธวจน กันแต่จะมีซักกี่คน ที่นำคำสอนพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติกันจริงๆ มีแต่คนบอกว่ายาก ฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอมีการรวบรวมเป็นหมวดๆ ก็หาข้อมูลได้ง่าย คนปฏิบัติใหม่ก็หาง่าย ไม่ต้องค้นพระไตรปิฏกกันเป็นตู้ๆ ใช้ตรวจสอบทางที่เราเดินอยู่ได้ ส่วนเรื่องการตีความไม่ว่าจะเป็น เรื่องปาฏิโมกข์เพียง ๑๕๐ ข้อ หรือศีลของพระอีกเป็นพันๆ ลองศึกษาดีๆครับจะรู้ความจริง ส่วนชาวบ้านอย่างเราอาศัย ธรรม อาศัยศีล 5 ก็เพียงพอสำหรับการบรรลุธรรมขั้นต้นครับ เลยอยากให้มองข้ามจุดย่อยไป ต้องยอมรับว่า ทุกคนทำผิดกันได้ เข้าใจผิดกันได้ ตีความผิดกันได้ แต่เราควรไปมองที่จุดประสงค์ที่เค้าได้สร้างประโยชน์ให้กับพระศาสนาดีกว่าครับ คิดเห็นประมาณนี่ครับคุณปุณฑ์
     
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คิดในแง่บวกก็ดีอยู่
    ..
    ส่วนเรา เลือกครูบาอาจารย์เหมือนกัน
    สมัยก่อนต้องหาซื้อหนังสือนะ
    แต่สมัยนี้ ทุกครั้งที่สืบค้นหาธรรมะ จากเว็บธรรมะหลายๆเว็บ
    ไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฏก คำสอนครูบาอาจารย์ ได้แต่ขอบคุณที่ทางเว็บได้ทำการเผยแพร่ธรรมะ
    ขอบคุณครูบาอาจารย์ ที่ยังคงพระไตรปิฏก ถ่ายทอดมา ให้ได้ศึกษาอยู่
    รวมถึงเว็บอภิธรรม ที่นำมาแจกแจงบรรยาย เพื่อให้คนอย่างเราได้ศึกษากับเขาบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2014
  3. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คุณ ปุณฑ์ ครับ จริงๆผมไม่ได้มองในแง่บวกครับ แต่ผมมองเป็นกลางมากกว่า ไม่ว่าพระสงฆ์องค์ไหน จะเป็นพระอริยะหรือไม่ หรือจะเป็นแค่พระธรรมดาบวชมาตามประเพณี ผมยังให้ความเคารพเลยครับ เพราะท่านเป็นผู้สืบทอดศาสนา หรือแม้แต่พระทุศีลนี่ผมยังมองว่าธรรมดาเลยนะครับ หรืออย่างกรณีน้องแก้ม และนายวันชัย ผมยังมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผมบอกอย่างนี้จะมีคนด่าเอาได้ แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างอาศัยเหตุปัจจัย ต่อเนื่องกันจึงเกิดผลในปัจจุบัน และผลในปัจจุบันก็จะส่งให้ให้เกิดการกระทำซึ่งเป็นเหตุ และจะส่งผลสืบเนืองกันอย่างนี้ไม่หยุด จะเข้าใจทุกอย่างในโลกมันมีเหตุจึงมีผลอย่างนี้ ที่บอกได้อย่างนี้ก็เพราะการเข้าเห็นจิตของผมเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าจิตของนายวันชัยเลย เพียงแต่เหตุปัจจัยรอบด้านไม่พร้อม และมีสติคอยคุมอยู่ จึงไม่เกิดส่งผลเป็นพฤติกรรม และจิตของทุกคนก็ไม่ต่างจากนี้ มีจิตที่เลวอยู่ แว๊บเข้ามา แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเข้าไปเห็นกันหรือไม่ ฉะนั้นเราไม่เข้าไปยุ่งกับกรรมของผู้อื่น สังเกตุจิตเราตอนดูข่าวต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นข่าวพระสงฆ์เสพเมถุน ข่าวฆ่าข่มขืน ข่าวนักการเมืองโกงกิน เราจะเสพแค่ให้รู้แล้วมีสติเตือนใจตัวเองว่าถ้ามีเหตุปัจจัยให้เราทำเลว ให้เรามีโอกาสโกง เราจะมีสติยับยั้งไม่ก่อเป็นพฤติกรรม เพียงแค่นั้นพอไม่ไหลเข้าไปยินดียินร้าย กับสิ่งที่เกิดขึ้น แค่นี้ก็พอครับ ผมคิดเห็นประมาณนี้ครับ คุณ ปุณฑ์ ผิดถูกอย่างไรพิจารณาดูครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เห็นด้วยว่าถ้าเป็นคำสอน จะอยู่ประมาณ
    สติปัฏฐานสี่ อริยมรรคองค์แปด ศีล สมาธิ ปัญญา
    ตามคุณ ปุณฑ์ ว่ามานะแต่จริงๆ
    คุณ ปุณฑ์ เนี่ยจิตสามารถฝึกไปถึงขั้นมีฤิทธิได้นะ.
    และแนวความคิดรวมๆของคุณน้อง เคนชิโร่ ...
    ตามที่เคยเขียนบอกว่าแค่ ๗ บรรทัดนะ ๕๕๕๕..
    .แต่ว่าจะเข้าใจกิริยาต่างๆจริงๆหรือไม่อย่างไรเด่วมาว่ากันอีกที
    ยังไงก็เข้ามาเร็วหน่อย.มาซะตอนดึกเลย ไม่มี ราโอ หรอกแถวนี้ ๕๕๕....
     
  5. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คุณ nopphakan ครับ จริงๆผมไม่ได้ตามหา -- ราโอ -- หรอกครับ แต่ตามหา -- ยูเรีย -- ต่างหากครับ 555 คุณ nopphakan มีอะไรจะแนะนำ หรือ ถามเชิญได้เลยครับ เดี๋ยวผมออกไปปกป้องโลกก่อนครับ 555 เดี๋ยวกลับสนทนาต่อครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕ มา ๑๗ หน้ายังไม่เห็น ยูเรีย เลย..
    ไม่มีอะไรแนะนำหรอก แต่มีเรื่องมาถาม.ว่าเข้าใจอย่างไร
    จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้...

