นครใต้พิภพดินแดนใต้โลก เรียกว่า อการ์ธาร์--Agharta

นครใต้พิภพดินแดนใต้โลก เรียกขานว่า อการ์ธาร์--Agharta -มีแหล่งเก็บยานต่างๆ ตลอดจนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เชื่อว่าหายสาบสูญไปแล้ว มีทางลงจากขุมสมบัติพระศุลี-King Solomon มีเผ่าเดโร ซึ่งเชื่อว่าเป็นต่างดาวที่ไม่เจริญ โขมยจานบินเขามาใช้ มีทางลงมาจากหลายทวีปในโลก ได้มีหลายคนเคยลงมาในเมืองบาดาลเหล่านี้ แม้แต่พระเยซู และ จูลส์เวิร์นได้แต่งเป็นนวนิยายไว้ จนหนังหลายเรื่องได้นำมาสร้างในรูปแบบที่คล้ายกัน เช่น มีธารลาวา เห็ดรายักษ์ ทะเลกว้างและฝูงปลาที่ดุร้าย
บางกระแส บอกว่าทางจีนก็เรียกนครใต้โลกว่า เชียงกรีล่า
แนวคิดดั้งเดิมของเรา คือโลกมีเปลือกนอกที่แข็ง ถัดลงไปจะมีชั้นหินที่หลอมเหลวอยู่ ลึกสุดคือแกนของโลก เป็นโลหะแข็งจำพวกเหล็กและนิเกิ้ล ความคิดเรื่องโลกกลวงมีสามแบบ แบบที่หนึ่งมีเปลือกซ้อนกันสี่ชั้น ชั้นในสุดเรียกว่า นครชัมบาลลาห์ ซึ่งมีเล่าขานมานานนับพันปี ทุกวันนี้ก็มีคนกล่าวถึงอยู่เสมอ แบบที่สองโลกกลวงมีรูเข้าออกได้ที่ขั้วโลกเหนือและใต้ แบบที่สามกลวงและมีดวงอาทิตย์อยู่ข้างใน

ปริศนาทฤษฎีโลกกลวง อาณาจักรลับแลใต้พิภพ
หากย้อนเวลานั่งไทม์แมชชีนกลับไป ในช่วงเวลาประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เราคงได้เห็นการใช้ชีวิต ที่อยู่ภายใต้แนวคิดที่เชื่อว่าโลกของเราแบน หากเดินทางไปจนสุดขอบโลก มนุษย์จะต้องตกลงไป ดังเรือเดินสมุทรมากมายที่เมื่อเดินทางออกไปในระยะทางไกลที่ต้องลับหายไปจาก ขอบฟ้า ซึ่งแนวคิดนี้ได้สืบทอดมาอย่างยาวนานด้วยหลากหลายเงื่อนไข

จนกระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจที่กบฏต่อความคิดของคนส่วนใหญ่ในขณะนั้น ต่าง ได้พยายามพิสูจน์ว่าโลก ไม่ได้แบนเป็นแผ่น ขนมเปี๊ยะ แต่มีรูปร่างกลมและสามารถเดินทางเวียนรอบโลกได้หากเก่งกล้าพอ และคนที่กล้าพอ ก็เกิดขึ้น จากหนึ่งคนเป็นสอง จนสุดท้ายคนทั้งโลกก็ต้องยอมรับว่าโลกของเรา “กลม”
แต่หากผมจะบอกว่า โลกของเรามิได้กลมเป็นลูกมะนาว แต่โลกของเรานั้นเหมือนลูกมะพร้าวที่ข้างในมีช่องว่างซึ่งสิ่งมีชีวิตสามารถเข้าไปอยู่ได้ คุณจะเชื่อหรือไม่...ถึงคุณจะไม่เชื่อ แต่ว่าแนวคิดนี้มีอยู่จริง...

ใครบอกว่าโลกแบน ใครบอกว่าโลกตัน
“Our Earth is hollow” พูดเป็นภาษาฝรั่งแบบน้ำเสียงตกใจได้ว่า โลกของเรานี่หรือมันกลวง ความเชื่อ นี้ไม่ใช่เป็นเพียงนิทานปรัมปรา เรื่องเล่า หรือเรื่องเพ้อฝัน เพราะความเชื่อเรื่อง โลกกลวง หรือ Earth hollow หรือSubterranean World คือแนวคิดที่เป็นทฤษฎีมานานหลายศตวรรษแล้ว โดยแผ่ความเชื่อและความลึกลับไปในหลายภูมิภาค ไม่เว้นความเชื่อในประเทศไทยเองก็เคยมีเรื่องราวของมนุษย์ลึกลับที่อยู่ในถ้ำใต้ดินหรือดินแดนลับแลต่าง ๆ

ความเชื่อว่าโลกกลวงนั้นคือ ความเชื่อของกลุ่มคนที่เชื่อว่าลึกลงไปใต้เปลือกโลกจะมีโพรง หรือช่องขนาดใหญ่ซึ่งมีดินแดนที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ โดยบ้างเชื่อว่าเป็นโลกซ้อนโลกและมีดวงอาทิตย์อยู่ภายใน
โดยความเชื่อที่ถือกันว่ามีการเผยแพร่ความเชื่อ และทฤษฎีในทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกคือในปี 1692 โดยนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงด้านดาราศาสตร์ชื่อว่า เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ (Edmund Halley)

ฮัลเลย์กับทฤษฎีโลกกลวง
ฮัลเลย์ เป็นคนแรกที่เชื่ออย่างปักใจว่า โลกของเรานั้นลึกลับกว่าที่มองเห็น เขาอธิบายทฤษฎีที่ลึกลับนี้ ว่า โลกกลวง โดยอธิบายไว้ว่าโลกมีโพรงหรือพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ภายใน อัลเลย์ได้สรุปแล้วแบ่งทฤษฎีสัณฐานของโลกเป็น 4 ชั้น ซึ่งเชื่อว่าสัณฐานของโลกมีเปลือกโลกกั้นด้วยชั้นแรกหนา 800 กิโลเมตรไมล์ หลังจากชั้นนี้ก็จะเป็นพื้นที่โล่งกลวงและชั้นต่าง ๆ แนวความคิดนี้เริ่มจากความสงสัยในขั้วแม่เหล็กโลก จึงเชื่อว่าภายใต้โพรงยักษ์นั้นประกอบด้วยขั้วแม่เหล็กหลายขั้วด้วยกัน เสมือนมีโลกอีกใบซ้อนอยู่ซึ่งหมุนด้วยความเร็วที่ต่างกัน

หลักการที่เป็นแบบแผนอันน่าประหลาดในแบบของฮัลเลย์ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยการคาดเดาของเขา โดยเชื่อว่ากลุ่มก๊าซที่พุ่งในปรากฏการณ์ Aurora Borealis หรือ แสงเหนือแสงใต้ ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ คือสิ่งที่เกิดมาจากโลกซ้อนโลกที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พื้นพิภพนั่นเอง

https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=4jkwqwOepOg

พระอาทิตย์มีสองดวง
ดา แคมป์ และ เลย์ สองนักสำรวจที่มีบทบาทมากกลุ่มแรกที่เสนอทฤษฎีโลกกลวง โดยพวกเขาได้เสนอต่อเซอร์ จอห์น เลสซี นักคณิตศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ว่าโครงสร้างของโลกกลวงนั้นภายในจะมีดวงอาทิตย์ 2 ดวง มีชื่อว่า พลูโตและโปรเซ็ปไพน์ ซึ่งการเสนอในครั้งนี้ทำให้ จอห์น เลสซี ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อในทฤษฎีโลกกลวงคนแรก ๆ ในช่วงศตวรรษที่ 18

ปี 1818 จอห์น เคลเวส ซิมเมส จูเนียร์ (Cleves Symmes Jr.) เชื่อว่าโลกกลวงจะอยู่ภายใต้พื้นดินที่ความลึก 1,300 กิโลเมตร โดยมีช่องทางเขากว้างถึง 2,300 กิโลเมตร ที่บริเวณขั้วโลกทั้ง 2 ด้าน และโลกกลวงมีสัณฐาน 4 ชั้น เช่นเดียวกับที่ฮัลเลย์เคยเสนอ ซึ่งนับเป็นบุคคลที่เสนอความเชื่อในทฤษฎีโลกกลวงที่มีชื่อเสียงมากในช่วงเริ่มต้นศตวรรษที่ 18 นี้ เพราะนอกจากเสนอข้อสันนิษฐานแล้วเขายังเป็นแรกกระตุ้นให้เกิดการสำรวจช่องทางเข้า แต่ทว่าโครงการนี้ก็ถูกระงับไปโดยแอนดรูว์ แจ็กสัน (Andrew Jackson) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น และซิมเมสก็เสียชีวิตไปก่อนที่จะได้เดินทางสำรวจข้อสันนิษฐานของตนเอง
ภายหลังที่ ซิมเมส ได้เสียชีวิตลง ทฤษฎีของเขาก็ไม่ได้สูญสิ้นไปด้วย เพราะมีนักเขียนได้นำมารวบรวมเป็นทฤษฎีที่ชื่อว่า Symmes' Theory ซึ่งเป็นข้อเขียนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักสำรวจรุ่นหลังมากมาย