    ถามว่า..๑.กิริยาของความคิดที่เกิดจากจิต.
    ๒.กิริยาของขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ที่เป็นอารมย์

    ๓. กิริยาที่จิตเป็นกลาง.
    ๔.กิริยาจิตว่าง .
    ลักษณะที่เด่นๆของแต่ละกิริยาที่เรารู้สึกได้สัมผัสได้เป็นอย่างไร..
    .แค่นี้หละครับ..ไว้เจอกันหลังปกป้องโลกนะ
    ๕๕๕
     
  7. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ผมยังไม่เห็น ยูเรีย เลยครับ หลังจากที่เฝ้ามองหาในเว็บพลังจิตอยู่หลายวัน แต่อาจจะมีแง๊บๆ บ้างแล้ว

    จริงๆเข้าใจจุดประสงค์ของคุณ nopphakan ถามนะครับว่า ที่ผมร่ายตามกระทู้โน้นกระทู้นี้ เป็นแค่สิ่งที่ผมปฏิบัติมาเอง หรือว่า อ่านจากตำรา หรือ ฟังจากครูบาอาจารย์มากันแน่ งั้นคำถามทั้งหมดผมตอบด้วยการเล่าการปฏิบัติของผมเลยนะครับ ไหนๆกระทู้นี้ก็เป็นกระทู้แชร์ผลการปฏิบัติ

    การปฏิบัติของผมใช้ การใช้สติรู้ที่ลมหายใจ ผมปฏิบัติทุกเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ผมเอาสติมารู้ลมเข้า ลมออก ผมไม่เอาจิตไปไว้ที่ลมกระทบนะครับ แต่ทำความรู้สึกที่ลมกำลังเข้า กำลังออกไปเลย ไม่มีคำบริกรรมใดๆ ซึ่งเมื่อก่อนผมภาวนาพุท โธ โดยอาศัยดูลมที่กระทบว่าเข้า หรือ ออก วิธีนี้จิตไหลในความสงบ นิ่ง ดิ่งไป เป็นการเพ่งให้อยู่ในอารมณ์หนึ่ง ซึ่งพอปฏิบัติอานาปานสติจริงๆ ผมไม่ได้เอาจุดหมายที่ความนิ่ง แต่ผมจะเอาสติ โดยอาศัยลมเป็นเครื่องอยู่ให้สติเกาะ


    ผมแบ่งภาคปฏิบัติเป็น 2 นะครับ ผมเจริญอานาปานสติ ในชีวิตประจำวัน กับการนั่งสมาธิ ไม่เหมือนกันนะครับ
    ก่อนอื่นขออธิบายการเจริญ อานาปานสติในชีวิตประจำวันก่อนนะครับ


    ในชีวิตประจำวัน
    ผมหมั่นมารู้ที่ลมหายใจ เข้า ออก ในขณะที่ผมว่าง จากที่ตอนนั้นนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย ก็เอามารู้ที่ลมหายใจแทน สติที่มารู้ใหม่ๆพอมารู้ก็ตัวแข็ง เกร็งๆ เพราะความตั้งใจมากไป ไม่ไปตามวิถีจิตปกติ พอทำบ่อยๆเข้าก็เริ่มลดอาการที่จงใจ มารู้ลมหายใจ แต่รู้ 2-3 ครั้งนะครับ จิตจะเตลิดไปคิดเรื่องอื่นบ้าง ไปสนใจสิ่งรอบตัวบ้าง แต่ลมเริ่มเป็นปกติไม่บังคับลม รู้ไปตามจริงว่ามัน เข้า หรือ ออก พอปฏิบัติไปสติเริ่มทันเริ่มทันจิตที่อยู่กับลม เห็นจิตมันไหลไป คิด ไหลไปรับรู้ ทางตา ทางหู แล้วกลับมาที่ลมหายใจ ผมอาศัยลมหายใจเป็นที่เกาะ ให้จิตตั้งมั่น พอตั้งมั่นแล้วมันเห็น จิตที่ไหลไปได้ พอปฏิบัติไปซักพัก (ขอเล่าแบบรวบๆหน่อยนะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวยาวเกินไป) จิตที่ไปรู้ลมเริ่มไม่ตั้งมั่น เพราะมันจะดิ่ง ไปในความสงบ ผมเลยพิจารณาลมด้วยการสังเกตุลมหายใจ ว่าสั้นหรือยาว ตามคำของพระพุทธเจ้า พอเอาสติมาดูว่าลมสั้นหรือยาว จิตมันไม่ไหลไปรวมกับเป็นความสงบ แต่มันตั้งสแตนบาย ตั้งมั่น เห็นจิตที่ไหลไป จิตตรงนี้นั่นล่ะครับ จิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง ผมสังเกตุนะครับว่าสติที่เกิดตอนลืมตา มันตั้งมั่นดีกว่า ตรงนี้เรียกว่าเจริญมรรคอยู่นะครับ พักเล่าการปฏิบัติในชีวิตประจำวันไว้ก่อน


    การปฏิบัติตอนนั่งสมาธิ และก่อนนอน
    ผมปิดไฟในห้อง แล้วนั่งสมาธิ ผมไม่หลับตานะครับแต่อาศัยตามองต่ำลง พอหลับตาจิตมันจะดิ่ง เคล้มไป เลยอาศัยการมองต่ำเอา เพราะชินการดูลมหายในชีวิตประจำวันด้วย พอดูลมหายใจเข้า ออก ก็ใช้วิธีเหมือนในชีวิตประจำวัน ดูว่าเข้า ออก สั้น ยาว ดูๆไป ลมหายใจค่อยๆเบา แล้วก็หายไป แต่ผม ไม่ได้ไปให้ความสำคัญนะครับว่าจะเป็นฌานหรือไม่ แต่ยังกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจว่าเข้า ออก สั้นยาว ต่อไป พอจิตที่ตั้งมั่น คราวนี้จิตจะเข้าไปเห็นฐานต่างๆ จิตที่ตั้งมั่นผมผมกำหนดไปดูที่กาย เห็นมันเบาสงบ ระงับจากเวทนาต่างๆ ผมดึงสติกลับไปที่ลมเสมอ ผมไม่ไหลไปดูแช่อยู่ ผมหนดต่อรู้ว่าผมเป็นคนทำให้กายสงบ แล้วกลับมาอยู่ที่ลม นั่งไปพอเกิดปิติ เกิดสุข จิตก็เข้าไปรู้ การรู้ต่างๆนี้ วนเวียน อยู่อย่างนี้ ทุกครั้งที่เข้าไปรู้ จิตจะตั้งมั่นขึ้นทุกครั้ง จิตจะแยกเป็นผู้รู้ ผู้ถูกรู้ แต่ไม่ต้องไปให้ความสำคัญ กับผู้รู้ ผู้ถูกรู้นะครับ ตรงนี้ไม่ได้สำคัญ แต่สำคัญที่ความตั้งมั่น แล้วเห็นจิตที่ ที่เกิด ดับภายใน เกิด ดับ วนเวียนอยู่ภายใน เดี๋ยววิญญาณไปรู้ที่ลม(รูป) เดี๋ยวไปรู้ที่เวทนา เดี๋ยวไปรู้สัญญา เดี๋ยวไปรู้สังขาร เห็นในจิตวนเวียนอย่างนี้ครับ ขอพักเล่าตอนนั่งสมาธิไว้ก่อน


    กลับมาที่ชีวิตประจำวัน
    ผมอาศัยดูลมตามวิธีการที่อธิบายข้างต้น ดูลมหายใจว่า เข้าออก สั้น ยาว ไป ในขณะลืมตา ผมคิดว่าลองทำไม่ให้จิตเคลื่อนออกไปจากลม เพ่งเฉพาะอยู่ที่ลม ก็เห็นความคิดที่เกิดขึ้น เห็นซ้ำๆวนอยู่อย่างนี้ ระหว่างที่เห็นนี่เกิดปิติ เกิดความสุขขึ้นนะครับ แต่ผมไม่สนใจกับปิติ หรือสุขนั้นนะครับ จิตผมจดจ่อเห็น การเกิดดับ ของสิ่งที่ผมอยากบังคับมันให้อยู่กับลม แต่เห็นด้วยจิตว่ามันเป็นของไม่เที่ยง เกิดแล้วดับ เห็นอยู่ภายใน ไม่ได้คิดนะครับ จนจิตมันรวมยอด ถึงความไม่เที่ยง ของขันธ์5 สรุปเลยว่า ไม่มีตัวตน เป็นเพียงสภาวะกระทบกันภายใน ไม่มีตัวเรา อยู่ส่วนไหน มันทำงานของมันเอง แล้วก็มองออกเห็นภายนอก.................. ตรงนี้ละไว้ก่อนครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมอวดอุตริฯ



    สรุปเป็นว่าการปฏิบัติคร่าวๆของผมเป็นประมาณนี้ครับคุณ nopphakan ลองดูคำตอบในการปฏิบัติของผมดูครับ ตรงไหนไม่ละเอียดสามารถบอกให้ผมเล่าเสริมได้นะครับ พิมพ์แล้วมันยาว การเข้าไปเห็นผมไม่ได้เข้าไปเห็นอย่างละเอียดนะครับ ไม่รู้กริยาของมันว่ามันจะเคลื่อนหรือจะมีท่าทางอย่างไร และผมว่ามันไม่ได้จำเป็นเลย กับกริยาท่าทางต่างๆ สำคัญที่แกนหลักมัน น้อมจิตเข้าไปเห็น ขันธ์ 5 ในความเป็นไตรลักษณ์ได้หรือเปล่า นักปฏิบัติเอาเห็นแค่นี้ก็เห็นความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสได้แล้ว รู้ธรรมนี้ธรรมเดียวก็แตกธรรมะได้นับไม่ถ้วนแล้วครับ รู้ธรรมนี้ธรรมเดียวก็รู้ความจริงของธรรมชาติทั้งหมดทั่วโลกธาตุครับ คุณ nopphakan สงสัยตรงไหนถามได้เลยครับ ตรงไหนผมอธิบายคลุมเครืออยู่ แต่อยากรีบด่วนสรุปครับ ควรถามก่อนครับ เนื่องจากรีบพิมพ์ ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน ถ้าผมยังตอบผิดอีก ค่อยมาดูกันอีกทีครับว่าเป็นอย่างไร ผมขอถามคุณ nopphakan ถึงการปฏิบัติคุณ nopphakan ปฏิบัติอย่างไรอยู่ครับ มาแชร์ๆกัน อยากทราบครับ ขอบคุณครับ

    ขอตัวไปฝึกเพลงหมัดอุดรเทวะ ในความฝันก่อนนะครับ 555
     
  8. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    จริงๆดูแนวคิด และทิฐิผม ถ้า........น่าจะมองออกกันแล้วครับ เลยยังไม่เห็น ยูเรีย ซะทีครับ หรือ ยูเรีย อาจจะวนๆอยู่แถวนี้แต่ไม่แสดงตัวก็เป็นได้
     
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    พุทธะคือความว่างที่จิตอันไม่ใช่ตนไม่ใช่ตัว
    เพราะความเป็นพระพุทธเจ้า หรือ ความว่างที่จิตที่ไม่มีตัวมีตน
    ก็คือ พระเจ้านั่นเอง พระพุทธองค์ไม่ตรัสว่ามีพระเจ้า
    ก็เพราะพระศรีอาริย์ยังไม่มาตรัสรู้ เป็นพระพุทธะ

    <TABLE style="WIDTH: 100%" class=ecxMsoNormalTable border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8 1pt inset; BORDER-LEFT: #d4d0c8 1pt inset; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 4.5pt; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #d4d0c8 1pt inset; BORDER-RIGHT: #d4d0c8 1pt inset; PADDING-TOP: 4.5pt">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ฟุฑธทาส
    ขอถามท่านอาจารย์ Rawiphan ว่าท่านตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตตรัยเมื่อวันที่เท่าไหร่ครับ แล้วเวลาจะเข้าฌานออกฌานทำยังไงบ้างขอรับท่านอาจารย์<O:p</O:p

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เป็นวันคล้ายวันมาฆบูชา วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ

    กำหนดคำภาวนาพุธโท ปล่อยวางพุธโท

    เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อการทำอาสวะให้หมดสิ้นไปเป็นอภิญญา ข้อที่ ๖<O:p</O:p