การเดินทางสู่โลกซ้อนโลก
หลังจากที่ยังไม่มีใครสามารถสำรวจไปถึงขั้วโลกเพื่อหาประตูสู่โลกภายในได้ เจเรไมห์ เรย์นอด์ส (Jeremiah Reynolds) ซึ่งเป็นนักข่าวผู้ติดตามความเชื่อเกี่ยวกับโลกกลวงมา ได้เขียนบทความและข้อเขียนถึงความเป็นไปได้ของทฤษฎีนี้ และด้วยความช่วยเหลือ จากรัฐบาลสหรัฐฯ เขาได้เปิดศักราชการค้นหาประตูสู่โลกกลวง โดยเดินทางสู่แอนตาร์กติกาในปี 1838 แต่ การเดินทางครั้งนี้ก็ล้มเหลวเช่นเคย เพราะทีมสำรวจไม่พบจุดที่เป็นช่องทางหรือประตูแต่อย่างใด

ปี 1846 มีการค้นพบบางสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่าโลกกลวงมีอยู่จริง โดยมีการค้นพบซากฟอสซิลช้างแมมอธ ที่มีความสมบูรณ์มากถูกแช่แข็งบริเวณไซบีเรีย โดย มาร์แชลล์ การ์ดเนอร์ (Marshall Gardner) ผู้ค้นพบซากแมมมอธเห็นด้วยกับทฤษฎีที่ว่า ภายในโลกมีพระอาทิตย์อีกดวง และเชื่อว่าช้างที่เขาค้นพบไม่ได้มาจากอดีตหรือยุคโบราณแต่อย่างใด เพราะความสมบูรณ์นี้ จึงทำให้เชื่อว่ามันตายไปเมื่อไม่นานนี่เอง และเขายังเชื่ออีกว่า สัตว์ต่าง ๆ ที่ว่าสูญพันธุ์ไปแล้วจากอดีตมันซ่อนตัวอยู่ในโลกกลวงนี้

ภายใต้พื้นพิภพมีผู้คนอาศัยอยู่
มีทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจและมีการกล่าวถึงอย่างมากคือ ทฤษฎีของดอกเตอร์ไซรัส รีด ทีด (Dr.Cyrus Read Teed) ทฤษฎีนี้เกิดจากคาดการณ์และสันนิษฐาน ที่เชื่อว่าภายในโลกอันกลวงนี้มีช่องว่างที่อำนวยต่อ การอาศัย มีคนอาศัยอยู่ และมีพระอาทิตย์ที่มีลักษณะแสงสว่างครึ่งลูก โดยโคจรหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดช่วงเวลากลางวัน-กลางคืน กับชั้นบรรยากาศที่ถูกปิดทับโดยพื้นผิวโลกทำให้มันถูกซุกซ่อนจากผู้คนบนโลกได้ ที่น่าทึ่งกว่านั้นแบบจำลองสัณฐานของเขาที่เขียนขึ้น ไม่มีใครสามารถคิดค้นหาแนวคิดมาหักล้างหรือพิสูจน์ได้ว่ามันไม่จริง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการกล่าวถึงอาวุธโดยนักเขียนชื่อว่า อีเนส ซูนเดล (Ernst Zundel) และการทำสงครามของลิตเลอร์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ โลกซ้อน โดยกล่าวว่าฝ่ายนาซีมีการใช้อาวุธและยานพาหนะลึกลับที่เชื่อกันว่าเชื่อมโยงกับยูเอฟโอ ซึ่งในช่วงสุดท้ายก่อนนาซีพ่ายแพ้ได้ถอยร่นมาจนถึง อาร์เจนตินา แล้วหลบหนีเพื่อตั้งฐานลับที่ใต้พื้นพิภพ โดยมีช่องทางที่ขั้วโลกใต้

เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย manman
ที่มา Topmanman: นครใต้พิภพดินแดนใต้โลก เรียกว่า อการ์ธาร์--Agharta

 

คลิปวีดีโอ
แหล่งอารยธรรมจากนอกโลก UFO

 

สวัสดีท่านวสุธรรม
ผมเคยได้ยินเขาพูดกันเรื่องนครไต้พิภพ อยู่นะ เนื่องจาก ในดอกบัวที่มีแสงสว่างนี้
มีแท่นหินตันติปาละ อยู่ด้วยในนั้น คือแท่นหินแห่งความสมปราถนา ใครอยากได้อะไร เข้าไปอธิฐานต่อหน้าแท่นหินได้เลย ทีนี้ เพื่อนทางธรรมของผม เขาบอกว่า มีคนไต้พิภพ ตัวเล็กนะ ไม่ได้ตัวใหญ่ ขึ้นมาจากเมืองไต้ดิน แล้วชอบแท่นหินนี้มาก เพราะแท่นหินให้ได้สมใจอธิฐาน เขาว่ายังงั้นนะ

 

แต่ดอกบัวที่ว่า แท่นที่ว่า มันมองเห็นได้ด้วยจิตน่ะ เป็นอีกมิติหนึ่ง
ผมเองมองไม่เห็นหรอกครับ แค่รู้ว่ามี เท่านั้นเอง

 

สวัสดีครับ ท่านวงกลมจุด
ขอบคุณที่เข้ามาทักทายผมครับ

 

และในดอกบัวโลกทิพย์นี้ ไม่ไช่มีเพียงวิญญาณคนตายเท่านั้นนะครับ จิตต่างๆ ภพภูมิต่างๆ ก็รับเข้ามาอยู่ในดอกบัวมากมายครับ เช่นจิตต่างดาว หลายเผ่าพันธุ์ ใครที่ มีจิตทิพย์มีกายทิพย์ เข้าไปเยี่ยมชมในดอกบัวได้นะครับ มีโรงธรรมโรงทาน มีเจ้าแม่กวนอิม มีพระสงฆ์หลายรูปที่มรณภาพแล้ว วนเวียนมาแสดงธรรม ตลอดครับ

ดอกบัวมีสามดอกใหญ่ๆ ที่รวมกันเป็นดั่งฐานมีแสง มียอดปิระมิดแห่งแสง ฐานดอกบัวคือโลก ยอดสุดของ
แสงชี้ไปที่ จุดจุดหนึ่งในห้วงจักรวาล

นี่คือ โลกอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาจิตใจปัญญาของเหล่า จิตวิญญาณครับ
ใครที่มีญาติที่ เสียชีวิตแล้ว ส่องนำแสง ให้เขาได้ เห็นแสงแห่งดอกบัวแล้ว เข้ามาอยู่ในดอกบัวได้นะครับ

 

ดอกบัว สามดอกนี้ มีที่สกลนคร เลย และกรุงเทพครับ

สร้างจากจิต ที่ไร้เงื่อนไข พลังงานแสงนี้ เป็นพลังงานแสงที่เหล่า ต่าวดาว ต่างภพภูมิ ต่างก็อยากรู้เห็น อยากสัมผัสครับ เพื่อที่ ทุกจิตวิญญาณจะได้ สร้างดอกบัวเองได้ครับ เรียกว่า มนุษย์เองก็จะได้ มีจิตเบิกบานได้ดั่งดอกบัวครับ

 

อ้อ วันก่อนได้สัตว์หิมพานต์ มาจากประตูมิติ ของคุณ ไกอาดีเอ็นเอ1111 ผมจะเอาสัตว์ทั้งหลายมาปล่อยไว้ในดอกบัว ละกันนะครับ

 

เมื่อบุคคลใดยังขาดความสงบของจิต

ยังว้าวุ่นไปกับวิญญาณทั้งภายนอกภายใน ขาดการรับรู้ของการผสานของตัวใจ

มโนสัมผัสสะของบุคคลนั้น ธาตุแห่งการรับรู้ของบุคคลนั้น จะรับรู้ได้ยังไง

ไม่ได้ดูธาตุดีเอ็นเอ ของแต่ละคนเล้ยย

อืม..หือ!! สัตว์หิมพานต์ :boo:

 

สัตว์หิมพานต์(สัตว์มหาเทพ) เหล่านี้ ได้รับคำสั่งมาทำงาน บันเทาภัยพิบัตในโลกมนุษย์
อันเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นดินและสายน้ำ ที่จะเกิดขึ้น ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
แต่ท่าน เมื่อได้พบเห็น สัตว์มหาเทพเหล่านี้ กลับนำพาเขา เข้าไปอยู่ในโลกแห่งดอกบัว ทำให้เขาทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่ได้

โอ้...เมื่อข้าน้อย ได้พบเห็นเหล่าสัตว์มหาเทพเหล่านี้ ก็ดีใจ ที่เบื้องบนยังมีเมตตาส่งสัตว์เหล่านี้มาช่วย

แต่วันนี้ กลับมีผู้ มากอำนาจ มีเมตตาสูง นำพาสัตว์มหาเทพเหล่านั้น เข้าไปอยู่ในโลกแห่งความสุข สมปรารถนาไปทุกเรื่อง
เพื่อให้เหล่าสัตว์นี้มีที่อยู่ที่กิน มีความสุขสบาย ไม่ต้องทุกข์ร้อน ไม่ต้องตลอนไปทั่วให้ลำบากตัวลำบากกาย

โอ้...วิบากกรรมของมนุษย์ นี้มากนัก สุดช่วยเหลือได้จริงๆ

มีเทพแห่งค้างคาว อุตสาห์ เอากาวไปยา ไปแปะรอยร้าวแห่งแผ่นดิน หวังช่วยประสานรอยร้าวให้เป็นหนึ่งเดียว เพียงหวัง ไม่ให้แผ่นดินขยับตัวอีก
แต่ กาวที่ท่านใช้ ไม่อาจคงทนต่อ สายน้ำได้ ไม่ถึงครึ่งวัน กาวที่ท่านอุตสาห์ไปยาไปแปะไว้ ก็ละลายไปสิ้น

วันนี้ เหล่ามนุษย์คงสิ้นหวังแล้ว

 

เหมือนอ่านนิยาย

 

ผมแค่ปล่อยให้เขามีที่อยู่กว้างๆพักผ่อน เรียนรู้การรับแสง เวลาเกิดภัยพิบัติ ค่อยออกมาทำหน้าที่ของพวกมัน และเมื่อเรียนรู้การรับแสง เมื่อจะช่วยคนก็ช่วยปกป้องคนดีที่จิตใจเป็นแสงสีขาว ส่วนจิตใจที่มีแสงสีแดงไม่ต้องช่วย เพราะเป็นพวกจิตที่มีแต่อกุศล และเรื่องถ้าเกิดภ้ยพิบัติจริง เทพต่างๆเขาก็รอช่วยอยู่นะครับ ไม่ต้องเป็นกังวลครับ

 

ท่าน ผู้ทรงไว้ซึ่งความเมตตาอย่างสูงที่การุณา ให้สัตว์มหาเทพเหล่านั้นได้พักผ่อน และเรียนรู้
ท่านเคยศึกษาหรือไม่ว่า ผู้ที่เข้าไปอยู่ใน ดอกบัวแห่งความสุขสมหวังแล้ว จะสามารถกลับออกมาได้หรือไม่
เหล่าดวงจิตน้อยใหญ่ ที่ท่านนำมาไว้ในดอกบัวด้วยความเมตตา ให้เขาได้เสพสุข สมความปรารถนากัน
แม้แต่ตัวท่านเอง ผู้ให้กำเนิดดอกบัวนี้ เกิดความคิดปล่อยให้เขาเหล่านั้น เป็นอิสระ กลับออกมา ภายนอก
ตัวท่านเอง ก็ยังยากที่จะทำเช่่นนั้นได้ (ดอกบัว ถูกโปรแกรมมไว้จากองค์ต้นธาตุ ไม่ยอมปล่อย-หากจะปล่อยต้องมีพิธีกรรมอีกมาก)