    จิตจะรวมเร็วมาก ปุ๊บป๊ปถึงฌาน ๔ ยับยั้งจิตเป็นเครื่องอยู่ของจิต เมื่อพักจิตจนมีกำลังมากพอแล้ว ก็ค่อยถอนจิตออกเพื่อให้จิตสามารถคิดนึกเป็นการเจริญปัญญา ไปสู่อภิญญา ๖ วิชชาอาสวะขยญาณ
    เรื่องนี้สำคัญกว่า อภิญญา ๕ ทั้งหมด
    เมื่อจิตละเอียดขึ้น จะพบว่าการทรงฌานเวลากระทบกับรูปนาม อันเกี่ยวกับนิมิต ให้พิจารณา ให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    จนจิตเกิดนิพพิทาญาณขึ้น เพื่อให้ความเบื่อหน่ายเรื่องโลกีย์ถึงขั้นละทิ้งบ้านเรือนเลย



    <O:p</O:p
    ถ้าแก้อารมณ์ตรงนี้ได้ อาการที่เบื่อโลกจนจะลงแดงตายถ้าไม่ได้ออกบวช ก็ยังไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าดูให้จบขั้นตอนของความคิด จะพบรูปแบบใหม่
    ถึ่งบวชกึ่งบำเพ็ญไปนิพพานได้เช่นกัน โดยไม่ต้องทิ้งครอบครัว การงาน คู่ครอง เพื่อออกบวช<O:p</O:p

    สามารถบำเพ็ญธรรมปฏิบัติแบบวิถีกึ่งบวชกึ่งบำเพ็ญในการครองเรือน เมื่อญาณแห่งความเบื่อหน่ายได้เกิดขึ้นย่อมคลายความกำหนัด เพราะคลายกำหนัดในอารมณ์ที่น่ารักใคร่ จิตย่อมหลุดพ้น


    <O:p> </O:p>เมื่อพ้นแล้วจะรู้ด้วยญาณหยั้งรู้ ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ ความเป็นอย่างนี้มิได้มี

    หลังจากนั้นนจิตก็จะบริสุทธ์ขึ้น ตามกาลเวลา เหมือนน้ำทีผ่านชั้นกรองโดยซึมผ่านชั้นดินและชั้นหินต่าง ๆ เพราะไหลผ่านชั้นดินและชั้นหิน ซึ่งทำหน้าที่คล้ายการกรองน้ำธรรมชาติ จนจิตไร้สีไร้กลิ่น จิตบริสุทธิ์จนไร้รูปลักษณ์
    ไม่มีกิเลสเหลือในจิตแม้เพียงนิดเดียว

    ในที่สุดเจ้าพญาจิตราชขาดอารมณ์ที่เจือด้วยกิเลสที่เป็นอาหารจิตก็จะแห้งเฉาตายไปเอง พร้อมกับอวิชชาก็ดับสลาย

    พระโสดาบันแม้เป็นอริยเจ้าแล้วก็ตาม พระพุทธองค์ก็ยังตำหนิ

    ว่าพระโสดาบันมีปัญญาน้อย ปัญญาน้อยกว่าพระอริยเจ้าเบื้องสูง

    พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ 3 อย่าง แต่พระโสดาบันยังละกามไม่ได้
    กามในที่นี้เป็นกามที่เกิดจากสุขของสมาธิ

    ที่ติดเนื่องอยู่กับในองค์ฌานตามฐานที่ตนทำได้ จนจิตไม่อยากออกพิจารณาค้นคว้าภาคปัญญา พระโสดาบันยังต้องละสังโยชน์เบื้องสูง สังโยชน์ 5
    ติดในรูปฌาน กับ อรูปฌาน นี่เรียกกามสุข



    ถ้าละสังโยชน์ 10 ได้จึงจะเป็นพระอริยเจ้าขั้นสูงสุดในบวรพระพุทธศาสน<O:p</O:p

    พระอรหันต์อยู่ที่ไหน

    อย่าเที่ยวส่งจิตเอากายสังขารไปหาพระอรหันต์นอกตัวให้เสียเวลาอยู่ทำไม

    พระอรหันต์สถิตอยู่ในใจท่านทุกคน
    ที่เห็นพระไตรลักษณ์

    อย่าฟังข่าวฤา “พระอรหันต์อยู่ภาคเหนือ-พระอรหันต์อยู่ภาคอยู่ภาคใต้-พระอรหันต์อยู่ภาคออก-พระอรหันต์อยู่ภาคตก”

    อย่าพากันหาพระอรหันต์นอกตัวจงแสวงหาพระนิพานที่ใจท่าน


    เพราะมีผู้สอนผิด ว่าพระอรหันต์จะต้องตายภายในเจ็ดวัน<O:p</O:p
    ความจริงเมื่อท่านสำเร็จแล้วท่านมีสิทธ์เลือกได้ด้วยตัวท่านเอง จะบวชจนตายในผ้าเหลือง หรือ จะอยู่อย่างสามัญชนเป็นคนธรรมดาก็ได้เท่าที่อายุไขท่านยังไม่หมด<O:p</O:p

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2014
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    โอ้โห้.หนีไปฝึกวิชาอีกแระ..๕๕๕..ขอบคุณที่เขียนให้อ่านครับ
    คงยาวมากกว่าปกติธรรมดาแม้จะบอกคร่าวๆ ..ถือว่าเป็นการร่วมแชร์
    ประสบการณ์ครับ..ไม่ได้สนใจตรงจะผิดหรือว่าจะถูกอะไรหรอกครับ
    และ.เอาว่าส่วนตัวพอคาดคะเนได้คุณได้ครับจากความเห็นต่างๆที่ผ่านมา.
    เอาแค่ภาคอาปาฯอย่างที่คุณ บอก ก็พอครับไม่ต้องไปภาคสมาธิก็ได้ครับ.
    ภาคเกี่ยวกับสมาธิก็ลองอ่านๆที่ผมแนะไปในกระทู้ก็คาดคะเนเอาแล้วกันครับ
    ซึ่งตอนนี้ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องมาคุยกันครับ...

    ขออนุญาตยกมาอีกรอบ เพื่อว่าจะมองข้ามไป.
    ถามว่า..๑.กิริยาของความคิดที่เกิดจากจิต.
    ๒.กิริยาของขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ที่เป็นอารมย์

    ๓. กิริยาที่จิตเป็นกลาง.
    ๔.กิริยาจิตว่าง .

    ลักษณะที่เด่นๆของแต่ละกิริยาที่เรารู้สึกได้สัมผัสได้เป็นอย่างไร..
    ผมถามแค่นี้นะครับ ไม่ได้ถาม รูปร่าง หน้าตา การปรากฏของมัน...
    เพราะรู้ว่าคุณยังไม่เห็นในสมาธิระดับสูงแน่นอน
    เพราะไม่งั้นเรื่องพวกนี้มันจะง่ายมากสำหรับคุณ


    ผมก็จะถามแบบเดิมนั่นหละครับ.
    คุณควรจะตอบที่ผมถามให้ได้ก่อนครับ.
    ถ้าคุณคิดว่าปฏิบัติมาพอสมควรแล้ว..
    และอยากจะสนทนากันต่อนะครับ..
    ถ้าตอบได้.ผมถึงจะพอสนทนากับคุณต่อได้ครับ.
    เพราะว่าเห็นกิริยาทางจิตเหมือนๆกัน.
    คำตอบจะเป็นตัวบอกได้เองครับ ว่าสิ่งที่คุณเป็น
    และการปฏิบัติของคุณตอนนี้มันเป็นยังไง
    เพราะเล่าแนวทางปฏิบัติไปมันจะยาวเปล่าๆเสียเวลาครับ
    ไม่มีประโยชน์อะไรครับ ถ้าพื้นฐานยังไม่เข้าใจครับ...

    เอาพื้นๆที่ผมถามก็พอครับ..ลองตอบมาก่อน.
    .เพราะที่ผมถาม..เป็นพื้นฐานของคนที่เดินปัญญาจะต้องเจอกัน
    ทุกคนมีพื้นฐานมาจากอาปาฯทั้งนั้น..
    เพียงแต่ว่าจะสังเกตุเห็นได้หรือเปล่า..
    ไม่ต้องใช้กำลังสมาธิระดับสูง
    ก็เห็นและเข้าใจได้ครับ..
    ถ้าเข้าสมาธิสูงได้ยิ่งง่ายมากที่จะตอบ..

    คือ มีคำพูดหนึ่งของพระมีชื่อท่านหนึ่งท่านบอกไว้ว่า
    ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ไม่ต้องไปพูดเรื่องวิปัสสนา
    พอคุ้นๆไหมครับ...และถ้าตอบไม่ได้หรือไม่เข้าใจกิริยา
    อย่างที่ผมได้ถามไป..ผมตอบได้เลยว่าการปฏิบัติที่กำลัง
    ทำอยู่นี้ ยังไม่พ้นสภาวะอยู่ภายใต้ความคิดที่เกิดจากจิตที่มัน
    ปรุงร่วมกับจิตครับ..และปัญญาที่เกิดก็ไม่ใช่ปัญญาทางธรรม
    จริงๆที่สามารถลดละกิเลสให้ออกจากจิตได้ชั่วคราว มันเพียง
    ระลึกรู้ทันและเอามันลงได้เฉยๆจากสิ่งที่เคยได้ยิน ได้ฟัง
    ได้อ่านมา แต่จิตมันยังคลายออกจริงๆอย่างที่คุณพยายามเขียนให้ฟัง
    สำคัญว่าจะยอมรับได้ไหม.กับสิ่งที่ได้บอกกล่าว..
    หรือว่าจะมั่นใจตัวเองต่อไปก็สุดแล้วแต่นะครับ
    และจะมองการถามนี้เป็นกุศลหรืออกุศลแค่นี้หละครับ.
    .
    ปล.อ่านให้ดีๆนะครับ หวังว่าจะพอเข้าใจเจตนานะครับ.
     
  11. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ถ้าไม้เข้าใจความหมายว่ากำลังจะคุยเรื่องความเห็นผิดคิดได้แค่นั้นก็ไม่ว่ากัน
     
  12. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    สงสัยคำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นสรณะของคุณจะมึแต่หลวงปู่หลวงตาเท่านั้น เพราคิดและเชื่อว่าเป็นพระอริยะทั้งๆตนเองไม่เคยที่จะอยู่ใกล้คบหา เพียงแต่ฟังตามๆกันมาผิดหลักธรรมซะงั้น
     
  13. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    อ่านบทความ ที่คุณnoppahkan บอกว่า ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ อย่าไปพูดถึงวิปัสนา..ไม่แนใจว่าที่ปฏิบัติมานี้ เป็นการแยกรูป แยกนามหรือไม่ ครับ

    สายที่เดินมาทางปัญญา จะมีสติระลึกรู้ เหมือนกับมีตัวที่เห็นกาย เห็นจิตของตนเอง(อารมณ์ที่มากระทบวิญญาณ หรืออายตนะทั้ง 6) เช่น เวลาที่มีสิ่งกระทบและจิตไปปรุง ทำให้ให้โกรธ โลภ หลง จะเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อเห็นแล้ว ก็ดับไป หรือสิ่งที่มากระทบอายตนะทั้ง6 แล้วจิตปรุงให้รู้สึกสบาย ไม่สบาย หรือเฉย ถ้ามีสติระลึกรู้ได้ทัน ก็ดับไป หากระลึกรู้ไม่ทัน สังขารก็ปรุงไปยาว มาระลึกรู้ในตอนหลังก็ดับไปเช่นกัน และสัญญาณในอดีตต่างๆที่ผุดขึ้นมาให้จิตระลึกรู้ได้อยู่บ่อยๆ ทั้งชอบใจ ไม่ชอบใจ กังวล รัก โลภ โกรธ หลง ฯลฯ เมื่อสติระลึกรู้ ก็ดับไปเช่นกัน หากระลึกรู้ไม่ทัน ก็จะปรุงไปสักระยะหนึ่ง เมื่อรู้ทันก็ดับไป ..(ความคิดหรือสังขาร จะเกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา เกิดจากอารมย์ที่มากระทบอายตนะ หรือเกิดจากสัญญาที่ผุดขึ้นมา แล้วจิตปรุงต่อไปยืดยาว หากไม่มีสติไประลึกรู้และตัดวงจร ของสังขารในส่วนนี้)

    แต่สติระลึกรู้ ไม่ใช่จะรู้ได้เร็ว ได้ทันตลอดไป ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิที่เป็นฐาน บางครั้งเหมือนเบลอๆ รู้อะไรไม่ชัด แสดงว่ากำลังสมาธิอ่อน ต้องเพิ่มรูปแบบในการปฏิบัติเข้าไป เช่นนั่งสมาธิ เดินจงกรม (สมถะ) เพื่อเพิ่มกำลังจิต...

    สติระลึกรู้ ดีอย่างไร ? มีประโยชน์ อย่างไร?..