ดังนั้น เหล่าดวงจิต ที่เข้าไปอยู่ในดอกบัว ก็ยิ่งหมดหนทางที่จะกลับออกมาแล้ว
และที่ท่าน กล่าวว่า เมื่อถึงเวลาเกิดภัยพิบัติ สัตว์มหาเทพเหล่านั้น ก็จะออกมาช่วยมนุษย์เอง
นั่นเป็นไปได้หรือ(ก็ดอกบัวไม่ยอมปล่อยออกมานะ)

แล้วท่านรู้หรือไม่ สัตว์มหาเทพเหล่านี้ลงมาทำอะไรกัน ท่านก็รู้ว่าเขาลงมาช่วยมนุษย์
แต่ความจริงแล้ว เขาลงมาเตรียมการเพื่อบันเทาภัยพิบัติ(เขาไม่ได้ช่วยเหลือมนุษย์โดยตรง)
เมื่อท่านนำเขาไปเก็บไว้ด้วยความเมตตา เขาก็ทำงานไม่ได้ การเตรียมการล้วนหยุดชะงัก

ท่านรู้หรือไม่ สัตว์เหล่านี้มีผู้ดูแล นำลงมา ตัวท่านเพียงนำเหล่าสัตว์มหาเทพไปอยู่ในดอกบัว
ท่านผู้ดูแลสัตว์เหล่านั้น เขาไปฟ้อง(ใครก็ไม่รู้)
แล้วเช้านี้ดอกบัวดอกนั้น(ดอกเดียววที่ขังสัตว์มหาเทพไว้) ก็ถูกทำลาย สลายสิ้น
เหล่าสัตว์มหาเทพ เป็นอิสระแล้ว พร้อมดวงจิต อีกสุดคณานับ ที่ถูกกักไว้ในดอกบัว ก็เป็นอิสระเช่นกัน
งานนี้อาจมีการเช็คบิลกันบ้าง (ตัวใครตัวเผือกนิ)

หมอสุวิ ขอยืนยันกับท่านว่า งานนี้ หมอสุวิ เป็นเพียงผู้ดู ผู้ศึกษาเท่านั้น
ไม่ได้ลงไปมีส่วนร่วมกับเขาแต่อย่าใดเลย
เมื่อคืนนั่งศึกษาความเป็นมาเป็นไปของดอกบัวทั้งสามแล้ว ก็เข้านอน
ตื่นเช้าขึ้นมา มองออกไป อ้าวดอกบัวถูกทำลายไปดอกหนึ่ง
ส่วนเรื่องอื่นๆ หมอสุวิไม่รู้เรื่องด้วยแล้ว (ขอโทษด้วย หากมีการก้างล่วง)

 

จบกัน วงกลมจุด นายทำกรรมหนักต่อมวลมนุษชาติเสียแล้ว

สัตว์หิมพานต์(สัตว์มหาเทพ) เหล่านั้นได้รับคำสั่งมาทำงาน บรรเทาภัยพิบัติในโลกมนุษย์

จะด้วยความปรารถนาดี แต่ประสงค์ร้ายหรืออย่างใดไม่ทราบ
ดันไปจับสัตว์หิมพานต์ เพื่อจะให้เข้าไปเสพสุขอยู่ในดอกบัว

เรื่องนี้ นายต้องรับผิดชอบ แต่เพียงผู้เดียว

เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้า (แต่ไม่รู้เมื่อไหร่นะ)
จะเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินและสายน้ำ ทำให้เกิดภัยพิบัติต่อมนุษยโลก (ตามเบอร์โทร 63)



วงกลมจุด..!! <IMG src='http://image.free.in.th/v/2013/if/140808114047.png' width=50>
นายต้องรับผิดชอบ แต่เพียงผู้เดียว
นายต้องรับผิดชอบ แต่เพียงผู้เดียว
นายต้องรับผิดชอบ แต่เพียงผู้เดียว

<IMG src='http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/c/c6/Sound_icon.png' width=50>

เพิ่ม แอ็คโค่..!!หน่อยนะ

ดอกบัว..ถูกทำลายเบย ฉม!!

นิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...