    ทำให้เห็นไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน ยิ่งมีกำลังสติระลึกรู้ได้บ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นมากขึ้นเท่านั้น เกิด ดับ ๆ ๆๆ สืบเนื่องกันไป รับรู้ได้ตามกำลังของสมาธิ..จนเมื่อสติเกิดขึ้นถี่ยิบและต่อเนื่องกันได้แล้ว หรือที่เรียกว่ามหาสติ.. กิเลสต่างๆ(โลภ โกรธ หลง)จะไม่สามารถปรุงย้อมจิตได้..และเชื่อว่าเมื่อปฏิบัติต่อๆไป สะสมปัญญาไปเรื่อยๆ จนจิตมีปัญญามากเข้า จนจิตประจักษ์ถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน (อาจจะเห็นในมุมใดมุมหนึ่งจนแจ้ง ตามจริตตนก็ได้)..จะไปสู่มรรคผล นิพพาน ต่อไป

    ปัจจุบันการปฏิบัติ ก็ยังไม่มีสติต่อเนื่อง(สติระลึกรู้) ยังขาดๆหายๆ ดีบ้างไม่ดีบ้างสลับกันไป เป้าหมายที่จะไปให้ถึงคือสติระลึกรู้ที่ต่อเนื่อง .ขอแชร์การปฏิบัติในด้านนี้ ถูกผิดอย่างไร ก็ชี้แนะได้ครับ..

    เขียนตามความรู้และความเข้าใจของตนเอง อาจจะสื่อไม่ถูกต้องตามบัญญัติ หากผิดหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ก็ขออภัยด้วยครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2014
  14. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ตามที่อ่านในโพส คุณ nopphakan นะครับ ผิดตรงไหนคุณ nopphakan แนะนำได้เลยครับ ส่วนคำถามเป็นเรื่องของภาษาแล้วครับ งั้นให้คุณ nopphakan เคลียร์คำถามก่อนนะครับ ว่าคำว่า --- กิริยา --- ในความหมายของคุณ nopphakan หมายความว่าอย่างไรอ่านแล้วงงๆครับ แปลว่า --- ท่าทาง --- หรือแปลว่า --- ลักษณะ --- หรือแปลว่า --- ปฏิกริยา--- หรือแปลว่า --- อากัปกริยา --- หรือแปลว่า --- การเคลื่อน --- ??? รบกวนช่วยบอกด้วยครับ


    ตอบคุณ nopphakan ครับ
    1.กิริยาของความคิดที่เกิดจากจิต (ผมตีความหมายของคำว่ากริยาว่า -- ลักษณะ-- นะครับ)
    ตอบ ผมรู้สึกว่าความคิดมันผุดขึ้น เดี๋ยวผุดขึ้นมาเป็น เรื่องในอดีต เรื่องอนาคต ประมาณนี้ครับ

    2.กิริยาของขันธ์ 5 ส่วนนามธรรมที่เป็นอารมณ์ (ผมตีความหมายของคำว่ากริยาว่า -- ลักษณะ-- นะครับ)
    ตอบ ไม่รู้นะความหมายเดียวกันไหม ผมเห็นแต่ว่าจิต(วิญญาณขันธ์) เข้าไปตั้งอยู่ เข้าไปรู้ ใน ขันธ์ทั้ง4 ที่เหลือ วนรู้อยู่แค่นี้ล่ะครับ

    3.กิริยาที่จิตเป็นกลาง (ผมตีความหมายของคำว่ากริยาว่า -- ลักษณะ-- นะครับ)
    ตอบ ที่จริงมีในโพสแล้วนะครับ แต่ไม่รู้ความหมายเดียวกันหรือไม่ เป็นลักษณะไม่ยินดียินร้าย ตั้งมั่นอยู่ พร้อมจะเห็นสภาวะที่เป็นจริงภายใน

    4.กิริยาของจิตว่าง (ตรงนี้ผมไม่ทราบว่า ที่ว่า ว่าง ว่างจากอะไรช่วยอธิบายในคำถามอีกทีครับ)
    ตอบ ผมไม่เห็นว่าจิตว่างครับ เห็นมันเกิด มันดับ ต่อเนื่องกันไป เดี๋ยวไปเกิดตรงนี้ แล้วก็ดับ ไปเกิดตรงโน้น แล้วก็ดับ ต่อเนื่องกันไป



    ตอบประมาณนี้ครับ ยังไงช่วยอธิบายคำถามอีกซักครั้งนะครับ จะได้อธิบายเพิ่มเติมได้ครับ ถูกผิดว่ากันอีกทีครับ แต่ก่อนอื่นขอถามคุณ nopphakan (ขอปล่อยหมัดอุดรเทวะบ้างครับ 555)


    1. ก่อนที่คุณ nopphakan ถามผมต่อ ผมขอถามบ้างนะครับว่า การรู้กิริยาของจิตเพื่ออะไรครับ จำเป็นหรือไม่ครับ ในการถึงนิพพาน แล้วจำเป็นอย่างไร ?

    2. ต้องถามคุณ nopphakan รู้จักการเดินปัญญาๆ การวิปัสสนาจริงๆหรือเปล่าครับ คนที่ถามต้องรู้คำตอบก่อนนะครับ ไม่ใช่การรู้ผิดๆ แล้วถามพอไม่ได้คำตอบตรงกับตน จะบอกว่าคำตอบนั้นผิด

    3. จริงๆถ้าคุณ nopphakan รู้ความหมายของวิปัสสนา และการเดินปัญญา อย่างว่าจริง ในการปฏิบัติที่ผมโพสไว้ใน #332 ก็จะมองออกแล้วว่าส่วนไหนสมถะ ส่วนไหนวิปัสสนา คุณ nopphakan เห็นหรือไม่ครับ

    4. การเจริญปัญญาหรือ วิปัสสนา คุณ nopphakan คิดว่าทำไปเอาอะไรครับ ทำไปเพื่อรู้นั่นรู้นี่ รู้กิริยาจิต รู้เจตสิก หรือไม่ครับ

    5. หลวงพ่อปราโมทย์กล่าวเรื่องแยกรูปแยกนาม ในโพส #332 คุณ nopphakan เห็นการแยกรูปแยกนามในโพสนั่นหรือไม่ครับ

    6. ในโพส #332 ส่วนไหนครับที่คุณ nopphakan คิดว่ายังไม่พ้นสภาวะที่อยู่ภายใต้ความคิดครับ ช่วยหยิบออกมาให้ดูด้วยครับ

    7. ที่กล่าวว่า อานาปานสติ ทุกคนมีพื้นฐานอยู่ แล้วทำไมบางคน ปฏิบัติมาเป็น 30-40 ปี ทำไมยังไม่เห็นธรรมซะทีล่ะครับ ถ้างั้นอานาปานสติเป็นกรรมฐานที่เป็นพื้นฐานง่ายๆตาม คุณ nopphakan ว่าไว้ งั้นช่วยอธิบายอานาปานสติทั้ง 16 ขั้นได้ไหมครับ แบบที่ปฏิบัตินะครับ ตอบว่าได้หรือไม่ได้ก็พอครับ ถ้าได้เดี๋ยวผมถามแยกไปในข้อต่อไป เดี๋ยวจะยาวไปครับ

    8. ข้อสุดท้ายนะครับ. คุณ nopphakan ทำไมกล้ายืนยันล่ะครับว่า ไม่ใช่ปัญญาทางธรรม ที่สามารถกิเลสตัดสังโยชน์ได้ หรือคุณ nopphakan เกิดปัญญาดังกล่าวแล้ว ฉะนั้นขอถามถึง ขณะบรรลุธรรม(ขณะเกิดปัญญา) ว่าเป็นอย่างไร และสังโยชน์ขาดตอนไหน ที่ผมต้องถามเพราะยังไม่เห็นใครจริงเลยซักคน ได้แต่ใช้ทิฐิของตนตัดสิน ถ้าปฏิบัติเหมือนตนใช่ ถ้าไม่เหมือนก็ไม่ใช่ ถ้าเป็นผมเองถ้าตนเองไม่รู้จะไม่ตัดสินใครนะครับ

    จบคำถามครับ



    คำถามที่ถาม คุณ nopphakan ทั้งหมดจริงๆ ออกมาจากสิ่งที่คุณ nopphakan โพสไว้ใน #335 ครับ ส่วนคำถามที่ผมถามไปถ้าคุณ nopphakan ไปนั้นถ้า ............????.............. เช่นเดียวกันกับผม ก็จะตอบไม่ยากเลยครับ และผมกล้าพูดเลยครับ ถ้าอ่าน ถ้าระดับพระอริยะอ่าน ทิฐิของผมใน # 328 น่าจะทราบแล้วว่าเป็นอย่างไร ของอย่างนี้ไม่ต้องแม้ไม่ต้องถึงการแสดงปฏิปทา แค่เห็นทิฐิก็รู้แล้วครับ


    คำถามที่ผมถามไป ขอคำตอบเป็นข้อๆก็ดีครับ รวบกวนด้วยครับ ส่วนคำถามของคุณ nopphakan คำถามเดิมขออธิบายอีกทีครับ หรือ จะเปลี่ยนตามใจคุณ nopphakan เลยครับขอคำถามที่ ใช้ภาษาเข้าใจง่ายๆด้วย แบบไม่ต้องตีความภาษาอีกทีครับ เป็นภาษาที่พูดกันก็ได้ครับ ภาษามันสมมุติอยู่แล้วครับ เอาแบบอ่านแล้วถ้ารู้ ก็ตอบได้เลยครับ ถามได้แบบไม่จำกัดข้อเลยนะครับ ขอบคุณครับ


    ถ้าตอบคำถามผมได้ ไม่แน่ผมจะได้เจอ ราโอ ก็ได้ครับ 555 ผมยังมีคำถามอีกมากมาย รอถามคุณ nopphakan อยู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2014
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เรื่องของคุณน่ะเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับคุณทั้หมด..
    แต่เรื่องของคนอื่นเข้ามาติงตั้งแต่แรกเพราะเริ่มเห็นความไม่งาม นี่คุณเข้าใจหรือเปล่าล่ะ ศีลข้อสี่นี่ครอบคลุมอะไรบ้าง.. ศีลเป็นเครื่องหมายของผลการปฏิบัติใช่ไหม คนมองออกนี่เขาเห็นศีลของเราและเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นเขาเห็นตัวเราด้วยใช่ไหม? พระอริยะควรมองศีลของตัวเองออกมากกว่าใครมิใช่หรือ..

    รู้ไปหมดเนอะ รู้ไหมว่าเราไปที่ไหนบ้าง ถึงจะไม่ขยันปฏิบัตินักแต่ก็ไม่ทิ้ง..สายปู่ชาน่ะต่างประเทศเราก็ไป.. สายท่านกฤษณะมูรติก็ยังได้ไปเยี่ยมสถานที่...ทั้งยังโชคดีได้ไปเจอท่านนัชฮันท์(อีกประเทศ) สายเซนในไทยเราก็ยังมีโอกาสได้ทำความรู้จักท่านธีรทาสตอนอยู่กรุงเทพฯได้ไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ ทั้งสายท่านพุทธทาส และสายหลวงพ่อเทียน..ก็ได้ไปลองปฏิบัติมา.. หลวงปู่มั่นพบท่านทางสมาธิ...ไม่ดีตรงที่ตัวเองขยันน้อยปฏิบัติน้อยเท่านั้นแหละ..
    ไม่เหมือนอาจารย์คุณมาทางสายพระป่า กลับเทกระจาดสายพระป่าซะงั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2014
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ของคุณ ลุงไซย นะครับแม้ว่าจะบอกหลักสังเกตุของความคิดที่เกิดจากจิตหรือความคิดที่เกิด
    จากขันธ์ ๕ นามธรรมไม่ได้..แต่ว่าเป็นลักษณะของจิตได้เจริญสติมา
    จนมีกำลังสติทางธรรมขึ้นมาแล้วครับ..
    และจิตก็ได้เดินปัญญามาได้แล้วในระดับหนึ่งครับ.
    ไม่งั้นจะไม่เข้าใจวิธีการต่างๆอย่างที่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด
    และไม่รู้สามารถรู้ได้ว่าสติตนเองไม่ต่อเนื่องอย่างนี้ได้
    รวมทั้งรู้เป้าหมายที่จะเดินทางต่อไปได้อย่างนี้ครับ..
    อีกทั้งกิริยาทางจิตที่เกิดและถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดมันฟ้องครับ
    ว่ากำลังเดินปัญญาอยู่ครับ..คือถ้ามาประมาณนี้ ถือว่าเป็นการแชร์
    ประสบการณ์ที่ดีมากครับ...ส่วนตัวก็ต้องขอโมทนาด้วยครับ..
    ถ้าให้เล่าให้ฟังนะครับ.ถ้าจิตจะเห็นไตรลักษณะได้เร็วในกำลัง
    สมาธิระดับนี้นอกจากที่คุณ ลุงไซย อธิบายมานะครับ..
    .มันจะเกิดหลังจากช่วงที่จิตเข้าสู่สภาวะเป็นกลางได้ก่อนในเบื้องต้น
    ลองๆนึกภาพตามนะครับ...มันจะมีช่วงหนึ่งหลังจากที่คุณ ลุงไซย
    เห็นพวกความคิดที่มันผุดขึ้นมาที่เป็นสัญญาในอดีต.หลังจากที่เราพอรู้ทัน
    มันแล้วและเราก็ได้มันไปนั้น(ซึ่งทันบ้างไม่ทันบ้างเรื่องปกติ)
    .และถ้าดับมันได้และต่อมาเราเฉยๆอยู่ อาการคล้ายนิ่งๆแบบเราไม่รู้ตัวจริงๆคือ
    จิตมันกำลังเข้าสู่สภาวะเป็นกลาง คือ ไม่มีความคิดจากจิต
    ไม่มีความคิดพวกสัญญาที่ผุดขึ้นมา
    พอซักพักหนึ่งลองสังเกตุดูครับ ที่ว่าแล้วจู่ๆเราก็อ่อขึ้นมาแบบ
    ไม่ทราบสาเหตุนั่นหละครับ..
    ตัวนี้เป็นปัญญาทางธรรมที่ได้มาจากการที่กำลังสติทางธรรมเราทำหน้าที่
    ควบคุมจิตให้ว่างรับรู้นั่นหละครับ
    (คือมันแยกส่วนของมันและทำหน้าที่ของ
    มันเองภายในร่างกายเรานี้หละครับ
    ที่พูดคือกิริยาที่เกิดทางกายในกำลังสมาธิระดับนี้นะครับ)