"เงิบเง่า แต่ขยัน ต้องเอาไปเจี๋ยนทิ้ง"

 

ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ ยินดีมากครับที่ มีคนเฝ้าดูรู้ตามนะครับ ซึ่งดอกบัวดอกที่ถูกทำลาย เป็นดอกที่ ไหนครับ ดอกที่สกลนคร ที่เลย หรือที่กรุงเทพครับ

ความจริง ดอกบัวที่สร้างขึ้นมานี้ ก็เพื่อพัฒนาจิตของเหล่าสรรพวิญญาณทั้งหลายให้เข้าถึงสภาวะพระนิพพาน เพื่อเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกที จะได้มีต้นทุนในการปฏิบัติจิตเพื่อนิพพานได้เร็วขึ้นน่ะครับ

ส่วนการที่ดอกบัวจะถูกทำลายหรือไม่นั้น ไม่สำคัญครับ อาจมีคนจ้องทำลาย เพราะถ้าจิตใครคนใดที่มีอกุศลถ้าแอบเข้าไปในดอกบัว อกุศลในจิตของเขาจะลุกเป็นไฟเผาตัวเขาเองครับ และก็มีคนถูกเผามาแล้วด้วย

ส่วนที่เข้าใจว่า จิตภายในดอกบัวถูกกักขัง อันนี้ก็ไม่เป็นความจริงครับ เพราะทุกสรรพจิตสามารถออกมานอกดอกบัวเพื่อเรียนรู้โลก เรียนรู้ชีวิตความเป็นมนุษย์ได้ครับ ไม่ได้กักขังใคร

ส่วนผู้ดูแลสัตว์จะไปฟ้องใครนั้น ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะสัตว์เหล่านั้นเพื่อนของผมเอง

ดังนั้นการที่คุณเข้าใจได้อย่างไรนั้น ไม่ถือว่าผิดหรอกครับ เพราะถ้าคุณอยากเข่้าใจ คุณต้องลองเข้าไปในดอกบัวเองสัมผัสแสงสว่างนั้น ถึงจะเข้าใจครับ อย่าหลงไปกับภาพที่เห็นนะครับ

 

และจิตต่างดาว จิตคนที่ฝึกจิตมา มีกายทิพย์ มีวิชาอาคม และจิตของนายคนนั้นที่เขาแทรกจิตคนอื่นได้ เขาก็ได้เข้ามาในดอกบัวนี้แล้ว เพื่อนเขามีไฟลุกเพราะมีอกุศลในใจ ส่วนตัวเขาที่เก่งมีวิชากำบังกายปิดตัวตน ทำให้แสงส่องไม่ถึงอกุศลในใจเขา ไฟนั้นเลยยังไม่ลุก แต่เขาก็ถูกจับตามองจากเทพเบื้องบนแล้วครับ

 

ซึ่งถ้าคุณหมอ จับตามองดูอยู่ อาจจะรู้ว่า เป็นฝีมือใครทำลายดอกบัว
และมันก็หนีไม่พ้น สายตาของเหล่าเทพที่มองดูอยู่ครับ
ซึ่งผมไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใดครับ

รู้เห็นสิ่งใด เข้าใจอะไร ก็นำมาบอกเล่าได้เลยนะครับ ติดตามอยู่ครับ

 

ชอบดอกบัวจัง ส่งกลิ่นมาให้ ห๊อม..หอม

และรู้ได้ว่าดอกบัวเหล่านั้น พึงพอใจที่จะให้เป็นแหล่งพักอาศัย

อยากแปลงร่าง เป็นเหล่าภุมรินทร์ เข้าไปอยู่ในดอกบัวจังฮู้ ดอกบัวของฉัน ^^

 

ซึ่งความจริงผมได้พูด ได้บอกกับทุกท่านหลายๆครั้งแล้วว่า ไม่ต้องเอาจิตของท่านส่องเข้ามาดูอะไรในหัวผมหรอกครับ เพราะมันไม่มีอะไรเลยนอกจากความคิดทั่วๆไป

เพราะตอนนี้ก็มีคนเข้ามาดูในหัวผมจนต้องบอกทุกครั้งไป

อยากรู้ว่าผมเป็นใคร ก็ตามยอดแห่งแสงนั้นไป ไปดูว่าแสงนั้น ส่องไปถึงที่แห่งใดนอกโลกนั้น
นั่นแหล่ะ

 

ผมเป็นมิตรกะสิ่งแวดล้อม และเทพเบื้องบนครับ

มาตราฐาน ISO 14000 ครับ