    ..และถ้าจิตวางเรื่องนั้นได้เด็ดขาดจริงๆ.ซึ่งจะนานๆจะเกิดที.
    จิตจะเข้าสู่สภาวะจิตว่างซึ่งจะมีกิริยาทางกายเกิดขึ้นพิเศษๆหลายๆอย่าง
    ที่จะบอกได้ว่าไม่ใช่แค่จิตสงบหรือเป็นปิติครับ....และส่วนถ้า
    หลังจากผ่านช่วงที่เราเคยอ่อๆมาแล้ว.และเจอเรื่องสัญญาทำนองเดียวกัน
    ขึ้นมาอีก ซ้ำแล้วซ้ำเหล่า จิตถึงจะเข้าสู่การเห็นไตรลักษณ์เพียงเรื่องใด
    เรื่องหนึ่งครับ.เพราะจิตจะเห็นว่าสัญญาที่ผุดขึ้นมานั้น เป็นเรื่องไร้สาระ
    เป็นสาเหตุแห่งทุกข์.มันเลยน้อมไปไตรลักษณ์เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
    หลักสังเกตุคือ พยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก หรือเกิดเหตุการณ์ต่างๆ
    ทางโลกที่โน้มไปทางเรื่องที่จิตเห็นไตรลักษณ์ได้แล้ว.จะไม่มีแม้แต่
    การส่งออกและรับเข้ามาทางอายตนะต่างๆจากจิต.
    หรือแม้กระทั่งสัมผัสได้ทางอายตนะใดๆก็ไม่มี
    แม้มีขึ้นมาสำหรับบุคคลที่เหลือเพียงส่วนละเอียด
    แต่ก็วางได้เพียวแค่เสี้ยววินาทีเร็วมากจนเราไม่รู้ตัวและที่
    สำคัญคือไม่ปฏิกิริยาใดๆเกิดขึ้นกับจิตที่ทำให้เกิดความรู้สึกทาง
    อารมย์ใดๆได้นั่นเองครับ....

    ปล.ไม่ทราบว่าพอจะจับหลักสังเกตุเพิ่มเติมที่เล่าให้ฟังได้ไหมครับ..
    .
     
  17. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คุณ nopphakan ครับ ในโพส # 341 ที่ตอบคุณ ลุงไชย ทำไมใช้การดูคนโดยผ่านการถ่ายทอดล่ะครับ แต่พอผมเอาภาษาเป็นทางการมาถ่ายทอดกลับบอกว่า อ่านมาฟังมา ผมเลยพยายามเลี่ยงใช้ภาษาแบบบอกเล่าแทน คุณ nopphakan ลองจับใจความดูหรือยังครับว่า ในโพสของลุงไชย แตกต่างกับผมอย่างไร อีกคนบอกดีมาก อีกคนบอกเพิ่งเริ่ม ตรงนี้ถ้าคนมองออกจะรู้ว่า ต่างกันแค่พยัญชนะ คุณ nopphakan เท่าที่อ่านๆดู ผมยังไม่เห็น การแนะนำที่ควรเน้นจุดสำคัญ แต่เน้นสิ่งที่ไม่เป็นสาระอยู่เลยครับ จะสอนให้คนติดรายละเอียดหรือครับ ในที่สุดก็ทิ้งมันอยู่ดี คุณ nopphakan เห็นด้วยไหมครับ
     
  18. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    อนุโมทนาครับ พึงระวังตอนมันไหลลงครับ
     
  19. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ...ว่าจะตอบแบบงงๆ คุณนพดันเฉลยมาก่อน 555 พอเข้าใจค่ะ (จะเอาไว้ดูใจตัวเอง ทำให้ทัน...ทำให้วาง...). ว่าแต่ เวลามันวางได้ นี่ดีจริงๆนะคะ
    ขอบคุณมากค่ะ
    ปล.แตกจนได้ ที่ตั่งใจไว้ว่าจะทำ..555
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    สุดแล้วแต่จะเข้าใจครับ คุณ เคนชิโร่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรหรอกครับ.
    ยังไงปลายทางเดียวกันอยู่แล้วครับ..ส่วนใครจะเดินอย่างไรหรือเข้าใจได้อย่างไร
    ส่วนตัวมองว่า.ถ้ายังอยู่ในเส้นทางอยู่ หรือว่ายังทำความดีอยู่ ก็ถือว่าดีหมดครับ
    เพราะยังไงๆ..เราก็ยังถือว่าต้องเป็นผู้เรียนรู้อยู่เหมือนๆกันทั้งนั้นครับ

    ปล.ประมาณนี้ครับ หวังว่าจะพอเข้าใจนะครับ
    ..;)
     

แชร์หน้านี้

Loading...